[WFcontest]The legate story - [WFcontest]The legate story นิยาย [WFcontest]The legate story : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest]The legate story

    เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ถูกเลือกให้รับอุปการะมังกรน้อย เพื่อเป็นตัวแทนในการทำหน้าที่ของทูตกับเผ่าพันธุ์ต่างๆ เรื่องราวจะเป็นยังไงเชิญติดตามครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    197

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    197

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ม.ค. 58 / 03:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    สวัสดีครับผม 
    ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านนะครับ

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ความรู้สึกที่ผลักดันทุกอย่าง

      " เฮ้อออ "เสียงถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนที่ดังอยู่บริเวณทางหลังห้องในคาบเรียนวิชาว่าด้วยพืชมีประโยชน์ ซึ่งโดยปกติแล้ววิชานี้นั้นในคาบเรียนการบรรยาย เด็กๆในโรงเรียนออสต้าต่างกล่าวขานกันว่าน่าเบื่อที่สุดในสามโลก ถึงขนาดคว้าชัยผลโหวตวิชาที่ใช้กล่อมนอนถึงสามปีติด!

                      ทว่านั้น ไม่ใช่สำหรับเด็กหนุ่มคนนี้

                      เฟลาซ์ อิกซ์โซเนีย ผู้ตั้งตนจะเป็นทูตเชื่อมสัมพันธ์พันธไมตรีขั้นสูงสุดของมนุษย์และต่างแดน ด้วยเหตุนี้ ความรู้ทั้งหลายไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด สำหรับเฟลาซ์แล้ว ล้วนสำคัญทั้งสิ้น จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะคว้าคะแนนในวิชาพืชพรรณนานา ได้เป็นอันดับหนึ่งของออสต้า จนทำให้อาจารย์โรซ่าหัวหน้ารายวิชาถึงกับร้องไห้มาแล้ว

                      แต่วันนี้เฟลาซ์เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงรู้สึกเหนื่อยหน่ายและเฉื่อยชาแบบนี้ ถามว่าสิ่งที่อาจารย์มามาเนียกำลังพูดอยู่เขารู้เรื่องและจดตามทันไหม เฟลาซ์กล้าพูดได้เลยว่าทุกตัวอักษรของเขานั้นเหมือนกับถ่ายเอกสารคำพูดอาจารย์มาเลยเป๊ะๆ 

                      " เฮ้ออออ "

                      " เฮ้ย! นายจะถอนหายใจอะไรหนักหนาเฟลาซ์ นายรู้ตัวไหม นายกำลังทำให้บรรยากาศน่าเรียนของห้องนี้ถูกทำลายด้วยเสียงชวนโมโหของนายเนี้ยแหละ "เฟลาซ์หันมาหาชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ เขามองพินิจเพื่อนตนอยู่ซักพักก่อนจะทำหน้าแหยะๆออกมาแล้วบอกว่า

                      " เฮ้ออออออออ "แน่นอนว่าสำหรับอาร์คที่เป็นเพื่อนกับเฟลาซ์มานาน มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าไอ้เฮ้อเมื่อกี้ของเฟลาซ์นั้นหมายถึงอะไร ถ้าให้แปลออกมา มันคงจะได้ออกมาเป็น

                      'ปกตินายก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง กล้าพูดนะว่าบรรยากาศห้องน่าเรียน ฉันเห็นทุกทีนายเอาแต่หลับ' โอเคถ้าพูดด้วยเสียงปกติมันอาจจะไม่เท่าไร แต่ถ้าบวกเสียงเฮ้อดูถูกโคตรกับหน้าอ้อนตีนของเจ้าเพื่อนปากสุนัขคนนี้เข้าไปแล้ว อาร์คนี้แทบอยากกระโดดยันเข่าใส่หน้ามันเสียกลางคาบ

                      แต่พอคิดไปคิดมาสิ่งที่หมอนั้นพูดก็มีแต่เรื่องจริง! ก็แหง่ละใครมันจะไปทนได้ วิชาบ้าอะไรก็ไม่รู้ ฝึกซ้อมก็ไม่มี วันๆให้ดมแต่กลิ่นดอกไม้ ใบหญ้า เขาเองไม่ใช่สัตว์กินพืชนะถึงจะต้องอยากแยกชนิดหญ้าที่พบว่าอันไหนกินดี กินอร่อย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฉลาดน้อยจนใกล้เคียงสัตว์พวกนั้นแล้วก็เถอะ!

                      เฟลาซ์ที่ยังถอนหายใจต่อไป

                      อาร์คที่ยังพยายามหลับต่อไปแม้จะไม่สำเร็จ

                      และพอสองสิ่งนี้อยู่ใกล้กันและรวมกัน มันเลยทำให้ทั้งเฟลาซ์และอาร์คดูเด่นขึ้นถนัดตา อย่างน้อยๆเพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของเฟลาซ์ก็เริ่มเซ็งนิดๆแล้วเหมือนกัน สังเกตได้จากการที่เขาเริ่มหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงแก้รำคาญ ทั้งๆที่ยังอยู่ในคาบเรียน!

                      แน่นอนว่าพอโรคติดต่อนี้เริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น อาจารย์มามาเนียที่ตอนแรกพยายามทำเป็นไม่สนใจเพราะว่าตัวเธอนั้นเข้าใจอยู่แล้วว่าตนเองสอนได้น่าเบื่อ แต่ว่าสิ่งที่เธออยากจะให้เหล้าทูติในอนาคตนั้นมันจำเป็นมากต่อการไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด ดังนั้นปกติแล้วหากเธอเจอเด็กที่หลับแต่ยังมีการบันทึกเสียงของเธอไปฟัง เธอยังรู้สึกว่าพอรับได้ เพราะว่าเด็กเหล่านั้นอย่างน้อยๆก็ได้พยายามรับเอาในสิ่งที่เธอพยายามให้ไป

                      สำหรับมามาเนียยามที่เธอให้ความรู้ใดๆแล้วมีคนปฏิเสธอย่างร้ายกาจ เธอเองก็ไม่สามารถรับได้เช่นกัน ซึ่งดูเหมือนคลาสเรียน 1A กำลังเป็นไปในทิศทางนั้นอยู่

                      ด้วยเหตุนี้มามาเนียจึงหยุดการบรรยายของเธอลง แล้วใช้สายตามองไปยังต้นเหตุของสภาพอันน่าสลดใจ ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะนักเรียนกว่าครึ่งที่ตอนแรกไม่ตั้งและไม่ใส่ใจ ก็หันกลับมามองเธออย่าหวาดเกรง

                      เหล่าเด็กๆรู้ดีว่าอาจารย์มามาเนียในยามปกตินั้นเธอเป็นเพียงหญิงสูงวัยใจดีและมีเมตตา แต่เวลาที่เธอโกรธขึ้นมานั้น มันไม่ใช่อะไรที่ควรจะท้าทายเลยแม้แต่น้อย

                      ขนาดอาร์คที่ปกติก็มักจะพูดกวนบาทาคนนู้นคนนี้ไม่เว้นแม้แต่กับอาจารย์ พอเจอสายตาที่จ้องมาของหญิงชราผู้ขึ้นชื่อเรื่องความดุที่เป็นรองเพียงมังกรสามหัวเท่านั้น ก็รีบสะกิดเฟลาซ์ให้เลิกทำท่าเฮ้อเสียที แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะไม่ยอมหยุดและปัดมือเขาทิ้งเสียอย่างนั้น อาร์คเลยจำใจต้องตบกะบาลเพื่อนอย่างเบามือเพื่อเรียกสติ ย้ำว่าจำใจและเบามือ

                      " มันเจ็บนะไอ้อะ... "ทว่าพอเจ้าตัวตั้งท่าจะด่า เขาถึงได้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนจ้องโดยอาจารย์และเพื่อนกว่าร้อยชีวิตในคลาสอยู่โดยมีอาร์คทำท่าปาดมือเชือดคอเหมือนเชือดไก่พร้อมยักคิ้วและทำปากว่าซวยแล้วเอ็ง คอยเป็นกำลังใจเสริมอยู่ไม่ห่าง

                      " เอาละคุณเฟลาซ์ ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองแบบนี้นะ และเพราะฉันยังอยู่ในหน้าที่ จึงไม่อยากจะสาวความต้นเหตุจากเธอให้มากพิธี เพราะฉะนั้นฉันต้องขอบอกเลยว่า วันนี้ ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ...แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นนะ "อาจารย์มามาเนียพูดจบพร้อมส่งยิ้มที่เฟลาซ์รู้ว่าเธอพยายามทำให้คำพูดเชือดเชือนนั้นดูเบาบางลงมากที่สุด แน่นอนว่าตัวเฟลาซ์เองนั้นก็รู้อยู่ว่าตนผิดจริง แต่พอยิ่งโดนอาจารย์ที่เขาเคารพมากอย่างอาจารย์มามาเนียว่าด้วยแล้ว มันเหมือนยิ่งเจ็บคูณสองเข้าไปอีก

                      " ผมขอโทษครับอาจารย์ พอดีผมมีปัญหานิดหน่อยครับ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกครับ "เด็กหนุ่มได้แต่ขอโทษและยอมรับผิดด้วยใจจริงก่อนกลับลงนั่งที่ตามเดิม

                      " เดี๋ยวๆคุณเฟลาซ์ ฉันยังไม่ได้บอกให้คุณนั่งเลยนะ "จากปกติผิวของเฟลาซ์ที่ออกจะซีดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งซีดมากขึ้นไปอีก

                      ขนาดเพื่อนในห้องเรียนฟังอาจารย์พูดเมื่อกี้ยังสะอึกไปตามๆกัน ตัวเฟลาซ์เองนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง

                      " โดนเชือดแน่เอ็ง "เนื่องจากคำพูดให้กำลังใจอันสุดแสนจะรักเพื่อนของไอ้คุณอาร์ค เฟลาซ์เลยต้องจัดแจงส่งของขวัญใส่หน้าแข้งอย่างหนักให้หนึ่งทีจนเจ้าตัวถึงกับร้องโอ้ย แต่โชคยังดีที่อาร์คตะครุบปากทัน ไม่งั้นละก็ วันนี้เพื่อนๆเห็นไก่โดนเชือดสองตัวพร้อมกันแน่!

                      " ฉันค่อนข้างซาบซึ้งในคำขอโทษของเธอจากใจฉันจริงๆ แต่ว่าคำขอโทษนั้นก็ไม่อาจทำให้ความผิดหายไป เพราะงั้นฉันจะขอลงโทษเธอด้วยการถามคำถามง่ายๆ ถ้าเธอตอบได้ฉันจะหักคะแนนรายวิชาของเธอเพียงสามสิบคะแนน แต่ถ้าเธอตอบไม่ได้ฉันจะหักเธอห้าสิบคะแนนและงดยืมหนังสือจากชั้นระดับ A ไปหนึ่งอาทิตย์ ยอมรับได้นะ "

                      ถึงยอมรับไม่ได้ก็ต้องรับให้ได้ เฟลาซ์เลยได้แต่พยักหน้ารับอย่างเกร็งๆเท่านั้น ถึงปกติแล้วเขาจะตอบคำถามอาจารย์มามาเนียอยู่บ่อยครั้งจนได้คะแนนตุนไว้เยอะมากพอ แต่คำถามที่เคยตอบมันก็ได้แค่ครั้งละ 0.5 คะแนน แต่นี้จะผิดจะถูกก็โดนหักแน่ๆกว่าครึ่งร้อย เขาละไม่อยากจะคิดเลยว่าคะแนนรายวิชานี้ของเขาจะเป็นยังไง

                      และที่สำคัญที่สุดคือหนังสือระดับ A ที่เขาเพิ่งได้รับอนุญาตให้ค้นคว้ามา ทั้งๆที่มีหนังสือเป็นสิบเล่มที่เล็งไว้แท้ๆ นี้ยังไม่ทันได้ยืมก็จะโดนงดสิทธิ์ซะแล้ว

                      ด้วยแรงผลักทั้งสองอย่างนี้เลยทำให้เฟลาซ์ยิ่งตั้งใจกับการตอบคำถามในครั้งนี้มากขึ้น เพื่อนๆในห้องของเขาเองก็ลุ้นไปกับเขาด้วยเช่นกัน ต้องบอกเลยว่าครั้งนี้อาจารย์มามาเนียนั้นเอาจริงสุดๆ     

                      " เอาละ ถ้าฉันต้องการหญ้าปาปีรัน ชนิดบัลทอส ฉันจะสามารถหาได้จากที่ไหน ในเขตใต้แห่งนี้ นอกจากนั้นแล้วประโยชน์ของหญ้าปาปิรันมีอะไรบ้าง บอกทั้งตอนที่สกัดและไม่สกัดเป็นตัวยาแล้วด้วยนะ อ้อ ถ้าจะกรุณาช่วยบอกถึงความแตกต่างของต้นหญ้าปาปีรันกับปาปีรันปาให้ฉันด้วยจะเป็นการดีอย่างมาก "

                      เกิดพายุแห่งความเงียบก่อตัวขึ้นในห้องเรียนอย่างฉับพลัน คำถามเดียวเลยที่ผุดขึ้นมาในหัวของพวกนักเรียนก็คือ

                      หญ้าปาปีรันมันคืออะไรวะ! เป็นญาติกับปลาในน้ำจืดแถวป่ารกชื้นรึเปล่า

                      โอเค ไอ้คำถามว่าสามารถหาได้ที่ไหนน่ะ ส่วนใหญ่มันไม่ยากเพราะรู้ได้จากชื่อ แล้วไอ้มีประโยชน์อะไรเนี้ย มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยถ้าเคยอ่าน แต่ว่าที่หินนะก็คือประโยชน์จากการสกัดเป็นยาแล้วต่างหาก นั้นมันข้อมูลระดับปีสามเลยนะนั้นน่ะ แล้วพวกเขาแค่ปีหนึ่งจะไปรู้ได้ยังไงกัน! นี้ยังไม่รวมความแตกต่างอีกนะ บอกได้เลยว่าเฟลาซ์เจอของแข็งเข้าให้แล้ว!

                      " ครับ หญ้าปาปีรันหาได้จากถ้ำใกล้แม่น้ำสายหลักของออสต้าอยู่แถวๆเนินแสงจันทร์ครับ ส่วนประโยชน์ของหญ้าปาปิรันคือลดอาการอยากอาหารที่มากเกินไปของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกทะเลครับ พอสกัดออกมาแล้วจะสามารถทำเป็นยาพิษที่ฆ่าพวกสัตว์ไร้พลังระดับสองถึงสี่ได้ครับ แล้วก็หญ้าปาปีรันกับปาปีรันปาต่างกันตรงที่ลายกลีบใบที่สามกับหกครับ "

                      และพายุแห่งความงงงวยก็พัดมาอีกครั้ง

                      เอ็งรู้ได้ไงฟะ!

