Nanoha Fanfic เรื่องสั้น ตอน ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
ฟิคนาโนะ ตอนรับวันแห่งความรักงับ งุงิๆ
ผู้เข้าชมรวม
2,084
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Nanoha Fan Fiction ตอน ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว รอบตัวของผู้ตรวจการณ์สาวที่เพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คือบรรยากาศยามดึกที่เงียบสงัด ไร้ซึ่งแสงจากดวงไฟ ไร้ซึ่งเสียงต้อนรับของเพื่อนสาวที่อยู่ด้วยกัน สองแม่ลูกนั้นคงจะหลับกันไปแล้วซินะ เธอนึกขึ้นพลางจิ้มนิ้วมือกดใส่คำสั่งล็อคประตู ก่อนที่จะก้าวเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง ก็ได้เห็นแสงไฟสลัวๆที่ออกมาจากช่องประตูของห้องทำงาน
“เอาอีกแล้ว เหรอเนี่ย”เธอบ่นออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่จะเปิดประตูบานนั้นเข้าไปพร้อมกับเอ่ยถามเป็นเชิงตำหนินิดๆว่า
“นาโนฮะ ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะเนี่ย”
“อ้าว...เฟทจัง กลับมาแล้วเหรอ” ท่าทางดูเหมือนว่าเธอจะเพิ่งรู้สึกตัว จึงสะดุ้งตอบรับเสียงตำหนินั้นด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะหันความสนใจไปที่งานในมอนิเตอร์ต่อ
“เรซิ่ง ฮาร์ท ชะลอภาพให้ช้าลงอีกหน่อยซิ...”
“All right”เมื่อการตำหนิถูกเมินใส่ จึงทำให้หญิงสาวที่เป็นผู้เอ่ยเตือนไปเมื่อครู่ต้องเร่งเร้าต่อไปอย่างอารมณ์ขึ้น
“นี่ ได้ยินที่พูดรึเปล่าน่ะ หืม...”
“ได้ยินแล้ว...อีกเดี๋ยวนึงน่า...นะๆๆ”เพื่อนสาวหันมาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ้อดอ้อน
“เฮ้อ...ก็ได้ๆ ให้อีก 15 นาที นะ”เฟทจำตอบรับอย่างเสียไม่ได้
ให้ตายซิ...ทำไมเราชอบมาแพ้ ไม้ตายลูกอ้อนให้มันได้ยังนี้ทุกทีซิน่า แล้วนาโนฮะเองก็ชักจะมาไม้นี้บ่อยขึ้นทุกทีๆแล้วด้วย หรือว่าบางทีพักนี้เราอาจจะใจอ่อนกับเธอมากเกินไปหน่อยก็ได้ เห็นทีคงจะต้องเข้มงวดขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ อย่างน้อยก็กับเรื่องนี้ เรื่องที่ชอบเอาแต่ฝืนตัวเองอยู่เรื่อยเลย
หลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จไปหมาดๆ เฟทที่เปลี่ยนไปใส่ชุดนอนกระโปรงลายลูกไม้สีดำ ก็ได้เดินกลับมาหาเพื่อนสาวที่ห้องทำงานห้องนั้นอีกครั้งหนึ่ง
“นี่...ผครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ไปเข้านอนได้แล้ว”เธอเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิด
“อีกแป๊บนึงๆ”นาโนฮะพูดตอบราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจ พร้อมกับง่วนทำงานตรงหน้าต่อไป
“โอเค...ดีมาก เดินโปรแกรมไปแบบนี้ล่ะ...”
“นี่...นาโนฮะ ฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า”เฟทพูดเสียงเข้ม จนทำให้เพื่อนสาวที่เอาแต่นั่งอยู่หน้าจอหันกลับมาตอบอย่างหมดความอดทนว่า
“รู้แล้ว...ก็ถึงได้บอกว่าอีกแป๊บนึงไง....ถ้าเฟทจังง่วงแล้วก็เข้านอนไปก่อนก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
“ก็ที่ฉันพูดเนี่ย เพราะฉันเป็นห่วงเธอนะ ร่างกายเธอน่ะ ยังไม่ค่อยแข็งแรงดีไม่ใช่เหรอ แล้วไหนจะชอบฝืนทำเรื่องอันตรายๆในระหว่างภารกิจอีก ฉันไม่อยากจะเห็นเธอในสภาพแบบวันนั้นอีกแล้วนะ”หญิงสาวกล่าวอธิบายใส่ด้วยความเอือมระอา แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเมินใส่อย่างไม่สนใจ พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ
เฟทที่ไม่เหลือความอดทนแล้ว จึงเดินก้าวเข้าไปถอดปลั๊กเครื่องประมวลผลภาพวีดีโอที่เสียบพ่วงเอาไว้อยู่ทางด้านหลังของเพื่อนสาวออก การคำนวณผลชะงักไปโดยพลัน ภาพในมอนิเตอร์นิ่งค้างและดับวูบไปพร้อมกับแหล่งพลังงานที่ถูกตัด นาโนฮะที่ถูกกระทำใส่ดังนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที
“เฟทจัง!...”เธอเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ไปนอนได้แล้ว”เฟทเม้มปากพูดด้วยเสียงอันคมกริบ
“ข้อมูลพวกนั้นมันสำคัญมากนะ แล้วฉันก็ยังไม่ได้...โอ้ย...นี่เธอเป็นอะไรของเธอขึ้นมาเนี่ย หา!”นาโนฮะถามกระชากเสียงด้วยความเหลืออด
“ฉันขอโทษ”
“พอกันที ออกไปจากห้องนี้เลยนะ” เพื่อนสาวตวาดใส่อย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับวาดนิ้วมือชี้ออกไปที่ประตู
“แต่ว่าฉันเป็นห่วง...”
