Puella Magi Madoka Magica Fanfiction " And I’m home."
เพราะพลังนี้ ทำให้ฉันต้องเสียทุกๆสิ่งไป แต่ก็ด้วยพลังนี้ อีกเหมือนกันที่ทำให้ฉันได้กลับไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง
ผู้เข้าชมรวม
1,078
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
Puella Magi Madoka Magica
Fanfiction รับวันคริสมาสต์
And.I'm home
แฟนฟิคนี้ เป็นผลงานชิ้นที่สอง สำหรับ Puella Magi Madoka Magica Fanfiction ของผมนะครับ แรงบันดาลใจหลักก็ได้มาจาก เพลง ED ปิดตอนที่ 9 ที่ชื่อเดียวกับกับเรื่องนี้นั่นเอง ซึ่งก็กว่าจะเสร็จสมบูรร์ดังที่เห็นแบบนี้ได้ ก็ต้องขอขอบคุณ ทุกท่านๆใน anipage ที่คอยให้กำลังใจอยู่เสมอๆครับ ก็ ยังไม่อยากเผลรายละเอียดมากนัก เอาเป็นว่า รอติดตามไปกันไปพร้อมๆกับดีกว่า
http://www.youtube.com/watch?v=mZ1TqKt3zN4&list=FLq6P9gILKP2kJqUMTjOPCjw&index=3&feature=plpp_video
พอดีผมลง คลิปไม่เป็น ลิงค์นี้ คือ MAD And.I'm home ที่ผมใช้เป็นธีมของเรื่องนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Puella Magi Madoka Magica
Fanfiction วันคริสมาสต์
And I’m home.
คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั้ย ว่าโลกนี้มันช่างแสนห่วยแตก และไร้ความยุติธรรมสิ้นดี เสียสละทำดีซะแทบตาย แต่สุดท้ายสิ่งได้กลับมาคือคำด่าทอ และคำสาปแช่ง แม้กระทั่งคำอธิฐานโง่ๆของฉัน ที่หวังอย่างลมๆแล้งว่ามันจะช่วยเปลี่ยนอะไรๆให้ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ลงเอยเหมือนเดิม
ด้วยพลังนี้ทำให้ฉันต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปหมดทุกอย่าง คุณแม่ของฉัน น้องสาวของฉัน พวกเขาต้องมาตายเพราะฉันเป็นต้นเหตุ พรของฉัน ความปรารถนาที่ไร้เดียงสา ที่ได้เปลี่ยนพ่อของตัวเองให้กลายเป็นฆาตกร ฆาตกรที่ต้องมามีชีวิตอย่างเดียวดาย ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับตายทั้งเป็น
ฉันไม่เหลือ “บ้าน” ที่จะให้กลับไปอีกแล้ว เวทมนต์นี้มันคงจะเป็นคำสาปของพระเจ้า สำหรับคนโชคร้ายอย่างฉันก็เป็นได้ แต่จะเชื่อมั้ยล่ะว่า ด้วยพลังนี้อีกนั่นล่ะ ที่ทำให้ฉันได้กลับไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นในคืนๆหนึ่งของฤดูหนาว ณ ย่านการค้าของคาซามิโนะนั้นเงียบสงัด ผิดจากที่เห็นตอนกลางวันอย่างลิบลับ ภาพของผู้คนพลุกพล่านในศูนย์การค้า ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัว ท้องถนนที่เสียงดังจอแจก็เหลืออยู่เพียงแค่บรรยากาศยามรัตติกาลที่ว่างเปล่า
ในท่ามกลางแสงไฟน้อยๆตามตรอกของถนน ได้สะท้อนคมหอกวาวตวัดขึ้นเฉือนเจ้าสิ่งนั้นอย่างโหดเหี้ยม ร่างสูงยาวนั้นถูกบั่นออกเป็นสองท่อนก่อนที่จะมลายหายไปกับสายลมเย็นฉ่ำ พร้อมกันนั้นเองที่ร่างของสาวน้อยเวทมนต์แปลกหน้าคนหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
ผมสีดำเข้มพลิ้วไสวไปกับสายลมอ่อนๆ กับใบหน้าที่มองลงมาจากยอดเสาไฟฟ้าด้วยความรู้สึกที่เย็นเฉียบยังกะเกร็ดหิมะ นี่มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ฉันคิดว่าเธอคนนี้ตั้งใจจะมาหาฉันเองเลยต่างหาก
หลังจากที่ผลึกสีดำทมิฬที่เรียกกันว่า ”เศษเสี้ยวของความเศร้า” ถูกฉันเก็บขึ้นมาเรียบร้อย กล่องขนมปังแท่งเคลือบรสช็อกโกแลตที่ถูกพักเก็บเอาไว้ก็ถูกยกขึ้นกระดกใส่ปาก แท่งขนมปังกรอบกรอบสองสามชิ้นเลื่อนออกมาให้เห็น ฉันคาบชิ้นหนึ่งมาไว้ที่ปาก ก่อนที่จะเริ่มคุยกับเด็กคนนั้น
“อีกสามวันนี้ จะมี มาจูว สิบหลายตัว ปรากฏขึ้นที่นิคมโรงงานเก่าข้างๆนี่ ฉันอยากจะขอความร่วมมือเธอในฐานะคนในพื้นที่ ขัดข้องมั้ย?”
ท่าทางจะมีไมตรีน้อยน่าดู
ฉันกลอกตานึกขึ้นมาในขณะที่ถูกเมินคำถามที่ถามออกไปเกือบทั้งหมด ฉันเคยรู้จักกับยัยนี่มาก่อนยังงั้นหรือ ไม่รู้ซิ แต่เท่าที่ดู ฝ่ายคงนั้นรู้จักฉันดีอยู่แน่ แล้วไหนจะเรื่อง “มาจูว” ที่ว่านั่นอีก
“ยืนยันจากอะไรล่ะนั่น”
ฉันเอ่ยถามพลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังคาข้างๆ กล่องขนมถูกยื่นออกไปแบ่งให้กิน ทางนั้นโบกมือขึ้นปฏิเสธก่อนที่จะพูดต่อว่า
“เอาเป็นว่าข้อมูลนี้เป็นความจริงล่ะกัน ฉันกับเพื่อนอีกสองคนจะมาประชุมวางแผนกันในตอนเย็นของวันนั้น ถ้าคุณตกลงก็ ขอให้ไปเจอพวกเราที่นั่น...แค่นี้ล่ะ”แล้วเธอจากไปทั้งยังงั้น
แม้จะไม่อยากร่วมมือ แต่ด้วยใจที่นึกสงสัยอยู่ตงิดๆ ประกอบกับความเบื่อหน่ายที่จะต้องใช้ชีวิตคนเดียวไปวันๆแบบนี้ ทำให้ฉันตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังนิคมแห่งนั้นในอีกสามวันต่อมา
ดั่งที่เธอบอก ว่างานนี้จะมีสาวน้อยเวทมนต์มาสมทบเพิ่มอีกสองคน ซึ่งเมื่อรวมกับฉันด้วย งานนี้ก็มีกัน 4 คน เลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่แนะนำตัวกันคร่าวๆแล้ว ก็ดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จะมาจาก มิตากิฮาระหมดเลย
หนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นคนที่ฉันรู้จักดีและเคยสนิทด้วยอยู่พอสมควร โทโมเอะ มามิ รุ่นพี่สาวผมบลอนด์ที่ดัดจนเป็นเกลียวคู่ เธอดูเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดีจากที่ไหนสักแห่ง คุณมามิ นั้นเป็นสาวน้อยเวทมนต์มาก่อนหน้าฉันอยู่พอสมควร ฉันเคยนับถือเธอเหมือนเป็นรุ่นพี่และขอคำแนะนำอะไรๆหลายอย่าง แต่ด้วยมุมมองและความคิดที่เปลี่ยนไปของฉัน ทำให้เราต้องมาแตกคอกันอย่างช่วยไม่ได้
อีกคนหนึ่งที่ตามมาด้วยเป็นรุ่นน้องของคุณมามิ หล่อนชื่อ มิกิ ซายากะ เป็นคนไว้ผมสั้น มีนิสัยร่าเริงเหมือนกับเด็กๆ ท่าทางคงจะเพิ่งทำสัญญาเป็นสาวน้อยเวทมนต์มาได้ไม่นานนัก เธอดูเหมือนจะตื่นเต้นกับงานนี้ที่สุดเมื่อเทียบกันในกลุ่ม ซายากะเข้ามาตีซี้กับฉันซะราวกับว่าฉันเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งนั่นเองก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบอารมณ์กับยัยนี่สักเท่าไร
“อย่ามาทำเป็นตีซี้...ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเธอ”
“เชอะ...ไม่น่ารักเลยแฮะ”
ส่วนคนสุดท้ายที่เป็นคนมาหาฉันเมื่อวันนั้น อาเคมิ โฮมุระ สาวน้อยเวทมนต์มาดเข้มที่มีแววตาสุดเย็นเฉียบ ที่ยอมให้ไอ้เจ้าตัวขาวขนฟู หูยาว สุดเฮงซวย “คิวเบย์” ขึ้นไปนั่งสลอนอยู่บนไหล่ตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยนี่คิดอะไรอยู่บ้างในใจ แต่จากความรู้สึกของฉันแล้ว รู้สึกว่าเธอคนนี้น่าจะผ่านอะไรๆมามากมายกว่าฉันอีกก็เป็นได้
