ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    got7 | in your heart #ปมนยอง

    ลำดับตอนที่ #1 : ข้างในใจ | ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.55K
      101
      21 ธ.ค. 59



    สิ่งที่อยู่ในใจ ถ้าไม่แสดงออก ก็คงไม่มีทางรับรู้ได้

    หรือบางที ต่อให้แสดงออกมา ก็ยังคงไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดอยู่ดี


    :


    แจบอมไม่ได้ดูหนังบ่อยนัก เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในแต่ละวันถูกแบ่งให้แค่กับการทำงานและการนอนหลับพักผ่อน และเพราะทำงานหนักอย่างเดียวโดยไม่คิดเจียดเวลาให้อย่างอื่น ความรู้สึกหลายๆ อย่างก็พาลจะด้านชาไปอย่างง่ายดาย 


    แจบอมจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เขาได้ดูหนังก็คือเมื่อสองเดือนก่อน ตอนเข้าไปหาคุณแม่ที่บ้านในตอนที่ท่านกำลังจะดูหนังกับคุณแม่บ้านในห้องรับแขก และเพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยจึงนั่งรอจนกว่าหนังจะจบ ได้อยู่ดูโดยบังเอิญตั้งแต่เริ่ม มาถึงฉากสำคัญช่วงท้ายที่เล่นเอาทั้งสองอินจัด หากแต่แจบอมกลับรู้สึกเฉยชากับการจากไปของพระเอกในเรื่องมากๆ แม้ว่าน้ำตาจะท่วมทั้งในจอและนอกจอก็ตาม


    เคยคิดว่าตัวเองคงเลยจุดที่จะมารู้สึกอะไรกับสื่อบันเทิงพวกนี้แล้ว ทว่าในตอนนี้ ภาพของตัวเอกเรื่อง Eternal sunshine of the spotless mind บนจอโทรทัศน์ตรงหน้ากำลังทำให้เขาจุกจนแทบหายใจไม่ออก


    ภาพของพระเอกที่กำลังร้องตะโกนเรียกหาคนรัก วิ่งไล่ตามความทรงจำของเขากับเธอที่กำลังจะถูกลบเลือนให้หายไปเพราะตอนแรกเขาเลือกที่จะทำมันเอง หากแต่ในตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างกำลังจะหายไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้



    เสียงดนตรีในหนังดังขึ้นเบาๆ แจบอมละสายตาออกจากจอแล้วหันมองคนข้างๆ ที่นั่งอยู่ห่างออกไปบนโซฟาตัวเดียวกัน สายตาของพัคจินยองยังคงจับจ้องอยู่กับภาพยนตร์บนหน้าจอโทรทัศน์ แจบอมมองจินยองอยู่อย่างนั้น 



    แล้วก็คิด...




    สิบเอ็ดเดือนที่แล้ว



    “คุณแจบอมลงมาไวจังคะวันนี้ ตายแล้ว อาหารเช้ายังไม่เสร็จเลย ป้ามินซออออ คุณแจบอมมาแล้วจ้าาาา”


    เสียงตะโกนดังลั่นบ้านของสาวใช้เรียกเสียงบ่นดุจากคุณป้าแม่บ้านผู้อาวุโสที่อยู่ในครัว แจบอมได้กลิ่นอาหารหอมฉุยชัดเจนยิ่งกว่าตอนเปิดประตูออกจากห้อง วันนี้เขาลงมาก่อนเวลาปกติครึ่งชั่วโมงเนื่องจากตื่นเช้า ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ในห้องก็เลยลงมาเร็วทั้งที่รู้ว่าจะต้องรออาหารอยู่ดี

    มือหนาพับแขนเสื้อเชิ้ตที่ยาวชิดข้อมือขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มมองโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่าทุกที่นั่ง ก่อนที่สาวใช้จะออกมาเสิร์ฟน้ำเปล่่าให้ พร้อมวางแผ่นรองจานและจัดช้อนกับตะเกียบสำหรับสองที่ แจบอมเห็นแล้วนึกแปลกใจ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร พลันสายตาที่เผลอชะเง้อมองหาใครบางคนก็ไปเตะตาซองมีเข้าเสียก่อน


    “คุณจินยองอยู่ข้างนอกน่ะค่ะ กำลังไปเอาหนังสือพิมพ์ เอ้ย ไม่ใช่..หนังสือพิมพ์กำลังจะมาค่ะ คุณแจบอมนั่งรอได้เลย”


    ซองมีพูดจบก็เผ่นเข้าครัวทันควัน




    แจบอมยังไม่ทันได้ท้วงถามว่า ทำไมถึงจัดช้อนกับตะเกียบถึงสองชุด คนตอบก็ไม่อยู่เสียแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีเหมือนกันเพราะอันที่จริง คำถามนั้นมาจากความคิดในส่วนที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองเท่าไหร่ พอมาทบทวนดูอีกทีตอนนี้แจบอมก็ไม่คิดอยากจะถามแล้ว แม้จะยังนึกสงสัยอยู่ก็ตาม


    ว่าแล้วก็ออกไปตามหาหนังสือพิมพ์ที่มาส่งเป็นประจำที่หน้าบ้านทุกเช้าเสียหน่อย





    แดดอ่อนๆ กำลังส่องสว่าง ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมือนพายุฝนเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น แจบอมเดินอย่างระมัดระวังบนพื้นที่ยังเฉอะแฉะ ไม่ให้น้ำกระฉอกโดนเท้าที่มีเพียงรองเท้าแตะรองรับ รถคันสีดำของเขาจอดอยู่หน้าบ้านและกำลังได้รับการชำระล้างโดยเจียเอ่อร์ หลานของคนงานเก่าแก่จากบ้านใหญ่ผู้อาสามาช่วยดูแลบ้านส่วนตัวของเขาที่นี่


    “หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จก็ได้”


    “เอ่อ...เป็นสักสี่โมงเย็นได้ไหมครับ ช่วงสายๆถึงบ่ายนี้ผมต้องเข้าไปช่วยลุงซองจินทำสวนที่บ้านใหญ่”


    แต่ดูเหมือนว่าเสียงจากบทสนทนาจากคนที่ยืนอยู่อีกฟากของรถจะดังกว่าเสียงน้ำจากสายยางอีก