                      พายุลูกนี้นี่ถึงกับทำให้เหล่าพวกท็อปเท็นในห้องเรียนต่างพลิกหนังสือตำรากันให้ควั่กว่าสิ่งที่เฟลาซ์ตอบนั้นมันถูกต้องหรือไม่ แต่เพราะว่าตามจริงแล้วหญ้าปาปิรันนั้นไม่มีในตำราของเด็กปีหนึ่งแน่นอน จะมีก็แค่ส่วนเสริมจากการบรรยายที่อาจารย์มามาเนียจะพูดแทรกๆเข้าไปให้บ้างบางครั้งที่เกินระดับไป ถ้าใครตั้งใจฟังก็จะพอนึกออกอยู่ แต่ถ้าไม่...ก็จอดสนิท

                      เพราะฉะนั้นแล้วเหล่าเพื่อนร่วมคลาสนั้นต่างไม่รู้เลยว่าเฟลาซ์ตอบถูกหรือผิด ทุกคนจึงมีอาการลุ้นจนตัวเกร็งไปตามกันๆ เรียกได้ว่าลุ้นกว่าเฟลาซ์ที่ตอบเองเสียอีก

                      ซึ่งรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของอาจารย์มามาเนียนั่นก็ทำให้เฟลาซ์ใจชื่นขึ้นมาทันที

                      " เป็นคำตอบที่ดี "

                      " เยส! "ทุกคนในห้องต่างประสานเสียงพร้อมกัน ทั้งยินดีที่เฟลาซ์ตอบได้ ทั้งยินดีที่ตนอาจจะได้คะแนนเพิ่ม เพราะเวลาที่มีเด็กคนไหนตอบถูกใจอาจารย์มามาเนีย แกมักจะให้คะแนนบวกเพิ่มขึ้นทั้งคลาสเป็นครั้งคราว นั้นเลยทำให้พวกเขาปิติยินดีไปกับเฟลาซ์ด้วย(?)

                      " เดี๋ยว ใจเย็นก่อนเด็กๆ ฉันบอกว่าเป็นคำตอบที่ดีแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นคำตอบที่ถูก "

                      ช็อคสิครับ!...มันก็จริงของอาจารย์เขาแต่ว่า แล้วทำไมอาจารย์ไม่พูดให้มันจบตั้งแต่แรกเลยเล่า! นั่นคือเสียงในใจจากเด็กห้อง1A

                      ส่วนเฟลาซ์นะเหรอ ตอนนี้วิญญาณลอยล่องออกจากร่างไปเสียแล้ว ปากก็พูดออกมาว่า ห้าสิบคะแนนกับหนังสือ วนไปวนมาราวกับคนไร้พลังที่จะมีชีวิตอยู่

                      " เอาๆอย่าเพิ่งเสียใจไป ฉันไม่ได้บอกนะว่าถึงผิดแล้วฉันจะลงโทษหนักในครั้งนี้ เอาเป็นว่าฉันขอประกาศเลิกคลาสเลยแล้วกัน แต่อย่าเพิ่งดีใจกันไป เพราะฉันต้องการให้พวกเธอเขียนรายงานของหญ้าปาปีรันมาส่งฉันภายในวันพรุ้งนี้ก่อนฟ้ามืด เข้าใจนะ "

      ตอนแรกพวกนักเรียนก็ว่าจะดีใจอยู่แล้วเชียว พอเจอประโยคหลังเท่านั้นแหละ ถึงกับโอดโอยร้องโวยวายเก็บของรีบตรงไปห้องสมุดทันที เพราะขนาดเฟลาซ์ที่เคยได้เต็มมาแล้วตอนเทอมแรกยังตอบไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าเด็กปีหนึ่งทั่วๆไปที่ไม่เคยแตะหนังสือเลยจะตอบได้!

                      " อ๋อแล้วก็คุณเฟลาซ์มาพบฉันด้วยนะ ตอนนี้เลย "เฟลาซ์ที่กำลังเก็บของด้วยใบหน้าหมดเรี่ยวแรงกว่าเก่าขานรับเบาๆแล้วรีบเดินลงไปตามพื้นต่างระดับของห้องสโลปที่พวกเขาใช้เรียน ส่วนอาร์คบอกว่าจะออกไปรอข้างนอกเพราะไม่อยากไปโดนลูกหลงอะไรด้วยกับเฟลาซ์ แค่นี้เขาก็รู้ซึ้งในความรักของเพื่อนคนนี้ที่มีให้แล้วละ!

                      " มีอะไรรึเปล่าครับอาจารย์ "เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหมดอาลัย

                      " โรซ่าฝากฉันให้เอาหนังสือนี้มาให้เธอ เห็นเขาบอกว่าเธอได้คะแนนแย่ในวิชาปรุงรสนี้ "เฟลาซ์รับหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า สมุนไพรกับอาหารนานาชนิดมาไว้ในมือ เฟลาซ์ลองเปิดดูเนื้อหาข้างในนั้นก็พบเป็นหนังสือที่บอกวิธีการทำอาหารทั่วไป แต่จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่ใช้วัตถุดิบเป็นสมุนไพรชนิดต่างๆ บางอย่างที่เฟลาซ์เคยคิดว่าไม่น่าเอามาทำได้ เล่มนี้ก็ยังเขียนเอาไว้

                      และที่พิเศษมากๆก็คือเนื้อหาเสริมถึงวิธีการหาและเคล็ดลับการทำต่างๆที่ถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือของอาจารย์โรซ่าและอาจารย์มามาเนียซึ่งพอเขาลองอ่านดูก็พบว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญๆและแปลกใหม่มากๆสำหรับเขาเลยทีเดียว

                      " ผมขอบคุณมากครับ "หนอนหนังสือตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับเมื่อครู่แบบสุดๆ ท่าทางแบบนั้นของเฟลาซ์เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ปรากฏบนหน้ามามาเนียได้อย่างง่ายดาย

                      " เดี๋ยวๆเฟลาซ์ "

                      " ครับผม "เด็กหนุ่มที่กำลังจะเดินออกหันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

                      " ตอนนี้ไม่ใช่ในชั่วโมงเรียนแล้ว จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะขอถามถึงเรื่องที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ อะอ่า และอย่าบอกว่าไม่มีอะไรนะเพราะว่าสิ่งที่เธอตอบมามันคือหญ้ากรันต้า ซึ่งอยู่หน้าถัดไปจากหญ้าปาปีรัน ฉันจำได้ว่าในหนังสือที่ให้เธอไปฉันเน้นหน้านี้เอาไว้เช่นกันเพราะงั้นหากเป็นในยามปกติ เธฮจะต้องสามารถตอบได้อย่างแน่นอน นี้ก็แสดงว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเธอตอนนี้ต้องหนักหนาเอาการเลยนะ ถึงทำให้สติของเธอไม่เต็มร้อยได้ขนาดนี้ "

                      เฟลาซ์ชั่งใจอยู่ครู่ว่าจะบอกดีไหม เพราะว่าแค่นี้เขาก็รู้สึกรบกวนและเป็นหนี้อาจารย์มามาเนียมากมายแล้ว แต่ปัญหาที่เขาเจอ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร อีกอย่างอาจารย์มามาเนียเองก็เป็นผู้ใหญ่ที่เฟลาซ์เคารพคนหนึ่งด้วย ในหัวของเฟลาซ์เลยตีกันไปตีกันมาระหว่างบอกกับไม่บอก

                      " อาจารย์เคยโดนคนเกลียดรึเปล่าครับ "สุดท้ายความอยากรู้ก็เอาชนะเขาอีกตามเคย

                      " หืม? จากเด็กนักเรียนนะเหรอ "มามาเนียถามกลับอย่างติดตลก

                      " ไม่ใช่ครับๆ ใครจะเกลียดอาจารย์ลงละครับ ผมหมายถึงฟลอด้านะครับ อาจารย์เคยโดนฟลอด้าบอกเกลียดไหมครับ "คำถามนี้ค่อนข้างแปลกและทำให้มามาเนียประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว แต่ด้วยประสบการณ์ที่เธอเคยเจอมา เธอจึงพอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เฟลาซ์กำลังเจอนั้นคืออะไรเพราะงั้นมามาเนียเลยทำแค่ระบายยิ้มและหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูเท่านั้น

                      " ฉันขอเสียมารยาทถามกลับก่อนนะ คำถามนี้เกี่ยวกับ คนในอุปการะของเธอรึเปล่า "เฟลาซ์อึ้งไปชั่วคณะ เพราะไม่คิดว่าหญิงสูงวัยตรงหน้าจะเดาได้ตรงขนาดนี้

                      " ครับใช่ครับ "

                      " เข้าใจล่ะ ก็ไม่แปลกเลยที่จะรู้สึก นี้เฟลาซ์เธอรู้เป้าหมายของโรงเรียนออสต้ารึเปล่า "

                      " ครับ รู้ครับ เพื่อที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับต่างเผ่าพันธุ์เพราะงั้นเราจึงจำเป็นต้องรับเหล่าทารกจากเผ่าพันธุ์ต่างๆมาดูแลใช่ไหมครับ "

                      " ก็ถือว่าถูก แต่แค่ในระดับหนึ่งในสิบเท่านั้นนะ "เฟลาซ์ที่ลอกคำพูดที่เขาเคยได้ยินมาจากรองผู้อำนวยการมาก็ถึงกับงงในคำตอบของอาจารย์มามาเนีย

                      " แต่อาจารย์ครับ แล้วมันเกี่ยวกับปัญหาของผมยังไงเหรอครับ "ตอนแรกจากที่รู้สึกสงสัยอยู่แล้ว พออาจารย์มามาเนียถามเขาแบบนี้ เด็กหนุ่มเลยยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกว่าสรุปแล้วปัญหาของเขาจะต้องแก้ยังไงกันแน่

                      " มันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวเธอลองไปหาฟลอด้าดูแล้วอาจจะพอเข้าใจขึ้นบอก...อ๋อ แล้วก็หญ้าปาปีรันนะ มีประโยชน์นะ เพราะงั้นจำมันให้ขึ้นใจด้วยละ ไป ไปได้แล้ว "นอกจากอาจารย์มามาเนียจะไม่เฉลยแล้ว แกยังทิ้งความสงสัยมากมายเอาไว้ให้
      เฟลาซ์เสียอีก เขาเลยได้แต่จำใจเดินกลับไปยังบ้านพักของเขา

                      " แล้วฟลอด้าเกี่ยวอะไรกับหนูลูด้วยนะ? ไม่เข้าใจ "
       

       

                      หลังจากเฟลาซ์ได้รับปริศนาคำใบ้มาจากอาจารย์มามาเนีย ตัวเขาที่เป็นคนขี้สงสัยอยู่แล้วก็ตรงไปยังที่พักของอาจารย์ทันที อีกอย่างแรกเริ่มเดิมทีเขาก็กะจะไปหาฟลอด้าเพื่อไหว้วานให้ช่วยมาดูลูให้เขาอยู่แล้วด้วย

                      " อ้าว เฟลาซ์ มีอะไรรึเปล่า ปกติเธอจะมาเห็นต้องบอกก่อนทุกที "เสียงใสน่ารักเอ่ยทักทายผู้ที่มาเคาะประตูบ้านของเธออย่างสนิทสนม

                      " ฟลอด้าคือว่าฉันมีเรื่องให้ช่วยน่ะ เธอช่วยตามมาที่บ้านฉันหน่อยนะ "ถึงแม้คำพูดจะฟังดูแล้วชวนแอบให้เข้าใจผิดอยู่บ้างแต่สีหน้าเป็นกังวลที่เคลือบอยู่บนใบหน้าของเฟลาซ์นั้นก็ทำให้เธอยอมตามไปอย่างว่าง่าย

                      ระหว่างทางเฟลาซ์ก็พยายามเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังถึงจะไม่ทั้งหมดแต่ก็เพียงพอที่จะเข้าใจได้

                      " สรุปแล้วก็คือ หนูลูอยากกินเนื้อกวางมัลเดสสดๆ แต่ประเด็นก็คือนายไม่มีเงินพอที่จะซื้อเนื้อสดและก็ไม่มีเงินพอที่จะนั่งรถไฟข้ามมิติเพื่อไปล่ามันเพราะต้องเอาเงินไปจ่ายค่าหนังสือของเทมอนี้สินะ "กวางมัลเดสนั้นอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งของออสต้าในตอนนี้ ไอ้การล่ามันนะไม่เท่าไรหรอก เพราะกวางมัลเดสยังอยู่แค่ระดับสามทำให้คนที่แม้จะไม่เก่งวิชาการต่อสู้มากอย่างเฟลาซ์ก็ล่าได้

                      แต่ประเด็นคือทำยังไงจะให้มันสดเนี่ยแหละ เพราะป่าไคล์นั้นตั้งอยู่ไกลนับจากออสต้าไปกว่าสามร้อยกิโล ถ้าจะเดินเท้าไปอย่างเร็วสุดก็ใช้เวลาสามวัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงตอนแบกเนื้อกลับเลย เน่าแน่ๆไม่ต้องสืบ

                       ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดก็คือใช้รถไฟข้ามมิติ แต่ปัญหาที่สองก็ตามมาติดๆ ด้วยราคาบัตรที่แพงขูดเลือดขูดเนื้อ เด็กทุนอย่างเขาไม่มีทางจ่ายแล้วอยู่รอดพ้นเดือนแน่ มีหวังอดตายคาห้องพักกันพอดี!

                      " เอาจริงๆเรื่องมันก็มีแค่นั้นนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพอฉันบอกว่าไม่ได้ ลูก็อาละวาดใหญ่"หนูลูหรือชื่อเต็มก็คือลูมิน่า มังกรสายพันธุ์ปริศนาที่เฟลาซ์ถูกเลือกให้อุปการะในพิธีสัญญะแห่งโบราณกาล ซึ่งเป็นพิธีที่จะทำการจับคู่ผู้ดูแลและตัวเด็กผู้ถูกอุปการะขึ้นมาหนึ่งคู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของการสงบศึกจากสนธิสัญญาที่ทำร่วมกันของเผ่าพันธุ์อันทรงภูมิของมหาโลกอัลทอส

                      พิธีนี้มีขึ้นเพื่อให้คนดูแลที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ขึ้นชื่อเรื่องพลังในการเรียนรู้ สอนสิ่งต่างๆให้เหล่าเด็กผู้ถูกอุปการะได้รับเอาวัฒนธรรมและการเป็นอยู่ที่แตกต่าง เพื่อที่สุดท้ายแล้วเด็กเหล่านั้นจะได้นำกลับมายังโลกของตนเองเพื่อปรับเปลี่ยน แก้ไขและป้องกันมหาสงครามที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล

                      ด้วยเหตุนี้ออสต้าหรือโรงเรียนฝึกสอนเหล่าเผ่าพันธุ์ต่างมิติจึงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย อย่างฟลอด้าเองที่เป็นลูกครึ่งของมังกรผสมนกฟีนิกส์ที่ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอจะอยู่ในรูปร่างมนุษย์ แต่ร่างกายเธอก็ยังปรากฏส่วนซึ่งเป็นร่างต้นแบบของเธออยู่นั้นคือเขาเล็กๆที่กลางศรีษะและปีกรูปทรงคล้ายค้างคาวแต่มีขนสีแดงคล้ายเปลวไฟติดอยู่ประปราย ซึ่งลักษณะเหล่านั้นของเธอก็โดดเด่นกว่าผู้คนในละแวกที่พักของเฟลาซ์

                      นั้นก็เพราะว่าสถานที่พักของเฟลาซ์นั้นอยู่ในเขตดราโกนอยน์หรือก็คือสถานที่ที่ใช้เลี้ยงดูเหล่าลูกหลานของมังกร เลยทำให้บริเวณนี้มีแต่ผู้ดูและเหล่าเด็กมังกรสายพันธุ์ต่างๆอยู่รวมกัน

                      " ฉันเองก็จำได้ว่ามาม๋าเคยบอกฉันเหมือนกันว่า ตอนเด็กๆฉันนะเอาแต่ใจมากเลยละ เห็นท่านเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งฉันอยากกินเนื้อของหมาป่ากาการ่าที่เป็นเผ่าพันธุ์มีพลัง เลยแปลงกายออกไปไล่ล่าด้วยตัวเอง โชคยังดีที่มะม๋าตามมารั้งฉันเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างงั้นละก็มีหวังฉันได้ไปอยู่ที่หอคอยโดเรียแน่เลย ตอนนั้นฉันร้องไห้เลยละ เพราะว่ามาม๋ายอมสละพลังเอเทอนัลทั้งหมดของตัวเองเพื่อจะหยุดฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณมะม๋ามากจริงๆ "