พวกเราวางแผนรับมือพวกมันกันอย่างเรียบง่าย โดยพวกเราทั้ง 4 คนจะแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม จับคู่กันระหว่างคนที่ใช้อาวุธระยะใกล้กับคนที่ใช้อาวุธระยะไกล ซึ่งฉันได้คู่กับโฮมุระที่ใช้ธนูเป็นอาวุธ ส่วนวิธีการก็คือ ให้ทั้งสองกลุ่มจะแยกกันออกไปต้อนเจ้าพวกนั้นให้เข้ามารวมกันที่โกดังเก็บของ จากนั้นก็ให้กับดักระเบิดที่เตรียมไว้จัดการระเบิดพวกมันให้เป็นผุยผง ทั้งนี้เมื่อผ่านไปถึงเช้า ร่องรอยทั้งหมดจะดูเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุ เพราะสารติดไฟจำนวนมากที่ยังตกค้างอยู่ในโกดังนั้น จะเป็นตัวกลบเกลื่อนเรื่องให้พวกเราได้อย่างเป็นดี
“เตรียมการมาดีเลยนี่นา แบบนี้ฉันคงไม่ต้องยุ่งก็ได้มั้ง”ฉันเอ่ยถามขึ้นพลางอ้าปากงับซาลาเปาที่ซื้อติดมา เคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“เพื่อลดความเสี่ยงน่ะ ฉันไม่อยากให้มันผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย...เหมือนกับครั้งก่อนๆน่ะ”
“โฮมุระ พูดงี้หมายความว่าไง”ยัยผมสั้นนั่นโพล่งขึ้นมากลางวงทันที สงสัยท่าจะร้อนตัว
“เอาน่าๆ คุณมิกิเองก็พยายามอยู่ทุกวันๆนี่นา ถึงจะพัฒนาช้าไปนิดก็เถอะนะ”
“ขอบคุณค่ะ คุณมามิ แต่...ประโยคหลังนี่มันยังไงๆอยู่นา”
แม้จะเป็นบรรยากาศจะดูสนุกสนานดี แต่กับฉันแล้วกลับรู้สึกหมั่นไส้ยังไงขึ้นมาก็ไม่รู้ หลังจากที่ซาลาเปาที่เหลือถูกโยนเข้าปากมาในคำเดียว ฉันก็กล่าวตัดเข้าเรื่องไปต่อว่า
“เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างเถอะ แล้ว... ”เศษเสี้ยวของความเศร้า” สำหรับล้างโซลเจมล่ะ จะแบ่งกันยังไง”
“60:40 เป็นไงล่ะจ๊ะ คุณซากุระเอาไป 40 ส่วนที่เหลือพวกเราสามคนจะแบ่งกันเอง”
“เอ๋...คุณมามิ ทำไมไม่แชร์ให้มันเท่าๆกันอ่ะ”ยัยซายากะเอ่ยทัดทาน
“อย่ามาพูดเป็นเล่นน่ะ นี่มันถิ่นฉันนะ... 80:20 ไม่งั้นก็กลับไปให้หมดเลย”ฉันยื่นข้อเสนอใหม่ไปอย่างกวนโมโห ซึ่งอีกฝ่ายที่ทัดทานอยู่นั้นก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ พวกเราอุตส่า...อ๊ะ...คุณมามิ”
“นี่...คุณซากุระ ฉันพอจะเข้าใจหรอกนะ ว่าบาดแผลในอดีตที่ผ่านมาน่ะ มันเลวร้ายกับเธอมากแค่ไหน เธออาจจะยังหยุดโทษตัวเองไม่ได้ก็จริง แต่ขอร้องล่ะนะ ช่วยวางมันไว้ซักพักแล้ว มาช่วยกันให้ผ่านตรงนี้ไปได้ด้วยกันเถอะ...นะจ๊ะ”
“หึ...ทำเป็นพูดดีเหมือนเดิมเลยนะ คุณมามิ แต่ว่าแค่คำพูดเพราะๆน่ะ มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก...เงื่อนไขเดิม 80:20”ฉันยื่นคำขาด พลางฉีกยิ้มใส่
“เฮ้...ถ้าทำงั้นแล้ว เมืองของเธอจะทำยังไงเล่า เธอสู้คนเดียวเหรอ ไม่ไหวหรอกน่า แบบนั้น...” ฉันที่ได้ยินดังนั้นจึงหันไปตอบใส่ยัยหัวฟ้าอย่างกวนประสาทว่า
“สู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องสู้สิ...ใครจะไปยอมตายเพราะเมืองงี่เง่านี้กันเล่า”
“เธอนี่มัน...”
“แบ่ง 50: 50 นี่คือเงื่อนไขต่ำสุดที่เราจะยอมให้ ถ้ายังคิดจะขัดขวางกันอยู่อีกล่ะก็...”
แล้วแสงเวทมนต์สีม่วงสว่างจ้าขึ้นตรงหน้า พร้อมกับคันธนูสีดำชี้ตรงมาหาฉัน พร้อมกับคำพูดที่พูดต่อไปอย่างไม่หวั่นเกรง
“จะเจอกันซักตั้งก็ได้...”
สายตาดำสนิทคู่นั้นจ้องเขม็งตรง มันดูนิ่งเฉยและปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น ฉันมองสลับไปยังคันศรที่ชี้มาตรงหน้า นี่คงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าทางนั้นชักจะเริ่มหมดความอดทนเข้าแล้ว ขืนดื้อดึงไปคงได้ซัดกันตายก่อนที่จะได้สู้กับปีศาจแน่
“จริงจัง กันเหลือเกินนะ พวกเธอเนี่ย...”ฉันยักไหล่เอ่ยขึ้นมาอย่างยอมแพ้ ก่อนที่จะยอมพูดตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ค่ำคืนที่หนาวเหน็บแบบนี้ผ่านไปยังหน้าเบื่อ ทุกๆยังคงเป็นปกติดีจวบจนเกือบรุ่งเช้า ยัยผมดำที่จับคู่อยู่กับฉันก็ได้เห็นบางสิ่งเข้า
“มาแล้ว...”
“หืม...”
“ทางนี้นับได้ 11 คุณมิกิ ทางนั้นมากันเท่าไร”เสียงคุณมามิเอ่ยถามขึ้น
“กำลังนับอยู่ค่ะ ... 14 15 16 ... 17 นี่รวมเกือบ 30 ตัวเลยเรอะ!” เสียงของซายากะเอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจ
“เยอะกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”โฮมุระพึมพำขึ้น
“นั่นสินะครับ บางทีการที่พวกมันมารวมกันเยอะขนาดนี้ อาจจะมีสาเหตุก็ได้นะครับ”คิวเบย์กล่าวเสริม
“โอ้ย จะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะน่า รีบๆจัดการให้มันจบๆไปซะดีกว่า”
ว่าแล้วฉันก็เรียกอาวุธคู่กายออกมา หอกปลายแหลมด้ามใหญ่ถูกแกว่งไกวให้จับได้กระชับมือ ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปทำตามแผน ทุกๆอย่างเนินไปด้วยด้วยดี การโจมตีทางไกลของคนที่ฉันเพิ่งเจออย่าง โฮมุระ ก็นับได้ว่าเฉียบขาด ลูกศรทุกดอกยิงออกมาได้เข้าจังหวะแต่แม่นยำมาก ส่วนคุณมามิกับกองทัพปืนโบราณๆ เองก็ยังคงคล่องแคล่วและรุนแรงเหมือนเคย อาจจะมีแต่ยัยซายากะเท่านั้นล่ะมั้ง ที่อาจจะดูน่าเป็นห่วงไปอยู่บ้าง แต่การที่มีคนใช้ดาบอย่างเธอเข้ามาช่วยเวลาแบบนี้ มันก็เป็นกำลังได้มากกว่าเป็นภาระล่ะนะ
หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่น โกงดังหลังนั้นก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของพวกมันเหล่านั้นลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟขนาดมหึมา เสียงกรีดร้องคำรามขึ้นมาอย่างโหยหวน ร่างสีขาวสว่างเริ่มกลายเป็นเถ้าสีดำก่อนที่จะล้มทับถมกันไปทีล่ะตัวสองตัว
“จบเรื่องแล้วซินะ” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างครึ้มใจแต่ทันใดนั้นเอง ไอ้แมวหูยาวตัวขาวนั่นก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับร้องเตือนขึ้นมาอย่าตื่นตระหนกว่า
“ทุกระวัง พวกมันยังไม่ตาย”
“อะไรนะ!”
ควับ!....ตุบ!...
“อั๊ก!?....”
“ซายากะ!...”
“คุณมิกิ!?”
โดยที่พวกเราไม่ทันได้ระวัง ระยางสีดำก็ได้พรวดออกมาจากกองเพลิงนั้น อัดเข้าไปที่ซายากะจนปลิวกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ก่อนที่ก้อนสีดำนั้นจะหดเข้ามารวมกันกลายเป็นร่างที่ดูเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง ฉันเหวี่ยงคมหอกออกไปเชือดมันทิ้งอย่างไม่ลังเล ในระหว่างที่จะตัดสินใจตามคุณมามิไปดูอาการของยัยนั่น โฮมุระที่อยู่รั้งไปไปไม่ไกล ก็เอ่ยทักฉันขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน เคียวโกะ ข้างหลัง...”