“ออกไป...!”เมื่อถูกตวาดไล่กันจนถึงขนาดนั้น หญิงสาวจึงไม่คิดที่จะอดทนกับมันต่อไปอีกแล้ว จึงได้เอ่ยออกไปด้วยความประชดประชันว่า
“ได้! ฉันไปก็ได้ แล้วถ้าเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ อย่ามาเรียกหาฉันก็ล่ะกัน”แล้วเธอก็ย่ำเท้าโครมครามออกจากห้องไป
ไม่ว่าใครก็คงรู้ดีว่านาโนฮะชอบเอาจริงเอาจังกับงานมากแค่ไหน แต่กับอีแค่การที่ข้อมูลสรุปผลการฝึกซ้อมที่จะต้องส่งในอีกสองเดือนหน้า หายไปเนี่ยมันถึงกับต้องมาตวาดไล่ใส่กันแบบนี้เลยเหรอ...จริงอยู่ที่เธออาจจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำแบบนั้นลงไป แต่ถ้านาโนฮะยอมทำตามที่เธอพูดตั้งแต่ทีแรกเรื่องมันก็คงไม่จบเช่นนี้หรอก
ถัดจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงสตาร์ทเครื่องรถยนต์แว่วขึ้นมาจากทางด้านล่าง ด้วยความใคร่รู้ นาโนฮะจึงรีบเดินมาชะโงกดูที่หน้าต่าง ก็เห็นรถยนต์คันสีดำที่เป็นของเพื่อนสาวของเธอถอยออกมาจากโรงรถ แล้วแล่นจากไปอย่างรวดเร็ว
“เออ...ให้มันได้ยังงี้ซิ” เธอเอ่ยประชดขึ้นมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะหันเดินกลับนั่งที่หน้าจอตามเดิม
(เฟทจังนะ...เฟทจัง ทำกันได้ลงคอ อุตส่านั่งทำมาตั้ง 3 ชั่วโมง ต้องมาเริ่มใหม่หมดเลยเหรอเนี่ย เฮ้อ...คืนนี้คงไม่ได้นอนแหงๆเลยเรา)
เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กสาวที่นั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปรกติของคุณแม่ของเธอ ไม่มีการพูดจาอะไรกันเลย นอกจากการกล่าวทักทายรับวันใหม่ที่เด็กสาวเป็นผู้เอ่ยก่อน แถมคุณแม่เฟทก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้าแบบนี้ และพอถามถึงเธอขึ้นมาคุณแม่นาโนฮะก็ตอบปัดไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ซะอีก
(ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ) เธอคาดเดาเอาไว้อยู่ในใจ ก่อนที่จะคิดตัดสินใจถามออกไปตรงๆว่า
“ทะเลาะกันมาเหรอคะ?”
คุณแม่สาวหยุดกึก เธอวางแก้วกาแฟในมือลงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับหันมาขมวดคิ้วใส่ลูกสาวตรงหน้า เด็กสาวสะดุ้งกลัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยตอบคำถามนั้นไปอย่างไม่สนใจว่า
“ไม่มีอะไรหรอก แค่...คุณแม่เฟทเค้ามีงานยุ่งนิดหน่อยน่ะ” วีวีโอ้กอดอกฟังพลางพยักหน้ารับคำตอบนั้นอย่างเข้าใจ
“ยังงี้นี่เอง ทะเลาะกันมาจริงๆด้วย แล้ว...คราวนี้ทะเลาะกันเรื่องอะไรกันอีกล่ะคะ”
ที่ถามไปแบบนั้นก็เพราะว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก ที่เธอเห็นทั้งสองคนมีปากมีเสียงกัน โดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น อาทิเช่น แย่งกันดูโทรทัศน์คนล่ะช่องบ้างล่ะ หรือไม่ก็เถียงกันว่าจะใส่เนื้อหรือไก่ลงในเครื่องแกงบ้างล่ะ อะไรทำนองนี้ แล้วระหว่างที่กำลังรอคำตอบนั้นอยู่นั่นเอง คุณแม่สาวจอมปากแข็งของเธอก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เรื่องนั้นหนูไม่ใช่เรื่องที่ต้องเข้ามายุ่งหรอกจ๊ะ แล้วแม่ว่าหนูน่าจะรีบๆกินข้าวเช้าให้เสร็จ แล้วไปโรงเรียนได้แล้วนะ”
“คุณแม่อ่ะ หนูถามแค่นี้ทำไมต้องพูดบ้าๆแบบนั้นใส่ด้วยเล่า”
“วีวีโอ้...”