                      เฟลาซ์พยักหน้ารับคำของฟลอด้าด้วยเชื่อว่าเรื่องที่เธอเล่านั้นเป็นความจริง เพราะจากตำราเกี่ยวกับมังกรที่เขารวบรวมมาเพื่อจะดูแลหนูลู ก็เคยมีตำนานเล่าว่ามังกรเป็นเผ่าพันธุ์จอมทำลาย และจะแสดงอำนาจพลังออกมามากเกินควบคุมในช่วงวัยเยาว์ เขาเองก็กลัวหนูลูจะเป็นแบบนั้นเลยตั้งใจจะตามฟลอด้ามาเพื่อช่วยกันห้ามจากสิ่งที่เขากลัว

                      " ถ้าหนูลูแปลงกายแล้วออกไปล่าสิ่งที่อยากกินละฉันจะทำยังไงดี "ตามบทบัญญัติโบราณนั้นได้กล่าวเอาไว้ว่า ห้ามเผ่าพันธุ์มีพลังกินเนื้อกันเองเด็ดขาด หากใครฝ่าฝืนจะถูกจองจำอยู่ในหอคอยโดเรียชั่วกัลปาวสาน หากหนูลูต้องไปอยู่ในนั้นแล้วละก็ เฟลาซ์คงโทษตัวเองไปตลอดชีวิต

                      " ไม่ใช่คิดว่าหลังจากกินแล้วจะทำยังไง แต่เธอต้องห้ามไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นพ่อของลูนี้ "คำตอบของฟลอด้านั้นเหมือนจะทำให้ความรู้สึกที่ติดค้างเขามาตั้งแต่เช้าเริ่มชัดเจนขึ้นมาบ้างว่ามันคืออะไร

                      หลังจากเดินผ่านทุ้งหญ้าเขตดราโกนอยน์ด้านหลังของออสต้าได้พักใหญ่ ทั้งสองคนก็มาหยุดอยู่หน้าอาคารที่ทำจากหินอ่อนสีขาวที่เสริมด้วยพลังเอเทอนัลช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวบ้าน เพื่อป้องกันในยามเหล่าลูกมังกรไม่เชื่อฟังและอาละวาดทำลายข้าวของ

                      กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง

                      " หนูลูฉันกลับมาแล้ว "ในจังหวะที่เฟลาซ์เปิดเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่เขารับรู้คือสภาพของตัวบ้านที่เละเทะเสียยิ่งกว่ารังหนู ทั้งรอยดำรอยไหม้ของเครื่องใช้ครัวเรือนต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งชั้นหนังสือของเฟลาซ์ที่เขารักมาก นี้โชคยังดีที่มีเอเทอนัลเคลือบไว้หมดแล้วเลยไม่ถูกทำลายง่ายๆ ไม่งั้นละก็บ้านคงจะเละเทะกว่านี้แน่

                      " ลูนี้ฉันฟลอด้านะอยู่ไหนเอ่ย "สาวน้อยเจ้าของปีกสีแดงเดินเข้าไปตามโถงทางเดินสู่ห้องนั่งเล่น ในขณะที่เฟลาซ์เองก็ยังคงสำรวจบ้านของตัวเองอยู่พร้อมกับหาลูไปด้วยเช่นกัน

                      " กะ...เกรีด ปัมป้า อืมไม่น่าใช่ "เฟลาซ์เดินตามหลังฟลอด้าเข้ามาดูที่ห้องนั่งเล่นเหมือนกัน เขาเห็นเธอกำลังอ่านตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยสีเทียนทั่วห้องนั่งเล่น ตอนแรกเฟลาซ์ก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันอ่านได้เป็นคำอะไร แต่พอเขาคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าแล้วก็นึกออกในทันที

                      ลูเกลียดปะป๋าที่สุด เสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปมาในหัวของเฟลาซ์หลายต่อหลายครั้ง

                      " น่าจะเป็นเกลียดปะป๋า...มั้งนะ "ฟลอด้ามองหน้าเฟลาซ์สลับกับกำแพงไปมาก่อนจะเผยยิ้มมีนัยยะ ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมแม่ของเธอถึงบอกให้เฟลาซ์มาหาเธอ ฟลอด้าพอจะเข้าใจปัญหาและที่มาของความรู้สึกแปลกๆของเฟลาซ์แล้วละ

                      ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้วงความคิดเสียงหนึ่งก็ร้องตะโกนดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด

                      " โอ้ยยยยยยย ปวดท้องงงงง ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย "

                      " ลู! "เป็นเฟลาซ์ที่วิ่งไปทางต้นเสียงก่อนเป็นคนแรก ชายหนุ่มรีบถึงขนาดที่ว่าเผลอชนฟลอด้าจนเซไปเล็กน้อยเลย

                      " ลู เป็นยังไงบ้าง ลู "เฟลาซ์อุ้มร่างของเด็กน้อยที่กำลังขดตัวโดยเอามือจับอยู่บริเวณท้องเอาไว้แน่น บ่งบอกถึงอาการปวดที่รุนแรงมาก

                      เฟลาซ์รีบหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าสาเหตุของอาการปวดของหนูลูคือว่าอะไรกันแน่ และเขาก็พบขวดนมที่ว่างเปล่าตั้งเอาไว้อยู่บนโต๊ะในห้องครัว

                      " ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามกินนม ทำไมเธอไม่ฟังฉันห้ะ ลู! "เด็กในอ้อมกอดของเขาตอนนี้พยายามจะดันตัวเองออกมาจากแขนของผู้ดูแลตน และมันก็เป็นผลสำเร็จเพราะถึงแม้ว่าจะยังเล็ก แต่หนูลูก็เป็นมังกร และด้วยความที่เป็นมังกร จึงไม่สามารถกินนมที่มาจากสัตว์ไร้พลังอย่างวัวได้

                      " ก็ปะป๋าไม่ยอมซื้อเนื้อมัลเดสให้นี้ ลูก็ต้องกินของที่เหลืออยู่ในตู้สิ "เฟลาซ์หันไปมองตู็เย็น และก็พบว่ามันมีเนื้อกวางมัลเดสแบบแช่เย็นเอาไว้อยู่ แค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าหนูลูนั้นต้องการทำเพื่อประชดเขานั้นเอง แค่นี้มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขาโกรธ แต่ความโมโหนี้ไม่ได้เกิดเพราะลูไม่เชื่อฟัง ทว่ามันมาจากการที่ลูทำร้ายตัวเองต่างหาก

                      ลูที่รับรู้ถึงความโกรธของเฟลาซ์ได้ก็เดินถอยออกไปก้าวหนึ่ง แต่ใบหน้าน้อยๆที่ยังคงแสดงถึงอาการเจ็บปวดรวมถึงน้ำตาที่เริ่มจะคลออยู่เพราะความกลัวนั้นก็ยังมองกลับไปที่เฟลาซ์ผู้ที่ดวงตาสีน้ำเงินที่เคยสงบนิ่งแต่บัดนี้กลับโหมกระหน่ำราวทะเลคลั่ง

                      ฟลอด้าที่ตามมาทีหลังจึงวิ่งเข้าไปกอดหนูลูเอาไว้

                      " ใจเย็นๆก่อนเฟลาซ์ ทางที่ดีฉันว่าเรารีบไปหาดร.ฟลานซิสก่อนเถอะ "

                      " ไม่ได้หรอก ดร.เคยบอกเอาไว้ว่าต้องรอให้อาการไม่เข้ากันเอเทอนัลหายไปเอง ขืนไปรบกวนเข้าละก็มีหวัง...ปัดโธ่เว้ยยย "ใช่เพราะครั้งแรกที่ลูลองกินนมวัวที่เขามักจะต้มกินเองตอนเช้า หลังจากอึกแรกผ่านไปลูก็เริ่มมีอาการปวดท้องมากขึ้นๆ จนสุดท้ายก็เหมือนกับในตอนนี้

                      คนแรกที่เฟลาซ์คิดถึงเลยก็คือดร.ฟรานซิส เขาจึงรีบรุดหน้าไปหาด็อกเตอร์ทันที แต่ผลปรากฏว่าอาการของลูนั้นไม่สามารถรักษาได้เขาจึงได้แต่นั่งมองดูลูขดตัวไปมาร้องไห้โอดโอยเพราะอาการปวดท้องถึงสามวัน

                      เขาจำมันได้ดีเลยว่าเป็นสามวันที่เขาทรมาณมากๆ

                      " แล้วพวกเราจะทำยังไงดี "ฟลอด้ารีบพาหนูลูกลับไปยังห้องนอนพร้อมกับหาผ้ามาเช็ดตัวเผื่อว่าอาการปวดท้องจะพอทุเลาลงบ้าง

                      " ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อาการปวดท้องแบบเนี้ยเกิดจากเอเทอนัลในร่างถูกรบกวน เพราะงั้นถ้าจะรักษาหรือให้ยาก็ต้องให้อะไรที่มีเอเทอนัลอ่อนๆหรือไม่ก็ไร้เอเทอนัลไปเลย...จริงสิ "

                      " เอ้าแล้วนั้นนายจะไปไหน "เฟลาซ์ไม่ได้หันมาตอบอะไร เขามุ่งหน้าไปหาสิ่งที่จะช่วยหนูลูได้นั้นก็คือหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรต่างๆ เพราะถ้าเขาจำไม่ผิด สมุนไพรไม่มีเอเทอนัล หรือถ้ามีก็มีน้อยมาก จึงทำให้มันสามารถใช้ได้กับทุกเผ่าพันธุ์บนมหาโลกอัลทอส เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีบ้างละน่า สมุนไพรที่บรรเทาอาการปวดท้อง

                      เพียงแต่เขาต้องหาให้เจอก็เท่านั้นเองว่ามันอยู่ในเล่มไหน

                      " ร้อนนน "ถึงหนังสือจะไม่ถูกเผาเพราะมีเอเทอนัลเคลือบอยู่ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าไอร้อนจากเปลวไฟของลูจะไม่ถูกเก็บสะสมไว้ เพราะฉะนั้นแล้วหนังสือแต่ละเล่มของเฟลาซ์ในตอนนี้นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเหล็กที่ซับความร้อนเอาไว้เต็มเปี่ยม

                      " อยู่ไหนวะ "แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามในการหาของเขาน้อยลงเลยแม้แต่น้อย เฟลาซ์แทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่ามือของเขาจะเป็นยังไง เรียกว่าตอนนี้เขาไม่รับรู้อาการปวดใดๆเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงจะทำยังไงให้ลูหายปวดท้องไวที่สุด

                      ฟลอด้าที่เห็นเฟลาซ์กำลังหาหนังสืออยู่ก็เข้าใจได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร เธอเลยบอกให้เฟลาซ์ไปเปิดดูรายละเอียดหนังสือที่เขารื้อทีละเล่มดีๆ ส่วนการขัดกรองเธอจะจัดการเอง เพราะฟลอด้านั้นอยู่กับมามาเนียหรือผู้ดูแลของเธอมานาน ทำให้เธอจดจำหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรต่างๆได้เป็นอย่างดี ขอแค่เห็นหน้าปกเธอก็พอจะจำได้ว่าข้างในนั้นเขียนเกี่ยวกับอะไรไว้บ้าง

                      " เล่มนี้ละ "เธอหยิบหนังสือของแม่เธอมาให้เฟลาซ์ดู และถ้าเขาจำไม่ผิดมันเป็นเล่มเดียวกันกับที่อาจารย์มามาเนียให้เขา ชายหนุ่มรีบเปิดไปตามหน้าต่างๆที่เขาพับเอาไว้ เพราะช่วงแรกที่เขาสืบค้นเรื่องมังกร เขาคุ้นๆเหมือนกันว่าเคยเจอสมุนไพรที่ได้ผลดีกับพวกมังกร

                      " เจอแล้ว! หญ้าปาปีรัน...หญ้าปาปีรันขึ้นอยู่ทางตอนใต้ของไคล์ ในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น สรรพคุณใช้บรรเทาอาการปวดท้องได้ทุกเผ่าพันธุ์ในมหาโลกอัลทอส และใช้รักษาอาการปวดท้องจากอาการเอเทอนัลแปรปรวนของมังกรได้ชะงัด อันนี้แหละ "เฟลาซ์เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์มามาเนียถึงบอกว่าให้จำหญ้าปาปีรันเอาไว้ เพราะแบบนี้นี่เอง

                      มังกรถึงแม้จะกินนมวัวไม่ได้ แต่ยังไงก็ต้องกินเพราะในนมนั้นมีสารบางอย่างที่จำเป็นเพราะงั้นโดยปกติจึงต้องผสมปาปีรันผงลงไปในนมด้วยจึงทำให้เวลาดื่มนมที่มีเอเทอนัลแปลกๆแล้วไม่เกิดอาการปวดท้อง

                      อาจารย์มามาเนียรู้ข้อนี้ดีถึงได้เตือนให้เฟลาซ์นั้นจำเอาไว้ให้แม่นๆ

                      แต่ปัญหาต่อมาก็คือลูไม่กินพวกสมุนไพร เฟลาซ์เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะยังเด็กเลยไม่สามารถกินอะไรนอกเหนือจากอาหารหลักได้ แล้วมันจะมีวิธีไหนละที่ทำให้ลูกินสมุนไพรนี้ได้

                      " จริงสิ หนังสือนั้นไง "คราวนี้เฟลาซ์วิ่งกลับไปที่หน้าประตูทางเข้าที่เขาทิ้งกระเป๋าหนังสือของเขาเอาไว้

                      ชายหนุ่มรีบค้นภายในหนังสืออย่างเร็วที่สุดแล้วเปิดหน้าสารบัญหาเมนูอาหารที่เกี่ยวกับเนื้อ เพราะจากการคาดาดเดาของเฟลาซ์หากว่าหนังสือทำอาหารถูกเขียนด้วยลายมือของอาจารย์มามาเนียและอาจารย์โรซ่า และอาจารย์มามาเนียเองก็เป็นผู้อุปการะมังกรเหมือนกัน งั้นแสดงว่าจะต้องมีเมนูเกี่ยวกับเนื้อที่เอาไว้สำหรับใช้ในโอกาสแบบนี้

                      " มีจริงๆด้วย "ตอนนี้เขาค้นพบวิธีที่จะช่วยลูได้แล้วที่เหลือก็แค่

                      " อะนี้ "ฟลอด้าที่รู้ทันความคิดของเฟลาซ์ก็เลยวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับล่ามาให้กับเฟลาซ์เรียบร้อยแล้ว การทำแบบนั้นเลยเรียกรอยยิ้มมาจากเฟลาซ์ได้ไม่น้อย

                      " เธอนี้มันน่ารักจริงๆ ถ้างั้นฉันฝากดูลูด้วยนะ เดี๋ยวฉันกลับมา "เฟลาซ์รีบหยิบดีไวซ์ที่ใช้สำหรับเรียกรถไฟต่างมิติมาเลยไม่ได้สังเกตว่าหน้าของฟลอด้าตอนนี้แอบขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยอยู่

                      เพียงไม่นานรถไฟขบวนยาวที่วิ่งอยู่บนอากาศก็มาจอดอยู่หน้าบ้านเฟลาซ์พอดี ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวขึ้นรถ เขาก็นึกอะไรได้พอดี เฟลาซ์รีบวิ่งกลับไปห้องนอนของลูเพื่อจะบอกว่า

