ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    got7 | in your heart #ปมนยอง

    ลำดับตอนที่ #2 : ข้างในใจ | ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.5K
      98
      23 ก.ค. 59



    ตอนที่ 2


    เจฮยองกลับไปเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ได้อยู่ร่วมมื้อเย็นด้วย ในขณะที่จินยองอ้างว่าอิ่มเครปแซลมอนที่ทำไปชิมไปจนไม่อยากอาหารเย็น แจบอมจึงแวะไปกินข้าวบ้านใหญ่พร้อมนำเครปในส่วนที่จินยองแบ่งไว้เอาไปให้พ่อกับแม่


    แจบอมขับรถไปบ้านใหญ่ด้วยความรู้สึกค่อนไปทางบวก ทว่ากลับบ้านตัวเองมาด้วยความรู้สึกในทางตรงข้าม พร้อมกับการ์ดเชิญร่วมงานแต่งงานของชเวจินอุนกับซนฮวายอน ลูกสาวคุณซน เพื่อนสนิทคุณพ่อในวันศุกร์ที่จะถึงนี้


    ‘แม่กับพ่อต้องไปธุระที่ปักกิ่งพอดี ไม่ได้ไปงาน แจบอมต้องไปเป็นตัวแทนครอบครัวเรานะ เพราะจินอุนกับฮวายอนก็มางานพวกลูกเหมือนกัน’


    ‘ครับ’


    ‘แล้วก็พาน้องไปด้วย’


    ‘ผมไปคนเดียวได้ครับ’ แจบอมโพล่งออกไปทันควัน ก่อนข้ออ้างจะตามมาติดๆเมื่อเห็นสายตาของผู้ให้กำเนิดที่จ้องเขม็งมา ‘ยังไง...ก็...ต้องไปเจอหลายๆคน ไม่ต่างอะไรกับการไปคุยธุรกิจกลายๆอยู่แล้วนี่ครับแม่  อีกอย่างงานค็อกเทลก็ไม่ได้มีที่นั่งเป็นกิจจะลักษณะด้วย ให้น้องไปด้วยจะไม่สนุกเสียเปล่า ไม่ได้รู้จักใครเท่าไหร่อีก’


    แจบอมถึงกับเรียกจินยองด้วยสรรพนามแสดงความเอ็นดูเป็นครั้งแรก หวังเป็นตัวช่วยโน้มน้าวให้พ่อกับแม่ยอมตอบตกลง ทว่า...


    ‘ก็เพราะว่าไม่ค่อยรู้จักนี่แหล่ะถึงต้องพาน้องไปทำความรู้จัก’


    ‘ใช่ แม่เขาพูดอะไรไปแล้วก็ทำตาม เข้าใจตรงกันนะ’



    และด้วยความที่ว่ารู้จักแม่กับพ่อตัวเองดี รู้ว่าหากหลังวันงานท่านทั้งสองมาเห็นรูปถ่ายเข้าแล้วปรากฏว่ามีแต่เขาที่ยืนอยู่กับคู่บ่าวสาว อิมแจบอมโดนสับเละแน่ๆ เพราะถึงพวกท่านจะตามใจเขาในเรื่องทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก แต่กับเรื่องเรียนหรือเรื่องที่เป็นการเป็นงานแบบนี้ พูดคำไหนคือคำนั้น เช่นเดียวกับการแต่งงานระหว่างเขากับพัคจินยองเหมือนกัน 


    อันที่จริงแจบอมก็นึกสงสัยนะ ว่าคนบ้านนั้นกล้าให้จินยองมาอยู่อาศัยที่บ้านเขาได้อย่างไร ทั้งที่ทางบ้านแจบอมเป็นฝ่ายถือไพ่ต่ำกว่า...เกิดเขาคิดจะชิ่งไม่ใช้หนี้บริษัทแล้วปิดปากคุณหนูจินยองขึ้นมาจะว่ายังไง? ทว่าเมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกตัวเองเพ้อเจ้อชอบกล คือเขาเองก็ไม่เคยมีความคิดโหดร้ายแบบนั้นอยู่แล้ว เป็นนักธุรกิจนะไม่ได้เป็นอาชญากร แจบอมก็แค่สงสัยไปตามเรื่องเท่านั้น จินยองอยู่บ้านใหญ่โตของตระกูลคังนั่นก็น่าจะสุขสบายดี ถึงจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมของคุณคัง แต่ก็เคยมีโอกาสไปใช้ชีวิตเป็นสิบปีที่ออสเตรเลีย แล้วจากที่เห็นในวันแต่งงานทั้งคุณคังกับคุณนายพัคก็ทั้งรักและเป็นห่วงจินยองมาก ยอมปล่อยให้จินยองมาอยู่กับลูกหนี้อย่างตระกูลอิมนี่ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยเลยหรืออย่างไร ไหนว่าไม่ไว้ใจจนถึงขั้นต้องให้ลูกตัวเองมาแต่งงานด้วยเหตุผลเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ



    แจบอมวางการ์ดแต่งงานสีชมพูอ่อนลงกับโต๊ะทำงานที่อยู่ในส่วนของห้องนอนตัวเอง ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว ไว้เดี๋ยวค่อยบอกจินยองเรื่องงานเลี้ยงนี่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ชายหนุ่มนั่งลงกับที่เพื่อเปิดแม็คบุ๊คขึ้นมาเช็คอีเมล์อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน พลางไล่ดูเอกสารแต่ละฉบับย้อนกลับไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยุดอยู่ที่เอกสารฉบับหนึ่งในอีเมล์ระบบ...เอกสารแจ้งยอดประกอบการล่าสุด เขากวาดสายตาผ่านตัวเลขและข้อมูลทั้งหมดในความเงียบ เงยหน้ามองปฏิทินตั้งโต๊ะ


    อีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะครบสามเดือนแล้ว สามเดือน หลังจากสัญญาระหว่างตระกูลคังกับอิมได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ 


    แจบอมได้แต่หวังว่าแผนการตลาดใหม่ของเขาที่เพิ่งได้รับอนุมัติไปเมื่อต้นเดือนจะช่วยเพิ่มผลกำไรเดือนนี้ขึ้นได้อีก เพื่อระยะเวลาในพันธะระหว่างเขากับพัคจินยองจะได้ลดน้อยลง...และสิ้นสุดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้



    //////////



    “ขอบคุณครับ” จินยองรับเงินทอนค่าแท็กซี่ก่อนจะเปิดประตูเดินลงจากรถ หยุดยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลคังซึ่งเป็นที่อยู่ในตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาโทรเรียกให้พี่ดงโฮ คนงานของบ้านออกมาเปิดประตูให้


    เวลาบ่ายแก่ของวันจันทร์แบบนี้น่าจะไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากแม่บ้านและคนงาน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้จินยองเลือกจะมาที่นี่ในวันนี้ ทั้งที่ทราบถึงความจำเป็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


    ‘คุณแม่ให้ผมกับคุณไปร่วมงานแต่งของพี่จินอุนกับพี่ฮวายอนวันศุกร์ที่จะถึงนี้’


    “คุณจินยองต้องรีบกลับจริงๆหรือคะ ใจคอจะมาเอาแค่เสื้อผ้าแล้วไม่อยู่ทานข้าวกับคุณท่านหน่อยหรือ คุณท่านบ่นคิดถึงคุณจินยองตลอดเลย... ป้าก็คิดถึงเหมือนกัน” 


    จินยองหันไปส่งยิ้มจืดเจื่อนให้กับคุณป้าแม่บ้านที่กำลังช่วยเขาจัดเสื้อสูทสำหรับสวมไปงานแต่งใส่ลงถุง เตรียมขนกลับไปบ้านอิมแจบอม 


    “แค่กลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะครับ คงไม่ได้อยู่ถึงเย็น” เขาบอก “ขอโทษด้วยนะครับป้า ผมก็คิดถึงคุณป้า แล้วก็คุณพ่อคุณแม่เหมือนกัน”


    จินยองพับเสื้อเชิ้ตเก็บใส่กระเป๋า แต่ก็ถูกคุณป้าเดินเข้ามาช่วยนำไปรับผิดชอบต่อให้เสียก่อน คุณหนูส่งยิ้มจืดเจื่อนกว่าเดิมให้คุณป้า ฝีมือการทำงานบ้านของจินยองนี่ไม่ได้เรื่องไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ แค่พับเสื้อให้เรียบๆ ดีๆ ก็ยังทำไม่เป็น