    “อ๋อ โอเค แต่จริงๆ แล้วจะให้เรานั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้นะ ไม่อยากรบกวน”


    “โอย ได้ยังไงครับ คุณจินยองจะแบกของเอง...อ้าว! คุณแจบอม อรุณสวัสดิ์ครับ” บทสนทนาที่ทำให้แจบอมขมวดคิ้วหยุดกลางคันเมื่อเจียเอ่อร์หันมาก้มศีรษะทักทายเขาอย่างสดใสเช่นทุกวัน ในขณะที่อีกคนเพียงแค่ก้มศีรษะให้เงียบๆ ไม่พูดจา


    แล้วหลังจากนั้นก็มีเพียงเสียงน้ำจากสายยาง ก่อนที่เจียเอ่อร์จะย่อตัวลงไปนั่งยองๆ แล้วก้มหน้าก้มตาขัดแม็กซ์ต่ออย่างจริงจัง 


    ปล่อยสามีภรรยาพูดคุยกันอย่างส่วนตัวจะดีกว่า คนงานไม่เกี่ยว




    แจบอมอ่านสายตาของคนที่ยืนมองหน้าเขาอยู่ได้ว่า ‘มีอะไรหรือเปล่าครับ?’ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม แม้รู้ดีมาตลอดสองเดือนว่าพัคจินยองเป็นคนประหยัดคำพูดแค่ไหน 


    เขายังคงยึดสีหน้าเฉยเมยไว้กับที่ เอ่ยเสียงเรียบ


    “รบกวนฝากเอาหนังสือพิมพ์เข้าไปให้ด้วย ขอบคุณครับ...”


    “…”


    “ค..คุณแจบอม! ผมขอโทษครับ!”


    การแสดงออกทางสีหน้าของอิมแจบอมเรียบนิ่งอยู่เสมอ แม้จะเป็นในเหตุการณ์นี้ที่เจียเอ่อร์เพิ่งลุกขึ้นยืนพร้อมเผลอสะบัดสายยางไปผิดทิศทาง ส่งผลให้น้ำสาดเข้าคุณแจบอมในชุดทำงานเข้าเต็มๆ เจียเอ่อร์แหกปากขอโทษเสียงดังแล้วก้มศีรษะรัวๆ ในขณะที่แจบอมที่เปียกไปแล้วครึ่งตัวยังไม่เปิดปากพูดสักแอะ ทำให้เจียเอ่อร์ยิ่งกลัวอารมณ์ขุ่นเคืองใต้สายน้ำนิ่งๆ นี่มากกว่าเดิม


    แจบอมยกมือขึ้นแล้วส่ายศีรษะให้เจียเอ่อร์น้อยๆ แทนการบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ขึ้นไปบนห้อง น่าแปลกเหลือเกินที่เขากำลังหงุดหงิดใครบางคนมากกว่าตัวต้นเหตุที่ทำให้เสื้อผ้าชุ่มโชกไปครึ่งตัว ชายหนุ่มเหวี่ยงเสื้อเชิ้ตลงตะกร้าแล้วหยิบเสื้อตัวใหม่จากในตู้มาสวมทับ 


    ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา การเห็นหน้าตาเฉยเมยของพัคจินยองทำให้เขาหงุดหงิดได้ง่ายๆ ทุกที




    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนแรกของการใช้ชีวิตร่วมกัน แจบอมกลับบ้านแค่อาทิตย์ละวันสองวัน จงใจหลีกหนีบรรยากาศที่บ้านด้วยการไปปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่ออฟฟิศ ทำงาน นอน กินอยู่ที่นั่นโดยใช้เหตุผลเรื่องงานหนักมาอ้าง เขาคิดว่ามันเสมอภาคที่ทั้งเขาและจินยองแต่งงานกันด้วยเหตุผลที่ไม่มีความรู้สึกเกี่ยวข้อง ไม่ต้องเจอหน้ากันบ่อยๆ ให้อึดอัดคงจะดีกว่า 


    พวกเขาใช้ชีวิตแบบนั้น ต่างคนต่างอยู่ จนกระทั่งเรื่องถึงหูคุณแม่เข้าในวันที่ท่านแวะไปเยี่ยมบ้านตอนเขายังอยู่ออฟฟิศ แจบอมไม่ได้คิดว่าจินยองฟ้องแม่ของเขาหรอก แต่จินยองก็คงแค่ตอบคำถามของแม่ไปตามความจริง ซึ่งเพียงแค่นั้นก็เป็นความผิดมหาศาล(ในความรู้สึกของแม่)แล้ว 


    แจบอมจึงได้กลับมาอยู่บ้านตามปกติและก็ยิ่งรู้สึกอยากกลับไปใช้ชีวิตที่ออฟฟิศเหลือเกิน


    เขารู้ว่าจินยองไม่อยากแต่งงานกับเขา เพราะเขาก็เช่นกัน แต่ในเมื่อต่างเข้าใจตรงกันว่าพันธะนี้มีเวลาจำกัด ตอนนี้ก็ช่วยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแบบปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไปไม่ได้หรืออย่างไร? อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจและบรรยากาศในบ้านบ้าง แจบอมรู้สึกมาตลอดว่าความเฉยเมยของจินยองนั้นน่าหงุดหงิดมาก อยู่บ้านเดียวกันก็เหมือนอยู่คนละโลก แทบไม่เคยร่วมมื้ออาหารด้วยกัน แล้วก็ยังไม่เห็นพบเจอการกระทำไหนที่เรียกได้ว่าดูแล งานบ้านไม่เคยแตะ ข้าว น้ำ อาหาร ไม่เคยมีสักครั้งจะเตรียมให้ งานนอกบ้านก็มีแต่เจียเอ่อร์ที่ทำ ถ้าไม่ออกไปเจอเมื่อเช้านี่คงไม่รู้เลยว่าพัคจินยองมีงานหลักคือการหยิบหนังสือพิมพ์ให้เขาเท่านั้น เหลาะแหละสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่โตจริงๆ




    แจบอมแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินลงไปชั้นล่าง สำรับอาหารเช้าตั้งครบเรียบร้อยทั้งสำหรับเขาและที่นั่งฝั่งตรงข้าม เป็นเรื่องน่าแปลกใจเพราะปกติแล้วจินยองไม่เคยร่วมมื้อเช้ากับเขา ป้ามินซอบอกว่าจินยองไม่กินข้าวเช้า จะกินอีกทีคือเที่ยงแล้วก็เย็น หรือไม่ก็มื้อบ่ายทีเดียว ต่างจากเขาที่ไม่เคยขาดสักมื้อ 


    แต่อย่างไรก็ตาม ที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังคงว่างเปล่าทั้งที่ได้เวลาแล้ว เขาเริ่มหงุดหงิดกับการล่าช้าแม้เพียงเล็กน้อย เพราะด้วยหน้าที่การงานทำให้แจบอมติดนิสัยนี้จนแก้ไม่หายจริงๆ ชายหนุ่มพอจะเห็นสีหน้ากระอักกระอวนจากป้าแม่บ้านกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ จึงไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่นั่งรอฟังคำอธิบายเท่านั้น


    “คุณจินยองเธอออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ใหม่น่ะคะคุณแจบอม พอดีว่าเมื่อครู่คุณจินยองทำหล่นพื้น เปียกน้ำไปทั้งเล่มเลย...”


    แจบอมตอบรับเบาๆ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วนั่งเงียบๆ ยังไม่แตะอาหารสักนิดทั้งที่จะถึงเวลาออกจากบ้านในอีกยี่สิบนาที


    แม้จะเป็นการร่วมโต๊ะอาหารในบ้าน แต่ในความรู้สึกของแจบอม จินยองถือเป็นคนนอก เขาจึงคิดว่ามันคงเสียมารยาทน่าดูหากจะเริ่มรับประทานก่อนแม้จะมีเวลาจำกัด อีกอย่างคือเขานึกอยากรู้เหลือเกินว่าพัคจินยองจะมีท่าทีอย่างไรหากรู้ตัวว่าทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าที่ต้องรอ ซ้ำยังเป็นความล่าช้าซึ่งเป็นความผิดของจินยองเองตั้งแต่เริ่มที่ซุ่มซ่ามทำหนังสือพิมพ์เปียก เขาจึงนั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกเกือบสิบนาที


    ประตูบ้านถูกผลักเปิดเข้ามา แจบอมจับอารมณ์ทางสีหน้าของจินยองได้เล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาเห็นเขา จินยองเงยหน้ามองนาฬิกาบนฝาผนัง แล้ววางหนังสือพิมพ์ให้ ก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยเสียงเบา


    “ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ”


    ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตัวเอง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่แจบอมกลับรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม




    ไม่พอใจซ้ำสองเมื่อได้รู้เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายจำต้องรับประทานมื้อเช้า


    “เป็นอะไร?”


    “ครับ?”


    ต่างส่งเครื่องหมายคำถามให้กันผ่านสายตา ก่อนจินยองจะก้มมองแผงยาเม็ดในมือตัวเองแล้วเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ


    “เป็นหวัดครับ” คำตอบนั้นทำให้แจบอมได้รู้ว่าเขาแทบไม่ได้พูดจากับจินยองจนจับไม่ได้ว่าน้ำเสียงของจินยองในตอนนี้ฟังดูขึ้นจมูก 


    แต่ถึงจะได้คำตอบแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร และแม้ตอนนี้จะได้เวลาต้องขับรถออกไปทำงานแล้ว แต่แจบอมยังไม่ลุกออกไปไหน


    “เป็นมานานหรือยัง”


    “สองสามวันแล้วครับ”


    “แล้วเพิ่งกินยาวันนี้?” ถามด้วยความสงสัย สองสามวันก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมาร่วมมื้อเช้ากัน ก็แปลว่าไม่ได้กินยาหลังอาหารเช้าเลย


    “ผมเพิ่งได้ไปซื้อยาตอนเย็นเมื่อวาน เลยเพิ่งได้กินยาหลังอาหารเช้าวันนี้เป็นครั้งแรกครับ”


    นั่นถือเป็นประโยคยาวที่สุดที่พัคจินยองเคยพูดกับเขาเลยก็ว่าได้


    “คุณควรจะบอกให้ผมได้รู้” แจบอมว่า “ผมเป็นเจ้าของบ้าน ใครจะเป็นอะไรผมก็ควรจะรู้”


    อันที่จริงแจบอมไม่ได้นึกจริงจังอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เขาอยากรู้ว่าคนนิ่งๆ แบบจินยองจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไรบ้าง เขาชอบสังเกตคนอื่นแบบนี้อยู่แล้ว และเพราะหลังจากนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะได้มานั่งคุยกันตอนไหนอีกด้วย


    แล้วจินยองก็ยังเป็นจินยองที่ทำให้เขาหงุดหงิดได้อย่างง่ายดาย


    “คือผมก็ออกไปซื้อยาเองเป็นน่ะครับ ดูแลตัวเองได้ แค่เป็นหวัดธรรมดาไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นนะครับ” จินยองชักสีหน้าให้ได้เห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะเก็บจานตัวเองแล้วลุกเดินกลับเข้าครัวหลังบ้าน




    เสียงปิดประตูดังลั่นบ้านทำเอาทั้งป้าแม่บ้านและสาวใช้เงียบสนิท ไม่ต่างอะไรกับเจียเอ่อร์ซึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน แถมยังได้ฟังเสียงประตูรถกระแทกปิดซึ่งแรงไม่แพ้กัน ก่อนจะยืนมองรถคันสีดำวิ่งฉิวออกไปด้วยความเร็ว




    จินยองทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย ยาลดน้ำมูกชวนให้รู้สึกง่วงซึมเกินกว่าจะลุกไปช่วยสาวใช้พับเสื้อผ้าของคุณแจบอมอย่างที่ทำเป็นประจำได้ นอกเหนือจากนั้นคือจินยองนึกหงุดหงิดตัวเจ้าของเสื้อผ้าเกินกว่าจะต้องทนไปนั่งอยู่กับมัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็เฉยๆ กับแจบอมมาตลอด ต่างคนต่างอยู่กันโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยมาได้เป็นเดือนๆ