                      " เดี๋ยวฉันจะเอาเนื้อกวางมัลเดสสดๆมาให้กิน เพราะงั้นอดทนหน่อยนะ "แล้วลูบหัวลูสองสามครั้งแล้วจึงวิ่งกลับขึ้นรถไป โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ป่าไคล์ หญ้าปาปิรันและกวางมัลเดส

       

       

      ถึงแม้รถไฟต่างมิติจะเปิดเพลงเพื่อผ่อนคลายผู้คนบนขบวนแต่สำหรับเฟลาซ์มันไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเสียงหนวกหูที่กำลังรบกวนสมาธิของเขาอยู่

                      ในหัวของของชายหนุ่มตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวลมากมาย เขาต้องลำดับวิธีการเก็บเกี่ยวปาปีรันในหัวของตัวเองเพราะว่านี้เป็นการเก็บเกี่ยวสมุนไพรจริงๆครั้งแรกของเฟลาซ์ และถึงแม้ตามตำราจะบอกวิธีเอาไว้อย่างละเอียดแต่การลงมือจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน ทว่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นกังวล เพราะไม่ว่ายังไงสำหรับเฟลาซ์ในตอนนี้อาการของลูนั้นก็สำคัญที่สุด

                      ต่อให้เป็นครั้งแรกก็ต้องทำให้ได้ นั้นคือสิ่งที่เขาปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้

                      " พี่ชายค่ะ ทำไมหน้าเครียดจัง "เฟลาซ์หันไปหาร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

                      " เปล่าครับ พี่แค่ปวดหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอกครับ "เด็กคนที่ทักเขา มองไปมองมาก็คล้ายกับลูเหมือนกันนะ ทั้งร่างเล็กๆ ผมที่สั้นไม่ยาวมากไหนจะรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง ต่างกันก็แค่ลูมีดวงตาสีอำพันกับเขี้ยวขนาดจิ๋วและเด็กคนนี้เป็นมนุษย์ไม่ใช่มังกรเหมือนกับลู

                      " งั้นหนูให้ดอกไม้นะ หอมมากเลย พี่อาจจะดีขึ้น "เด็กน้อยส่งดอกไม้ที่เธอว่าให้ชายหนุ่ม เฟลาซ์รับมันมา

                      " หอมมากเลย ขอบคุณนะ "เด็กน้อยพยักหน้ารับแล้วกลับไปนั่งฮำเพลงเบาๆกับตัวเอง เฟลาซ์ที่กำลังจะถามว่ามากับใครแต่หญิงสาวที่เดินกลับมาจากหน้าขบวนซึ่งเป็นจุดชำระเงินของรถไฟต่างมิติเดินตรงมาทางเขาและนั่งลงข้างเด็กน้อยแสนใจดี

                      " อ้าวมะม๋า มาพอดีเลย นี้ๆหนูเพิ่งให้ดอกไม้กับพี่เขาละ พี่เขาชมด้วยว่าหอมมากเลย เห็นไหมมะม๋า ดอกไม้ที่หนูปลูกหอมจะตาย "หญิงวัยกลางหัวเราะขำกับท่าทางภูมิอกภูมิใจนั้นของลูกสาวตน

                      " แล้วหนูไปรบกวนพี่เขารึเปล่าจ้ะ "พูดกับลูกสาวจบก็หันมาพูดกับเฟลาซ์ต่อ

                      " ขอโทษด้วยนะค่ะ แกคงไม่ได้รบกวนคุณใช่ไหมค่ะ "เฟลาซ์ส่ายหน้าปฏิเสธใหญ่ เพราะสิ่งที่หนูน้อยทำมันคลายความกังวลให้เขาได้มากโข เพราะเวลามองเธอมันทำให้เฟลาซ์รู้สึกเหมือนได้มองลูไปด้วย

                      " แล้วมากันสองคนเหรอครับ "เฟลาซ์ที่เพิ่งนึกได้ว่าคำถามนั้นเสียมารยาทก็หันไปและทำท่าจะขอโทษแต่อีกฝ่ายรีบส่ายมือปฏิเสธเชิงไม่เป็นไร

                      " ค่ะ พวกเรามากันสองคน พอดีว่าเจ้าตัวเล็กอยากไปดูดอกไม้ไฟที่เมืองซันเซ็ทนะค่ะ ตอนแรกฉันก็ว่าจะไม่พาไปเพราะว่ามันไกลจากหมู่บ้านของเรามาก พวกเราอยู่ที่นอสเทลน่ะค่ะ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ยัยตัวเล็กนี้จนได้ "ว่าแล้วคุณแม่ก็ยีหัวเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน

                      " นอสเทล ไกลเหมือนกันนะครับ "ถ้าเป้าหมายของเฟลาซ์ต้องใช้เวลาเดินทางเท้าถึงสามวัน เทียบกันแล้วนอสเทลไปซันเซ็ทเนี้ยไกลกันมากโขอยู่ เรียกได้ว่าเดินเท้ากันเป็นเดือนๆก็ยังไม่แน่เลยว่าจะถึงรึเปล่า

                      " ค่ะ เพราะงั้นพวกเราเลยต้องเอาเงินเก็บทั้งเดือนมาใช้ขึ้นรถไฟต่างมิติเนี้ยแหละค่ะ ครั้งแรกเลยละที่ฉันได้ขึ้นรถไฟขบวณนี้ ตอนไปจ่ายเงินเมื่อกี้ก็แอบเอ๋อๆอยู่เหมือนกันค่ะ "เนื่องจากเฟลาซ์เป็นเด็กของออสต้าเรื่องการจ่ายจึงใช้การหักเงินออกผ่านดีไวซ์ที่ใช้เรียกรถไฟมาอีกทั้งลำดับขั้นการส่งก็ยังต้องยึดตามคนที่เรียกก่อนหลังอย่างเคร่งครัด

                      เฟลาซ์ที่ถึงแม้ว่าอยากจะหายตัวไปโผล่ที่ป่าไคล์ยังไง เขาก็ต้องรอให้รถไฟต่างมิติถึงคิวของเขาอยู่ดี และตอนนี้ลำดับก็เพิ่งจะแค่สิบต้นๆ แต่ของเขาสิอยู่ที่ตั้งร้อยกว่าๆ

                      ดังนั้นต่อให้เฟลาซ์จะรีบยังไงเขาก็ไม่มีทางไปได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้นิ่งเท่านั้นเอง

                      แต่ดูเหมือนจะมีใครบ้างคนที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้ อาจด้วยเพราะนึกสนุกหรืออะไรบางอย่าง เด็กน้อยใจดีที่ตอนนี้วิ่งเล่นไปมาตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแถมบางครั้งยังวิ่งกลับมาหาผู้เป็นแม่แล้วทำท่าจะชวนไปวิ่งด้วยกันเสียอีก

                      ซนเหมือนลูเลย ลูกลิงพอกันจริงๆสองคนนี้ เฟลาซ์ที่คิดในใจจนเผลอยิ้มออกมามุมปากโดยเขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังกังวลใจอยู่ สงสัยคงเป็นเพราะความสดใสของเด็กน้อยคนนี้ละมั้งที่ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้

                      " ไม่เอาลูกไม่เอาอย่าซน ถึงคนอื่นเขาจะไม่ว่าแต่เราก็ต้องเกรงใจเขานะ "เสียงที่ฟังดูดุขึ้นเล็กน้อยนั้นส่งให้ร่างเล็กๆได้แต่ทำหน้าไม่พอใจและหงิกงอ แต่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์โกรธ น่าจะเป็นงอนเสียมากกว่า

                      " ก็หนูอยากเล่นนี้ "ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กก็เดินหนีไปทิ้งให้ผู้เป็นแม่เป่าปากอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง โชคยังดีที่โบกี้ที่เธอโดยสารอยู่นั้นมีคนไม่ถึงสามคนอยู่ในขบวนเลยทำให้เด็กน้อยสามารถซนได้ในระดับหนึ่ง

                      เฟลาซ์ที่สังเกตอาการของคุณแม่มาตลอด ซึ่งเขาคิดดูแล้วจะว่าไปมันก็คล้ายๆตัวเขาเองเหมือนกันนะ อย่างตอนที่หนูลูไปวิ่งเล่นแล้วเขาห้ามแต่หนูลูไม่ฟัง สุดท้ายก็ยังวิ่งซนอยู่ดี

                      ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น ไม่รู้ทำไมเวลามองท่าทีร่าเริงของหนูลูแล้วเขาถึงสบายใจมากอย่างบอกไม่ถูก

                      " ผมขอถามอะไรเสียมารยาทหน่อยได้ไหมครับ "หญิงวัยกลางหันมายิ้มให้พร้อมพยักหน้าอย่างไม่นึกรังเกียจ อาจจะเพราะด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ของเธอมั้ง เธอจึงสัมผัสได้ว่าเขามีปัญหาบางอย่างที่เธอพอจะช่วยได้

                      " เอ่อ คือคุณเคยโดนลูกคุณบอกเกลียดไหมครับ "

                      " อืมมมมม "หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ เพราะหากดูจากชุดเครื่องแบบของออสต้าและคำถามแบบนี้ มันก็แสดงให้เห็นถึงว่าเฟลาซ์นั้นมีปัญหากับเด็กน้อยในการดูแลของตนเป็นแน่

                      " แล้วทำไม... "

                      " เฟลาซ์ครับ "

                      " แล้วทำไมคุณเฟลาซ์ถึงถามแบบนั้นละค่ะ อ๋อ ฉันชื่อนีน่านะค่ะ "นั้นสินะ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงถามแบบนั้นออกไป จะว่าเขาน้อยใจที่ลูบอกเกลียดอย่างงั้นเหรอ...ก็อาจจะใช่ แต่นั้นไม่น่าจะเป็นเหตุผลทั้งหมด ไม่แน่เขาเพียงอาจสงสัยความรู้สึกปริศนาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมากกว่า

                      " เมื่อเช้าผมทะเลาะกับเด็กที่เป็นเหมือน...ลูกนะครับ แล้วเขาก็บอกว่าเกลียดผมมากๆ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงทำแบบนั้น "เฟลาซ์ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปอาจจะเป็นเพราะตอนนี้เขาอยากระบายมันออกมา หรืออาจจะแค่ต้องการที่พึ่งบางอย่างก็เป็นได้ เพราะเขาไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกแบบพ่อแม่ลูกเป็นแบบไหน เพราะตัวเขานั้นเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

                      " แล้วคุณเฟลาซ์ได้ถามใครเรื่องนี้มาก่อนรึเปล่าค่ะ "

                      " ครับก็มีอาจารย์ที่ผมเคารพคนหนึ่ง แล้วก็ลูกของอาจารย์เขานะครับ แต่ทั้งสองคนเองก็ไม่ได้ให้คำตอบถึงความรู้สึกของผมที่ชัดเจนอะไรมาก ออกจะเป็นใบ้คำปริศนาเสียด้วยซ้ำ "แต่เอาเข้าจริงๆพอเขารองประมวลทุกสิ่งเข้าด้วยกันแล้ว ภาพความรู้สึกของเฟลาซ์ตอนนี้ก็เหมือนกระจ่างชัดขึ้นบ้างแล้ว ที่เขาต้องการในตอนนี้ก็อาจเป็นเพียงประโยคยืนยันสั้นๆอย่าง คุณเฟลาซ์คิดถูกแล้วค่ะ หรืออะไรทำนองนั้น

                      แต่ทว่าสิ่งที่เขาได้กลับมานั้นก็ยังคงเป็นปริศนาเช่นเดียวกันกับทั้งอาจารย์มามาเนียและฟลอด้า

                      " คุณเฟลาซ์เคยรู้สึกเหนื่อยแล้วก็ท้อไหมค่ะ ตอนเลี้ยงดูหนูลู "ผู้มีความเป็นแม่ไม่เลือกที่จะตอบคำถามในทันที แต่เธอกำลังใช้ความเป็นแม่ของเธออธิบายเรื่องราวต่างๆทีละเล็กทีละน้อย

                      " ก็มีบ้างนะครับ แต่พอผมเห็นเธอยิ้มมีความสุข หัวเราะ ได้เห็นอารมณ์ที่หลากหลายของเขา จู่ๆผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยครับ "

                      " ฉันที่เป็นแม่คนเองก็เหมือนกันค่ะ ความสุขของคนเป็นแม่คงไม่มีอะไรจะเท่าความสุขของลูกหรอก ใช่ไหมค่ะ "นั้นสินะ คำถามนี้เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน เพราะสำหรับเขาไอ้ความเป็นพ่อเป็นแม่เนี้ย มันเป็นยังไง เขาเองไม่เคยรู้มาก่อนเลย

                      " นั้นเลยเป็นเหตุผลที่คุณยอมเสียสละเงินเก็บทั้งหมดเพื่อทำให้ลูกของคุณมีความสุขเหรอครับ "หญิงสาวดึงลูกน้อยที่ชักจะเริ่มหมดแรงแล้วขึ้นมานั่งตักของเธอแล้วกอดเอาไว้ป้องกันไม่ให้ลูกน้อยส่ายไปมาหรือหล่นออกจากตัวเธอเพราะแรงกระแทก

                      " มันไม่ใช่การเสียสละอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำเสียมากกว่า เพราะบางทีฉันเองก็ทำลงไปโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเหมือนกัน นี้ฉันเองยังคิดเลยนะค่ะว่ากลับไปเนี่ย พวกเราจะอยู่ได้ครบเดือนหน้ารึเปล่า "พูดจบเธอก็ขำออกมาอย่างติดตลก แต่สำหรับเฟลาซ์แล้ว ถึงเรื่องที่เล่าจะดูเหมือนว่าเธอไม่จริงจัง ทว่าเขากลับเข้าใจได้อย่างน่าประหลาด

                      " ส่วนเรื่องโดนเกลียดเนี้ย ฉันยอมรับนะค่ะว่าบางทีก็รู้สึกเศร้าเหมือนกันตอนเจ้าตัวดีพูดคำนั้นออกมา แต่กลับกันฉันเองก็มีความสุขนะค่ะ "เฟลาซ์ทำหน้าสงสัย ถ้าคนเราโดนเกลียดก็แน่ละที่จะต้องเสียใจ แต่มีด้วยเหรอที่โดนเกลียดแล้วรู้สึกสุขใจ ตัวเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยิน

                      " ทำไมละครับคุณนีน่า คำว่าเกลียดเนี้ยมันเป็นสิ่งดีเหรอครับ "หญิงสาวมองหน้าเฟลาซ์อย่างพินิจก่อนค่อยๆระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน

                      " ก่อนที่คุณเฟลาซ์จะเกลียดใครเป็น คุณเฟลาซ์ต้องเคยรู้สึก'รัก'คนคนนั้นก่อนใช่ไหมละค่ะ เพราะถ้าไม่เข้าใจว่ารักคืออะไร เราคงเกลียดใครไม่ได้ "รักงั้นเหรอ คำคำนี้เป็นสิ่งที่เฟลาซ์ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ไม่สิต้องบอกว่ามันห่างไกลจากตัวเขามากเกินไป จนเรียกได้ว่าไม่มีทางที่คนแบบเขาจะรู้สึกอะไรแบบนั้นได้

                      นีน่าที่เห็นเฟลาซ์ยังดูเครียดๆอยู่ก็พูดขึ้นต่อว่า " แต่สำหรับฉันนะค่ะ ถ้าเด็กคนไหนไม่ได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี เขาจะไม่มีทางพูดคำว่าเกลียดออกมาได้เด็ดขาด จริงไหมค่ะ? "นีน่าก็ไม่รู้ว่าเฟลาซ์จะเข้าใจสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อรึเปล่า แต่อย่างน้อยใบหน้าของเฟลาซ์ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่าสารของเธอนั้นอาจจะได้รับการตีความแล้วก็ได้