“ขอโทษ ค่ะ”
ก็เป็นกันซะอย่างนี้ เมื่อมีเรื่องทะเลาะทีไรกันเด็กสาวจะรู้สึกเหมือนกับว่าถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปยุ่งซะทุกครั้งไป ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคิดว่าเรายังเด็กอยู่รึไงนะ ถึงได้ไม่ยอมให้รับรู้เรื่องราวในบ้านกันบ้างเลย แต่ก็เอาเถอะ เชื่อมั้ยล่ะว่า ไม่เกิน 2 วันนี้หรอก ใครคนใดคนหนึ่งก็จะทนเหงาไม่ได้จนต้องมาตามง้อคืนดีกันจนได้นั่นล่ะ
วีวีโอ้ที่เพิ่งทานข้าวเช้าเสร็จ ก็รวบตะเกียบคู่นั้นวางลงไว้บนปากชาม พร้อมกับปรบมือขึ้นพนมกล่าวตามมาว่า
“ขอบคุณสำหรับ มื้อนี้ค่า”จากนั้นเธอก็ลุกไปหยิบกระเป๋ามาสะพายไว้บนหลัง
“งั้นคุณแม่คะ หนูไปก่อนนะคะ”แล้วก็เดินรี่ออกไป
“อือ...ข้ามถนนระวังรถด้วยนะลูก”
“ค่า...”ลูกสาวทีกำลังสวมรองเท้าอยู่เอ่ยขานรับ ก่อนที่จะเปิดประตูแล้ววิ่งจากไป
(เฮ้อ...แม้แต่วีวีโอ้ยังดูออกเลยแฮะ เรานี่คงจะเก็บความรู้สึกไม่เก่งจริงๆ)
นาโนฮะพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกท้อแท้ พลางเบนสายตามองไปยังนาฬิกาติดผนังรูปครอบครัวตุ๊กตาหิมะ ที่กำลังเดินทำหน้าที่ของมันไปอย่างเป็นปรกติ
นาฬิกาเรือนนี้เฟทเป็นคนซื้อมาให้เป็นของที่ระลึก หลังจากที่กลับมาจากการสืบสวนที่ดาวดวงหนึ่งเมื่อต้นปีก่อน เธอบอกว่ามันน่ารักดีเลยหยิบมันติดมือมาด้วย โดยกะจะเปลี่ยนมันกับเรือนเดิมที่ดูค่อนข้างเก่าและผ่านการใช้งานมานานแล้ว
(เจ็ดโมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ...ถึงเวลาไปทำงานแล้วเหรอเนี่ย...ไม่อยากให้นักเรียนที่หน่วยฝึกเห็นสภาพเราในตอนนี้เลยแฮะ)
ชั่วโมงโฮมรูมคาบแรกของวันนี้ได้จบลงไปแล้ว หลังจากที่ซิสเตอร์ที่เป็นอาจารย์ได้เดินออกไปจากห้องแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนเล็กๆของพวกเด็กๆนักเรียนทั้งหลาย ที่ต่างก็ลุกขึ้นมาจับกลุ่มคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง ตามภาษาวัยของพวกเขา
“เฮ้อ...” เด็กสาวที่นั่งติดกับริมหน้าต่างหน้าห้อง ได้ถอยหายใจออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“วีวีโอ้...จัง”
เสียงแจ้วๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอคุ้นหู ร้องทักขึ้นมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับการลอบจู่โจมโผเข้ากอดนัวเนียที่สมบูรณ์แบบ ทำให้เด็กสาวที่เอาแต่เหม่อลอยอยู่ถูกซุกไซร้ใบหน้าเข้าใส่อย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
“งื้อ...วันนี้ใช้แชมพูยี่ห้ออะไรเนี่ย กลิ่นหอมดีจัง”เด็กสาวคนนั้นเอ่ย พลางมุดหน้าเข้าลงหมุนไซร้เส้นผมสีบรอนซ์ทอง ที่ปล่อยยาวสลวยของเธออย่างมีความสุข
“อ้า....อย่าน่า...โคโรน่า มันจั๊กจี๋นะ”วีวีโอ้ปรามเพื่อนของเธออย่างยอมแพ้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยเธอง่ายๆ ในระหว่างนั้นเองเด็กผู้หญิงอีกคนที่เดินตามหลังโคโรน่ามาก็เอ่ยทักขึ้น
“วันนี้เป็นอะไรไปเหรอ ไม่ค่อยร่าเริงเลย” จากนั้นโคโรน่าเพื่อนสาวที่กำลังนัวเนียกอดเธออยู่นั้นก็ผละตัวออกไปพร้อมกับพูดอย่างเห็นพ้องด้วยว่า
“ช่ายๆ ริโอะพูดถูก...วันนี้วี่จังเป็นอะไรไปอ่ะ ถอนหายใจ เฮ้อ...ฮ่า...ยังกะคนแก่ไปได้” เด็กสาวที่ถูกทั้งสองถามด้วยความห่วงใยกันถึงขนาดนั้น ก็ได้ให้คำตอบไปอย่างตรงๆว่า
“ก็คุณแม่นาโฮะ กับคุณแม่เฟทอ่ะ ดูเหมือนว่าเมื่อเช้า ทั้งสองคนจะทะเลาะกันอีกแล้วน่ะสิ”
“ทั้งสองคนนั้นน่ะนะ...ทำไมล่ะ ทุกทีก็เห็นสนิทสนมกันดีไม่ใช่เหรอ”ริโอะถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
“นั่นสิ คุณเฟทเองก็เป็นคนที่ดูจะใจเย็นออกไม่ใช่เหรอ แล้วคุณนาโนฮะไปทำอีท่าไหนเข้าถึงได้มีเรื่องกันขึ้นมาเนี่ย หืม...”โคโรน่าพูดอย่างเห็นด้วย พร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาจ้องถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่
“เรื่องนั้นฉันจะไปรู้เหรอ...! ก็ทั้งสองคนเล่นปิดปากกันเงียบ...กริ๊บไม่ยอมบอกอะไรให้ฉันฟังเลยนี่นา...”วีวีโอ้ลุกพรวดขึ้นตอบกลับไปอย่างอารมณ์เสีย จนทำให้เด็กสาวที่กำลังเล่นบทนักสืบหัวเห็ดถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกใจ
“น่าๆ ยังไงซะ ทั้งสองคนก็ไม่ได้เป็นคนอื่นคนไกลกันซะที่ไหนนี่นะ เดี๋ยวก็คงคืนดีกันเองล่ะ อย่ากังวลไปเลยนะ วีวีโอ้”ริโอะพูดกล่อมด้วยความใจเย็น
“ก็ได้หวังว่า มันคงจะเป็นยังงั้นล่ะนะ”เด็กสาวกล่าวก่อนที่จะลดตัวลงนั่งด้วยอารมณ์ที่สงบลง
“ก็...อย่างที่ริโอะจังพูดไว้ล่ะนะ ม่าย...ต้อง...กัง...วล...ไป...หรอก...นะ”โคโรน่าเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับพรวดโผเข้ามานัวเนียกับเด็กสาวอีกครั้ง
“อ้า...โคโรน่า หยุดนะ...อ้า...ริโอะจังช่วยฉันทีซิ...”