    แต่พอได้เปิดปากพูดกันเท่านั้นแหล่ะ ทั้งสีหน้า ถ้อยคำ และน้ำเสียงห้วนๆพวกนั้น ทำให้บรรยากาศในแต่ละวันเสียหมดจริงๆ 


    แล้วเมื่อครู่นี้ อันที่จริงจินยองก็ไม่ได้คิดอยากจะเสียมารยาทเลย แต่เขาก็อารมณ์เสียจริงๆ คือ...การอ้างสิทธิ์ว่า ผม-เป็น-เจ้าของ-บ้าน-ผม-ต้อง-รู้-ทุกอย่าง นี่มันก็น่าหงุดหงิดมากพอแล้วนะ ยังจะมาใช้น้ำเสียงแบบนั้นอีก แล้วคือยังไง จินยองทำอะไรก็ควรจะบอกให้รู้? ใครจะเป็นอะไรก็ควรจะบอกให้รู้? อะไรของเขากัน มาพูดเหมือนกับจินยองผิดที่ไม่บอก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เคยเห็นสนใจอะไร บ้านก็แทบไม่อยู่ด้วยซ้ำ คุยกับจินยองหรือก็ไม่ แล้วอยู่ๆ จะให้จินยองเดินไปหาแล้วบอกว่า ‘คุณแจบอมครับ ผมป่วยเป็นไข้หวัดครับ’ แบบนี้หรือ? บ้าหรือเปล่า?


    จินยองไม่ปฏิเสธเลยว่าตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา การได้มาใช้ชีวิตอยู่บ้านนี้โดยไม่ต้องโดน คังยองฮยอนกับคังยองจู สองพี่น้องที่บ้านตระกูลคังนั่นคอยรังควานทำให้สบายใจขึ้นเยอะ ทั้งป้ามินซอ สาวใช้ซองมี และเจียเอ่อร์ รวมถึงทางบ้านใหญ่ก็ดีกับเขามาก และจินยองจะยินดีมากๆ เลยถ้าหากคุณเจ้าของบ้านหลังนี้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ออฟฟิศเช่นเดิม ไม่ต้องมาอยู่กวนอารมณ์กัน แล้วก็รีบทำงานใช้หนี้ของบริษัทพ่อตัวเองให้หมด

    ‘การแต่งงานจะทำให้เรื่องการแบ่งทรัพย์สินง่ายขึ้นและฝ่ายนั้นก็จะตุกติกไม่ได้ รวมถึงจะช่วยสนับสนุนเงินทุนกับความน่าเชื่อถือให้เขาหาคู่ค้ามาลงทุนเพิ่มได้มากขึ้น แล้วอีกอย่าง...ถ้าไม่ใช่จินยอง พ่อก็ไม่คิดว่าจะมีใครอีกแล้ว ทั้งยองฮยอนกับยองจู...ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าสองคนนั้นไม่มีทางยอม และถ้าเป็นอิมแจบอมแล้ว พ่อทั้งไว้ใจและเชื่อมือเขามากกว่าอิมซงวอนเป็นไหนๆ ไม่ถึงหนึ่งปีพ่อเชื่อว่าเขาจะทำได้’


    จินยองจะได้ไม่ต้องเป็นเครื่องมือทางธุรกิจให้ใครต่อไป จะได้เป็นอิสระเสียที


    ‘แต่ตอนนี้...จินยองต้องช่วยพ่อกับแม่หน่อยนะลูก’


    และจินยองจะได้รู้สึกว่าตัวเองได้ตอบแทนบุญคุณของคังมินซอกกับพัคโบยอง พ่อแม่บุญธรรมของเขาได้บ้างหลังจากตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา



    /////////



    “คุณแจบอมครับ”


    หลังจากหนึ่งสัปดาห์ของการร่วมมื้อเช้ากันโดยไม่พูดคุยกันสักคำผ่านไป จินยองเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนที่ได้ยิน และถ้าเจียเอ่อร์ไม่ได้ยืนล้างรถอยู่หน้าบ้าน ก็คงจะมายืนตาเหลือกอยู่ข้างๆ ป้ามินซอกับซองมีไปด้วย


    แจบอมเลิกคิ้ว “ครับ?”


    “วันนี้ผมขออนุญาตออกไปข้างนอกนะครับ” อารมณ์ทางบวกที่เพิ่งเกิดขึ้นจากการที่จินยองเริ่มต้นบทสนทนาหักเหไปทางตรงข้ามฉับพลัน แจบอมเกือบจะหลุดถามต่อแล้วว่าจินยองจะไปไหน แต่ก็ยั้งปากไว้ทัน โชคดีที่จินยองขยายความต่อให้ด้วยพอดี “เพื่อนผมจากออสเตรเลียแวะมาเที่ยวที่โซล ผมอยากออกไปเจอพวกเขา”


    แจบอมเคยได้ยินแม่เล่าเรื่องของจินยองให้ฟัง ว่าจินยองไปเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียกับคุณป้าตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดก็อยู่กับคุณป้าที่จินเฮ เพิ่งจะมีโอกาสได้กลับมาอยู่โซลก่อนแต่งงานกับเขาได้เพียงสองปี แจบอมจึงรู้ที่ไปที่มาของ ‘เพื่อนจินยองจากออสเตรเลีย’ ได้โดยไม่ต้องเอ่ยถามให้มากความ


    ทว่าก็ไม่ได้ตัดบทตอบรับไปโดยง่าย


    “แล้วจะกลับกี่โมง”


    “คงดึกๆ น่ะครับ แต่ไม่น่าจะเกินเที่ยงค..”