                      " สถานนีถัดไปลำดับที่ 102 ซันเซ็ทขอให้ผู้โดยสารที่ลงสถานีนี้ทุกท่านมายืนรอที่ทางออกด้วยค่ะ "

                      " อ่ะ ลำดับถัดไปเป็นของฉันแล้วค่ะ ถ้างั้นแล้วเจอกันใหม่นะค่ะคุณเฟลาซ์ แล้วก็อย่าตามใจลูกของคุณมากเกินไปเหมือนฉันนะค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเด็กซนแบบนี้เอา "

                      ว่าแล้วผู้เป็นแม่ก็เขกหัวเจ้าตัวน้อยอย่างเบามือ เพราะดันเล่นจนเหนื่อยแล้วมาหลับสนิทในอ้อมกอดเธอซะอย่างงั้น นั้นเลยทำให้เธอต้องมาอุ้มเจ้าลูกลิงอยู่อย่างนี้ ส่วนเจ้าตัวน้อยนะเหรอ นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังตื่นมาขยี้ตาพร้อมห้าวฟอดใหญ่อีกสองสามครั้งจากนั้นก็หลับต่ออย่างสบายอารมณ์ เฟลาซ์ที่มองอยู่ก็เลยอมยิ้มออกมา

                      " โชคดีนะครับคุณนีน่า ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ แล้วก็ถ้าเจ้าตัวเล็กตื่นฝากบ๊ายบายให้ผมด้วยนะครับ ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกผมจะเอาดอกไม้ในส่วนของผมไปฝากเขาบ้างนะครับ "

                      " ค่ะ ฉันว่าเจ้าตัวเล็กคงรออยู่เลยละค่ะ "หมดคำล้ำลาของทั้งสองคนนีน่ากับเจ้าลูกลิงก็ลงสู่เป้าหมายของเธอ ทำให้ในโบกี้นี้เหลือเฟลาซ์อยู่คนเดียวแล้ว

                      " สภาวะแวดล้อมที่ดีงั้นเหรอ "เฟลาซ์พยายามคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เขาเคยทำให้กับลู เขาไม่รู้ว่าแบบไหนที่เรียกว่าดีหรือไม่ดี เพราะเขายังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองเป็นคนดีมากแค่ไหน แต่ถ้าแบบไหนตั้งใจหรือไม่ตั้งใจละก็ เขาสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า การที่เขามาอยู่ที่นี้ตอนนี้ นั้นคือความเต็มใจอย่างที่สุด

                      " สถานีถัดไปลำดับที่ 103 ป่าไคล์ขอให้ผู้โดยสารที่ลงสถานีนี้ทุกท่านมายืนที่ทางออกด้วยค่ะ "เฟลาซ์ที่รู้ว่าถึงคิวแล้วก็กระชับสัมภาระของเขาขึ้นสะพายหลัง ก่อนจะรอให้รถไฟชะลอความเร็วลงจนสามารถที่จะลงไปได้

                      " ทนอีกนิดเดียวเท่านั้นลู "พูดจบเจ้าตัวก็กระโดดลงจากรถไฟต่างมิติที่ลอยอยู่บนอากาศสู่พื้นดินของป่าไคล์ด้วยความมุ่งมั่นและความรู้สึกปริศนาที่บัดนี้เริ่มแจ่มชัดขึ้นแล้ว

       

       

                      " ไหนอธิบายมาสิว่าทำไมทำแบบนี้ห้ะลูมิน่า "เสียงดุนั้นเป็นของฟลอด้าผู้เป็นมังกรเช่นเดียวกันกับลูจึงทำให้เธอสามารถเข้าใจช่วงวัยของมังกรได้และด้วยอีกครึ่งหนึ่งของเธอที่เป็นฟินิกซ์ ทำให้เธอสามารถที่จะมองเห็นกระแสของเอเทอนัลที่ไหลเวียนอยู่ใน่รางของบุคคลที่เธอมองได้อย่างชัดเจน

                      และสายตาดุๆของฟลอด้าตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่ร่างเล็กซึ่งกำลังนั่งหน้าเศร้าอยู่ด้วย แถมกระแสเอเทอนัลที่ควรจะแปรปรวนของหนูน้อยเพราะการดื่มนมกลับเป็นปกติอย่างน่าประหลาด นั้นก็ทำให้คิดได้อย่างเดียวเลยก็คือหนูลูนั้นทำการเล่นละครโกหกฉากใหญ่! แน่นอนว่าถ้าเธอเป็นเฟลาซ์เธอก็คงหลงเชื่อหนูน้อยคนนี้ไปแล้ว

                      แสบจริงๆแม่ดาราเด็ก!

                      " ฟลอด้าอย่าเพิ่งโกรธลูนะ ก็คือ...ลูทำนมหกไง ก็เลยไม่อยากให้ปะป๋าว่าลู หนูเลยแกล้งป่วยให้ปะป๋าออกไปก่อนจะได้ทำความสะอาดทีหลังไง "หนูน้อยตอบเลี่ยงความจริงแบบสุดๆ และแน่นอนว่าฟลอด้าเองก็รู้อีกเช่นกัน เธอเองก็ไม่อยากจะว่ากล่าวอะไรลูมาก ไม่ใช่ว่าเธอไม่รักหนูลูนะแต่เธอเข้าใจหนูลู ไม่สิ เธอเข้าใจในความเป็นเด็กมากกว่า

                      ด้วยเหตุนี้ฟลอด้าเลยพยายามลดเสียงให้เบาลงและพูดกับลูอย่างใจเย็น

                      " ปะป๋าลูสอนให้โกหกเหรอค่ะ "พอได้ยินประโยคนี้ของฟลอด้าเด็กน้อยก็ยิ่งรู้สึกผิดหนักมากขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่ปะป๋าสอนลูนั้นมีแต่สิ่งดีๆ ดังนั้นลูจะไม่ยอมให้ปะป๋าเสียชื่อเด็ดขาด

                      " ป่าวจ้ะ ลูโกหกด้วยตัวเอง จริงๆแล้วลูอยากจะแกล้งปะป๋าเฉยๆเพราะว่าปะป๋าไม่ยอมซื้อเนื้อกวางมัลเดสมาให้ลูกิน แต่ลูไม่คิดว่าปะป๋าจะโกรธแล้วก็เป็นห่วงลูมากขนาดนี้ "พอได้ยินความจริงจากปากเด็กน้อยฟลอด้าก็ถอนลมหายใจออกมาก่อนจะระบายยิ้มและเขกหัวมังกรตัวเล็กหนึ่งทีอย่างนึกขำ

                      เธอเข้าใจนะว่าการประชดมันก็มักจะเป็นสิ่งแรกๆที่ลูกคิดได้เมื่อจะแกล้งพ่อแม่ตน แต่สงสัยด้วยความที่เป็นเผ่าพันธุ์มังกรเลยทำให้การแกล้งที่เธอคิดว่าธรรมดา ดันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น ก็คงจะเป็นนิสัยเสียละมั้งที่ทำสิ่งต่างๆไปโดยไม่คำนึงถึงผลซักเท่าไร

                      " แล้วตกลงหนูลูทำแบบนี้ทำไมหืม? "ถึงเธอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ฟลอด้าก็อยากให้ลูเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าตนนั้นทำผิดจริง

                      " ลูอยากประชดปะป๋าเพราะคิดว่าปะป๋าไม่รักลูเลยไม่ซื้อเนื้อกวางให้ "พอได้ยินคำหลังของลูมิน่า ฟลอด้าก็นึกถึงสิ่งที่เด็กน้อยเขียนเอาไว้ด้วยสีเทียน เธอมองลูกมังกรอย่างพินิจก่อนจะพูดบางสิ่งเพื่อเตือนให้รู้ว่าหนูลูนั้นคิดผิด

                      " แล้วหนูละทำไมถึงบอกเกลียดปะป๋า "ลูสะอึ้กไปนิดนึงกับคำพูดที่ตรงมากของฟลอด้า โดยปกติแล้วสำหรับเด็กสามขวบกว่าอย่างลูนั้นหากเป็นลูกมนุษย์เธอก็อาจจะยั้งคำพูดอยู่บ้าง แต่นี้เป็นลูกมังกร ดังนั้นด้วยความที่มังกรเจริญเติบโตได้เร็วกว่ามนุษย์ ทำให้ลูสามารถรับสิ่งที่เธอพูดและเอาไปคิดได้อย่างแน่นอน

                      อีกอย่างเธอเชื่อว่าเฟลาซ์นั้นสอนสิ่งต่างๆให้ลูอย่างเต็มที่และสิ่งเหล่านั้นเธอมั่นใจว่ามันจะต้องดีสำหรับลู เพราะงั้นเธอจึงเชื่อว่าลูจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด

                      " หนูไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นหนูแค่โมโห แต่ว่าหนู...หนูยังรักปะป๋าเหมือนเดิมนะ ไม่เคยเกลียดเลย "

                      " แล้วอย่างนั้น ปะป๋าของลูจะเกลียดลูลงไหม "

                      " ...ไม่มีทาง "และก็เป็นอย่างที่ฟลอด้าคิด หนูลูเข้าใจในสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อจริงด้วยๆ

                      " แต่ว่า ลูก็ยังกลัวนี้น่า กลัวว่าปะป๋าจะรักลูน้อยลง "ฟลอด้ามองใบหน้าของเด็กน้อยที่เริ่มจะหงิกงอเพราะกำลังจะร้องไห้ออกมา เธอจึงเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ลูแล้วดึงตัวลูมากอดเอาไว้พลางร้องโอ้เอ้เป็นการปลอบ

                      " โธ่ยัยเด็กบ๋องเอ้ยยยย ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่จะรักลูกน้อยลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นไม่มีที่สิ้นสุดนะสิ ต่อให้เป็นคนบื้อเรื่องความรู้สึกอย่างเฟลาซ์ก็เถอะนะ "ก็ขนาดมะม๋าของเธอยังไม่เคยเลิกรักเธอเลยนี้น่า

                      " เอาละเลิกร้องนะเลิกร้อง เดี๋ยวปะป๋ากลับมาเห็นหนูตาบวมแล้วจะเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม "หนูลูพยักหน้ารับแล้วพยายามสูดน้ำมูกเข้าดังฟูดฟาดเรียกเสียงหัวเราะจากฟลอด้าได้ไม่น้อย

                      " แล้วปะป๋าจะเป็นอะไรไหมฟลอด้า "เธอไม่ได้ตอบในทันที ถ้าถามว่าปลอดภัยเอาตามความจริงเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะว่าตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ป่าไคล์เองก็น่าจะมืดแล้วเหมือนกัน ผู้คนในโลกนี้รู้ดีว่าเวลากลางคืนมาถึงเมื่อไหร่พวกสัตว์ไร้พลังจะดุร้ายขึ้นหลายเท่าตัวนัก

                      แต่เฟลาซ์เองก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ว่าโดนสัตว์ไร้พลังทำร้ายสองสามทีก็พ่ายแพ้ อีกอย่างถ้าเธอออกไปตามเฟลาซ์ด้วยตัวเองก็จะไม่มีใครดูแลหนูลู แล้วหากว่าหนูลูเกิดเป็นห่วงแล้วแปลงกายออกไปตามเฟลาซ์ขึ้นมา เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ซะเปล่าๆ

                      ดังนั้นตอนนี้ฟลอด้าจึงคิดว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี้เพื่อรอจะดีกว่า แต่ก็เพื่อความไม่ประมาท เธอเลยหยิบดีไวซ์หรืออุปกรณ์สื่อสารสารพัดประโยชน์ออกมาเพื่อติดต่อกับมะม๋าของเธอแล้วก็เพื่อนของเฟลาซ์เอาไว้ เผื่อในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากเลยช่วงเวลาหนึ่งแล้วเฟลาซ์ยังไม่กลับมาเธอจะได้รวบรวมกำลังไปตามตัวเฟลาซ์ได้ทัน

                      " เอาละเรียบร้อย ฉันติดต่อเพื่อนๆของปะป๋าให้แล้วนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวพวกเขาคงจะช่วยจัดการอะไรได้บ้าง เพราะงั้นตอนนี้พวกเรามาทำในสิ่งที่พวกเราทำได้กันเถอะ "ฟลอด้าหยิบผ้ากันเปื้อนมาคาดตัวพร้อมจับอุปกรณ์ทำความสะอาดขึ้นมา หนูลูที่เข้าใจความหมายของฟลอด้าก็วิ่งไปหยิบไม้ถูพื้นมาช่วยเก็บกวาดซากที่เธอทำเอาไว้ด้วยเช่นกัน

                      " หนูจะทำความสะอาดรอปะป๋าเอง "ถึงแม้ว่าฝีมือบ้านที่เละเทะมันจะมาจากตัวลูเองก็ตาม!

       

                      " ฮัดชิ้ววว...อุ้บ "เฟลาซ์รีบปิดปากตัวในเองในมันทีเพราะว่าตอนนี้เขากำลังหลบสัตว์ไร้พลังอยู่ มันมีรูปร่างเหมือนกับสิงโตผสมกับวัวป่าแต่มันยืนสองขาแล้วก็ถือซากต้นไม้ขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ และแน่นอนเป้าหมายของท่อนไม้นั้นก็คือตัวเขาเอง สาเหตุก็เพราะตอนที่เขากระโดดลงมาดันหล่นมาใส่เจ้าสิงโตตัวนี้ซะอย่างนั้น

                      " กรืนนนนน "เสียงที่ลอดผ่านออกมาจากปากของมันทำให้ป่าที่เงียบยิ่งดูน่าสยองมากขึ้นไปอีก เฟลาซ์พยายามนิ่งที่สุดและปล่อยให้มันเดินผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดมันก็เลยตัวเขาไปไกลโขแล้ว

                      เฟลาซ์มองตามไล่หลังมันไป ในใจก็นึกสงสัยว่าถ้าเจ้าถิ่นตอนกลางคืนมันโหดซะขนาดนี้ แล้วพวกสัตว์หากินเวลาเดียวกันเจ้านี้เนี่ยจะทำยังไง งี่ไม่อดตายกันหมดเลยรึ

                      " เอาละไหนดูสิ "ชายหนุ่มเปิดแผนที่ขึ้นมาดูจากดีไวซ์ เจ้าเครื่องกลมๆคล้ายลูกบอลขนาดเท่าฝ่ามือปล่อยลำแสงออกมาจนปรากฏเป็นภาพโฮโลแกรมของป่าไคล์ เป้าหมายของเขาก็คือถ้ำติดแม่น้ำสายหลักของออสต้าซึ่งต้องเดินขึ้นเหนือไปอีกหลายกิโลจากจุดที่เขายืนอยู่

                      ตามปกติแล้วพวกสมุนไพรมักจะขึ้นแถวๆแม่น้ำหรือไม่ก็ปากถ้ำ ด้วยเหตุนี้เฟลาซ์เลยเลือกเป้าเป็นแบบนั้น

                      ถ้าเป็นตอนกลางวันการเดินดุ่มๆขึ้นเหนือเลยอย่างที่เฟลาซ์กำลังทำตอนนี้นั้น มันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเหล่าสัตว์ไร้พลังทั้งหลายจะต่างพากันมารุมกินโต๊ะผู้เดินทางได้อย่างง่ายดาย

                      แตใช่ว่ากลางคืนแล้วจะปลอดภัย เพราะว่าพวกสัตว์ที่หาอาหารกินตอนมืดนั้นจะมีประสาทสัมผัสที่ดีมากกว่าพวกตอนกลางวัน อีกทั้งด้วยความที่มันต้องอยู่ในความเร้นลับตลอดเวลา พวกมันจึงปรับตัวเองให้เหมาะสมกับสภาพดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พวกมันเลยไม่ต่างอะไรกับนักล่าชั้นยอดที่พร้อมจะตะปบเหยื่อให้ตายได้ทุกขณะ อ๋อแต่ยกเว้นพวกเอาพลังเข้าว่าอย่างเจ้าสิงโตนั้นตัวหนึ่ง