ผ่านมาสามชั่วโมงแล้ว สามชั่วโมงที่พันเอกหญิงคนนี้ต้องมานั่งทน ฟังคำพูดระบายอารมณ์ของผู้ตรวจการณ์สาวเพื่อนสนิทของเธอ ที่เอาแต่บ่นๆๆอย่างอารมณ์บูดไม่หยุดตั้งแต่เช้า ยันจนถึงมื้อเที่ยงของวันนี้ ไม่รู้ว่าหล่อนเห็นเธอเป็นจิตแพทย์ที่เอาไว้ปรึกษาปัญหาครอบครัวรึไงกันนะ
(เฮ้อ....นี่เธอเห็นฉันว่างขนาดนั้นเลยรึไงเนี่ย ห๊ะ) เธอแอบคิดนินทาอยู่ในใจ พลางแกว่งช้อนคนกาแฟลาเต้ที่บริกรเพิ่งจะยกมาเสิร์ฟได้ไม่นาน
“นี่...ฮายาเตะ...ที่เธอพูดมาน่ะ ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเธอลองมาโดนนาโฮะตวาดใส่เอาแบบนั้นดูสิ ฉันว่าเธอเองก็ต้องโกรธเหมือนกันล่ะน่า” เพื่อนสาวผมบรอนซ์พูดตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะตักไอศครีมพาเฟ่คำสุดท้ายเข้าปากไป
“อ้า ขอโทษค่ะ ขอแบบนี้อีกที่นึงค่ะ”
(แก้วที่สี่แล้วนะ ยังจะกินอีกเหรอ) ทันทีที่เห็นผู้เป็นเพื่อนตรงหน้าทำท่าจะพล่ามต่อ ผู้การสาวที่ชักจะหมดความอดทนแล้ว ก็ได้วางถ้วยกาแฟลงและก็เอ่ยแทรกขึ้นขัดว่า
“อืม...ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะโกรธหรือเปล่า แต่พวกเราก็รู้ดีหนิ ว่านาโนฮะจัง เค้าจริงจังกับงานแค่ไหนน่ะ”
“ก็เพราะแบบนั้นไงล่ะ ฉันถึงได้เป็นห่วง”เฟทโพล่งตอบกลับมาทันควัน ก่อนที่จะหลบหน้าบ่นอุบอิบออกมาเบาๆว่า “ให้ตายซิ ไม่รู้ว่าเธอเห็นงานพวกนั้นสำคัญกว่าความห่วงใยของฉันรึไงนะ”
(ฉันว่าเธอคงโมโหที่ หล่อนทำตัวไม่มีเหตุผลใส่มากกว่านะ)
จังหวะนั้นเองที่ของหวานแก้วที่สี่ถูกเด็กเสิร์ฟนำมาวางลงบนโต๊ะ เฟทรับมันมาแล้วตักมันกินด้วยความหงุดหงิดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาว่า
“คอยดูนะ ครั้งนี้ฉันจะต้องทำให้เธอ เป็นฝ่ายมาขอโทษฉันก่อนให้ได้”
“ไม่เอาน่า เฟทจัง ทำแบบนั้นไปมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ”ฮายาเตะพูดอย่างประนีประนอม
“ไม่รู้ล่ะ ครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายผิดก่อนนี่นา ฉันไม่ยอมขอขอโทษก่อนหรอก”
(แต่ฉันว่า ไงๆมันก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ล่ะ)เธอนึกเถียงกลับอย่างเนือยๆ ก่อนที่จะยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู แล้วเอ่ยขึ้นกับเพื่อนสนิทตรงหน้าว่า
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ เพราะว่าบ่ายนี้ฉันมีประชุมกับพวกฝ่ายเสนาธิการทัพเรือน่ะ แล้วเธอล่ะจะเอาไง จะไปนั่งแกร่วรอฉันอยู่ที่ออฟฟิศมั้ย”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันว่าจะนั่งฆ่าเวลาที่นี่อีกสักพัก และก็ว่าจะไปขับรถเตร่เล่นแถวๆชานเมืองซักหน่อย ไหนๆก็อุตส่าลางานวันนี้มาทั้งทีนี่นะ ต้องใช้เวลาว่างให้มันคุ้มค่าหน่อย”เฟทตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม ก่อนที่จะลงมือจัดการกับไอศกรีมตรงหน้าต่อ
(ลางานมาวันนึง ด้วยเหตุผลที่ว่า “ทะเลาะกับเพื่อนซี้มา” เนี่ยนะ สาบานได้เลย ถ้าฉันเป็นหัวหน้ายัยนี่ล่ะก็ ฉันจะไล่เธอออกนับตั้งแต่วินาทีที่รู้ความจริงนี้เลย ให้ตายเถอะ)
“เอางั้นก็ตามใจ แล้วเจอกันที่บ้านนะ”ฮายาเตะพูดพลางหยิบเสื้อโค้ดและกระเป๋าเอกสารของเธอขึ้นมา ก่อนที่จะแกล้งเอ่ยแซวทิ้งทายไว้นิดนึงว่า
“ว่าแต่...วันนี้เธอกินเก่งจังเลยนะ”
ช้อนของหวานที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หยุดชะงัด ผู้ตรวจการณ์สาวที่เพิ่งรู้สึกตัวเหลียวหันไปมองแก้วของหวานที่เรียงราวกันอยู่บนโต๊ะถึงสี่ใบ ก่อนที่จะเผลอปล่อยช้อนเงินในมือตกลงไปในแก้วทรงสูงตรงหน้า