ทันทีที่ฉันเหลือบหันไปมอง ก็พบว่าเถ้าสีดำของร่างพวกนั้นได้ไหลเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดมหึมาท่ามกลางซากของเปลวเพลิง และพร้อมกันนั้นเองที่ระยางสีดำนั้นก็ได้พุ่งตรงเข้ามาพวกเราทั้งสอง
ร่างเล็กสีดำนั่นพยุงตัวยืนขึ้นท่ามกลางเศษฝุ่นที่ปลิวตลบ ก่อนที่จะถูกหัวศรยิงปักลงมาที่กลางหัว ทันทีที่ร่างนั้นม่อยสลายตัวไป ฉันที่กลิ้งตัวหลบออกมาได้อย่างหวุดหวิด ก็ถูกเจ้าก้อนดำนั่นพุ่งลงมาซ้ำอีกจากทางด้านบน ปลายหอกในมือตวัดออกรับไปทันที ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นกับยัยหัวดำที่ตอนนี้กำลังสยายปีกบินสู้อยู่บนฟ้าซะแล้ว
“แล้วนี่ทำไมเธอถึวมีปีกบินได้อยู่คนเดียวล่ะยะ เนี่ย!”
“เรื่องยาวๆนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะน่า”โฮมุระตอบปัด
“ตอนนี้สนใจเรื่องศัตรูใหม่ตรงหน้าของพวกเรากันก่อนดีกว่า...”ระหว่างนั้นเองเสียงของคุณมามิก็แว่วแทรกขึ้นมา
“คุณมิกิ คุณมิกิ เป็นอะไรรึเปล่า!”
“ยังไหวค่ะ...แต่...เอ๋!!! นี่ชุดฉันมัน...”
“เฮ้ย...เกิดไรขึ้นน่ะ”ฉันถามออกไป
“ฉันใช้เวทมนต์กลับไปชุดต่อสู้ไม่ได้น่ะ แล้วโซเจมมันก็ไม่ตอบสนองความคิดฉันเลยด้วย...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย...”
“หา...นี่เธอจะบ้าเหรอ”
“น่าจะเป็นผลมาจากการโจมตีเมื่อครู่น่ะครับ น่าตกใจจริงๆ นี่มันเป็นวิวัฒนาการใหม่ของพวกมันงั้นหรือเนี่ย”
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าทึ่งเลยนะ เว้ย!”ฉันตวาดเถียงกลับไป พร้อมกับเฉือนร่างเงาอีกตัวที่พุ่งเข้ามา
“ยังไงก็ตาม หลีกเลี่ยงการถูกโจมตีตรงๆเอาไว้ก่อนดีกว่า คุณโทโมเอะคะ ขอแรงด้วยค่ะ”โฮมุระกล่าวอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะปล่อยคันศรให้ลูกธนูทั้งห้าพุ่งออกไป
“เข้าใจแล้ว คุณซากุระ ถอยออกมาพา คุณมิกิ หลบไปก่อน”
“หา...”
“เถอะน่า เร็วๆเข้าซิ...”
แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักที่โดนสั่งกันแบบนี้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ฉันเองก็เถียงไม่ออก เพราะมันเกินกำลังตัวเองไปแล้วนี่นะ ศัตรูเป็นพวกที่เสี่ยงเข้าโจมตีประชิดได้ยาก แถมเมื่อโดนมันโจมตีเข้าไปแล้วยังทำให้เสียการใช้เวทมนต์ไปอีกเสียด้วย
“จะหนีไปแบบนี้น่ะเหรอ ”
นั่นใครกันน่ะ...
“เฮ้...เมื่อกี้นี้ได้ยินรึเปล่าน่ะ”ฉันเอ่ยถามซายากะถูกพยุงอยู่ข้าง
“หือ...เปล่านี่ มีอะไรเหรอ”
ฉันตอบปัดปฏิเสธ ก่อนที่จะพยุงยัยนั่นให้เดินต่อ
“ถ้าทำแบบนี้แล้ว เดี๋ยวจะเสียใจทีหลังนะ” ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นฉันก็หันควับกลับไปยังเจ้าปีศาจตัวยักษ์นั่นทันที
ภาพของสองคนนั้นที่เริ่มโจมตีกันหนักมือขึ้นทุกขณะ ห่ากระสุนปืนไรเฟิลและม่านกลุ่มลูกศรที่ดีดออกจากคันธนูถูกประเคนยัดเข้าไปอย่างไม่มียั้ง แต่เจ้ายักษ์ดำนั่นกลับฟื้นตัวได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ งานนี้ท่าทางคงจะไม่จบง่ายๆแน่ แถมโซเจมของสองคนนั้นน่าเริ่มจะถึงขีดจำกัดแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปต้องได้หายไปซักคนหนึ่งแน่ ไม่ซิบางทีอาจจะได้ไปกันทั้งคู่เลยก็ได้
“นี่...เธอหลบอยู่ตรงนี้ก่อนได้รึเปล่า”
“อืม...ได้สิ จะไปช่วยสองคนนั่นเหรอ”
“ก็คงงั้น...แต่อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ฉันก็แค่ทำไปเพราะฉันยังไม่อยากตาย มันก็แค่นั้น...”แล้วฉันก็รีบรุดจากมาตรงนั้น
ทันทีที่ฉันเข้าเสริมกับทั้งสอง คุณมามิที่เหลียวมาเห็นฉันที่เมินคำสั่งแล้วก็กำลังดิ่งเข้ามาจากอีกทางก็เอ็ดใส่เข้ามาซะยกใหญ่
“คุณซากุระ กลับมาทำไมกันน่ะ ก็บอกแล้วไงว่า...”
“เอาไว้ดุฉันทีหลังเถอะน่า...ทั้งสองคนเหลือพลังเวทพอที่จะยิงลูกใหญ่ๆได้สักครั้งมั้ย?”
“อืม...คิดว่าได้ แต่คงไม่มีประโยชน์ ตราบใดที่คอร์มันยังอยู่ล่ะก็ มันก็ฟื้นตัวได้เรื่อยอยู่ดี”โฮมุระตอบ พร้อมสะบัดปีกบินหลบสายรยางค์ที่พุ่งเข้ามา
“ใช่จ๊ะ ถ้าไม่มีคนเปิดคอร์ให้เรายิงตรงๆล่ะก็ คงไม่ได้ผล...”
“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ”ฉันเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่จะควงอาวุธคู่ใจให้จับได้พอกระชับมือ
“เดี๋ยวซิ เธอจะเข้าไปใกล้มันได้ยังไง ก็เธอน่ะใช้...”
“มันไม่มีหนทางอื่นแล้วนี่นา ให้ฉันได้ลองดูอีกครั้งเถอะนะ รุ่นพี่...”
ความสามารถเฉพาะตัว เวทมนต์ที่เป็นไพ่ตาย และเป็นสิ่งที่สื่อถึงความทรงจำที่เจ็บปวด แม้จะไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะใช้มันได้อีกครั้งหรือเปล่า แต่ลึกๆในใจของฉันมันกำลังบอกอยู่ว่า “ฉันต้องใช้เวทมนต์นี้ให้ได้”
“พยายามเข้านะ แล้วก็ระวังตัวด้วย”
เสียงที่เรียกมาเมื่อตอนนั้นแว่วมาอวยพรให้ ไม่รู้หรอกนะว่าเธอเป็นใคร แต่ก็ขอบใจมากเลยล่ะ และก็...คอยดูฝีมือฉันให้ดีเถอะน่า!
การประสานทั้งหมดเริ่มขึ้นที่ฉันออกวิ่งดิ่งตรงเข้าไปหามัน ร่างเงาสีดำมืดที่เป็นลูกสมุนโจมตีของมัน 4-5 ตัว พุ่งตรงดิ่งลงมาหาทันที มันต้องใช้ได้อีกครั้งสิน่ะ มันต้องใช้ได้ อ๊าก...
ตึง...!
ทั้งหมดนั้นกระแทกลงมาอย่างพร้อมเพียงกัน ภาพของตัวฉันที่ควรจะอยู่ตรงนั้นได้เลือนหายออกไปกับเศษฝุ่น พร้อมกับตัวจริงของฉันที่ยังคงดิ่งตรงเข้าไปหามันตามเดิม
สำเร็จ! ฉันทำได้จริงๆด้วย แต่แค่ครั้งเดียวคงไม่ถึงตัวมันแน่ มันต้องทำให้ได้มากกว่านี้อีกซิ...
ฉันรวบรวมสมาธิขึ้นอีกครั้ง เงาดำพวกนั้นก็เริ่มหวนกลับมาซ้ำรอบที่สอง แต่ทันใดนั้นเองก็ปรากฏร่างมายาของฉันเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้ฉันทำได้ถึง 4 และก็จำนวนเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆทุกครั้งที่โดนโจมตี จนในที่สุดฉันก็บุกเข้าไปจนประชิดได้
“คุณอาเคมิ ตอนนี้ล่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของรุ่นพี่ผมเกลียวข้างหลัง แสงของธนูดอกใหญ่ก็ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่ก่อนที่อักขระเวทย์ที่เชื่อมโยงกันจนดูเหมือนกลุ่มดาวในจักรราศีจะปรากฏขึ้น พร้อมกับม่านลูกศรจำนวนมากที่โปรยปรายลงมาราวกับสายฝนที่สว่างจ้า สายฝนแห่งการทำลายล้าง
รยางค์แขนสีดำที่ยัวะเยี้ยะ พร้อมกับบรรดาลูกสมุนของมันที่อยู่รอบๆ ถูกเป่าให้ละลายหายไปในพริบตา และในจังหวะที่ปรอยฝนนั้นหยุดลง ร่างของฉันทั้ง 12 คนที่เหลืออยู่ ก็กระโดดขึ้นไปยังข้างบนอย่างพร้อมเพรียง
“ฮ๊ากกกก ล้มดังๆให้ได้ยินหน่อยเถอะ แก!” แล้วคมหอกทั้งสิบสองด้ามก็ฟันผ่ามันลงมาพร้อมๆกัน ก่อนที่ฉันจะตะโกน
“คุณมามิ ตอนนี้ล่ะ”
“ทรีโร่...ฟีนาเร่!”