                      เพราะฉะนั้นตอนนี้เฟลาซ์เลยต้องห่อหุ้มร่างตัวเองด้วยเอเทอนัลหรือพลังชีวิตที่เปลี่ยนรูปให้เป็นพลังงานเพื่อเอามาใช้ประโยชน์ ซึ่งเอเทอนัลเองก็มีวิธีการนำมาประยุกต์หลากหลายรูปแบบ ที่เฟลาซ์ใช้อยู่ตอนนี้เป็นแบบเสริมความแข็งแกร่งหรือเสริมพลังกายภาพให้กับตัวผู้ใช้

                      ทำให้ทั่วทั้งตัวของเฟลาซ์ตอนนี้มีความแข็งแกร่งเทียบเคียงกับเพชรเลยทีเดียว

                      แต่ทว่าพลังเอเทอนัลนั้นสามารถใช้ได้อย่างจำกัดเพราะในหนึ่งวันคนเราจะผลิตเอเทอนัลได้ไม่เท่ากันจะมากจะน้อยก็แล้วแต่คนไป และหากใช้หมดเมื่อไรแล้วร่างกายของคนคนนั้นจะกลับสู่สภาวะพักชั่วคราวและหากใช้เกินไปมากๆก็มีสิทธิ์ที่จะบั่นถอนอายุขัยและอาจทำให้ถึงตายได้

                      ดังนั้นเฟลาซ์เองจึงต้องเร่งมือตามหาทั้งกวางมัลเดสและหญ้าปาปีรันให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าเขากลับไปในสภาพเละเทะ และเขาก็ไม่อยากทำให้ลูเป็นห่วงด้วย

                      หลังจากเดินมาได้ซักพักเฟลาซ์ก็มาถึงแม่น้ำสายหลักของออสต้าที่อยู่ในป่าไคล์แล้ว ที่เหลือก็แค่เดินเลาะขึ้นไปเรื่อยๆจนเจอถ้ำที่นั้นก็จะมีหญ้าปาปีรันอยู่

                      ทว่าในระหว่างที่เฟลาซ์กำลังประเมินสถานการณ์อยู่นั้นเอง ก็มีเสียงเหมือนมีตัวอะไรบางอย่างกำลังแหวกหญ้าที่อยู่เยื้องไปด้านหลังของเขา ชายหนุ่มรีบกระโดดข้ามมาอีกฝั่งของแม่น้ำไปโดยใช้เอเทอนัลเคลือบในลักษณะที่ทำให้ตัวเบา

                      เฟลาซ์หยิบมีดสั้นกระชับในมือซ้ายและดาบยาวในมือขวาขึ้นตั้งท่าเตรียมรอรับ

                      " มิ้วววว "

                      " เอ้าาา ลูกกวางเองหรอกเหรอ "เฟลาซ์ที่ตั้งท่าเก้อเก็บอาวุธของเขาเข้าที่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลูกกวางที่เขาเห็นนั้นก็คือมัลเดส!

                      สิ่งที่ทำให้เฟลาซ์มั่นใจก็คือผิวหนังที่มีลายจุดของลูกกวางตัวนี้นั้นสามารถเรืองแสงได้ในยามกลางคืน อีกทั้งเขาของมันก็มีก้อนหินสีต่างๆประดับประดาอยู่ เต็มไปหมด

                      เจ้าลูกกวางน้อยเดินออกมาริมลำธารแล้วดื่มน้ำอย่างสบายใจพลางส่งเสียงมิ้วๆไปด้วยทุกขณะ

                      เฟลาซ์เปลี่ยนเอเทอนัลเป็นแบบซ่อนเร้นทำให้แม้ลูกกวางจะอยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งความกว้างแม่น้ำ มันก็ไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้

                      ในหัวของชายหนุ่มตอนนี้กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะล่าลูกกวางน้อยตัวนี้เลยดีไหม เพราะถึงแม้ขนาดตัวมันจะไม่ใหญ่โตอะไรมาก แต่ถ้าแค่พอหนูลูกินละก็ เจ้าลูกกวางตัวนี้ก็เหมาะสมสุดๆ ทว่าหากปล่อยเจ้ากวางน้อยไปแล้วรอมันกลับไปยังรังของมัน มัลเดสตัวนี้อาจจะพาเขาไปแหล่งหญ้าปาปีรันก็ได้ เพราะว่าหญ้านั้นเป็นอาหารหลักของกวางชนิดนี้

                      " เอาไงดี ล่าไม่ล่า ล่าไม่ล่า ล่า ไม่...เฮ้ยยยย "

                      " มิ้วววววววววว "ทว่าในจังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง ก็มีอะไรไม่รู้สีดำๆพุ่งมากระแทกตัวเจ้ากวางนั้นล้มลงแล้วยกร่างของมันขึ้นหลังจากนั้นก็วิ่งหนีหายไปทางทิศเหนือเล่นเอาเฟลาซ์ที่กำลังตัดสินใจอยู่ถึงกับอึ้งสนิท

                      นั้นมันเหยื่อฉันนะโว้ยยย ใครจะยอมให้แกมาชิงไปวะ!

                     

                      ผู้โดนชิงเป้าหมายไปต่อหน้าต่อตารีบคลุมร่างตัวเองด้วยเอเทอนัลแบบเบาแล้ววิ่งไล่กวดมันทันที

                      " หน่อยเร็วชะมัด "ชายหนุ่มไล่ตามเงาดำนั้นอย่างไม่ลดละ มันไปซ้ายเขาไปซ้าย มันไปขวาเขาไปขวา ชนิดที่เรียกว่ากัดไม่ปล่อย

                      " มิ้วววว "ถ้าเฟลาซ์หูไม่ฝาดไปละก็ เขาได้ยินเสียงกวางมัลเดสอีกตัว แถมเสียงนั้นยังชัดเจนมากเสียด้วย

                      " เฮ้ยยย "เป็นกวางมัลเดสจริงๆอย่างที่ชายหนุ่มคิดเอาไว้ แต่ตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่เฟลาซ์เห็นตอนแรกเกือบสามเท่าได้ ความสูงของมันเองก็เกือบสองเมตรกว่า ถ้าให้เขาเดากวางตัวนี้คงเป็นพ่อของเจ้าตัวเล็กนั้นแน่ๆ มันคงเห็นว่าลูกกำลังตกอยู่ในอันตราย ก็เลยรีบวิ่งมาจากไหนสักแห่งตามเสียงร้องของลูกมันมา

                      สถานการณ์ในตอนนี้ของพ่อกวางนั่นเหมือนของเขากับหนูลูไม่มีผิดเพี้ยน

                      ถ้าเมื่อกี้เฟลาซ์ฆ่าลูกกวางไปละก็ ตัวเขาเองคงรู้สึกแย่และไม่ให้อภัยตัวเองมากแน่ๆ

                      หลังจากวิ่งผ่านต้นไม้ใบหญ้ามาได้ซักพักร่างของเงาดำก็หยุดลงอยู่ที่บริเวณหน้าถ้ำขนาดใหญ่เผยให้เห็นกรงเล็บอันแหลมขมในมือซ้ายและขวา อีกทั้งปากที่ยื่นยาวออกมามีคมเขี้ยวมากมายประดับประดาอยู่พร้อมที่จะกระชากเหยื่อให้ดับดิ้นในคราวเดียว

                      " ไมตี้วูฟเหรอ เดี๋ยวๆ นายนะ "เฟลาซ์ที่มาหยุดอยู่หลบหลังต้นไม้เพื่อดูท่าที ส่งเสียงปรามพ่อกวางที่กำลังจะกระโจนเข้าไปหาหมาป่านั้นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้ากวางนั้นหันมามองเขาก่อนจะทำเสียงกรรรเหมือนจะถามเขาว่าเรียกข้าทำไม

                      " ถ้านายเข้าไปตอนนี้ เจ้าหมาป่านั้นต้องฆ่าลูกนายแน่ เพราะงั้นใจเย็นก่อน ที่มันไม่กินลูกนายตรงนั้นเลยอาจเพราะมันมีเหตุผลอะไรบางอย่าง "กวางมัลเดสยกขาหน้าของมันถีบด้วยความโมโหเพราะว่าเฟลาซ์นั้นเพลอพูดว่าลูกของมันจะตาย

                      โชคดีที่ชายหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลังทันไม่งั้นละก็กระดูกของเขาคงแหลกไปเพราะแรงเหยียบที่ป่นดินให้ละเอียดได้ของพ่อกวางจอมหงุดหงิดไปแล้ว

                      " เอ่อๆขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแช่งลูกนาย...ดู มันกำลังเข้าไปแล้ว "ทั้งสองที่ลอบมองอยู่ปล่อยให้เจ้าหมาป่านั้นเข้าไปในถ้ำก่อน ถ้าเป็นในถ้ำหากเกิดการปะทะขึ้นมา พื้นที่ที่ใช้หนีหรือเคลื่อนไหวของมันจะได้น้อยลง เพราะเจ้าไมตี้วูฟนั้นมีขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าห้าเมตรซึ่งถ้าเป็นพื้นที่แคบๆแล้วละก็เฟลาซ์กับเจ้ามัลเดสน่าจะได้เปรียบกว่า

                      " นี้ฉันขอขี่หลังหน่อยได้ไหม "พ่อกวางหันมามองเฟลาซ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจบวกไม่พอใจ

                      " อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้จะลบหลู่นาย แต่เอเทอนัลมันจะส่งผ่านไม่ได้ถ้าไม่แตะตัวกัน เอาน่ายอมฉันเหอะ พวกเราจะได้เข้าไปแบบเนียนๆ ลูกนายจะได้ไม่เป็นไรไง "เหตุผลที่เฟลาซ์พูดมันก็ฟังดูเหมาะสมและที่สำคัญมัลเดสตัวนี้เองก็ต้องการจะไปช่วยลูกมันอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้มันทำอะไรที่เสียศักดิ์ศรีกว่านี้แล้วลูกมันปลอดภัย มันก็ยอม

                      ด้วยเหตุนี้เฟลาซ์จึงอยู่บนหลังของกวางมัลเดสพร้อมปล่อยเอเทอนัลของเขาแบบซ่อนเร้นมาคลุมร่างทั้งสองเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปในถ้ำนั้นทันทีหลังจากเฟลาซ์คลุมพลังเสร็จ

                      " นายรักลูกนายมากเลยใช่ไหม "ระหว่างทางที่มัลเดสกำลังย้ำไป เฟลาซ์ที่เกิดสงสัยและยังติดใจในความรู้สึกบางอย่างของตัวเองก็ดันทำให้เขาแสดงสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าแปลกนั้นคือการคุยกับกวาง!

                      แถมเจ้ากวางนั้นก็บ้าจี้ตอบเขากลับมาด้วยการพยักหน้าของมันเสียอีกเน๊ะ!

                      " นายว่าฉันถามไร้สาระไหม "เจ้ากวางพยักหน้าอีกรอบ เป็นเพราะมันอยากจะสื่อว่าใครๆก็ต้องรักลูกของตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่รึไง ซึ่งเฟลาซ์ก็เข้าใจมันนะ

                      " นั้นสินะ "ชายหนุ่มยิ้มออกมา เรื่องราวที่เขาได้รับรู้ในวันนี้มันทำให้ความรู้สึกของเขาชัดเจนซักทีว่าคืออะไรกันแน่

                      " ถ้าไม่ได้แกยืนยันเนี่ยฉันคงโง่ไปอีกนานเลยนะ "เจ้ากวางเหล่มองเฟลาซ์ที่อยู่บนหลังก่อนจะพ่นลมผสมน้ำลายใส่หน้าของชายหนุ่ม

                      " ทำอะไรของแกว่ะ! "แล้วมันก็ทำเสียงเหมือนหัวเราะออกมาเสียลั่น! ดีนะที่ใช้เอเทอนัลคลุมไว้อยู่ ไม่งั้นละก็หมาป่านั้นรู้ตัวแน่ๆ

                      " มิ้วววว "ทว่าเสียงร้องที่ดูเจ็บปวดทรมานของกวางน้อยกลับดังขึ้นมาส่งให้มัลเดสตัวพ่อนั้นรีบสอยเท้าอย่างรวดเร็วตามต้นตอที่เกิดจากลูกของมันไป และพอพวกเขามาถึงก็พบว่าหมาป่าไมตี้วูฟไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มันมีด้วยกันทั้งหมดถึงห้าตัว! ถึงแม้อีกสามตัวที่เหลือจะยังเป็นเด็กอยู่ก็ตาม

                      ตอนนี้ทั้งเฟลาซ์และมัลเดสตัวพ่อเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าไมตี้วูฟถึงไม่จัดการเหยื่อของมันเลย นั้นเพราะไมตี้วูฟต้องการล่อให้กวางมัลเดสตัวที่เหลือออกมาจากที่หลบภัยแล้วตามมาช่วยเจ้าตัวน้อยนี่เอง

                      " มิ้วววว "กวางน้อยส่งเสียงร้องอีกครั้งเมื่อมันรับรู้ได้ว่าพ่อของมันอยู่ตรงนั้นจากกลิ่น แน่นอนว่าเจ้าหมาป่าไมตี้วูฟเองก็เช่นกัน

                      " ใจเย็นนะเจ้ากวาง อย่าวู่วาม "เฟลาซ์รีบเตือนสติมัลเดสตัวพ่อทันที เขาเข้าใจมันว่าตอนนี้มันร้อนรนขนาดไหน แต่ถ้าเกิดว่าบุกไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังละก็ มีหวังไมตี้วูฟที่เฟลาซ์คิดว่ามันน่าจะเป็นตัวเมียคงได้ใช้กรงเล็บที่จออยู่ใกล้คอของกวางน้อยแน่ๆ

                      " ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้นเจ้ากวาง ออกมาซะ "

                      ทำไมถึงคิดว่ามีแค่เจ้านี้ละ นั้นคือสิ่งที่เฟลาซ์คิด ด้วยเหตุที่ว่าระดับเอเทอนัลชนิดซ่อนเร้นของเฟลาซ์ยังไม่สูงมากพอ เขาจึงทำได้แค่ปกปิดตัวเองจากสายตาผู้อื่น แต่ไม่สามารถลบเลื่อนกลิ่นไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าไมตี้วูฟที่มีจมูกไวก็น่าจะได้กลิ่นเขาด้วยสิ แต่นี้มันกลับบอกแค่ให้เจ้ากวางออกมา

                      หรือว่าจะเป็นเพราะการที่เขาอยู่บนหลังของเจ้ากวางเลยทำให้กลิ่นตัวของมันติดตัวเขามาด้วย...แต่สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะน้ำลายในตอนนั้น

                      " ฉลาดเหมือนกันนี้แก "

                      " กรรร "พ่อกวางหันหาเฟลาซ์แล้วพยักหน้ารับก่อนจะเหหน้าตนเองไปทางลูกของมัน

                      " เห็นฉันช่วยแล้วสั่งใหญ่เชียว...แต่นายแน่ใจนะว่าจะรับมือได้ เพราะถ้าฉันลงจากหลังนายไป เอเทอนัลซ่อนเร้นของฉันก็จะไม่ได้คลุมร่างนายนะ "มันพยักหน้าอีกครั้งแล้วยืดหัวของมันขึ้นเป็นเชิงว่าอย่าดูถูกข้าให้มากนักเจ้ามนุษย์ เฟลาซ์ที่เห็นท่าทางมั่นใจแบบนั้นก็ยิ้มรับพร้อมตบตัวมันไปหนึ่งที