“แย่แล้ว!”เฟทอุทานออกมาอย่างลืมตัว ฮายาเตะที่เห็นดังนั้นจึงก้มเข้ามาลูบหัวของเธอเบาๆพร้อมกับเอ่ยปลอบใจว่า
“เอาเถอะ ยังไงซะ มันก็ไม่พองขึ้นมาอย่างปุบปับ ในชั่วข้ามคืนหรอก”แล้วเธอก็เดินจากไป
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานของครูฝึกหน่วยติดอาวุธนั้นสาหัสขนาดไหน หลังจากการใช้เวทมนต์ประกอบการฝึกอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ชั่วโมง ทำให้หญิงสาวแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นเดินได้เลยก็ว่าได้
(ในที่สุดก็ถึงบ้านสักที) เธอพร่ำนึกขึ้นอย่างครึ้มใจ แล้วจะเปิดประตูเข้าไป
“กลับมาแล้วจ้า...” เธอเอ่ยขึ้นพลางถอดรองเท้าฝึกออก
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่า...”เสียงของเด็กสาวขานตอบกลับมาอย่างร่าเริง
นาโนฮะวางรองเท้าฝึกสีน้ำเงินขาวคู่นั้นลงบนชั้นวาง ก่อนที่จะเดินตามเสียงนั้นไปยังห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยแสงไฟอันสว่างไสว พร้อมกับเสียงวีดีโอเกมที่ดังกระหึ่มมาจากโทรทัศน์
“คุณแม่เฟทล่ะ”นาโนฮะเอ่ยถามขึ้น
“อง...อัง...ไอ้...อับ...เอย...อ่ะ”(ยังไม่กลับเลยค่ะ) ลูกสาวที่กำลังคาบไอติมแท่งรสช็อคโกแล็ตอยู่ตอบอู้อี้กลับมาอย่างไม่สนใจ
“เฮ้อ...นี่แม่บอกกี่ครั้งแล้วเนี่ย ว่าอย่าเอาขนมมานอนกินบนโซฟาน่ะ หืม”คุณแม่สาวบ่นขึ้นอย่างไม่พอใจ เด็กสาวที่ได้ดังนั้นจึง กด pause เกมที่เล่นค้างเอาไว้ แล้วจะรีบงับของกินที่คาบอยู่ให้หมด พร้อมกล่าวขอโทษไปอย่างเนือยๆ
“ขอโทษเจ้าค่า...”
“อืม...”นาโนฮะพยักหน้ารับอย่างให้อภัย ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อไปว่า
“แล้วที่มานั่งเล่นเกมแบบนี้นี่ การบ้านคงเสร็จแล้วใช้มั้ย”
“เสร็จแล้วค่ะ” วีวีโอ้ตอบในขณะที่นำไม้เสียบไอศกรีมไปทิ้งที่ห้องครัว คุณแม่สาวที่เดินตามหลังมาก็เอ่ยถามต่อไปอีกว่า
“ข้าวเย็นล่ะ กินแล้วเหรอ”
“ค่ะ กินข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อน่ะค่ะ และก็คิดว่าคุณแม่คงยังไม่ได้ทานข้าวมาอีกแหงๆเลย หนูก็เลยซื้อมาเผื่อ เดี๋ยวจะอุ่นให้นะคะ”ลูกสาวพูดพลางเปิดตู้เย็นออก แล้วทำท่าจะหยิบกล่องข้าวราดแกงที่อยู่ในช่องแช่แข็งออกมา นาโนฮะที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยบอกปัดไปว่า
“ไม่ต้องก็ได้จ๊ะ แม่ทำเองได้ ส่วนลูกเองก็ไปแปรงฟันแล้วก็เข้านอนได้แล้ว”
“คุณแม่อ่ะ...ยังไม่ถึง 4 ทุ่มเลย” ลูกสาวเอ่ยกลับมาด้วยเสียงร้านราน
“ถือว่าลงโทษที่เอาไอติมไปกินบนโซฟาล่ะกัน ไปได้แล้วจ๊ะ”เธอเอ่ยคำขาด
ลูกสาวต้องจำยอมรับคำสั่ง ได้เดินสวนคุณแม่ออกไปอย่างไม่พอใจนัก หลังจากที่นาโนฮะเห็นเธอเดินขึ้นไปยังชั้นบนแล้ว การปรุงมื้อเย็นที่แสนเรียบง่ายก็เริ่มขึ้น
เฟทจังจะงอนไปถึงไหนกันนะ เล่นไปกลับมาให้เห็นหน้าเลยแบบนี้ คนเค้าก็เป็นห่วงเหมือนกันนะ จริงๆเล้ย ทำตัวเป็นเด็กไปได้ เห็นทีกินข้าวเสร็จคงต้องโทรไปขอโทษซะแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่
ลูกบิดเตาแก๊สถูกหมุนให้ปิดลง นาโนฮะใช้มือข้างที่สวมถุงมือจับซองแกงกรี่ที่ร้อนระอุขึ้นมาจากหม้อต้ม แล้วฉีกเทมันลงบนจานข้าวสวยที่อุ่นร้อนจนได้ที่ ไอร้อนจากเครื่องแกงของมัน ได้ส่งกลิ่นหอมฉุยราวกับเป็นการเชิญชวนให้ง่ำมันเข้าปากยิ่งนัก ระหว่างที่เมนูสุดประหยัดนี้กำลังจะถูกยกมาวางบนโต๊ะ เสียงเตือนข้อความข้าวของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
(เฟทจังส่งเมล์มานี่นา หืม... คงจะสำนึกขึ้นมาแล้วล่ะซิ เดี๋ยวยกโทษให้ซะหน่อยดีกว่า” เธอนึกขึ้นอย่างดีใจนิดๆ ก่อนที่จะเปิดข้อความนั้นดู
แกร่บ...!