ลำปืนใหญ่ที่ตามมาได้พุ่งตรงเข้ามากลางแผลที่ฉันเปิดเอาไว้อย่างตรงเผง ผลึกสีดำที่เป็นแกนกลางของพวกมันถูกบดอันจนแตกกระจายออกไปเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับร่างที่เหลือที่ค่อยละลายหายไปจนสิ้นซาก
และนั่นก็เป็นหนแรกนับจากเรื่องราวในคราวนั้น ที่ฉันได้สู้ร่วมกับสาวน้อยเวทมนต์คนอื่นๆแบบนี้ หลังจากที่แยกกับทุกคนที่สถานีรถไฟฟ้า ฉันก็ได้แต่หวังเอาไว้ว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะใช้เวทมนต์เพื่อคนอื่นดั่งเช่นที่ทำไปในวันนี้ นั่นก็เพราะว่าฉันไม่อยากที่จะรู้สึกเจ็บปวด กับความหวังที่ย้อนกลับมาหักหลังตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว...
เกือบจะสิ้นปีแล้ว อากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาแทบจะทุกวันในช่วงนี้ ได้ฉาบทัศนียภาพของทั้งเมืองจนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ฉันก้าวเดินออกไปตามท้องถนนอย่างเชื่องช้า พร้อมกับถุงใส่ของที่หอบติดมาอยู่ในมือ
มันเป็นผ้าพันคอผืนใหม่ที่ฉันซื้อมาเพื่อให้คนๆหนึ่ง ที่ตอนนี้เขาน่าจะใกล้ที่จะได้กลับมาบ้านแล้วล่ะ กลับมายังบ้านที่เขาไม่เหลือใคร บ้านที่ต้องทนหนาวอยู่แค่เพียงตามลำพัง
ฉันเดินมาหยุดตรงหัวมุมถนน พลางชำเลืองมองออกไปยังบ้านหลังโทรมที่อยู่ตรงข้าม ภาพของชายแก่ตัวซูบผอมที่กำลังตักหิมะออกจากถนนหน้าบ้านด้วยท่าทางเจ็บออดๆแอดๆ ดวงตาหนึ่งข้างที่เสียไปด้วยบาดแผลไฟไหม้ ยังคงทิ้งรอยแผลเป็นจางๆเอาไว้ที่บนใบหน้าที่ดูใจดีของเขา
ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเองนั่นล่ะ ไม่ต้องการให้ใครมาปลอบใจอะไรทั้งนั้น...
นั่นคือคำพูดฉันตอกย้ำเอาไว้ในใจเสมอมา รอให้ท่านกลับเข้าบ้านไปก่อนดีกว่า คุณพ่อคงไม่อยากเห็นฉันที่เป็นแบบนี้แน่ๆ...แต่คิดได้ยังไม่ทันไร เสียงที่น่าโมโหเรียกทักขึ้นมาซะงั้น
“โอ๊สสส เคียวโกะ ไม่ใช่หรือนั่นน่ะ”
“ง่ะ!... ”
ฉันที่ตกใจกับเสียงทักนั้น ก็ได้ผงะหันกลับไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว เด็กสาวผมสีฟ้าในชุดเครื่องแบบโรงเรียนมัธยมต้นจากมิตากิฮาระ ก็โบกมือทักอยู่ลิบๆ ก่อนที่จะรี่เข้ามาหาอย่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย
“เข้าใจผิดอะไรรึเปล่า ฉันไม่ใช่คนชื่อนั้น แล้วก็ไม่ได้รู้จักเธอด้วย”
ฉันบอกปฏิเสธการทักทายอย่างเสียงแข็ง ก่อนที่จะรีบหันตัวกลับเดินหลบหน้าเธอออกไปอย่างรีบร้อน
อุตส่าบอกเอาไว้แล้วเชียวว่าอย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ ให้ตายซิ..ต้องมาใหม่วันหลังจนได้
แต่แล้วฉันที่ทำเป็นไม่ใส่ใจปล่อยให้คำทักทายของเธอต้องคล้อยหลังไปนั้น ก็กลับต้องมาชะงักกึกเข้า เมื่อซายากะได้เอ่ยถามมาว่า
“ทำไมไม่เอาไปให้ท่านล่ะ ผ้าพันคอผืนนั้นน่ะ”
ฉันหันควับกลับไปหาทันที
“นี่เธอ...”
“ก็ว่าอยู่แล้ว ว่ามันแปลกๆที่เห็นคนอย่างเธอน่ะ มาทำงานพิเศษ ฉันบังเอิญไปเห็นเข้าที่สถานีน่ะ...ก็เป็นเรื่องดีจะตายไปนี่นา อากาศหนาวๆแบบนี้ ได้ผ้าพันคอดีๆสักผืน คงช่วยให้คุณพ่อท่านอุ่นขึ้นเยอะเลย”
แค่พริบตาของอารมณ์โกรธที่เดือดดาลขึ้นนั้น ฉันพรวดเข้าไปกระชากคอเสื้อของยัยนั่นเข้ามา พร้อมกับพูดใส่ไปอย่างเก็บอารมณ์สุดขีด
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอรู้เรื่องของฉันมากแค่ไหน...แต่ถ้ายังขืนมาวุ่นวายกับฉันอีกล่ะก็ เราจะได้เห็นดีกันแน่”
ซายากะแกะมือของฉันออกไปโดยง่ายๆ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะมีแรงเยอะถึงขนาดนี้ เธอผลักฉันออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องถามกลับมาด้วยสายตาที่สมเพช
“คิดจะหนีอีกรึไง”
“ว่าไงนะ!”
“ฉันน่ะนะ รู้เรื่องราวมาทั้งหมด ก่อนที่จะได้มาเจอเธอเมื่อตอนนั้นแล้วล่ะ ตอนแรกๆก็รู้สึกเห็นใจ แล้วก็พยายามที่จะเข้าใจล่ะนะ ว่าทำไมเธอถึงได้ทำตัวแบบนั้น แต่พอมาเห็นเธอเป็นแบบนี้เข้า ฉันว่านะ...มันน่าสมน้ำหน้าซะมากกว่า...”
ตุบ...
หมัดตรงพุ่งออกไปก่อนหน้าอย่างไม่ต้องคิด กำปั้นของฉันที่เดือดดาลจนถึงขีดสุดได้กระแทกเข้าไปที่โหนกแก้มของเธอจนล้มกลิ้ง
“หนอย...ใครจะไปยอมให้อัดอยู่ฝ่ายเดียวเล่า”
ซายากะคำรามขึ้นพร้อมกับพุ่งตัวเข้าอัดฉันจนล้มหงายหลัง ฉันฮุกสวนเข้าไปที่ท้องอีกหนึ่งทีก่อนที่จะผลักฝ่ายนั้นที่จุกอยู่ให้หงายกลิ้งออกไปจากตัว แล้วลุกขึ้นเดินตามเข้าไปซ้ำ
“หุบปาก หุบปาก หุบปาก! คำพูดของคนอย่างเธอน่ะ มันน่าหนวกหูที่สุด!”
เสียงฝ่าเท้าที่เตะถีบลงไปด้วยความโมโห เสียงของความเจ็บปวดที่ฉันได้กระทำใส่เธอไปในตอนนั้น หารู้ไม่ว่ามันจะยังคงตรึงเป็นหนึ่งอีกตราบาปในใจของฉันเสมอมาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยอารมณ์ที่เริ่มเย็นลง ฉันหวนกลับไปมองร่างที่สะบักสะบอมนั้นด้วยความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ รอยหยดเลือดค่อยซึมลงไปบนพื้นหิมะ และของเสียงของลมหายใจที่พะงาบๆอยู่อย่างแผ่วเบานั้น ทำให้ฉันจำต้องยอมล้วงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาใส่ไว้ให้ในมือของหล่อน แล้วกล่าว
“หวังว่าคงพอใช้รักษาแผลนะ แล้วก็...อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“ขอร้องล่ะ” แล้วฉันก็เดินจากมาทั้งแบบนั้น
จวบจวนจะถึงคริสมาสต์แล้ว ตามท้องถนนเกือบทุกหนแห่งเต็มไปด้วยแสงไฟอร่าม เหล่าผู้คนมากมายที่พากันเตรียมตัวที่จะฉลองคืนวันอีฟ ต้นสนจำนวนมากถูกนำมาประดับตกแต่งกันในทุกร้านค้าและเต็มไปด้วยหลอกไฟสีสัน บวกกับของขวัญอีกมากมายที่ถูกซื้อขายกันไปเพื่อเป็นการมอบความสุขให้แก่กัน
แต่ว่าของขวัญชิ้นนี้กลับยังอยู่ได้แค่เพียงในมือของฉัน
แม้จะผ่านวันนั้นมาหลายวันแล้วแต่ฉันก็ยังไม่กล้าพอที่จะกลับเอาไปเจอท่านอีก ฉันกลัว กลัวที่จะต้องไปเจอหน้าท่านอีกครั้ง กลัวที่จะต้องเห็นท่านเป็นแบบนั้นอีก กลัวว่าจะต้องสูญเสียท่านไป...