    “หกโมงเย็น” เสียงทุ้มเอ่ยขัด “เย็นนี้คุณแม่เรียกให้ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านใหญ่”


    จินยองเงียบไป แววตาที่เพิ่งเป็นประกายเล็กน้อยให้เห็นครั้งแรกแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยดังเดิม แจบอมนึกสนุกไปกับการแปรเปลี่ยนทางอารมณ์ของจินยองที่แม้จะแสดงออกมาเพียงน้อยนิด แต่ในตอนนี้ก็ดูมีขึ้นมีลงมากกว่าแต่ก่อนพอสมควร


    เขาไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อเพื่อรอเวลาไปขึ้นรถ และรอดูท่าทีว่าลูกคุณหนูตระกูลใหญ่ตรงหน้าจะแสดงอาการดื้อดึงหรือไม่


    ทว่า


    “ได้ครับ”


    พัคจินยองเชื่อฟังกว่าที่คิดแฮะ



    :



    “อ้าว แม่ครับ จะไปไหนไม่บอกกันเลยนะ”


    (แม่เห็นลูกยุ่งๆ อยู่นี่ แล้วนี่ก็แค่ปูซานเอง ไม่ได้ไปต่างประเทศเสียหน่อย มานอนคืนเดียวเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว) เสียงลมทะเลดังกระทบผ่านสายโทรศัพท์ยืนยันสถานที่ของปลายสายว่าจริงตามที่บอกไว้ (เรานี่ก็มาแปลก จู่ๆจะมานัดกินข้าวกะทันหัน ว่างงานแล้วหรือยังไง?)


    แจบอมถอดแว่นสายตาที่ใช้สวมขณะอ่านเอกสารออกก่อนจะนวดสันจมูกเบาๆ ด้วยข้อนิ้ว “พอดีว่าคืนนี้ไม่มีประชุมน่ะครับ แล้ว..เราก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกันตั้งนาน ผมคิดถึงแม่อ่ะ”


    (ดูพูดเข้า อยู่ออฟฟิศไม่ใช่หรือไงตอนนี้ ทำตัวงอแงเป็นเด็กไปได้)


    แจบอมอมยิ้มออกมาแล้วพูดหยอกล้อแม่ต่อ ได้แต่คิดว่าถ้าอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้คงเข้าไปแกล้งกอดแกล้งหอมแก้มแม่แล้ว เขาคุยกับแม่ไปยิ้มไป ก่อนจะกลับมาหน้าตึงเมื่อวางสายไปสักพัก เครียดทั้งกับเอกสารการประชุมและเรื่องนัดมั่วซั่วที่ตัวเองเพิ่งกุขึ้นเมื่อเช้า


    ‘แล้วจะกลับกี่โมง’


    ‘คงดึกๆ น่ะครับ แต่ไม่น่าจะเกินเที่ยงค..’


    ‘หกโมงเย็น’ 

    ‘เย็นนี้คุณแม่เรียกให้ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านใหญ่’


    จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย?



    :



    “แล้วคุณแม่ล่ะครับ?”


    “ท่านไปปูซานกะทันหันน่ะ” เอาสิวันนี้ บาปกรรมหนาจริงๆ 


    อิมแจบอมพูดโกหกเป็นรอบที่สามแล้ว 


    และเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกสนุกไปกับการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของพัคจินยองที่แสดงออกมาอีกครั้งผ่านแววตา หรือจะหงุดหงิดที่อารมณ์ของจินยองที่ว่านั่น มันคือความไม่พอใจต่อเขา


    “งั้นผมขอออกไปหาเพื่อนต่อได้ไหม”


    ก่อนประโยคถัดมาจะทำให้แจบอมแน่ชัดในความรู้สึกตัวเอง–เขาหงุดหงิด


    “อันที่จริงตอนแรกก็จะนัดกันไปดื่มอยู่แล้วน่ะครับ คืนนี้” จินยองอธิบายต่อเสียงเรียบ “แต่ไม่ดึกมาก กลับไม่เกินเที่ยงคืน”


    “หายป่วยแล้วหรือยังไง?”


    จินยองพยักหน้า


    แจบอมนิ่งไปสักพัก เขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใช้ถ้อยคำประชดประชันต่ออีก“ถ้าอยากเจอกันมากขนาดนั้นทำไมพรุ่งนี้ไม่ชวนมาที่บ้านเลยล่ะ” 


    ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ แต่ความนิ่งเฉยของจินยองมักจะทำให้เขารู้สึกท้าทาย อยากตีรวนอย่างไรก็ได้ให้อีกฝ่ายแสดงออกมากกว่าที่เป็นอยู่


    “ได้หรือครับ?”


    ถึงแม้แทบทุกครั้งที่ผ่านมา รวมถึงครั้งนี้ จะกลายเป็นเขาเองที่ขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิมก็ตาม


    แล้วแจบอมก็ทำได้แค่ตอบรับว่า “อื้ม” ก่อนจะลุกออกจากโซฟา เดินผ่านคนที่ยืนอยู่ขึ้นชั้นบนไปทันที



    /////////



    เช้าวันถัดมาเป็นวันเสาร์ แจบอมตื่นพร้อมอาการปวดศีรษะสืบเนื่องจากอาการนอนไม่หลับเมื่อคืน และตื่นสายเกือบสิบเอ็ดโมงผิดจากเวลาเจ็ดโมงเช้าในวันปกติ เขาโทรศัพท์ลงไปชั้นล่าง ขอยกมื้อเช้ารวมเที่ยงอย่างจริงจังไว้ก่อน แล้ววานให้คุณป้าช่วยหาขนมปังมาให้กินรองท้องแทน พร้อมยาแก้ปวดสักเม็ดและจะขอนอนต่ออีกสักพัก


    ทว่าพอได้ความจากปลายสายว่า (ได้ค่ะ คุณแจบอม อ้อ! เพื่อนคุณจินยองเพิ่งมาถึง ถ้าจะลงมาก็อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนนะคะ) แจบอมก็เปลี่ยนใจว่าจะรับประทานอาหารที่ชั้นล่างดังเดิม และรีบลุกขึ้นไปจัดการตัวเองทันที





    เสียงพูดคุยเบาๆ เคล้าไปกับเสียงหัวเราะที่ไม่ใช่ของคุณป้า ซองมี หรือเจียเอ่อร์เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่ในบ้านหลังนี้ หากแต่แจบอมกำลังรู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะลืมอาการปวดศีรษะ เขาหยุดยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย ชะโงกหน้ามองผ่านไปยังชุดโซฟาในห้องรับแขก