    เขานั่งลงบนเตียงขณะรอคุณป้าจัดกระเป๋าให้


    “แต่เดือนหน้าสัญญานะคะว่าจะกลับมา” คุณป้าพูดขณะมือยังพับเสื้อตัวอื่นๆ ที่จินยองเลือกมาเพิ่มใส่ลงไปในกระเป๋าต่อ “วันเกิดมีแค่ปีละหน ถ้าคุณจินยองไม่กลับมากินซุปสาหร่ายกับเค้กที่ป้าทำให้ ป้าจะน้อยใจจริงๆ ด้วย”


    จินยองลุกขึ้นมากอดคุณป้าพร้อมกับรับปากว่าจะมาจริงๆ เพราะจินยองเองก็สัญญากับคุณพ่อและคุณแม่ไว้เช่นกัน


    ถึงจะต้องกลับมาเจอใครบางคนที่ไม่อยากเจอก็ตาม






    “อ้าวว พี่จินยอง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน....หย่ากับสามีแล้วหรือถึงได้หอบเสื้อผ้ากลับมาที่นี่?”


    ใครบางคน...ที่วันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เจอ ใครบางคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้จินยองไม่ทนรออยู่บ้านนี้ต่อจนถึงเย็น 


    จินยองไม่คิดว่าคังยองจูจะกลับบ้านมาตั้งแต่บ่ายสองโมงแบบนี้ เขากระชับสายกระเป๋าเป้กับชุดสูทในถุงซึ่งพาดแขนอยู่ หยุดยืนตรงั้นบันไดเพื่อรักษามารยาท ตอบคำถามของอีกฝ่ายที่เพิ่งเดินขึ้นมา “เปล่าครับ แค่กลับมาเอาของ”


    “อ้อ...” ยองจูลากเสียงยาวก่อนจะเอ่ยถามเสียงหวานเหมือนหน้าตากับน้ำเสียง ทว่าผิดกับถ้อยคำไปเสียถนัด “แล้วนี่..อยู่บ้านนู้นไม่มีจะกินหรือเปล่า พวกแม่บ้านถึงได้กำลังเตรียมอาหารขนมให้พี่เยอะขนาดนี้”


    จินยองไม่รู้มาก่อน แต่เดาไว้ว่ายองจูน่าจะเห็นตอนเดินผ่านครัวพอดี “เปล่าครับ” เขายังคงยึดสีหน้าเรียบเฉยเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอดสองปีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้ “พวกเขาก็แค่มีน้ำใจ ขอตัวนะครับ”


    จบคำแขวะทางอ้อม จินยองก็ก้มศีรษะให้ก่อนจะเดินลงไป พยายามลบล้างอารมณ์ขุ่นเคืองทุกอย่าง และบอกตัวเองให้เลิกหวังกับอิสระอะไรในตอนนี้ 


    เพราะมันยังไม่มีทางจะเป็นจริงได้ในเร็ววัน


    อิสระเหมือนกับตอนเด็ก เมื่อครั้งอยู่บ้านตระกูลคังที่จินเฮกับคุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวของคุณพ่อบุญธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้วย้ายไปเรียนอยู่ออสเตรเลียกับท่านมาร่วมสิบปี จินยองรู้สึกแย่จริงๆ ที่ต้องยอมรับ ว่าคำว่าอิสระในตอนนี้ดูไกลเกินเอื้อมไปในแบบที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวได้ในช่วงอายุยี่สิบสามปี 


    เพราะไม่ว่าจะที่ไหนที่จินยองสามารถอยู่ได้ในตอนนี้ บ้านตระกูลคังในโซล หรือบ้านของอิมแจบอม จินยองก็ไม่มีความสุขจริงๆเลย




    จินยองกลับถึงบ้านมาพร้อมกับเสื้อผ้าและถุงอาหารขนมมากมายให้ป้ามินซอกับซองมีตื่นตาตื่นใจ แล้วขอตัวกลับเข้าไปในห้อง แขวนเสื้อสูทไว้ในตู้เสื้อผ้า ปิดไฟ ปิดม่านกั้นแสงจนห้องมืดทึบ 