นี่ฉันคงกำลังหนีอยู่จริงๆซินะ
ณ บ้านทั้งหลังที่ไร้ซึ่งแสงไฟ คุณพ่อคงยังไม่กลับจากพิธีที่โบสถ์ล่ะสินะ ฉันวางถุงกระดาษที่ใส่ผ้าพันคอผืนนั้นลงไว้ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ ไม่อาจมีแม้แต่คำอวยพรของตัวฉันเอง ไม่อาจมีแม้แต่ชื่อฉันที่เป็นผู้ให้ แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันหวังให้ถึงมือผู้รับ
“ขอให้มีความสุขนะคะ คุณพ่อ”
รอยย่ำเท้าที่ก้าวลงบนผืนหิมะอย่างเชื่องช้า มันกำลังก้าวเดินออกจากที่แห่งนั้นอย่างไร้จุดหมาย กลับโรงแรมเลยน่าจะดีกว่า ไม่อยากให้ใครมาเจอหน้าฉันในตอนนี้เลย แต่แล้วในตอนนั้นเองเสียงเรียกของเจ้าตัวประหลาดที่ก็แว่วขึ้นมาในหู
“เคียวโกะ มาด้วยกันหน่อย เกิดเรื่องขึ้นแล้วล่ะ คุณพ่อของเธอน่ะ...”
“ว่าไงนะ!”
ไม่รู้ทำไมพระเจ้าถึงทำแบบนี้ ชีวิตนี้จะยอมให้ฉันเห็นความสุขบ้างสักครั้งไม่ได้หรือไงกัน พรากสิ่งสำคัญของฉันไปหมด ถ้าใจคอจะกลั่นแกล้งกันแบบนี้ล่ะก็ มาลงที่ฉันคนเดียวซิ ทำไมต้องไปลงกับคนอื่นด้วย
ทำไม...
จากที่ไอ้แมวหูยาวนั่นบอก ในระหว่างทางที่คุณพ่อท่านกำลังเดินทางกลับจากโบสถ์ ท่านได้ประสบอุบัติเหตุบนทางด่วนยกระดับความเร็วสูงที่เชื่อมต่อจากที่นี่ไปมิตากิฮาระ โดยสาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นฝีมือพวก “มาจูว” พวกมันใช้การสิงตัวเข้าไปในจิตใจของคนขับรถ เพื่อบงการให้ก่ออุบัติเหตุขึ้นกับรถคันอื่นๆ แล้วก็จะได้กัดกินวิญญาณของผู้คนที่ใกล้ตายเหล่านั้นอีกที
สกปรกที่สุด...
ในระหว่างทางที่กำลังกระโดดไปตามยอดตึก ดูเหมือนว่าพวกตำรวจเองก็เริ่มจะเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน เส้นทางในหลายๆจุดถูกปิดกั้นแล้ว และเมื่อมองไกลออกไปหน่อย ก็พบแสงไซเรนของรถพยาบาลที่กำลังวิ่งฝ่าการจราจรอยู่ลิบๆ
ด้ามหอกสปริงยืดออกเป็นไม้ค้ำถ่อ ดีดตัวฉันให้ลอยขึ้นไปได้อย่างสบายๆ บนทางด่วนนั้นมีคุณมามิรออยู่ก่อนหน้าแล้ว เธอกำลังช่วยคนเจ็บออกมาจากซากรถที่ไฟกำลังลุกท่วม เสียงกรี้ดร้องและโอดโอยด้วยความเจ็บปวดนั้นดังระงมไปหมด ฉันเดินตรงเข้าไปหาเธอโดยพลัน
“คุณมามิ คุณพ่อล่ะ...”
สาวน้อยเวทมนต์ผู้เป็นรุ่นพี่ไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่หลบหน้าแล้วเบือนสายตาไปยังชายชราคนหนึ่งที่หมดสตินั่งพิงอยู่ตรงขอบทางรวมกับคนเจ็บอื่นๆ
รอยแผลเป็นสีจางที่ถูกฉาบไปด้วยสีของเลือดสดที่เริ่มจะแห้งหนืด ศีรษะแตกเป็นแผลเปิดเห็นเป็นลิ่มเลือดบนเส้นผมแซมขาว ลมหายใจท่านดูแผ่วเบา ดวงตานั้นก็ปิดสนิทไร้ซึ่งวี่แววของความหวังที่จะรอดชีวิต ฉันขบฟันขึ้นกรอด พร้อมกับหยิบโซลเจมขึ้นมาแล้วทำท่าจะก้าวเข้าไปรักษา แต่ก็ถูกคุณมามิรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ได้นะ ถ้าใช้เวทมนต์สุ่มสี่สุ่มห้า ตามใจตัวเองแบบนี้ล่ะก็ ผลด้านลบที่ตามมาอาจจะเกินรับมือได้นะ”
“แต่ว่า...”
“รถพยาบาลใกล้จะมาถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะ คุณลุงท่านต้องปลอดภัยแน่ๆจ๊ะ”
อดทนเหรอ...อดทนสินะ ที่เธอพูดยังงี้ได้น่ะเพราะที่นอนอยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่พ่อของเธอน่ะซิ!
“หนวกหูน่ะ ปล่อยฉะ...”
ในระหว่างที่เราดึงกันไปดึงกันมาอยู่นั่นเอง เสียงระเบิดก็แว่วขึ้นมาจากไกลๆ ฉันที่หันควับไปมองก็ได้เห็นจุดแสงเวทมนต์จุดเล็กๆ ของอีกสองคนที่เหลือ ที่คงจะกำลังสู้กันอยู่ห่างออกไปจนสุดสายตา
“ไอ้พวกสารเลว...เอ้ย”
ข้อมือของพี่สาวตรงหน้าที่รั้งฉันเอาไว้ถูกสะบัดจนหลุดออก แล้วฉันที่ไม่อาจจะเบาอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงได้ ก็ดิ่งออกไปอย่างดันทุรัง
“เดี๋ยวก่อน คุณซากุระ!”
ด้วยระยะทางที่ตัดข้ามตรงมายังจุดหมาย เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นฉันก็ตามมาดักหน้าพวกมันได้ทัน เสียงเครื่องยนต์ของรถทั้ง 5 คำรามกันดังกระหึ่ม พร้อมกับผู้เคราะห์อีกหลายสิบคนที่หมดสิอยู่ข้างใน ฉันตัดสินใจปักคมหอกลงกับพื้นแล้วกระโดดเข้าหาอย่าไม่รอรี ส่งผลให้ โฮมุระ หนึ่งในสาวน้อยเวทมนต์สองคนนั้นเรียกทักออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่นะ! เคียวโกะ อย่า...”
ความรู้สึกโศกเศร้าที่เข้าครอบงำ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังที่มีต่อทุกๆสิ่ง อาวุธคู่ใจถูกขว้างออกไปอย่างไม่มีลังเล มันปักลงที่กลางพื้นถนน ก่อนที่จะเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นมาพร้อมกับทางด่วนที่ถูกระเบิดจนกระจาย
2 ใน 5 ที่แล่นตรงเข้ามานั้นไม่อาจหยุดได้ทัน มันพุ่งทะยานตกลงไปโหม่งพื้นข้างล่างโดยทันที ตัวถังรถกลิ้งคลุกลงไปบนเศษคอนกรีต สภาพบุบบู้บี้เสียหายยับเยินจากการกระแทก บีบอัดผู้เคราะห์ร้ายที่นั่งอยู่ในนั้นอย่างไร้ความปราณี พร้อมกับร่างสีขาวที่ค่อยๆปรากฏออกมา
คมหอกอีกด้ามถูกเรียกเข้ามากระชับอยู่ในมือ ก่อนที่จะพุ่งดิ่งลงไปเสียบตัวแรกที่ผุดขึ้นมา ร่างสีขาวนั้นสิ้นฤทธิ์ไปในบัดดล ที่ทางด้านหลังมีอีกหนึ่งที่กำลังจะโผล่ตัวออกมา ฉันกระโดดเหยียบซากรถม้วนตัวลอยขึ้นไปโผล่ข้างหลัง พร้อมกับบั่นศีรษะโล้นๆนั้นออกจากด้วยคมเขี้ยวที่เหวี่ยงออกไป
ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูที่ชุลมุน มือของหนึ่งในนั้นพุ่งเสียบทะลุร่างของฉันไปอย่างไม่ทันได้ระวังตัว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาเป็นลิ่ม พร้อมกับความเจ็บปวดที่เกินกว่าจะจินตนาการได้แผ่ซ่านออกไปทั่วร่าง ฉันกัดฟันกรอดพลิกคมหอกกลับมาด้วยความแค้น ตัดแขนที่เสียบอยู่นั้นออก ก่อนที่ขว้างมันออกไปเสียบหัวของเจ้าของเป็นรายต่อไป
แต่ยิ่งโจมตีออกไปมากแค่ไหน การต่อสู้ที่เดียวดายนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้นเท่านั้น ร่างสีขาวสลายไปร่างแล้วร่างเล่า พร้อมกับบาดแผลลึกตามตัวที่เพิ่มขึ้น จนสีของเลือดนั้นอาบตัวฉันจนกลายเป็นสีเดียวกับชุดไปเสียแล้ว
หลังจากที่ร่างสุดท้ายถูกปลิดชีพลง สายโซ่ที่ถูกยื่นเหวี่ยงออกไปก็หดกลับเข้ามาเป็นด้ามตามเดิม ฉันปลดเข็มกลัดเสื้อที่ที่หน้าอกออก ก่อนที่จะดึงพลังจากอัญมณีสีแดงนั้นออกมารักษาตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นทั้งสองคนก็ตามมาถึงพอดี
เคล้ง!...