เครื่องโทรศัพท์ถูกพับเก็บลงด้วยความเจ็บแค้น พร้อมกับความรู้สึกเดือดปุดของเส้นอารมณ์ที่บางเฉียบของเธอ ในเมื่อเล่นกันแบบนี้ใช่มั้ย ได้... งั้นก็ขอเอาคืนบ้างล่ะกัน ฮึ...
มื้อค่ำของผู้ตรวจการณ์สาวถูกดำเนินไปอย่างหรูหรา ท่ามกลางเสียงดนตรีอันชวนเคลิ้มฝัน และสายลมทะเลที่โบกพัดมาอย่างเอื่อยๆ ภัตตาคารริมหาดแห่งนี้ถูกตั้งอยู่แถบชานเมืองที่ไกลลิบขนาดที่สามารถบอกได้เลยว่าถ้าไม่มีรถส่วนตัวขับมาเองล่ะก็ อย่าริอาจคิดที่จะมาทานกันที่นี่เลยดีกว่า
หลังจากที่กุ้งล็อบสเตอร์ 7 สีนึ่งนมสดที่ประดับด้วยสลัดผักและผลไม้ท้องถิ่น ประกอบกับเมนูอื่นๆถูกนำมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย ด้วยความคะนองนึกสนุก เธอจึงถ่ายรูปพวกมันเก็บไว้ แล้วส่งมันไปพร้อมข้อความเยาะเย้ยถึงเพื่อนสาวที่กำลังทะเลาะกันอยู่ในตอนนี้ แล้วระหว่างที่กำลังลงมือทานเจ้ากุ้งมังกรแสนอร่อยที่อยู่ตรงหน้าอยู่นั้น ฝ่ายนั้นก็ได้เมล์ตอบกลับมาว่า
(กุ้งตัวนั้นน่ากินจังเลยนะ แหม...น่าอิจฉาจัง ฉันสิต้องมากินข้าวราดแกงที่ฉีกจากซองสำเร็จรูป ตามที่เฟทจังบอกมาเป๊ะเลย อืม เฟทจังนี่รู้เรื่องฉันไปซะทุกอย่างเลยน๊า.... ว่าแต่มื้อเย็นกินเยอะซะขนาดนี้ เดี๋ยวก็ได้อ้วนกันพอดีหรอก แบร่...)
หลังจากที่เห็นรูปอีโมติคอนแลบลิ้นหลอกของเพื่อนสาวที่ถูกส่งจิกกัดกลับมาอย่างเจ็บแสบ ก็ทำให้หญิงสาวตักอาหารทานถึงกับหยุดผงะ ข้อมือเธอกำโทรศัพท์แน่นเปรี๊ยะด้วยความโกรธ ก่อนที่จะวางช้อนส้อมในมือลงบนจานอย่างรุนแรง จนทำให้พนังงานเสิร์ฟที่บังเอิญเดินผ่านมาถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตื่นกลัว พร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกที่เอ่ยขึ้นมาว่า
“ขอโทษค่ะ...ช่วย...คิดเงินเลยได้มั้ยคะ”
แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาในห้องของเด็กสาว ได้ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิททราอันแสนสุข วีวีโอ้ยังงัวเงียอยู่เหลือบหันกลับมามองนาฬิกาที่หัวเตียง
(ง่ะ...สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย)
เมื่อได้รับสถานภาพด้านเวลาของตน ทำให้เธอตาสว่างขึ้นมาอย่างปลิดทิ้ง ก่อนที่จะรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นจากที่นอนแล้วดำเนินกิจกิจยามเช้าของเด็กผู้หญิงด้วยความรีบร้อน
ทุกทีถ้าเธอหลับจนเพลิน คุณแม่นาโนฮะจะต้องมาปลุกนี่นา ทำไมวันนี้ถึงไม่ยอมมาปลุกกันนะ จะว่าเป็นเพราะที่เธอเอาขนมไปนั่งกินบนโซฟารับแขกเมื่อวานก็ไม่ใช่ โอ้ย...จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ รีบๆแต่งตัวแล้วก็ไปโรงเรียนก่อนดีกว่า เฮ้อ...อดกินข้าวเช้าเลยอ่ะ
เสียงย่ำบันไดตึงตังที่เดินลงมาอย่างรีบร้อน เด็กสาวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องครัวเพื่อที่จะบอกลาคุณแม่ของเธอที่น่าจะอยู่ในนั้น แต่ทว่าทันทีที่เธอไปถึง ก็มีเพียงแต่แต่หม้อซุบมิโซะกำลังถูกตั้งไฟอุ่นจนเดือด พร้อมกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กหุงเอาไว้จนสุกได้ที่แล้วเท่านั้นเอง
“คุณแม่คะ...คุณแม่อยู่ที่ไหนอ่ะ หม้อมิโซะมันเดือดแล้วนะ”เธอชะโงกหน้าออกมาที่โถงทางเดินแล้วตะโกนเรียก แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็มีแต่ความเงียบงัน
วีวีโอ้ที่เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปปิดเตาแก๊สนั้นเสีย ก่อนที่มันจะทำให้ซุปในหม้อนั้นเค็มยิ่งไปกว่านี้ ระหว่างที่กำลังจะเดินอ้อมไปถึงอีกฝั่งหนึ่งโต๊ะทานข้าวอยู่นั้น เท้าของเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ชนกับอะไรบางอย่างเข้า
