.... กำลังใจอาจจะสร้างใหม่ ไม่นานมันคงจะกลับมา....
.... วันเวลาที่มันหายไป ขอคืนได้ไหมเวลา....
หากใครยังคงจดจำเสียงแหบสนิทศิษย์เฮียฮ้อของพี่ต๊ะบอยสเก๊าท์ได้ ท่อนนี้คงเป็นอีกท่อนที่ฮิตติดหูแทบแนบสนิทของพวกชาวเหล่าลูกเสือป๊อบแดนซ์ คนอายุราวคราวยี่สิบต้นๆ ถึงปลายๆ คงจะคุ้นเคยกับเสียงแหบๆที่เป็นเอกลักษณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าเป็นสมัยนี้พูดถึงบอยสเก๊าท์ทีไร ผมคงจะเห็นแต่ภาพรถสามล้อสั่นกระดิ่ง พร้อมไอติมตักใส่ถ้วยที่คุณน้ากำลังบีบชอกโกแลตลาวาราดลงบนไอติม พร้อมทั้งราดถั่วลิสงโปะลงไปก่อนเสริฟถึงมือเราแทน
แม้บอยสเก๊าท์แต่ละยุคจะมีการพัฒนาในด้านดนตรี หรือความอร่อยขึ้นมากเพียงใด สิ่งหนึ่งที่ยุคสมัยของผมจดจำได้อย่างดิบดีก็คือ ท่อนฮุคที่พี่ต๊ะ กำลังร้องตะโกนอย่างสุดเสียงว่า
.... ขอคืน แล้วไปเริ่มใหม่....
แต่ก่อนเคยสงสัยว่าการตะโกนอย่างสุดเสียงของพี่ต๊ะในท่อนฮุควันนั้น พี่ต๊ะกำลังจะขอให้ใครคืนอะไร คืนอย่างไร แล้วมันหายไปที่ไหน
หลังจากฟังจบจนเพลง ลองมาพินิจพิเคราะห์ดูแล้วก็พบว่า พี่ต๊ะน่าจะกำลังขอคืนสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งจากช่างทำนาฬิกา
สิ่งนั้นคือ "เวลา"
สิ่งของบางอย่างที่เราทำหล่นหาย ยังสามารถซื้อมาทดแทนได้ แต่กับเวลาที่หายไป กลับไม่มีสิ่งวิเศษอันใดที่จะสามารถแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเวลาได้เลยแม้แต่น้อย
เดือนก่อนเพื่อนผมคนหนึ่งทำสิ่งของอย่างหนึ่งหายบนรถแท็กซี่ จากการซักไซ้ไต่ถามดูแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นของที่ไม่ได้มีมูลค่าแพงซักเท่าไหร่นัก แต่การหายไปของสิ่งของสิ่งนี้ไม่สามารถถูกทดแทนจากการได้ของชิ้นใหม่ที่มีลักษณะเหมือนเดิมได้เลย
สิ่งที่มาช่วยเพิ่มคุณค่าคงไม่ใช่ใครคนใดจากแดนไกลไหน "เวลา" ดีดีนี่เอง
พี่นิ้วกลมเคยเล่าเรื่องการเดินทางให้ผมฟังผ่านหน้าต่างบานสีฟ้าว่า ทุกๆการเดินทางพี่นิ้วจะเริ่มต้นจากการพกหน้ากระดาษอันว่างเปล่า ตลอดการเดินทางกระดาษแผ่นว่างๆจะถูกร่างขึ้นจากความทรงจำ แต่งเติมความคมชัดด้วยไอเดียดีๆ และระบายสีตบทับด้วยความคิดแปลกใหม่ พอจบทริปการเดินทางแต่ละครั้ง สมุดที่ดูขาวสะอาดเล่มนั้นกลับกลายร่างไปเป็นหนังสือแง่คิดดีดีซักเล่มที่ตั้งตระหง่านอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไป
ถ้าสมุดที่จดบันทึกเกิดหล่นหายระหว่างทาง คงไม่ง่ายดายนักที่ใช้ประตูวิเศษย้อนเวลากลับไปหาต้นตอของเนื้อเรื่อง เพราะบางความคิด หรือความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนเดิมไปอีกแล้ว เวลาจึงเปรียบเสมือนเวทมนต์มหัศจรรย์ที่ช่วยให้เราสามารถออกเดินทางเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆได้เสมอ
นักวิ่งในสนามแข่งมาราธอนเชื่อว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขัน การตัดสินชัยชนะจึงขึ้นอยู่ที่เวลา เวลาจะอยู่เคียงข้างเราเสมอในยามออกสตาร์ท ขณะออกวิ่งไปครึ่งทาง หรือตอนวิ่งเข้าเส้นชัย แต่บางครั้งการที่นักวิ่งยึดติดกับความเสียหายอดีต หรือความกังวลในอนาคตมากเกินไป กลับทำให้มองไม่เห็นเพื่อนที่แสนดีอย่างเวลาที่กำลังวิ่งอยู่ข้างๆ
แปลกดีนะที่ ความสุข ความสนุก มักจะเกิดขึ้นในเวลาปัจจุบันขณะ ตรงกันข้ามกับความทุกข์ ความเศร้า ความกังวล ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับเวลาในอดีตหรืออนาคต
หากชีวิตการทำงานเปรียบได้กับการวิ่งมาราธอนในระยะทาง 60 กิโลเมตร ตอนนี้นักวิ่งทุกคนน่าจะใช้กำลังที่เหลืออยู่หอบร่างกายตัวเองมาจนถึงจุดหยุดพักเพื่อให้น้ำในจุดแรกที่ 30 กิโลเมตร
แม้ระยะทางในครึ่งแรกจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับร่างกาย จิตใจ ความคิดที่อยากจะล้มเลิก อาจจะบั่นทอนความตั้งใจที่เต็มเปี่ยมจากวันแรกที่เราเริ่มสวมรองเท้าวิ่งคู่นี้
เส้นทางต่อจากนี้ไป พวกเรามาลองเปลี่ยนมุมมองไปข้างหน้าต่อระยะทางที่เหลือกันดีกว่า จะใช้ความสุข ความสนุกสนานในการวิ่งต่อไป หรือจะเลือกใช้ความทุกข์ ความเศร้า ความกังวลกับระยะทางที่เหลืออยู่เหมือนเดิม
การหกล้ม ณ จุดออกตัว ตะคริวที่เกือบจะกินตั้งแต่ 18 กิโลเมตรแรก หรือความคิดที่จะล้มเลิกในที่ 25 กิโลเมตรถัดมา คือประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม หากไม่มีเขาคงไม่มีเรา ณ จุดที่ยืนพักอยู่ตรงนี้
ดื่มน้ำ ณ จุดพักนี้ให้เพียงพอ แล้วกวักมือเรียกเพื่อนคู่ใจที่ชื่อ "เวลา" กลับมายืนข้างๆ กันอีกครั้ง แล้วหันไปกระซิบบอกเขาเบาๆว่า
ฉันมีเวลาอยู่ตรงนี้ ฉันจะอยู่กับเวลาที่มีความสุขตลอดระยะทาง และนี่จะเป็นเวลาที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา
ต้นทุนที่สำคัญที่สุด คือ "เวลา" แต่ไม่ใช่เวลาที่เสียไป ต้นทุนที่แท้จริงจะถูกก่อร่างเป็นกำไรของชีวิตจากเวลาที่เหลืออยู่ของเรา
ก่อนจบผมคงต้องกระซิบเบาๆบอกพี่ต๊ะก่อนว่า ไม่ต้องขอ(เวลา)คืนหรอกครับ ลองตัดประโยคหน้าของท่อนฮุคออกไป แล้วพี่ต๊ะก็ "ไปเริ่มใหม่" เดี๋ยวนี้เลยครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น