    ยิ่งเห็นรอยยิ้มของจินยอง เขาก็ยิ่งอารมณ์เสีย


    พัคจินยองกำลังยิ้มขณะพูดคุยกับเพื่อนชายที่ห้องรับแขกกลางบ้านอย่างสนิทสนม เจ้าบ้านเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงจินยองชัดขึ้น เห็นรอยยิ้มของจินยองชัดขึ้น แต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกไป ยืนอยู่เฉยๆจนจินยองหันมาเห็นเอง 


    แล้วรอยยิ้มนั่นก็เลือนหายไป


    “คุณแจบอมครับ นี่เพื่อนสมัยเรียนผม เจฮยอง” ทั้งคู่ลุกขึ้นพร้อมกัน ก่อนจินยองจะหันไปทางชายหนุ่มตัวสูงชะลูด เจ้าของเรือนผมสีสว่าง “เจ นี่คุณแจบอม”


    เจฮยองก้มศีรษะทักทายแจบอม แนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม


    “สวัสดีครับ เจฮยองครับ”


    “สวัสดีครับ อิมแจบอมครับ” แจบอมรู้สึกผิดคาดไปหน่อยเพราะตอนแรกไม่ได้คิดว่าเพื่อนจินยองจะเป็นคนเอเชียหรือคนเกาหลี แต่ก็ไม่ได้พูดถามอะไรไปมากกว่าตอบรับสั้นๆพร้อมรอยยิ้มมารยาท ที่เป็นเพียงแค่มุมปากสองข้างยกขึ้นนิดหน่อย แววตาเรียบเฉย “ตามสบายเลยนะ” เขาปิดท้าย ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะกินข้าวเพื่อรับประทานมื้อเช้าควบเที่ยงที่คุณป้าเพิ่งอุ่นเตรียมไว้ให้



    :




    บ่ายคล้อยพระอาทิตย์ใกล้ตกดินในอีกไม่กี่ชั่วโมง เจียเอ่อร์ยืนล้างคราบดินจากการจัดสวนอยู่หน้าบ้านพลางฮัมเพลงไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ วันนี้เขาไม่มีคุณจินยองมาช่วยเป็นลูกมือเหมือนปกติเนื่องจากว่ามีเพื่อนมาเยี่ยม แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย ยังไงวันนี้เจียเอ่อร์ก็มีเวลาว่างทำเองได้เหลือเฟือเพราะไม่ได้ถูกลุงซองจินเรียกตัวไปช่วยงานที่บ้านใหญ่


    สายยางที่ถูกติดปลายด้วยหัวแบบฝักบัวเพื่อให้กระแสน้ำกระจายตัวได้ดี ถูกเหวี่ยงสะบัดจากพื้นขึ้นไปตามแนวพุ่มไม้สูงตามทำนองเพลงที่อยู่ในใจ ก่อนที่เจียเอ่อร์จะตกใจจนแทบทำสายยางร่วง เมื่อเห็นอิมแจบอมในชุดอยู่บ้านที่เปียกชุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่เขาเพิ่งให้อาหารไปเต็มรัก


    “ผมขอโทษครับคุณแจบอม!” ละล่ำละลักเสียงดังแล้วก็วิ่งไปปิดฝักบัวขณะผู้เป็นนายยืนส่ายศีรษะไปมา เจียเอ่อร์วิ่งกลับมาเห็นสภาพอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกผิดแม้ว่านี่จะไม่ใช่ความผิดของเขาโดยตรง ก็คนมันไม่เห็นนี่หน่า คุณแจบอมนะคุณแจบอมออกมายืนไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย 


    “ผมขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ” แต่ถึงจะคิดไปอย่างนั้น เจียเอ่อร์ก็ยังขอโทษไม่ขาดปากด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ อยู่ดี “เปียกหมดแล้ว คุณแจบอมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมครับ”


    “ช่างมัน” เปียกนิดเดียวเดี๋ยวก็แห้ง ลมพัดแรงขนาดนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เขาไม่อยากจะเดินเข้าบ้านเท่าไหร่นัก เห็นหน้าใครบางคนแล้วอารมณ์เสีย 


    อารมณ์เสียมาตั้งแต่เมื่อสามชั่วโมงที่แล้วด้วย




    :




    หลังจากกินข้าวมื้อเช้าควบเที่ยงเสร็จ แจบอมยังไม่ทันคิดว่าจะทำอะไรต่อ จินยองก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับคำถามที่ทำให้เขาคิ้วกระตุก


    ‘ผมขออนุญาตทำอาหารนะครับ คือ...วันนี้เจฮยองจะมาสอนทำอาหารอยู่แล้ว เขาซื้อของมาแล้วด้วย ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกก่อน...’


    ทว่าก็ทำได้เพียงตอบรับไปสั้นๆ


    ‘อื้ม’


    ‘ขอบคุณครับ’



    แล้วหลังจากนั้น ทั้งป้ามินซอและซองมีก็ร่วมแปรพักตร์เข้าทีมเจฮยอง ติดตามการทำ ‘เครปแซลมอนครีมชีส’ กันอย่างตั้งอกตั้งใจ บรรยากาศความสนุกสนานเติมเต็มภายในห้องครัวและโต๊ะกินข้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และต่อให้แจบอมจะจงใจหนีทั้งบรรยากาศนั่นพร้อมทั้งหนีการมองเห็นรอยยิ้มของพัคจินยองเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องอารมณ์ไม่ดีด้วยการหลบมานั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขก เขาก็ยังได้ยินเสียงจากอีกสี่ชีวิตใต้ชายคาได้ชัดอยู่ดี


    นี่เขาเป็นเจ้าของบ้านนะ ทำไมต้องมารู้สึกเหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของตัวเองด้วย