    หลังออกจากงานบริษัทเดิมเมื่อหกเดือนก่อนแต่งงาน และเริ่มวางแผนอยากเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นต้นทุนให้กับชีวิตตัวคนเดียวของตัวเองในอนาคต จินยองก็จะใช้เวลาว่างจากการช่วยงานจุกจิกในบ้านหรือออกไปจ่ายตลาดแทนคุณป้ามาอ่านภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมสอบขอทุน รวมถึงหนังสือเสริมความรู้อื่นๆ และมักจะผ่อนคลายสมองด้วยการดูหนัง อย่างในวันนี้เขาเลือกจะเปิดแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่เพิ่งหยิบมาเพิ่มจากที่บ้านคังใส่เครื่องเล่นใต้โทรทัศน์ หยิบรีโมทมาถือไว้ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียง 


    มีคนเคยบอกว่าการดูหนังไม่ก็ฟังเพลงเป็นเหมือนหน้าต่างที่เปิดโลกใบใหม่ให้กับเราได้ดูชม 


    แล้วทำไมต้องเป็นหน้าต่าง? ก็เพราะว่ามันเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เกินจริงดี เพราะคนเราสามารถมองเห็นโลกกว้าง โลกที่อยู่เหนือความจริงผ่านหน้าต่างได้ แต่มันไม่ปลอดภัยที่จะปีนออกจากหน้าต่างไป และอันที่จริง....เราก็อาจจะปีนออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ 


    แต่อย่างน้อยก็ยังดี...ยังดี..ที่มันยังเปิดให้มองออกไปได้อยู่แบบนี้


    /////////


    สถานการณ์ในบ้านกลับมาเป็นปกติ อิมแจบอมกลับมารับประทานมื้อเช้าคนเดียวเหมือนเดิมตลอดห้าวันที่ผ่านมาในสัปดาห์นี้ เจอเจียเอ่อร์ขับรถมาจอดรอไว้หน้าบ้านให้ทุกเช้าเหมือนเดิม และทุกคืนที่กลับมาถึงบ้าน ก็จะมีป้ามินซอกับซองมีที่คอยอยู่ต้อนรับ หาน้ำมาให้ดื่มเหมือนเดิม


    ส่วนอีกหนึ่งชีวิตนั้นไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น มีเพียงหนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะอาหารในตอนเช้าให้ดูต่างหน้า ซึ่งเผลอๆบางทีคนที่หยิบมาวางไว้ให้อาจจะเป็นซองมีไม่ก็เจียเอ่อร์เสียด้วยซ้ำ จินยองดูเหมือนไร้ตัวตนในบ้านนี้ไปแล้วในความรู้สึกของเขา และแม้แจบอมจะมีเบอร์โทรศัพท์ในห้องของจินยอง แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะต่อสายไปหาเองถึงจะมีธุระให้คุยก็ตาม


    ‘ป้ามินซอ ฝากบอกจินยองด้วยนะครับว่างานเลี้ยงวันศุกร์นี้ผมจะออกจากบ้านหกโมงเย็น ให้เขาอาบน้ำแต่งตัวรอไว้เลย’


    ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ก็สบายใจดี


    :


    ‘คุณจินยองคะ คุณแจบอมฝากมาบอกว่าวันศุกร์นี้จะออกจากบ้านหกโมงเย็น ให้คุณอาบน้ำแต่งตัวรอไว้เลย เดี๋ยวคุณแจบอมจะมารับค่ะ’


    ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ก็สบายใจดี


    ถึงแม้ว่าวันนี้จะต้องเจอหน้ากันก็เถอะ อย่างน้อยอิมแจบอมก็เลี่ยงจะเจอเขามาตลอดสัปดาห์แล้ว แม้แต่จะบอกเรื่องเวลานัดก็ยังฝากป้ามา ดีเหมือนกันไม่ต้องมาคุยต่อหน้าแล้วพูดจาหาเรื่องจินยอง และหวังว่าที่งานคืนนี้จะไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องอารมณ์เสียด้วย 


    จินยองกลัดกระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ก่อนจะหยิบสูทสีดำมาสวมทับ เห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วความมั่นใจก็ดรอปลงไปไม่น้อย ทั้งเสื้อแลกางเกงสแลคตัวเก่าที่ตัดตั้งแต่ไปงานพรอมที่ออสเตรเลียเมื่อสองปีก่อนดูหลวมโพรก และเขาก็มีชุดสูทนี้แค่ชุดเดียว ตอนกลับมาเกาหลีได้ไปออกงานไหนก็สวมแต่ชุดนี้ จะว่าไปที่น่าแปลกใจคือเขาผอมลงจนเสื้อผ้าไม่พอดีอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ได้อย่างไรต่างหาก