                      " ขี้โม้ชะมัด "พูดจบเฟลาซ์ก็ลงจากตัวพ่อมัลเดสแล้วย่องไปหาลูกกวางที่กำลังโดนกรงเล็กของไมตี้วูฟตัวเมียจออยู่ เขาค่อยก้าวทีละนิดไม่รีบร้อนหนึ่งเพื่อย้ำไม่ให้เจ้ากวางใจร้อน และสองเพื่อไม่ให้ก้อนหินดินทรายมันขยับป้องกันเจ้าพวกหมาป่าจับได้

                      " หึหึหึ โผล่ออกมาแล้วสินะ ที่นี้แหละพวกเราจะได้อิ่มท้องกันซะที อย่าว่าครอบครัวพวกข้าใจร้ายเลยนะ ถ้าจะโทษก็ไปโทษเจ้าสิงโตนั้นเหอะ ที่รักจัดการเลย! "

                      " ได้ค่ะ "เจ้าไมตี้วูฟที่พอรู้ว่าเหยื่อที่ตัวของมันได้มาถึงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไว้ชีวิตตัวลูกอีกต่อไป

                      กรงเล็บอันแหลมคมแหวกอากาศจวงแทงเป้าหมายให้แดดิ้นแต่ทว่าเล็บของมันนั้นกลับปะทะเข้ากับอะไรก็ไม่รู้ที่แข็งยิ่งกว่าเพชร

                      เฟลาซ์ที่ชักดาบยาวของเขาออกมาต้านเอาไว้เปลี่ยนเอเทอนัลจากซ่อนเร้นเป็นเสริมความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วแล้วสะบัดกรงเล็บที่จออยู่กับดาบของเขาให้กระเด็นออกไป ซึ่งนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับเจ้ากวางที่เข้าโรมรันกับไมตี้วูฟตัวผู้อย่างดุเดือน

                      " นี้แกเป็นใคร "ไมตี้วูฟเพศเมียถามด้วยความเดือดดาลใจ

                      " ก็แค่...พ่อคนหนึ่ง! "ว่าจบชายหนุ่มก็ปลายเท้าพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยปลายดาบอันแหลมคม ส่วนทางผู้ตั้งรับเองก็เอากรงเล็บขึ้นกันดาบและมีดของเฟลาซ์ได้ทุกวิถีแต่ว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังเอาไว้

                      ชายหนุ่มลงดาบซ้ายขวาเป็นจังหวะสลับกันไม่ขาดสายทำให้ตอนนี้ร่างของไมตี้วูฟตัวเมียถึงกับต้องล่าถอยออกไปทีละนิดทีจนท้ายที่สุดร่างของมันก็ไปชนเข้ากับสามีที่ถูกกระแทกมาจากเขาคู่อันแข็งแกร่งของมัลเดสตัวพ่อ

                      เฟลาซ์อาศัยจังหวะนี้ให้มัลเดสตัวลูกหนีไป พร้อมทั้งคอยเฝ้าระวังด้วยว่าลูกหมาป่าอีกสามตัวนั้นจะขยับออกมาจู่โจมเขารึเปล่า แต่ถ้าดูจากสภาพของตัวลูกทั้งสามแล้ว ด้วยร่างกายที่ผอมแห้งแบบนั้นไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงมากพอลุกขึ้นมาต่อกรอะไรกับเขาได้

                      " ยอมแพ้รึยังละเจ้าหมาป่าหัวหมอ "เฟลาซ์หันปลายดาบมาทางร่างของสามีภรรยและหันมีดไปทางลูกๆของพวกมันเพื่อเป็นการขู่ ถึงเขาจะแอบแปลกใจอยู่บ้างที่ไมตี้วูฟที่เป็นสัตว์ไร้พลังระดับสามนั้นกลับอ่อนแอได้ขนาดนี้ หรือจะเป็นเพราะว่ามันขาดอาหารจริงๆ

                      มัลเดสตัวพ่อย่างสามขุมเข้ามาใกล้ไมตี้วูฟทั้งสองพร้อมกับสายตาที่ดูแคลนและเหยียดหยาม กีบเท้าเองก็พร้อมที่จะขยี้ศัตรูของมันให้แหลกเหลวทุกขณะจิต แต่มันก็ยั้งกีบเอาไว้ เพราะว่าถึงแม้เจ้าสองสามีภรรยานี้จะทำร้ายลูกของมันก็ตาม ทว่ามันก็เข้าใจที่ทั้งสองตัวนี้ทำไปทั้งหมดก็นั้นเพื่อลูกๆของมันเอง

                      " ครืดดด "มัลเดสตัวพ่อหันไปมองลูกมันแล้วเหหน้าไปทางปากถ้ำเป็นสัญญาณบอกให้ลูกของมันกลับออกไป แน่นอนว่าตัวมันเองก็เช่นกัน

                      ทั้งสองสามีภรรยาที่เห็นว่าคืนนี้ยังไงมันก็ไม่ได้เหยื่อแน่ๆแล้วจึงตัดสิ้นใจทำในสิ่งที่ทั้งเฟลาซ์และมัลเดสตัวพ่อไม่คาดคิด นั้นคือการกินกันเอง!

                      เฟลาซ์มองดูไมตี้วูฟตัวผู้ที่ฉีกเนื้อส่วนแขนของภรรยาออกกินทีละนิดอย่างน่ากลัว แต่ที่แปลกก็คือทำไมฝ่ายภรรยาไม่ร้องเลยสักคำเดียวหรือว่าเจ้าสองตัวนี้มันเสียสติไปแล้ว

                      " พวกแกทำบ้าอะไรเนี่ย "เฟลาซ์และมัลเดสตัวผู้เดินมารวมกลุ่มแล้วตกลงว่าจะออกไปจากที่นี้ทันที แต่ทว่าวินาทีที่ทั้งสามหันหลังนั้นเอง ก็มีเงาดำเส้นหนึ่งวิ่งตัดหน้าพวกเขาไปพร้อมกับเสียงที่กู่ก้องคำรามของไมตี้วูฟ

                      " จะหนีไปไหนละ เจ้าเหยื่อออออออ! "เฟลาซ์ตั้งท่าเตรียมรับมืออีกครั้ง แต่คราวนี้คงไม่ใช่เล่นๆ เพราะว่าร่างของไมตี้วูฟตัวผู้ที่แต่เดิมผอมแห้งนั้น ตอนนี้มันกลับมีเนื้อหนังเต็มที่และร่างกายที่เคยใหญ่โตกว่าห้าเมตรนั้นก็ขยายใหญ่มากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มเห็นแม้กระทั่งกล้ามเนื้อของมันที่ปูดโปนออกอย่างน่ากลัว

                      " นี้มันโดฟตัวเองด้วยเนื้อภรรยาได้ด้วยเหรอเนี่ย "ถึงจะแปลกใจแต่สิ่งต่อมากลับทำให้เขาประหลาดใจมากกว่า

                      " โบ๋ววววววววว "เป็นไมตี้วูฟตัวเมียที่พาลูกๆหนีไปเป็นคนหอนแน่ๆ เพราะพวกเขาทั้งสามคนกับอีกสองตัวไม่เห็นภรรยาและลูกๆของมันแล้ว แต่เจ้านั้นจะหอนทำไม หรือว่ามันจะเรียกพวก แต่ถ้าจะเรียกจริงๆ ทำไมไม่เรียกเสียตั้งแต่แรกละ

                      " หรือว่า... "

                      " ฮูมมมมมมมมมมมมมมม "เป็นอย่างที่เฟลาซ์คิดทุกประการ เจ้าสองสามีภรรยามันแบ่งหน้าที่กันนี้เอง โดยเจ้าไมตี้วูฟตัวผู้จะเป็นคนถ่วงเวลาพวกเขาให้อยู่ในถ้ำต่อไป ถ้าเกิดว่ามันชนะพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อของมันทันที ส่วนภรรยามันก็ให้พาลูกๆหนีไปพร้อมกับล่อเจ้าสิงโตนั้นเข้ามาในถ้ำ เผื่อในกรณีที่สามีมันแพ้ก็จะได้ฝากมันจัดการพวกเราแล้วมาเอาศพทีหลัง

                      " หึหึหึ ได้ยินใช่ไหมละ เสียงเจ้าสิงโตนั้น เอาละพวกเรามาสนุกกับเดทแมทย์กันเถอะ ระหว่างข้าได้พวกแกเป็นอาหารหรือไม่ก็พวกแกจัดการข้าได้ แต่ถึงยังไง พวกแกก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะถ้าออกไปพวกแกก็ต้องเจอกับเจ้านั้น ฮ่าๆๆๆ "

                      " ชิ "ถูกของมัน ต่อให้เขาสู้กับเจ้านี้จนชนะ ตอนนั้นพวกเขาคงเหนื่อยและไม่มีแรงมากพอที่จะไปต่อกรกับสิงโตยักษ์อยู่ดี หรือต่อให้พวกเขาจะหนี แต่ความเร็วของพวกเขาทั้งสามยังไงก็สู้เจ้าหมาป่าบ้านี้ที่อัพเกรดแล้วไม่ได้อยู่ดี เพราะขนาดตอนแรกที่ไล่มันมา ยังทำได้แค่ตามอยู่ห่างๆเลย ไหนจะมัลเดสตัวลูกอีก

                      ตอนนี้พวกเขาเหมือนถูกปิดประตู หมดโอกาสรอดแล้ว

                      ไม่ได้ เฟลาซ์รู้ว่าเขาจะมาตายที่นี้ไม่ได้ เพราะถ้าเขาตายแล้วใครจะดูแลลูต่อจากเขา ใครละจะช่วยเหลือลูแก้ไขปัญหาวุ้นๆ เพราะฉะนั้นเขาจะตายไม่ได้

                      " โธ่เว๊ยยย คิดสิเฟลาซ์คิด " 

                      " เลิกคิดไปเลย เพราะยังไงพวกแกก็ไม่รอด ฮ่าๆๆๆ "เจ้าหมาป่าเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมก่อน มันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเงาสีดำแล้วพุ่งกระดอนไปมาทั่วผนังของถ้ำอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะใช้เอเทอนัลเสริมการมองเห็นที่ตาแล้วก็ตาม แต่บางครั้งเฟลาซ์ก็ยังรับกรงเล็บที่มันทิ่มแทงมาได้ไม่หมดจนเกิดเป็นแผลเหวอะวะทั่วทั้งตัว เจ้ากวางมัลเดสเองก็เหมือนกัน อย่าว่าแต่จะช่วยเฟลาซ์สู้เลย แค่มันพยายามใช้เขาของตัวเองป้องกันลูกมันก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

                      ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาทั้งสามคงได้เหนื่อยตายก่อนแน่

                      " คิดสิเฟลาซ์คิด "ชายหนุ่มยังรำพึงคำเดิมอยู่ สายตาเองก็กวาดไปทั่วเพื่อหาหนทางรอดของเขา เฟลาซ์พยายามนึกว่าที่นี้มีอะไร ที่นี้คือที่ไหน ไมตี้วูฟอยู่ระดับอะไร มีลักษณะการจู่โจมยังไง รวมไปทั้งมีจุดอ่อนที่ตรงไหน ยังไงเขาก็ต้องกลับไปหาลูให้ได้!

                      " พอมันเปลี่ยนเป็นเงาดำๆก็จะเร็วขึ้น แต่นั้นก็ทำให้ตัวเล็กและพลังเองก็จะตกลงสินะ "เฟลาซ์ยอมไม่ป้องกันเพื่อให้เล็บของมันบาดแบบถากที่หลังของเขาโดยเขาหวังจะพิสูจน์สิ่งที่เขาคิด ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาดการณ์

                      แถมยิ่งมันเปลี่ยนเป็นเงานานเท่าไหร่แรงที่มันใส่ไปในกรงเล็บก็จะยิ่งเบาลงเรื่อยๆ นั้นก็แสดงว่าร่างเงาเป็นต้องใช้เอเทอนัลด้วยตลอดเวลาแน่ๆ เพราะเอเทอนัลคือพลังงานแห่งชีวิต ถ้าชีวิตใกล้หมด ก็ไม่แปลกเลยที่จะแรงจะตกลง ลองเป็นแบบนี้แล้วละก็ ถ้าเฟลาซ์ลดการใช้เอเทอนัลลงแล้วหลบไปเรื่อยๆ เจ้าไมตี้วูฟก็น่าจะแพ้ภัยตัวเอง

                      ไม่ ไม่ได้ ตัวเฟลาซ์เองนั้นไม่รู้ว่าเอเทอนัลของเจ้าหมาป่านั้นจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ถึงพลังเอเทอนัลของเขาจะหมดทีหลังแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังกายเขาจะหมดช้ากว่ามัน อีกอย่างเจ้ากวางเองก็ใช่ว่าจะอยู่ตั้งรับได้ตลอด หากพลาดขึ้นมาแล้วละก็ลูกของมันก็จะเสี่ยงมากขึ้นไปอีก

                      เฟลาซ์ไม่อยากให้เจ้ากวางสูญเสียลูกของมันไป เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เลือกวิธีเอาอึดเข้าว่า แต่แล้วจะมีวิธีไหนละ

                      " เดี๋ยวสิ ถ้าที่นี้มันอยู่ใกล้แม่น้ำสายหลักของออสต้า...งั้นก็หมายความว่า ถ้ำแถวเนินแสงจันทร์! แสดงว่ามันต้องมีสิ อยู่ไหนนะๆ "เฟลาซ์เสริมเอเทอนัลที่ดวงตามากขึ้นเพื่อเพิ่มประสาทรับรู้การมองเห็นทำให้เขาขยายภาพและลดขนาดภาพที่ตามองได้

                      เฟลาซ์ตั้งรับไปด้วยกวาดตาไปด้วยจนในที่สุดเขาก็พบกับความหวังของทั้งสามคน

                      " มีจริงๆด้วย ถ้างั้นก็...เฮ้ เจ้ากวางนายดูแลลูกไปนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการมันเอง "พูดจบเฟลาซ์ก็เปลี่ยนเป็นเอเทอนัลแบบเสริมความแข็งแกร่งอีกครั้งทันที ชายหนุ่มลดระดับป้องกันของตัวเองลงเพื่อให้กรงเล็บนั้นจู่โจมใส่เขาได้ถนัดๆ

                      " แกตายยยย "กรงเล็บอันแหลมคมหมายทิ่มแทงเข้าที่ท้องน้อยเฟลาซ์ ทว่ามันกลับไม่ได้ผล กรงเล็บไม่อาจจะทะลวงผ่านท้องน้อยของเฟลาซ์ไปได้

                      " เสร็จฉันละ "เฟลาซ์อาศัยจังหวะนี้รวบใช้แขนข้างซ้ายรวบมือของไมตี้วูฟเอาไว้แน่นไม่ให้มันขยับไปไหนได้ ส่วนมือซ้ายก็สะบัดดาบออกไปแทงเป็นแนวตรงเล็งไปที่จุดตายบริเวณหัวใจทันที!

                      แต่เจ้าหมาป่าเองก็เร็วไม่ใช่ย่อย มันรู้ว่าหากฝืนดึงแขนต่อไปมันต้องตายแน่ๆ มันเลยเลือกที่จะตัดแขนตัวเองทิ้งทันที!