    แต่ครั้นจะให้กลับขึ้นไปทำงานในห้องด้านบนหรือหนีไปอยู่ที่บ้านใหญ่ชั่วคราว นั่นก็จะยิ่งเป็นการทำให้ความสำคัญของตัวเองลดลงต่ำไปอีกขุม เพราะขนาดมานั่งหัวโด่ให้ทุกคนเห็นอยู่ไม่ห่างยังไม่ได้รับความสนใจสักนิด จะยอมรับก็ได้ว่าเป็นนิสัยเสียที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แจบอมเคยชินกับการเป็นจุดรวมความสนใจเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเติบโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม เป็นลูกชายคนเดียว มีทั้งแม่บ้าน คนงาน คอยรับใช้อยู่ไม่ขาด สมัยเรียนก็มีเพื่อนห้อมล้อมตลอด ทำงานอยู่ออฟฟิศก็มีเลขานุการดูแลเป็นอย่างดี และอันที่จริง ป้ามินซอก็ไม่เคยเมินเฉยเขาแบบนี้ด้วย พูดได้เลยว่าตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา คนคนเดียวที่กล้าทำเหมือนเขาเป็นอากาศก็คือเจ้าของฐานะภรรยาในนามซึ่งกำลังสนุกสนานไปกับการได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทสมัยเรียนตอนนี้นี่แหล่ะ


    เจียเอ่อร์เห็นเจ้านายยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำหน้าตาอย่างกับโกรธเคืองพลันก็นึกใจหายว่าอาจจะเป็นเพราะตัวเอง จึงไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดถามอะไรทั้งนั้น คนงานหนุ่มตัดสินใจเดินกลับไปเปิดสายยางเพื่อรดน้ำต้นไม้ต่อ ขณะที่ผู้เป็นนายก็เดินวนไปวนมาอยู่บริเวณนี้ ไม่กลับเข้าบ้านเสียที


    ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งแจบอมและเจียเอ่อร์หันไปมองตามเสียงประตูบ้านที่ถูกผลักเปิด พร้อมกับพัคจินยองเดินออกมา ในมือมีกล่องทัพเพอร์แวร์บรรจุอาหารสองกล่องใหญ่ ตรงเข้ามายังเขาทั้งคู่


    เจียเอ่อร์ขอวางพันวอน คุณจินยองกำลังจะเดินมาคุยกับเขาและนั่นจะทำให้คุณแจบอมอารมณ์ไม่ดีกว่าเดิม


    “เจียเอ่อร์ เจฮยองมาสอนทำอาหารพอดีแล้วมันมีเยอะมากๆเลย เจียเอ่อร์เอากลับไปแบ่งลุงซองจินกับคนงานที่บ้านใหญ่นะ"


    ปิ๊งป่อง


    “ขอบคุณมากๆเลยครับคุณจินยอง ฝากขอบคุณคุณเจฮยองด้วยนะครับ” เจียเอ่อร์โค้งให้พร้อมยิ้มตอบรอยยิ้มบางๆที่จินยองส่งมาให้ วิ่งไปปิดสายยางอีกรอบเพื่อจะกลับมารับของจากมือจินยอง


    “คุณแจบอมเข้าไปทานในบ้านได้นะครับ ผมทำเผื่อคุณท่านที่บ้านใหญ่ไว้ด้วย”


    “อืม"


    พลันคนงานหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเดินกลับมาเจอบทสนทนาสั้นๆภายใต้บรรยากาศอึมครึมแปลกๆของอีกสองคนพอดี และเมื่อแจบอมตอบรับแล้ว จินยองก็หันกลับมาทางเขาเหมือนเดิม 


    ส่งของให้ ส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป


    “อารมณ์ดีเหลือเกินนะวันนี้” ไม่สิ้นเสียงปิดประตู ถ้อยคำค่อนแขวะก็หลุดปากออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ สื่อไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ฟังแล้ว


    ...คือ...เจียเอ่อร์ไม่ได้อยากจะเถียงนะ แต่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่จะให้คุณแจบอมมองคุณจินยองผิดๆ คนงานหนุ่มเสมองไปทางอื่น พลางพึมพำเสียงเบา


    “ปกติคุณจินยองก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนะครับ”


    “?”


    “ก็...คุณจินยองไม่ได้เห็นจะดูอารมณ์ดีกว่าปกติตรงไหนเลยนะครับ” เจียเอ่อร์ว่าไปตามจริง ปกติแล้วคุณจินยองที่เจียเอ่อร์เจอทุกวันก็เป็นแบบนี้ ถึงจะไม่ได้พูดเก่ง ดูนิ่งๆ ทว่าอีกฝ่ายก็อารมณ์ดีอยู่ตลอด 


    เจียเอ่อร์ได้ใช้เวลากับจินยองค่อนข้างบ่อย เพราะจินยองชอบออกมาช่วยเขาดูแลสวน มาดูอย่างสนอกสนใจถึงจะทำอะไรไม่เป็นก็อยากช่วย อยากให้เขาสอน นอกเหนือจากนั้นก็จะมีบางครั้งที่ได้ออกไปช่วยจินยองจ่ายตลาดด้วย คุณจินยองก็เหมือนกับที่เป็นเมื่อกี้นี่เลย วันนี้คุณจินยองไม่ได้ดูผิดไปจากปกติสักนิด 


    คนที่ผิดปกติคือคุณแจบอมต่างหากที่พูดจาแปลกๆแถมยังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่แบบนี้


    “ไม่เห็นหรือไงว่าเขายิ้ม”


    “แล้วปกติคุณจินยองเขาไม่ยิ้มหรือครับ?”


    “เจียเอ่อร์ นายกำลังกวนประสาทฉันหรือเปล่า?”


    “ป..เปล่านะครับ!” อย่าทำเสียงดุแบบนั้นด้วยครับ อย่าหักเงินเดือนผมด้วย “ผมเปล่านะครับ ผมก็แค่ถาม สงสัยน่ะครับว่ามันแปลกตรงไหน”


    “…”


    แจบอมไม่เข้าใจเลยว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เขาเป็นอะไรกัน ทำไมถึงมีเรื่องมากมายมากระตุ้นต่อมโมโหให้ทำงานบ่อยได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ไม่อยากจะพูดคุยกับเจ้าเจียเอ่อร์ต่อไปให้ต้องเผลอเปิดประเด็นอะไรมาเข้าตัวแบบนี้อีก 


    “คุณแจบอมคะ มาทานเครปกันค่ะ อร่อยมากเลยนะคะ” 