    แต่จินยองก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจัดแต่งทรงผมให้เขาที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงมันจะไม่ค่อยอยู่ตัวและทำให้ทรงเสยหน้าผากที่เขาตั้งใจทำกลายเป็นทรงปัดข้างซึ่งดูไม่เป็นทางการเท่าไหร่นักแทน จินยองเดินลงไปชั้นล่าง พบอิมแจบอมนั่งรออยู่ที่โซฟาในชุดรับแขกในเสื้อผ้าเต็มยศ และเรื่องที่น่ากลัวที่สุดของวันก็คือการได้เห็นว่าเสื้อเชิ้ตตัวในของอีกฝ่ายเป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนกับเขาไม่มีผิด


    อิมแจบอมกวาดสายตามองเขาแล้วขมวดคิ้ว


    “ไม่มีชุดที่ดีกว่านี้เลยหรือ?”


    คำทักทายแรกของสัปดาห์ชวนให้อารมณ์ขุ่นได้สมกับเป็นอิมแจบอม


    “ขอโทษครับ”


    และถึงจะรู้ดีว่าอย่าไปเอาความอะไรกับคนปากแบบแจบอม แต่มันก็ห้ามไม่ได้เลยที่ความมั่นใจจะดิ่งลงจากห้าสิบเต็มร้อยกลายเป็นศูนย์


    //////



    งานเลี้ยงแบบค็อกเทลในวันนี้เป็นเหมือนกับที่จินยองคิดไว้ไม่มีผิด เต็มไปด้วยคนมากมายที่เขาไม่รู้จัก หลังจากทักทายคู่บ่าวสาวแล้ว ตลอดหลายสิบนาทีที่ผ่านมาจินยองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากคำว่า ‘สวัสดีครับ’ เวลาที่คนอื่นๆ เข้ามาทักทายแจบอมและพูดคุยอย่างสนิทสนม ซึ่งแจบอมก็ปล่อยให้เขายืนไร้ตัวตนอยู่ข้างๆ อดคิดในแง่ลบไม่ได้เลยจริงๆว่าอิมแจบอมจงใจพาเขามาเพื่อให้รู้สึกแย่แบบนี้หรือเปล่า


    ครั้นจะเดินเลี่ยงออกไปก็ดูเสียมารยาท และอีกอย่างคือมือของแจบอมที่กุมข้อมือของเขาลากไปลากมาทุกที่นี่แหล่ะ เหนียวหนึบเป็นคาราเมล แถมไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลย จนกระทั่งถึงเวลาที่พิธีบนเวทีได้เริ่ม แจบอมเพิ่งปล่อยมือเขาเป็นอิสระเพื่อตักอาหารคำเล็กใส่จานของตัวเอง จินยองจึงได้มีโอกาสรับประทานบ้าง ชายหนุ่มถือจานอาหารในมือหนึ่ง อีกมือหยิบแก้วน้ำที่บริกรถือเดินเสิร์ฟอยู่ตลอดมาดื่ม พลางกวาดสายตามองหาเก้าอี้ว่างที่มีอยู่ไม่กี่ตัว ในตอนนี้ที่แจบอมกำลังหันไปคุยกับเพื่อนชาวอเมริกันซึ่งเพิ่งเข้ามาทักทาย 


    จินยองต้องการหาที่นั่งจริงๆ เพราะรองเท้าหนังที่ไม่ได้ใส่มานานกำลังเล่นงานจนเขาแทบเดินไม่ไหวแล้ว




    หลังพิธีการบนเวทีได้จบไปแล้วเหลือเพียงวงดนตรีบรรเลงเพลง แขกในงานกลับมาเดินพูดคุยกันอีกครั้งพร้อมกันกับที่ไฟถูกเปิดสว่างดังเดิม


    “เสียดายกลับมาไม่ทันงานแต่งนาย”


    “ฮ่าๆ งานเล็กๆ ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่เป็นไงบ้าง จะกลับไปบอสตันอีกไหมเนี่ย”


    แจบอมยืนคุยกับเพื่อนสมัยเรียนมาสักพักแล้ว จากการถามสารทุกข์สุขดิบลากยาวไปจนถึงเรื่องงาน และที่น่าหงุดหงิดมากๆ ก็คือทุกคนจะต้องถามเรื่องนี้