เด็กสาวก้มลงมาดู ก็พบว่าเธอเผลอไปเตะไม้ตีไข่ที่บังเอิญตกกลิ้งอยู่ตรงนั้นพอดี วีวีโอ้จึงเก็บมันขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตามองไล่ไปตามพื้นครัวก็พบเครื่องครัวอื่นๆอีกสองสามชิ้นตกกลิ้งอยู่บนพื้น จนกระทั้งสายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้ากับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนอนสีชมพูอ่อน ที่กำลังนั่งเป็นลมล้มฟุบอยู่ด้านหลังเคาเตอร์วางอาหาร
“คุณแม่คะ!”เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ ก่อนที่จะรีบเข้าไปหาหญิงสาวที่ล้มฟุบอยู่
“คุณแม่คะ คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรไปคะ”เธอพูดอย่างลนลานพลางพยุงร่างของหญิงสาวคนนั้นให้นอนหงายขึ้นมาหนุนกับตักของเธอ
“วีวีโอ้เองเหรอ...แม่ขอโทษนะ พอดีแม่เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ”หญิงเอ่ยขึ้นตอบอย่างเลื่อนลอย เด็กสาวที่ได้ยินดังนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับหน้าผากของเธอ
(ตัวร้อนจี๋เลย ไม่ได้การแล้ว แบบนี้คงต้อง...)
“คุณแม่แข็งใจไว้ก่อนนะ เดี๋ยวหนูโทรเรียกรถพยาบาลให้”วีวีโอ้เอ่ยขึ้น พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาทำท่าจะกดเบอร์ลงไป ก็ถูกนาโนฮะห้ามไว้ซะก่อน
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่คงจะแค่เป็นหวัดนิดหน่อยน่ะ พักซักหน่อยก็คงหายแล้วล่ะ”
“แต่ว่า...” คุณแม่หัวดื้อของเธอส่ายหน้าตอบน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยขอร้องว่า
“แม่ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ช่วยพาแม่ไปส่งที่ห้องก็พอ”
วีวีโอ้ตอบรับคำขอร้องแต่โดยดี เธอพยุงร่างของคุณแม่สาวให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนที่จะพาเธอเดินโซเซขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง
“หนูจะไปเอาน้ำกับยาลดไข้มาให้นะคะ”ลูกสาวกล่าวขึ้นหลังจากที่กำลังห่มผ้าให้คุณแม่ของเธอ แล้วชั่วขณะต่อมาผู้เป็นลูกก็กลับมาพร้อมกับกล่องใส่ยาและน้ำอุ่นเหยือกหนึ่ง
“ขอบใจจ๊ะลูก นี่ก็สายมากแล้ว ไปโรงเรียนเถอะจ๊ะ”
“แต่...”
“แม่ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ไปเถอะ”
“ค่ะ คุณแม่นาโนฮะก็พักผ่อนเยอะๆนะคะ”แล้วเด็กสาวก็ก้าวออกจากห้องไป
หัวดื้อยังงี้ทั้งปี ไม่สบายทีไรก็ไม่ค่อยจะยอมไปหาหมอหรอก ไม่รู้ว่ากลัวหมอจะกัดรึไง เฮ้อ...ไม่ไหวๆ เห็นทีอาการแบบนี้คงปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้แล้วล่ะ ตัวเราเองก็ถูกสั่งให้ไปเรียนซะด้วยอีก คงต้องโทรเรียกให้ใครสักคนมาดูแลแทนแล้วล่ะนะ
แล้วโทรศัพท์ก็ถูกต่อสายไป
(นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้ป่วยซมแบบนี้ ไม่รู้ตอนนี้ผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย น่าจะเกือบๆเที่ยงแล้วมั้ง ทำไมยาที่กินเข้าไปถึงยังไม่ออกฤทธิ์สักทีนะ โอย...ปวดหัวจังเลย)
ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าของคนเดินก้าวขึ้นบันไดมาอย่างเชื่องช้า มันช่างเป็นย่างก้าวมาอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาซะเหลือเกิน จนในที่สุดฝีเท้านั้นก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง แล้วประตูก็ถูกเปิดเข้ามา
“เฟทจัง...”นาโนฮะเอ่ยทักขึ้นด้วยเสียงหงอยๆ
“ขนาดไม่สบายอยู่ยังรู้ได้อีกนะเนี่ย เธอน่ะ”เพื่อนสาวผมบรอนซ์กล่าวเนือยๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ
“แฮะๆ ฉันจำได้หรอกน่า เสียงฝีเท้าของเธอน่ะ”หญิงสาวที่นอนป่วยซมอยู่พูดพลางหัวเราะแหะๆ เฟทวางถาดวางชามข้าวใบนั้นลงบนโต๊ะข้างๆอย่างนุ่มนวล แล้วจะถามขึ้นว่า
“อาการเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็ยังมึนๆอยู่เลย...”