เสียงของโลหะคมสองชิ้นปะทะกันดังก้อง ดาบสีเงินปลิวกระเด็นออกไปปักอยู่ด้านข้าง ฉันรวบด้ามหอกที่เหวี่ยงออกไปปัดให้เข้าเป็นแบบเดิม ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาจ้องไปยังสาวน้อยเวทมนต์ผมสีฟ้าคนนั้น
“หมายความว่าไงกัน น่ะ เฮ้ย...”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เธอ ทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวบ้างมั้ย!”
ฉันยักไหล่ตอบไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ โฮมุระที่ดูจะคุมอารมณ์ได้ดีกว่าได้ยกมือขึ้นห้าม ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ย
“เอาไว้สะสางที่หลังดีกว่า ตอนนี้ไปช่วยคนพวกนั้นออกมากันก่อนเถอะ”แต่ซายากะก็ปฏิเสธอย่างทันควัน
“ไม่ไหวแล้วล่ะ อาเคมิ ตอนนี้ถ้าฉันไม่ได้อัดยัยนี่สักทีนึงล่ะก็ ฉันไม่มีทางหายหงุดหงิดแน่”
“โห...”
“งั้นก็ตามใจ แต่อย่ามาให้เป็นปัญหากับฉันล่ะกัน” ว่าแล้วเธอก็แปลงร่างกลับไปสู่ชุดนักเรียน ก่อนที่จะโดดลงไปยังซากรถที่ตกลงไปด้านล่าง
ยังเข้าใจยากไม่อยู่ตามเคยเลยแฮะยัยนี่ แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันควรจะสนใจมากกว่านั่นก็คือยัยเด็กน้อยตรงหน้านี้ต่างหาก
“เอาล่ะ มีอะไรก็รีบๆเคลียร์ให้จบกันเลยดีกว่า เด็กน้อย...”ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับควงอาวุธในมือขึ้นมาตั้งการ์ด
“อย่าย่ามใจไปหน่อยเลยน่ะ เธอจะได้เห็นทีเด็ดอีกเยอะ”ฝ่ายนั้นพูดพร้อมกับยกดาบขึ้นตั้งท่าเช่นกัน
การดวลของเราเริ่มขึ้นโดยที่ฉันเป็นฝ่ายบุกก่อน คมหอกพุ่งทแยงเสียบเข้าไปที่มุมต่ำ ทางนั้นพลิกดาบลงมาคานรับก่อนที่จะงัดพ้นออกไป จากนั้นก็ผลัดมาโต้กลับบ้าง เหล็กคมสีเงินยาวตัดเข้ามาที่ระดับอก ด้ามหอกถูกยกขึ้นมารับ แล้วอาวุธทั้งสองถูกงัดกันไปงัดกันมา
“โอ๊ะๆ...ขอโทษล่ะกันนะ ฉันดูถูกเธอไปหน่อย”
“งั้นก็ใส่มาให้เต็มที่เลย เซ่!”
“ไม่ต้องบอก ก็จัดให้อยู่แล้วล่ะน่า!”
เสียงปะทะของอาวุธทั้งสองนั้นดังเสียดแก้วหู คมดาบที่ฟาดฟันเข้ามมานั้นแผงไปด้วยความรู้สึกที่หมายจะเอาให้ถึงตาย ผิดกับตอนที่เคยสู้กับ คุณมามิ ลิบลับเลย เธอคนนี้คงคิดที่จะฆ่าฉันจริงๆด้วย
“ยัยเด็กดื้อเอ้ย รู้ตัวมั่งมั้ยน่ะ ทั้งหมดนั่นเธอทำตัวเองแท้ๆ”
“ว่ะ...ว่าไงนะ”
“นึกจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ ไม่เคยนึกถึงคนอื่น ไม่เคยคิดที่จะรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น คนอย่างเธอน่ะ สักวันนึงคงได้ตายอย่างโดดเดี่ยวแน่”
“พูดมาก...หนวกหู!”
ฉันตวาดใส่ไปอย่างสุดจะทน พร้อมกับผ่อนแรงออกให้ยัยนั่นชะงักเสียหลัก ก่อนที่จะเหวี่ยงลูกตุ้มที่ท้ายด้ามใส่เข้าไปกลางตัวซะอย่างจัง จนซายากะปลิวกระเด็นกลิ้งออกไปอย่างไม่เป็นท่า
“อย่ามาทำเป็นพูดสั่งสอนฉันเลยดีกว่า คนอย่างเธอน่ะ เคยสูญเสียอะไรไปบ้างมั้ยล่ะ ห๊า...”
เธอพยายามลุกขึ้นมาตั้งหลักขึ้นมาตั้งหลักขึ้นอีกครั้ง ดาบสองเล่มถูกเรียกออกอยู่ในมือทั้งสองข้าง ก่อนที่วงอาคมที่สลักด้วยอักษรโน้ตดนตรีสีน้ำเงินจะสว่างขึ้น พร้อมกับอาการบาดเจ็บที่จางหายไป
“ฉันน่ะนะเคยถูกผู้ชายทีฉันช่วยไว้หักหลังล่ะ ตอนแรกฉันเหวี่ยงเขาไปทั่วล่ะนะ แต่พอมาคิดดูอีกที ในตอนนั้นฉันก็พยายามเต็มที่ไปแล้วนี่นะ ถึงจะอมทุกข์กับมันไปจนวันตาย โลกนี้ก็ใช่ว่าจะหมุนกลับมาซะเมื่อไร เฮอะ ชีวิตมันก็เฮงซวยแบบนี้นั่นล่ะ ว่าแต่เธอน่ะ”
ดาบสองเล่มนั้นถูกตั้งขึ้น
“เคยได้ลองพยายามดูใหม่สักครั้งบ้างหรือยัง!”
แล้วเจ้าของดาบคู่นั้นกระโดดพรวดเข้าฟาดใส่ฉันอย่างรวดเร็ว ฉันที่รับรู้ได้ถึงแรงกระแทกที่โถมลงมาอย่างหนักหน่วง ก็รีบหมุนวาดคมหอกฟันออกไปเป็นวงทันที ซายากะสปริงตัวหลบออกไปได้ทัน ก่อนที่จะพุ่งเข้าคลุกวงในอีก
เธอไวมากเลย ชักจะแย่แล้วซิแบบนี้
ฉันที่นึกเสียใจนิดๆกับความประมาทของตัวเอง แต่แทนที่ฉันจะถอยหลังออกเพื่อรักษาระยะให้อาวุธนั้นได้เปรียบฉันกลับรุกหน้าโต้โจมตีของเธอด้วยด้ามหอกเสียแทน
เมื่อได้จังวหะเหมาะ ปลายคมสีแดงถูกเหวี่ยงฟันออกไปอีกครั้ง แต่ดาบสองเล่มตั้งขึ้นมารับได้ทัน ในช่วงที่เป็นจุดบอดของอาวุธ ในบัดนั้นเสียงคมดาบทั้งสองก็กรีดครูดไถลเข้ามาตามด้ามของตัวหอกยาว ฉันถอยข้อมือทั้งสองนั้นหลบเข้ามา ทำให้อาวุธคู่ใจนั้นต้องหลุดตัวไปอย่างจำใจ
“ตรงนั้นล่ะ...!”
เสียงของซายากะที่โพล่งขึ้นมาเป็นฝ่ายมีชัย ก่อนที่จะงัดคมดาบฟันเสยขึ้นมาเพื่อเป็นการปิดฉาก
“ยังอ่อนหัดน่ะ”
ฉันที่เอ่ยพึมพำขึ้นมาอย่างเงียบๆ ก็ได้กระดกข้อเท้าดีดตัวอาวุธกลับคืนเข้ามาสู่มือทั้งสองอีกครั้ง ด้วยเวลาแค่เพียงเสี้ยววินาที กระบองติดโซ่จำนวนหลายท่อนก็กระแทกคืนเข้าไปยังร่างของซายากะที่กำลังเปิดช่องโหว่ เธอชะงักกึกทันทีก่อนที่จะยกดาบขึ้นปัดป้องตัวอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งเริ่มเสียจังหวะ ฉันจึงวาดขาขึ้นมา เตะสวนเข้าไปที่กลางตัวซะจนเต็มแข้ง พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายมีชัยไปอีกหนึ่งยก ฉันมองร่างที่กองทรุดอยู่ข้างขอบทาง ก่อนที่จะกล่าวเป็นเชิงชมเชยนิดๆว่า
“คุณมามิสอนเธอมาได้ไม่เลวนะ แต่พอแค่ดีกว่า ก่อนที่จะได้เจ็บตัวไปมากกว่านี้”
“นี่...ฉันถามอะไรหน่อยซิ...”ยัยนั่นเอ่ยถามพลางพยุงตัวให้ลุกมายืนขึ้น
“หา?...”