    “ว่าแต่แฟนนายอยู่ไหนเนี่ย ได้มาด้วยหรือเปล่า”


    “มา แต่ว่าเขาก็ไปเดินเล่นของเขา อยู่...แถวนี้แหล่ะ”


    แจบอมกวาดสายตามองไปมาแต่ก็ไม่อาจจะเห็นจินยองได้ท่ามกลางแขกมากมาย ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว ตั้งแต่ที่เลิกแกล้งหิ้วจินยองติดตัวมาได้ร่วมชั่วโมง ต่างคนก็ต่างเดินกันมาพักใหญ่ และถึงการได้เห็นหน้านิ่งๆ แต่แววตาขุ่นเคืองนิดๆของจินยองมันจะสนุกดี แต่แจบอมก็ขึ้เกียจเดินลากอีกฝ่ายไปมาแล้วเหมือนกัน


    ตอนนี้ใกล้สามทุ่มแล้ว แจบอมคิดว่าเขาคงต้องอยู่ในงานต่ออีกสักพักใหญ่ แม้จะไม่ถึงช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้แต่ตอนนี้ก็ยังกลับไม่ได้ เขายังเดินสายพูดคุยกับใครๆได้ไม่ถึงครึ่งจากที่รู้จักทั้งหมดเลย


    พลันแจบอมนึกขึ้นมาได้ว่าเขาลืมบอกจินยองไปว่าถ้าเบื่อก็ให้ออกไปนั่งรอที่โซฟาข้างนอก ไม่ก็ล็อบบี้ชั้นล่างก่อน แต่เขาก็เดาว่าจินยองน่าจะพอคิดเองได้ การไม่ได้เห็นจินยองในสายตาตอนนี้จึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขาเท่าไหร่




    จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน และไม่ว่าจะเดินหาทั่วทั้งในงาน หน้างาน หรือแม้กระทั่งชั้นล่าง แล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของพัคจินยอง... แจบอมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างร้อนใจ


    ก่อนจะทำได้แค่ถือมันไว้อย่างนั้น


    เขาไม่มีเบอร์มือถือของจินยอง


    ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดอีกฝ่ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขาเดินกลับขึ้นไปยังห้องแกรนด์บอลชั้นสอง หรือจินยองจะเบื่อและไม่มีอะไรทำจนตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับบ้านไปแล้ว? เมื่อคิดได้ดังนี้จึงกดโทรไปยังเบอร์บ้าน ทว่านั่นกลับทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม


    (คุณจินยองจะหายไปได้ยังไงคะ คุณแจบอมไม่ได้ดูอยู่เธอตลอดหรือ?)


    คงต้องยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเองแล้วจริงๆ



    แจบอมมืดแปดด้าน แขกในงานยังเยอะอยู่จนไม่สามารถมองหาจินยองพบได้ง่ายๆ แถมฮอลล์ยังใหญ่เสียขนาดนี้ และต่อให้อ้าปากถามใครต่อใครก็คงจะมีแต่คงขมวดคิ้วใส่ งานแบบนี้ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมาตลอดใช่ว่าจะรู้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นใคร แล้วยิ่งเป็นพัคจินยองที่แทบจะเป็นบุคคลไร้ตัวตนก็ยิ่งไม่มีหวัง


    “พี่แจบอม! ตามหาอยู่พอดีเลย”


    ขณะที่ยังเดินวุ่นอยู่นั้นแจบอมได้หันไปมองตามเสียงเรียกจากด้านหลัง เห็นใบหน้าที่คุ้นตาก็ตอบรับไปแม้จะไม่มีอารมณ์พูดคุยด้วยเท่าไหร่


    “ว่าไงยองแจ” ชเวยองแจ ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ที่เพิ่งเจอกันล่าสุดเมื่อครั้งงานแต่งของเขา


    แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มตั้งใจมาบอก ทุกความคิดก็มาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้า



    //////////////




    มือหนากำพวงมาลัยรถแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน อิมแจบอมขบกรามแน่น พายุอารมณ์พัดโหมในอกอย่างรุนแรง


    ประเด็นในตอนนี้มีมากเกินไปจนปะปนไปหมด จนเขาแยกแยะไม่ได้ว่ากำลังไม่พอใจเรื่องไหนกันแน่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดในตอนนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องอากัปกิริยาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆตั้งแต่ขึ้นรถมา พัคจินยองเอนเบาะลงไปครึ่งหนึ่ง รัดเข็มขัดเรียบร้อย ยกแขนขึ้นกอดอก แล้วหลับตา... 


    ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่


    “จินยอง”


    ชายหนุ่มยิ่งโมโหกว่าเดิมเมื่อหันไปเห็นว่าจินยองขมวดคิ้วตามเสียงเรียก แล้วพ่นลมหายใจออกมาจากจมูกเบาๆราวกับรำคาญใจ คนอายุน้อยกว่าลืมตาขึ้นก่อนหันมาทางเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย แจบอมรู้สึกว่าเขากำลังจะระเบิดในอีกไม่ช้า



    บรรยากาศในห้องโดยสารมีแต่ความเงียบ เหมือนกับที่เป็นมาตลอดทางเดินจากในโรงแรมออกมาขึ้นรถ




    ‘พี่มาร์คฝากมาบอกว่าคุณจินยองไม่สบาย ตอนนี้เลยนอนพักอยู่ที่ห้องพี่มาร์คข้างบน แล้วพี่มาร์คก็ให้ยองแจมาถามว่าพี่แจบอมจะให้พี่มาร์คพาคุณจินยองลงมาพบพี่แจบอมได้ที่...’


    ‘พาพี่ขึ้นไปข้างบนได้ไหม?’



    แจบอมกับจินยองไม่ได้พูดกันตั้งแต่ที่แจบอมเดินขึ้นไปรับจินยองที่ห้องของมาร์ค



    ‘พี่เจอจินยองที่หน้างานพอดี จำได้ก็เลยเข้าไปทัก แล้วเห็นว่าจินยองเขาเจ็บเท้ามาก รองเท้ากัดเป็นแผลจนหนังเปิดเลย พี่เลยพาจินยองขึ้นมาทำแผลที่ห้อง’


    ‘พี่เห็นว่าน้องดูเพลียๆ แถมลงไปข้างล่างก็ไม่มีที่นั่งดีๆด้วยเลยเสนอให้รออยู่ข้างบนนี่ แล้วให้ยองแจลงไปตามนาย จินยองไม่ค่อยสบายด้วยน่ะ เมื่อกี้นี่เพิ่งขอยาแก้ปวดกินแล้วก็หลับไปเลย’ 


    ญาติที่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแต่เกลียดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยืนกอดอกอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดขณะที่เขายืนมองจินยองซึ่งนอนหลับอยู่บนโซฟาอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มหันกลับมามองเมื่อมาร์คเดินเข้ามาหาและส่งรอยยิ้มบางๆ ให้พร้อมกับสายตาที่เขาดูออกได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังจงใจท้าทายเขา 


    เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้


    ‘And I promise I didn’t do anything inappropriate to your…wife.’


    :


    สองสายตาประสานกันอยู่ในความเงียบที่แสนมาคุบนรถ และทั้งที่จินยองกำลังมองแจบอมอย่างไร้อารมณ์ ไม่ได้มีแววความไม่พอใจแต่อย่างใด แต่มันก็เป็นเพราะอาการนิ่งเฉยนี่แหล่ะที่ทำให้เขาโมโหยิ่งกว่าเดิม


    แจบอมรู้ว่ามาร์คต้วนมันคงคิดว่าตัวเองชนะเขาไปไกลแล้วกับการได้กวนประสาทเขาแบบนี้ แจบอมรู้เพราะเขาก็รู้จักมันดีพอๆกับที่มันรู้จักเขา มาร์ครู้ว่าแจบอมเป็นพวกหวงของมากแค่ไหน และมันก็เคยแย่งเขามาได้สำเร็จไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งไปเรียนอยู่ที่บอสตัน แต่มันไม่ได้รู้เลยว่าพัคจินยองน่ะอยู่นอกลิสต์ของที่เขาหวงไปไกล แล้วเรื่องที่น่าโมโหที่สุดก็คือแจบอมไม่สามารถปฏิเสธได้ พูดไม่ได้ว่าจินยองเป็นเพียงภรรยาในนามที่แต่งงานกันเพราะว่าบริษัทพ่อเขาเป็นหนี้ตระกูลนั้นเป็นสิบล้าน แจบอมต้องปล่อยให้มาร์คเข้าใจไปแบบนั้น และเขาก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆกับทุกความรู้สึกในตอนนี้