    ทันทีที่ก้าวเข้าบ้าน เสียงเรียกจากผู้อาวุโสที่แจบอมเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งทำให้ไม่อาจเสียมารยาทเพิกเฉยไปได้ เขาเปลี่ยนทิศทางจากบันไดไปเป็นโต๊ะกินข้าว ป้ามินซอกับซองมีกำลังช่วยจัดเรียงอาหารหน้าตาเหมือนเครปเค้กชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำหลายๆ ชิ้นซึ่งเจฮยองกำลังหั่นอยู่ใส่จานใบใหญ่


    “จินยองอยากลองหั่นไหม” เจฮยองถามพลางบุ้ยหน้าไปยังเครปชิ้นกลมในจานใหญ่ที่เหลืออยู่อีกชิ้น หน้าตาเหมือนเครปเค้กแต่ว่ามีความหนาน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ภายในบรรจุไส้ครีมชีสแบบเค็มและแซลมอนรมควันวางซ้อนกันหลายชั้น


    จินยองลังเล “เรากลัวทำเละอ่ะ”


    “ฮ่าๆๆ ถ้าเละไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากินให้” เจฮยองยิ้มตาหยี “ถึงจะเละยังไงก็อร่อยอยู่ละ” 


    “หลงตัวเองจริงๆ”


    “แต่คุณเจฮยองทำอร่อยจริงๆนะคะ เนอะป้าเนอะ” ซองมีหันไปพยักเพยิดกับป้ามินซอ ซึ่งทางผู้อาวุโสก็ตอบรับเช่นเดียวกัน เจฮยองเห็นดังนั้นก็ยิ้มร่า ยักคิ้วกวนจินยองสองทีก่อนจะหันไปทางป้ามินซอกับซองมี ชวนยกมือขึ้นแปะไฮไฟว์ซึ่งทั้งสองคนพอเห็นเจฮยองยื่นฝ่ามือไปให้ก็ยืนงงหน้าเหวอ เจฮยองกับจินยองหันมองหน้ากันแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจินยองจะยกมือขึ้นมาไฮไฟว์กับเจฮยองให้ดูเป็นตัวอย่าง ทั้งสองจึงทำตามได้


    แล้วแจบอมที่ยืนเป็นอากาศอยู่สักพักจึงค่อยได้รับความสนใจ


    “คุณแจบอม ชิมได้เลยครับ” เจฮยองหยิบจานที่หั่นเรียบร้อยแล้วมาส่งให้พร้อมกับส้อมคันเล็ก “ไม่แน่ใจว่าจะถูกปากไหม แต่รับรองว่าอร่อยกว่าฝีมือจินยองแน่นอน”


    “เจฮยองอ่า”


    หลังจากแต่งงานมาได้สองเดือน ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับภรรยาในนามข้อแรกที่แจบอมได้รู้คือจินยองทำอาหารไม่ได้เรื่อง


    แจบอมส่งอาหารเข้าปาก ปลายลิ้นลิ้มรสเนื้อเครปนุ่มที่หนาและจืดกว่าแบบหวาน ซึ่งเข้ากับครีมชีสหอมมันกับความเค็มของสโมคแซลมอนได้อย่างกลมกล่อม แจบอมได้กลิ่นเครื่องเทศอย่างพริกไทยดำ โรสแมรี และเมล็ดเคเปอร์ที่ผสานอยู่ในเนื้อครีมชีสเป็นตัวช่วยชูโรง พอจะบอกได้ว่าฝีมือของเจฮยองไม่ธรรมดาเลย


    “อร่อยดีครับ” แจบอมตอบไปตามจริงหลังจากชิมไปแล้วหนึ่งคำเต็ม ถึงจะอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่เท่าไหร่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตัวเสียมารยาทกับแขก และอีกอย่างคือเขาไม่ได้ไม่พอใจอะไรเจฮยองเท่าไหร่นักอยู่แล้ว ไม่ได้น้อยใจป้ามินซอกับซองมีที่เห่อแขกคนใหม่จนลืมเขาด้วย และเอาเข้าจริงๆ แจบอมก็ไม่ได้โมโหเจียเอ่อร์ที่เพิ่งจะถามอะไรไม่เข้าหูเมื่อสิบนาทีก่อนเช่นกัน


    “ขอบคุณครับ” เจฮยองยิ้มให้แล้วหันกลับมาคุยกับจินยองต่อ เลื่อนเขียงกับมีดให้พร้อมสานต่อบทสนทนาที่ค้างอยู่เมื่อก่อนหน้า 


    ไม่รู้ทำไม แต่แจบอมรู้สึกว่าตัวต้นเหตุของทุกอารมณ์ขุ่นมัวในครั้งนี้คือพัคจินยอง–เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา



    TBC. 

    #ในใจปมนยอง


    talk.

    สวัสดีค่ะ วินนี่เอง ขอบคุณมากๆนะคะที่อ่านมาถึงตรงนี้ เรามีบางอย่างอยากจะบอกเกี่ยวกับฟิคเรื่องนี้นิดหน่อย อยากให้อ่านนะคะ 


    คือ เรื่องนี้ เราเขียนมาสักพักแล้วแต่ลังเลมากว่าจะลงดีไหมเพราะไม่ค่อยมั่นใจ เพราะก่อนเขียนเรื่องนี้และระหว่างที่เขียน เราตัดสินใจปล่อยวางและทิ้งอะไรหลายๆอย่างไป มันเลยไม่ใช่ฟิคที่ดีอะไรขนาดนั้นในความรู้สึกเรา มันแหวกแนวจากปกติที่เขียนบ่่อยๆด้วย เลยไม่อยากให้คาดหวังอะไรจากเรื่องนี้มากเพราะไม่อยากให้ใครผิดหวัง 


    และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขียนให้เขาแต่งงานกัน ;-; แหกกฎตัวเองมากค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เขียนอะไรแบบนี้เลย55555 คือเอาจริงๆ เรื่องนี้เป็นแค่ฟิค(น้ำเน่า)ที่ตั้งใจเล่าความรู้สึกบางอย่าง แต่ความรู้สึกนั้นจะคืออะไร เรามาค้นหาไปด้วยกันนะคะ ในระหว่างทางในอีกประมาณ 8-9 ตอนที่คุณแจบอมจะค้นเข้าไปข้างในใจของคุณภรรยา ฝากด้วยนะคะ <3


    ขอบคุณมากค่ะ

    วินนี่


                       。SYDNEY♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×