“ทำไมตอนนั้นถึงไม่ไปกับพบคุณพ่อเขาล่ะ”
แล้วไหงถึงได้วกเข้ามาเรื่องนี้กันได้กันนะเนี่ย ฉันแว่บนึกสงสัยขึ้นมาอยู่ในใจ แต่ยังไม่ได้คิดอะไรก็ถูกถามซ้ำกลับเสียก่อนว่า
“กลัวเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่หรอก”
“คงจะกลัวจริงๆสินะ กลัวว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องน่าเศร้านั่นอีกครั้ง กลัวที่จะต้องโดดเดียวอยู่คนเดียว”
“ไม่ใช่!”หากแต่อีกฝ่ายก็ยังหัวเราะขำ
“ฮ่ะๆๆๆ มันคงจะเป็นงั้นจริงๆซินะ ปฏิเสธความหวังดีจากผู้อื่น ตัดขาดตัวเองจากคนรอบข้าง พยายามทำตัวให้คนอื่นๆเขารังเกียจ แต่ก็ไม่ยอมที่จะเห็นใครสักคนตายไปต่อหน้า เธอน่ะก็แค่กลัวที่จะกลับไปมีความสุขอีกครั้งเท่านั้นเองล่ะ”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!”
กระบอกติดโซ่ถูกเหวี่ยงออกไป คมหอกที่ปลายหัววิ่งตรงไปยังขอบทางที่ยัยนั่นอยู่ กระแทกผนังด้านหลังจนแหลกกระจาย เศษคอนกรีตกระเด็นฟุ้งไปทั่ว แต่ทว่าสาวน้อยเวทมนต์ผมสีฟ้าคนนั้นกลับหายไป
ในเสี้ยวพริบตานั้น วงเวทของยัยนั่นสว่างจ้าขึ้นมาบนเหนือหัว พร้อมกับคมดาบจำนวนมากที่กระหน่ำพุ่งลงมาใส่ ฉันม้วนตัวตีลังกาหลบออกไปด้านข้าง ก่อนที่จะหมุนควงด้ามหอกปัดป้องพวกที่เหลือ จากนั้นจึงเรียกมันเพิ่มขึ้นมาอีกด้าม แล้วขว้างสวนกลับขึ้นไป
คมหอกสีแดงพุ่งขึ้นไปอย่างตรงเป้า สาวน้อยเวทมนต์ผมฟ้าสะบัดผ้าคลุมขาวออกมารับก่อนที่ตัวเธอจะหายวับไปต่อหน้า ฉันรีบกวาดสายตามองหาทันที พลันนั้นเสียงสะบัดผ้าคลุมก็แว่บขึ้นมาประชิดตัว ฉันยกอาวุธขึ้นรับไว้ได้ทัน
คมโลหะทั้งสองเสียดสีกันดังบาดหู เป็นการยื้อดึงดันกันแบบที่ไม่มีใครยอมใคร
“โมโหแบบนี้ คงแทงใจดำล่ะสิท่า ก็เพราะเอาแต่หนีความจริงไปตลอดแบบนี้ไง ฉันถึงได้บอกว่า เธอน่ะมันก็แค่เด็กที่ไม่รู้จักโตนั่นล่ะ”
“หนวกหู!”
ฉันออกแรงงัดใส่เข้าไปจนสุดแรง ซายากะถอยครืดห่างออกไป เราทั้งสองคนต่างก็เหนื่อยจนหายใจหอบ
“แฮ่ก...แฮ่ก...น่ารำคาญ น่ารำคาญ น่ารำคาญ!”
ฉันพุ่งเข้าไปจนใกล้ ปลดปลายอาวุธด้านที่มีคมออกแล้ว ฟาดฟันมันใส่อย่างไม่คิดยั้งมือ ต่างฝ่ายต่างก็สลับกันรับสลับกันรุกกันอย่างสูสี เสียงปะทะของอาวุธทั้งสองชิ้นดังก้องไปทั่ว แต่ว่าฉันนั้นกลับเป็นต่ออยู่มากกว่า
“เฮอะ หงุดหงิดฉันมากเลยใช่มั้ยล่ะ!”
เคล้ง!
“สงสัยสินะว่าทำไมฉันถึงมาวุ่นวายแบบนี้!”
“ฮึ้ย!”
ควับ!
เสียงคมหอกหวีดกับอากาศที่พลาดเป้า แล้วฝ่ายนั้นที่กระโดดหลบไปก็โถมฟาดกลับเข้ามา
“นั่นก็เพราะว่าแววตาที่ดูเดียวดายของเธอน่ะ มันบอกให้ฉันช่วยหยุดเธอซักทียังไงเล่า!”
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงลูกปรายของปืนยาวนั้นดังขึ้นมาพร้อมกันถึงสองนัด ปลดคมดาบและด้ามหอกออกไปจากมือของเจ้านายแทบจะในทันที พวกเราทั้งสองคนที่กำลังฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นหยุด กึก ไปด้วยความตกใจ พร้อมกับพี่สาวผมทองที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ทางด้านหลัง
“พวกเธอทำอะไรกันลงไปน่ะ รู้ตัวบ้างมั้ย”
“หึ...”
ฉันเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่พี่สาวคนนั้นจะหันไปตำหนิใส่ โฮมุระ ที่กำลังช่วยผู้เคราะห์ร้ายอยู่ทางด้านล่าง
“คุณอาเคมิก็เหมือนกัน ทำไมไม่ห้ามเลยล่ะคะ”
“มันไม่ใช่ปัญหาของฉันนี่คะ”
เสียงตอบสวนกลับมาอย่างนิ่งๆ คิดว่าเธอคงตอบหน้าตายอีกตามเคย ในจังหวะนั้น ซายากะที่รู้ตัวว่าเป็นคนเริ่มเรื่อง ก็พยายามที่จะอธิบาย
“อ่า...คุณมามิ ฟังก่อนค่ะ ก็ยัยนี่น่ะ...”
“เวทมนต์น่ะ ไม่ได้มีเอาไว้ใช้ตามอารมณ์ของตัวเองแบบนี้นะ ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ คุณมิกิ”
เป็นคำพูดที่หวานหูซะจริงจริ๊ง แต่มันก็ทำให้ยัยนั่นถึงกลับเถียงไม่ออก ฉันทรุดตัวนั่งลงไปอย่างเหนื่อยอ่อน จะเทศน์อะไรก็เทศน์ไปเหอะ ยังไงซะสำหรับฉัน ทุกอย่างมันก็จบสิ้นไปแล้ว หมดแรง คร้านที่จะเถียงกลับ
ห่อถุงมันฝรั่งถูกหยิบขึ้นมาฉีกกินอย่างไม่ทันรู้ตัว น่าขำที่สุดเลยนะ เจอเรื่องแบบนี้มาฉันยังจะมีอารมณ์มานั่งกินขนมอยู่อีกรึไงเนี่ย...
ในท่ามกลางเสียงถกเถียงของสองคนนั้น ฉันกลับไม่อาจรับรู้ได้ถึงรสชาติของสิ่งที่กำลังกินอยู่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว มันช่างจืดชืด และฝืดคอชวนให้รู้สึกผะอืดผะอมสิ้นดี แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงยังพยายามกินมันต่อไปอยู่ทั้งยังงั้น จนกระทั่งน้ำเสียงของพี่สาวคนนั้นได้เรียกทักขึ้นมา
“อ้อ...จริงซิ คุณซากุระ ฉันเพิ่งมาจากที่โรงพยาบาลน่ะ คุณพ่อท่านพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่จ๊ะ...”
มันฝรั่งแผ่นถุงนั้นตกลงไปสู่พื้นอย่างไม่ทันได้รู้ตัว แผ่นทอดกรอบบางเฉียบเหล่านั้น ส่วนหนึ่งได้แตกกระจายหกออกมาเกลื่อนอยู่นอกถุง พร้อมกับการถามย้ำออกไปแบบไม่เชื่อหูของตัวเอง
“เป็นความจริงเหรอ!”
“จ๊ะ ท่านปลอดภัยดี และก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีการบาดเจ็บรุนแรงอะไรด้วย”
“โฮ่...ดีแล้วนี่นา” ซายากะหันมาเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พลางส่งมือมาฉุดฉันให้ลุกยืนขึ้น แล้วฉันที่เอื้อมมือออกไปจับอย่างไม่ทันได้ระวังตัว ก็ได้ยินเธอเอ่ย
“ยินดีด้วยนะ! ...แต่ก่อนอื่น...”
ผัวะ!...