“ไหนดูซิ”เพื่อนสาวเอ่ยพลางโน้มตัวลงมาประกบกับหน้าผากของเธอเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อไป
“อืม...ตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”แล้วเธอก็เงยหน้าออกห่างมาเล็กแล้วถามอีกว่า
“กินยาไปรึยังล่ะ”
“อือ กินไปเมื่อเช้าแล้วชุดนึง...”ระหว่างนั้นเฟทหยิบซองใส่เม็ดยาขึ้นมาอ่านฉลากดู ก็ตำหนิใส่ไปนิดๆว่า
“นี่เธออ่านฉลากยามั่งรึเปล่าเนี่ย เขาเขียนว่าให้กินหลังอาหารนะ”
“อ่านแล้ว แต่ฉันกินอะไรไม่ลงเลยนี่นา”
“เฮ้อ... ให้มันได้ยังงี้ซิ”เพื่อนสาวโอด ก่อนที่จะหันไปยกชามข้าวต้มลงมา
“อ่ะ...นี่ ฉันทำข้าวต้มมาให้ กินซะหน่อยนะ จะได้กินยาได้”
“จ๊ะ...”
เธอพยุงร่างที่รู้สึกหนักอึ้งของตัวเองให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนที่เพื่อนสาวของเธอตักจะข้าวต้มในชามใบนั้นขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วป้อนให้
“อ้าม...ง่ำๆ”
“เป็นไงบ้าง...อร่อยมั้ย” เฟทถามอย่างเฝ้ารอ หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับตอบไปว่า
“ไม่ไหวๆ หนทางยังอีกยาวไกลนะ”
“เออ...ขอโทษล่ะกัน ที่เซนซ์ด้านนี้ของฉันมันสู้เธอไม่ได้น่ะ”เพื่อนสาวเชิดงอนประชดใส่ นาโฮะที่เห็นเธอเป็นแบบนั้นจึงหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ฉันล้อเล่นน่า ฉันล้อเล่น ก็เธออุตส่าตั้งใจทำมาเพื่อฉันโดยเฉพาะเลยนี่นา จะไม่อร่อยได้ไงล่ะ” เมื่อเจอรอยยิ้มเทพธิดาโจมตีเข้าไปถึงขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็คงทนหนักแน่นไม่ไหวอยู่แล้วล่ะ เฟทที่เริ่มรู้สึกเอียงอายขึ้นมาเล็กน้อยก็รีบตัดบทไปอย่างลนลานว่า
“อ่า...เอ่อ...งั้นก็...ทานอีกคำนะ” เพื่อนสาวเอ่ยพลางตักข้าวต้มขึ้นมาป้อนต่อ
“จ๊ะ”
หลังจากจบมื้ออาหารที่บริการโดยเพื่อนรักไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่คนป่วยจะต้องพักผ่อนซักที แต่เฟทสังเกตุเห็นว่าชุดนอนที่เพื่อนเธอสวมอยู่นั้นมันค่อนข้างจะชุ่มเหงื่อเกินไปแล้ว เธอจึงคิดขึ้นว่าน่าจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดให้คุณเธอใหม่ซะก่อนรอบนึงคงจะดีกว่า ระหว่างที่หญิงสาวกำลังใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดแผ่นหลังที่ขาวเนียนของเพื่อนรักคนป่วยอยู่นั้น เธอก็ถึงถูกถามขึ้นมาว่า
“นี่...เฟทจัง”
“หืม...”
“ยังโกรธฉันอยู่รึเปล่า” เธอหยุดกึก ไม่มีคำตอบอะไรเอื้อนเอ่ยออกมา จนทำให้อีกฝ่ายเริ่มร้อนใจ
“นี่...”
“โกรธซิ”เฟทเริ่มปริปากตอบมาก่อนสั้นๆ ก่อนที่จะระบายออกมาต่อว่า
“ยิ่งมาเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งโกรธมากเลยด้วย...ทำไมกันล่ะ ทำไมเธอถึงชอบทำอะไรที่มันฝืนตัวเองตลอดเลย ทำไมเธอถึงไม่คิดถึงคนที่เป็นห่วงเธอบ้าง” แล้วเธอก็เริ่มสะอื้นออกมา
“เฟทจัง...”นาโนฮะเอ่ยชื่อของเธออกมาอย่างแผ่วเบาพลางจะหันไปสบตาด้วบ ก่อนที่จะถูกสวมกอดเข้าใส่จากทางด้านหลัง
“ช่วยสัญญาได้มั้ย ว่าจะไม่ทำอะไรที่มันเกินกำลังตัวเองแบบนี้อีกน่ะ สัญญากับฉันได้มั้ย” เพื่อนสาวเอ่ยกระซิบด้วยแววตาที่วิงวอนขอร้องทั้งน้ำตา
“ก็ได้จ๊ะ ฉันสัญญา”นาโนฮะกล่าวพร้อมกับยกนิ้วก้อยซ้ายขึ้นมาเป็นการน้อมรับ
ไม่อาจรู้ได้เลยว่า เราสองคนนั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันมาตั้งแต่เมื่อไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราสองได้เรียนรู้ในเวลานี้ก็คือ พวกเราไม่อาจจะที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเลย ถ้าหากว่าขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะ ไม่พอใจกันบ้าง โกรธใส่กันบ้าง หรือบางทีก็อาจจะทะเลาะกันก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้เลยก็คือ พวกเราจะยังคงจดจำเรื่องราวของกันและกันเอาไว้ตราบจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ฉันจะไม่มีวันลืม วันเวลาของเรา อย่างแน่นอน
Nanoha Fan Fiction ตอน ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน….จบ
ติชมกันได้ตามสะดวกนะคร้าบบบ ขอให้มีความสุขในวันแห่งความรักปีนี้ แล้วพบกันโอกาสหน้าครับ
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988
ความคิดเห็น