    รวมถึงเขาไม่รู้ด้วยว่าตัวเองคิดถูกหรือไม่ ที่กำลังโทษว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของจินยองทั้งหมด


    “รู้จักมันหรือยังไงถึงได้ยอมขึ้นไปบนห้องมัน” แจบอมดึงสายตาออกจากจินยองกลับมามองตรงไปด้านหน้าพร้อมกับเปิดประเด็น ถามเสียงเบาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์


    “ก็เคยเจอกันที่งานแต่งนี่ครับ” จินยองตอบเสียงเรียบ “ผมไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้วด้วย แล้วนี่ก็โรงแรมของครอบครัวคุณมาร์ค เขาบอกว่าเขามีกล่องปฐมพยาบาลที่ห้อง...”


    “คือร้านขายยา ขายอุปกรณ์ทำแผลมันก็มีนะ ที่มินิมาร์ทในโรงแรมนี่ก็มี ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องขึ้นไปห้องคนอื่น”


    “ตอนนั้นไม่ทันได้คิดครับ ผมปวดหัวด้วย...”


    “งั้นผมคงผิดเองสินะที่พาคนป่วยมาทรมาน”


    “ผมเข้าใจว่ามันจำเป็น คุณพ่อกับคุณแม่คุณก็มาไม่ได้ด้วย”


    “จำเป็น ใช่” แจบอมแค่นหัวเราะ ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะไม่หันไปมอหน้าจินยอง “คุณก็แยกออกนี่ว่าเรื่องไหนจำเป็น หรือไม่จำเป็น แล้วทำไมทีเรื่องของตัวเองแยกไม่ได้” เสียงของแจบอมเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว “คุณมีความจำเป็นจะต้องขึ้นไปห้องไอ้มาร์คไหม?”


    “ก็บอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ทันคิด”


    “…”


    “เรื่องมันผ่านมาแล้วจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาครับ”


    ในขณะที่จินยองยังคงตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เหมือนเดิม ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้พายุในใจโหมรุนแรงขึ้นอีก ซ้ำยังหนักกว่าเดิมเมื่อแจบอมหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายเอนหน้าหนีไปอีกทาง และหลับตาลงดังเดิมอย่างไม่ใส่ใจ


    ฟางเส้นสุดท้ายของแจบอมขาดสะบั้น




    พัคจินยองสะดุ้งลืมตาตื่นเมื่อมือหนาเข้ามากระชากต้นแขนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแล้วกำไว้แน่น


    สายตาสองคู่จ้องกัน ไม่มีใครพูดอะไร 


    แจบอมออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนมือของเขาสั่น จนกระทั่งจินยองแสดงสีหน้าที่เขาไม่เคยได้เห็นออกมา ทว่าก็ยังไม่ได้ปริปากพูดสักคำ 


    แจบอมปล่อยมือออกในที่สุด





    พวกเขาต่างนั่งนิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนแจบอมจะเปลี่ยนเกียร์เพื่อออกรถ ขับกลับบ้านด้วยความเร็วที่ไม่คิดจะควบคุม



    TBC.


    จากตอนแรก ทำไมทุกคนขำคุณแจบอมกันหมด! เราตั้งใจทำให้มันเครียดนะคะ ฮื่อ55555 สงสัยความรักน้องจบมในใจมันมีมากเกินไป เลยกลายออกมาเป็นคุณชายตัวโตเอาแต่ใจคนหนึ่งแทนที่จะเป็นคุณแจบอมเท่ๆขรึมๆ /ล้ม


    ยังยืนยันอีกครั้งว่ารู้สึกแปลกกับเรื่องนี้จริงๆ5555 เขียนเองแปลกเอง ไม่มั่นใจเอง เป็นแนวที่ไม่เคยแตะเลย ฮื่อ รู้สึกยังไงช่วยคอมเม้นท์หรือติดแท็ก #ในใจปมนยอง ก็ได้นะคะ ไม่ดียังไงบอกได้ เราอยากรู้;-;  (ยังคงกลัวกับการเขียนฟิคนอกกรอบตัวเองอยู่555)


    ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจทุกการสนับสนุนนะคะ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×