หมัดกำปั้นของยัยนั่นพรวดเข้ามาเสียเต็มใบหน้า ฉันที่ถูกชกเข้ามาจนล้มกลิ้งลงไปอีกครั้ง ได้พลิกตัวกลับมาก่อนที่โวยวายออกไปทั้งที่นอนอยู่บนพื้น
“ทะ...ทำอะไรของเธอน่ะ” ซายากะยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างสาแก่เล็กน้อย ก่อนที่จะพูดขึ้น
“ขอเอาคืนซักทีนึงเหอะ...เอาล่ะ กลับไปหาคุณพ่อเธอด้วยกันเถอะ”
แม้จะเป็นแค่เพียงฝ่ามือเล็กๆที่ดูอ่อนแอ และไม่น่าจะพึ่งพาอะไรได้ แต่ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแผลถลอกนั้น ก็เป็นสิ่งเดียวที่กล้ายื่นมาให้ฉันด้วยความซื่อตรงจริงๆ ฉันไม่อาจรู้ว่ามันจะพาฉันหลุดพ้นออกไปจากตรงนี้ได้รึเปล่า บางทีมันอาจจะพาให้ฉันไปเจอในสิ่งที่เลวร้ายกว่าก็ได้ แต่ไม่ว่าผลสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร ตัวฉันในวันนั้นก็ได้เลือกที่จับมือข้างนั้นเอาไว้
***เพื่อเพิ่ม อรรถรสในการรับชม รบกวน เปิดเพลง And.I’m home. ก่อนแล้ว ค่อยอ่านบทส่งท้ายต่อนะครับ***
บทส่งท้าย
“นี่...ให้ฉันใส่ชุดเดิมมาไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่ได้...ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ แต่งตัวให้มันถูกกาลเทศะซะมั่งซิ”
เป็นเสียงตำหนิที่พูดออกมาทั้งที่พยายามจะกลั้นหัวเราะอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้มันเป็นวันซวยของฉันรึไงก็ไม่ทราบ ด้วยชุดกระโปรงขาวจับจีบบานเป็นฟ่อง ที่จู่ๆก็ถูกบังคับให้ใส่อย่างขัดไม่ได้ ในตอนนี้ฉันจึงดูพลิ้วไสวซะยังกะคุณหนูในเทพนิยาย ทุกสายตาของทุกคนที่เราเดินผ่านจ้องเขม็งมาซะตลอดทาง ฉันพับหมวกปีกกว้างให้ลงมาปิดหน้าอย่างอายๆ ก่อนที่จะกระซิบ
“แต่ว่า...มันน่าอายออกอ่ะ”จากนั้นซะยากะก็หยุดกึก พลางหันกลับมายิ้มกวนประสาท
“เห...แต่ฉันว่าเหมาะกันดีออกนา คุณหนูไม่ชอบหรอกรึจ๊ะ งั้นกลับไปเลือกชุดใหม่มากันก็ได้ แต่รอบที่สองเนี่ยต้องมาเองคนเดียวนา...”
แล้วยัยนั่นก็ทำทีเป็นว่าจะเดินย้อนกลับ ฉันจึงต้องรีบคว้าข้อมือหมับรั้งเอาไว้ทันที แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ๆๆๆๆ ไปชุดนี้ก็ได้ แต่ช่วยไปเป็นเพื่อนฉันทีเถอะนะ ข้อร้องล่ะ”
“ฮึ...ฮืมม”
ยัยนี่มันแกล้งฉัน ยัยนี่มันต้องแกล้งฉันอยู่แน่ๆ โธ่โว้ย...เจ็บใจชะมัดเลย ทำไมคนอย่างฉันจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยฟร่ะเนี่ย หนอย...ฝากไว้ก่อนเถอะ ยัยบ้า ซายากะ เอ้ย
ผ่านไปเพียงแค่แผล่บเดียว พวกเราสองคนก็เดินมาจนถึงวอร์ดพักฟื้นของคนไข้ ซายากะที่จูงมือฉันเดินนำมาตลอดทางก็หันกลับมาเอ่ย
“เอาล่ะ ส่งถึงตรงนี้หมดหน้าที่ฉันแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะ”
“เห...ไม่เข้าไปด้วยกันอ่า...”
ซายากะส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยมือข้างนั้นออก
“ไม่ได้หรอก ฉัน อยากให้เธอได้เลือกด้วยตัวเองมากกว่าน่ะ ว่า...จะหนีไปจากตรงนี้อีกครั้ง หรือจะเผชิญหน้ามันใหม่ดี ลองคิดดูดีๆล่ะกันนะ จะทำยังไงต่อไป...”แล้วเธอก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเงียบสงบ
สุดท้ายแล้วก็เสียรู้ยัยนั่นอีกจนได้...
ทำไงดีล่ะทีนี้ จะให้เข้าไปหาคุณพ่อคนเดียวแบบนี้น่ะเหรอ ฉันควรจะทำหน้ายังไงเข้าไปดีล่ะเนี่ย แถมชุดก็ยัง...เฮ้อ...อีกด้วย หนีกลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่อีกครั้งดีกว่ามั้ง
ฉันถอยหายใจออกมาหน่อยๆ ก่อนที่จะปล่อยชายกระโปรงให้พลิ้วกลับลงไป สายตาก้มมองลงไปยังสิ่งที่ถืออยู่ในมือ ผ้าพันคอผืนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ในถุงกระดาษใบเดิม ฉันรู้สึกว่ามันกำลังมองฉันอยู่ด้วยความรู้สึกที่สมเพชยังไงก็ไม่รู้ แถมนี่ก็เลยคริสมาสมาแล้วอีกต่างหาก...แต่ถ้าฉันผลัดมันไปอีกครั้ง ฉันจะต้องมาเจอเรื่องแบบวันนั้นอีกมั้ยนะ ไม่เอาแล้วล่ะ ทำให้มันจบๆไปซะตรงนี้เลยดีกว่า เพราะว่ามันช่างแสนเจ็บปวดและก็ทรมานเหลือเกินจริงๆ
ลมหายใจถูกสูดเข้าไปเฮือกหนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เหลืออยู่ แล้วการตัดสินใจสุดท้ายก็ดำเนินต่อไป
เอ้า! เป็นไงก็เป็นกัน
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ฉันนึกขึ้นมากับตัวเอง ก่อนที่เสียงเคาะประตูบานนั้นจะดังขึ้น
Puella Magi Madoka Magica
Fanfiction วันคริสมาสต์
And I’m home.
จบบริบูรณ์...
คุยกันท้ายเรื่อง
ก็จบไปอีกผลงานหนึ่งนะครับ สำหรับ “And.I’m home” นี้ก็เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นผลงานที่ยากพอสมควรเลยทีเดียว คงเพราะทั้งในการโยงเรื่อง และการพยายามดึงเอาอุปนิสัยตัวละครออกมาให้ตรงกับ Official มากที่สุดนั้น เป็นสิ่งที่ผมพยายามให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ได้ อีกทั้ง เคียวโกะ ตัวเอกที่ผมเลือกมาใช้ในการเดินเรื่องนี้ ก็เป็นตัวละครที่เป็นปัญหาพอสมควร เพราะด้วยนิสัย ห่ามๆ เหมือนจิ๊กโก๋ปากซอยของเธอ ทำการยัดบทดราม่าลงไปกับตัวละครนี้นั้น ค่อนข้างทำให้ลงตัวได้ยาก แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผมเองเหมือนกัน (ยิ่งบุคลิกกินขนมตลอดเวลาของเธอเนี่ย เป็นปัญหาจริงๆ)
มาพูดถึงแรงบันดาลใจกันบ้างดีกว่า โดยหลักๆแล้ว ก็มาจากเนื้อหาของเพลง And.I’m home. นี่ล่ะครับ แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดนั้น เดิมทีผมว่าจะเขียนเป็นแนวใสๆสบาย ประมาณว่า เป็นเหตุการณ์ในวันคริสมาสต์ ของเหล่าสาวน้อยเวทมนต์ที่เหลืออยู่ (ซายากะจากไปแล้ว) โดยมีปมว่าเคียวโกะได้เจอเด็กสาวที่เป็นตัวละครใหม่อีกคนที่คล้ายๆกับ ซายากะ น่ะนะ แต่เขียนไปได้ 3-4 หน้าก็ขยำทิ้งไป เพราะคิดว่ามันไม่มีประเด็นอะไรให้เล่นเลย เลยลองย้อนกลับดู Official ใหม่ ทั้ง Anime และ ดราม่า ซีดี ก็พบปมหนึ่งที่หน้าสนใจ คือ “ฉากที่เคียวโกะ ทำหน้าเจ็บใจกึ่งจะร้องไห้ ในตอน 12ตอนที่ซายากะจากไปนั่นเอง” ซึ่งเกิดคำถามขึ้นมาว่า “สองคนนี้เป็นเพื่อนกันได้ยังไง?” แถมคนอย่าง เคียวโกะ ยังเจ็บใจจนเกือบจะร้องไห้ขนาดนั้น มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ก็เลยพยายามหาจุดโยงของสองคนนี้ให้เข้ามาหากันให้ได้ สุดท้ายก็คือลงเอยกันที่ ปม ของครอบครัว ดังที่เห็นในเรื่องนี่ล่ะครับ ฮ่าๆๆๆ
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน แฟนฟิคเรื่องนี้นะครับ ยังไงก็อ่านจบแล้วรบกวนลงชื่อคอมเมนต์ไว้ข้างล่างสักหน่อยก็เป็นกำลังใจให้ผมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว (มากเลยต่างหากเพราะเข้ามาดูฟิคตัวเองที่ไร โครตระเหี่ยใจ) หรือถ้าใครมีข้อติ ข้อเสนอแนะ หรือคิดว่าบางส่วนมันไม่ค่อยถูกต้อง ก็เสนอมาได้เลยครับ ผมยินดีรับไปปรับปรุง ในงานต่อๆไป
ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง Hawkin
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988
ความคิดเห็น