                      ไมตี้วูฟสลายสภาพเงาดำของตัวเอง ปากกัดกันแน่นมากขึ้นเพื่อพยายามข่มความเจ็บปวดที่มาจากบาดแผล

                      " ใจเด็ดดีนี้ "เฟลาซ์ไม่รีรอ นี้เป็นโอกาสเผด็จศึกของเขาแล้ว เพราะถ้าแขนขาด เอเทอนัลก็จะหายไปส่วนหนึ่งด้วย แล้วพอเอเทอนัลไม่มี ก็เท่ากับเป็นเงาไม่ได้ และในเมื่อเป็นเงาไม่ได้ เขาก็สามารถมองตามได้ทัน    

                      เจ้ากวางมัลเดสที่พอจะตามความคิดของเฟลาซ์ทันก็อดอึ้งไม่ได้ แต่มันยังไม่รู้หรอกว่าวิธีรอดของเขานะ ชวนอึ้งยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่าสายตาของมัลเดสจับจ้องไปที่เฟลาซ์ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเป็นฝ่ายไล่ต้อนบ้างแล้ว

                      เจ้าหมาป่าตวัดกรงเล็บข้างซ้ายที่เหลืออยู่อย่างแรงจนเกิดคลื่นลมอัดกระแทกหวังให้เฟลาซ์ปลิวกระเด็นไปไกแล้วมันจะได้ถอยไปตั้งหลัก ทว่าชายหนุ่มกลับไม่โดนลมพัดไปอย่างที่มันขึ้น นั้นเพราะว่าเขาใช้เอเทอนัลเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวเอง

                      จากนั้นเมื่อลมหมุนผ่านไปหมด ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นเอเทอนัลแบบตัวเบาแล้วพุ่งไปด้านหลังของหมาป่าอย่างรวดเร็ว

                      " หนึ่ง "ดาบที่ถูกเสริมความแข็งแรงด้วยเอเทอนัลถูกวาดออกไปตัดเข้าที่กระดูกสันหลังของมัน โดยเฟลาซ์เล็งไปที่เส้นประสาท ซึ่งนั้นทำให้เจ้าหมาป่าเกิดอัมพาตในทันที

                      " สอง "เฟลาซ์หมุนตัวพลิกกลับมาอยู่ด้านหน้ามันโดยระหว่างนั้นก็ใช้มีดในมือซ้ายกรีดแทงให้เกิดแผลเล็กๆไปทั่วทั้งร่างของไมตี้วูฟ

                      " สาม "เมื่อเขากลับมาประจันทางด้านหน้าของมันอีกครั้ง เขาประโยนมีดไปด้านหน้าแล้วใช้เอเทอนัลเชื่อมันกับดาบยาวในมือขวาแล้วจินตนาการใช้เอเทอนัลคลุมดาบให้แปรเปลี่ยนรูปเป็นเล่มใหญ่ขึ้นกว่าสามเมตรแล้วเสียดแทงเข้ากลางหน้าอกของมัน

                      " ขอโทษด้วยนะ ตอนแรกฉันก็กะว่าจะไม่ฆ่าแก แต่แกบังคับฉัน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะจัดการตัวปัญหาของพวกแกให้...สุดท้าย "เฟลาซ์อัดพลังเอเทอนัลเข้าไปในดาบเล่มนั้นอย่างเต็มที่แล้วฟันตวัดเฉียงเพื่อปลิดชีพไมตี้วูฟลง

                      " ฮูมมมมมมม "ทว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อเจ้าสิงโตนั้นเข้ามาถึงด้านในของถ้ำเรียบร้อยแล้ว และมันก็กำลังเงื้อมมือขึ้นหมายจะตบเฟลาซ์ให้สิ้นใจในอึดเดียว!
       

       

                      " ปะป๋าาาา "

                      " ลูเป็นอะไร! "ฟลอด้าที่เข้ามาในห้องนอนเพราะเห็นลูร้องตะโกนก็รีบเดินมานั่งตรงหน้าเธอเพื่อดูว่าเด็กน้อยเป็นยังไงบ้าง                 

                      " ลู เห็น ลูเห็นปะป๋ากำลัง "พูดยังไม่ทันจะจบ ลูมิน่าก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะถามฟลอด้าทั้งน้ำตาว่า

                      " ฟลอด้า ปะป๋าละ ปะป๋ากลับมารึยัง "เด็กน้อยเขย่ามือของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างมากล้น แต่คำตอบด้วยการสายหน้านั้นไม่ได้ทำให้เธอความคลายกังวลเลยแม้แต่น้อย

                      " ไม่ต้องกลัวนะลู ปะป๋าของลูต้องไม่เป็นอะไร เขาต้องไม่เป็นอะไรนะ "ฟลอด้าดึงหนูน้อยมากอดเอาไว้พร้อมปลอบโยนด้วยการลูบหัวเบาๆ

                      " ถ้าปะป๋าเป็นอะไรไปละก็ ลูจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย "เรื่องราวที่เกิดทั้งหมดนั้น ลูมิน่ารู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นสาเหตุ เพราะการเล่นอะไรไม่เข้าท่าและความไม่เข้าใจของเธอแท้ๆถึงทำให้ปะป๋าของเธอต้องไปเสี่ยงอันตราย แค่เธอยอมเข้าใจปะป๋าบ้าง ไม่เอาแต่ใจกับปะป๋าของเธอ คืนนี้เธอก็คงได้ฟังปะป๋าเล่านิทานกล่อมนอนเหมือนอย่างทุกที และไม่แน่บางทีปะป๋าอาจจะพาไปเที่ยวข้างนอกเหมือนอย่างเคยๆก็ได้

                      " ลูผิดเองๆ "ถึงมันจะร้ายกับลูไปบ้างแต่ฟลอด้าก็อยากให้เธอจดจำความผิดครั้งนี้เอาไว้ดีๆ ดังนั้นหญิงสาวเลยไม่ได้พูดเพื่อให้กำลังใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเด็กน้อย เพราะถ้าหากเธอพูดแบบนั้นแล้วละก็ เฟลาซ์จะต้องโกรธเธอมากแน่ๆ โทษฐานสอนลูกของเขาไม่ดี

                      กิ๊ง กิ๊ง กิ๊ง

                      " เสียงกระดิ่งนี้น่า เป็นปะป๋าแน่เลยฟลอด้า ปะป๋า "หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วจึงพาเด็กน้อยออกไปที่หน้าประตูเพื่อดูว่าใช่คนที่เธอกำลังรออยู่รึเปล่า

                      " ฟลอด้า หนูลู "แต่เบื้องหลังประตูที่ถูกเปิดออกนั้นกลับไม่ใช่เฟลาซ์อย่างที่ทั้งสองคนคาดคิดเอาไว้ นั้นเลยทำให้จิตใจของลูมิน่ายิ่งเศร้ามากขึ้นไปอีก นั้นเลยทำให้หนูน้อยไม่ได้สังเกตใบหน้าที่เศร้าสลดไม่ต่างกันผู้มาใหม่ ต่างจากฟลอด้า

                      " ลูมิน่า กลับไปที่ห้องก่อนนะ ฉันขอคุยกับพี่ชายคนนี้ก่อน "หนูลูพยักหน้ารับด้วยความเหนื่อยอ่อนแล้วเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

                      " อาร์ค...แล้วเฟลาซ์ละ นายออกตามเขาแล้วใช่ไหม "ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้พูดอะไร เขาพยายามคลี่ยิ้มออก

                      " นี้เธอจะไม่ให้ฉันเข้าบ้านเฟลาซ์หน่อยเหรอ ฝนก็ตกออกซะขนาดนี้ "ฟลอด้ายังคงจ้องหน้าของอาร์คอย่างคาดคั้นคำตอบ แต่ดวงตาของเธอนั้นก็เริ่มมีน้ำมาคลอแล้ว เพราะตอนนี้เธอพอจะคาดเดาได้แล้วละว่า ข่าวที่อาร์คจะเอามาบอกคืออะไร

                      ฝ่ายชายหนุ่มเองก็รู้ว่าสุดท้ายเลี่ยงไปก็เท่านั้นจึงต้องบอกออกไปว่า

                      " ใจเย็นๆนะฟลอด้า "อาร์คมองให้แน่ใจอีกครั้งว่าลูไม่อยู่ด้วย

                      " พวกเราตามเฟลาซ์ไปที่ป่าไคล์แล้ว แต่ว่าพวกเราไปช้าเกิน เฟลาซ์ก็เลย "

                      " ก็เลยอะไร! "หญิงสาวพุ่งออกมากระชากของอาร์คอย่างไม่รู้สึกตัว สำเนียงที่เปล่งออกมานั้นก็สั่นคลอนไปมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินราวกับจะไม่มีวันหยุด

                      " ก็เลย... "อาร์คยังคงอ้ำอึ้งพูดไม่ถูกอยู่นั้นก็เพราะว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนั้น มันต้องทำให้จิตใจของใครๆหลายๆคนสะเทือนเอามากแน่ๆ

                      " ก็เลยอะไรเล่า! "เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวตะโกนอย่างเหลืออดแต่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์โมโห แต่เป็นความเศร้าเสียใจที่ถาโถมเข้าใส่เธอไม่ยั้ง ราวกับว่าตอนนี้เธอได้สูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างไป สิ่งสำคัญบางอย่างที่ไม่มีทางได้คืน

                      หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้นมือของเธอเองก็พยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่างเอาไว้ ทว่ามันก็จับต้องได้แต่เพียงมือของอาร์คเท่านั้น

                      ชายหนุ่มก้มตัวลงนั่งยองๆลง ใบหน้าที่เคยสลดนั้นตอนนี้กลับยิ้มออกมาได้ ฟลอด้าคิดว่านี่อาจเป็นการให้กำลังใจของอาร์ค เพราะตัวอาร์คเองก็เป็นเพื่อนกับเฟลาซ์มาตั้งแต่เล็กๆ ขนาดเธอที่รู้จักเฟลาซ์ได้แค่ไม่กี่ปียังเสียใจมากมายเกินจะพูด แล้วอาร์คละ อาร์คที่เป็นเพื่อนของเฟลาซ์ละจะขนาดไหน

                      " ไม่เป็นไรนะฟลอด้าอย่าเสียใจไปเลยเพราะว่ายังไงตอนนี้เฟลาซ์มันก็... "

                      " ฉันรู้ว่ามันยากไม่เป็นไรหรอก อาร์ค ไม่เป็นไร "

                      " มันไม่ยากหรอกฟลอด้า เพราะว่าหมอนั้นนะ หมอนั้นนะ มันยังไม่ตาย! อะฮ้าาาา โดนหลอกแล้วๆ "ฟลอเงยหน้ามองอาร์คที่คาดว่าน่าจะเสียสติไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าพยายามสร้างเฟลาซ์ในจิตนาการขึ้นมาว่ายังไม่ตาย

                      ฟลอด้าที่เข้าใจแบบนั้นก็เข้าสวมกอดอาร์คแล้วบอกว่า

                      " ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าไม่เป็นไร พวกเราจะต้องผ่านความสูญเสียนี้ไปให้ได้ "ส่วนทางด้านคนถูกกอดนะเหรอ ในเมื่อเป็นผู้ชายถ้าผู้หญิงกอดแล้วไม่กอดตอบ มันคงจะเสียมารยาทมากแน่ๆ อาร์คเลยใช้สองมือนั้นกอดตัวฟลอด้าเบาๆ

                      " โอ้ๆฟลอด้าไม่เป็นไรนะ โอ้ๆ "นั้นจึงทำให้เธอสังเกตเห็นมือทั้งสองของอาร์ค ถ้างั้นแล้วมือนี้ละของเธอ หญิงสาวที่ยังโดนกอดอยู่ไล่สายตามองมือที่เธอจับเอาไว้ขึ้นไปแล้วก็พบหน้าของคนคุ้นเคย

                      ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจละคนดีใจ โมโหละคนเป็นห่วง เธอไม่รู้จะระบายความนึกคิดในตอนนี้ของเธออย่างไรดี หญิงสาวเลยจัดการตบหน้าอาร์คเสียกระเด็นไปไกลพร้อมกับลุกขึ้นเข้าสวมกอดเฟลาซ์ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

                      " โอ้ย ใจเย็นๆฟลอด้า ฉันโอเคๆ "หญิงสาวที่เห็นชายหนุ่มร้องก็รีบผละออกทันที ทั้งเขิน ทั้งอาย หน้างี้แดงก่ำไปหมด สายตาเองก็พยายามทำเป็นไม่มอง แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้เลยพยายามเหล่ๆว่าเฟลาซ์มีบาดแผลตรงไหนบ้าง

                      " เล่นอะไรกันเนี้ยห้ะ! "เฟลาซ์ที่ไม่รู้เรื่องเพราะเพิ่งไปเอาส่วนประสมอื่นของเมนูอาหารมาก็ได้แต่ทำหน้างงๆไป ส่วนฟลอด้าพอเห็นเฟลาซ์ทำหน้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งเขินเข้าไปอีก เพราะเหมือนเธอไปว่าร้ายคนผิด

                      " โอ้ยยยยย เจ็บบบบวุ้ย มือหนักชะมัดเลย สมแล้วที่เป็นมังกร อย่าไปโทษมันเลย ฉันแกล้งเธอเองแหละ มันเพิ่งมาก็ไอ้ตอนที่เธอคุกเข่าร้องไห้นั้นแหละ "ฟลอด้าแทบอยากจะกระโดดเตะเจ้าอาร์คปากรั่วเสียจริงๆ แค่นี้เธอก็อายมากพอแล้ว นี้ยังมาเพิ่มความอับอายด้วยการเล่าอะไรไม่เข้าให้เฟลาซ์ฟังอีก ถึงแม้ว่าเฟลาซ์จะเห็นทั้งหมดเลยก็ตาม แต่เธอก็ไม่อยากไปรื้อฟื้นมันนี่น่า

                      " แล้วนายเป็นยังไงบ้าง ได้ของมาไหม "เฟลาซ์ที่ดูนิ่งๆผิดปกติ ยื่นต้นหญ้าปาปีรันให้ฟลอด้าดู ส่วนเนื้อกวางมัลเดสเขาไม่ได้มาหรอกเพราะว่าตัวเขาฆ่ากวางมัลเดสไม่ลง เพราะเจ้านั้นมันทั้งช่วยเขาให้รอดพ้นจากสิงโตวัวมาและมันยังพาเขาไปหาแหล่งที่มีปาปีรันอยู่เขาก็เลยเก็บมาได้เพียบเลย

                      นั้นจึงทำให้เฟลาซ์ได้แต่เนื้อของไมตี้วูฟแล้วก็เนื้อของสิงโตวัวที่ตายเพราะเขาใช้หญ้ากรันต้าสกัดแล้วผสมไปในเนื้อของไมตี้วูฟจากนั้นก็ให้รอให้สิงโตวัวกินไปเอง จนสุดท้ายเจ้านั้นก็ตายลงอย่างง่ายดาย ต้องบอกเลยว่าความรู้นี่มีประโยชน์จริงๆ

                      " เดี๋ยวๆ นั้นแผลใช่ไหมนะ "ถึงฝนจะชำละเลือดที่ออกจากบาดแผลไปจนหมดทำให้ถ้าไมสังเกตดีๆจะมองไม่เห็น แต่สำหรับฟลอด้าแล้วเธอแค่ดูจากกระแสเอเทอนัลก็รู้แล้ว

                      " อืม ฉันไม่เป็นไร ลูละ ลูหลับไปรึยัง ฉันจำได้ถ้าลูหลับแล้วจะไม่ปวดท้อง งั้นฉันขอไปดูลูก่อนนะ "เฟลาซ์ที่ยิงคำถามรั่วไม่ได้รอคำตอบแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบเข้าไปในบ้านของเขาทันที เล่นเอาทั้งฟลอด้าแล้วก็อาร์คงงไปตามๆกัน แต่ที่ไม่เคยงงแล้วก็สงสัยก็คือความรักที่เฟลาซ์มีให้กับลู

                      " ก็เป็นพ่อนี้นะ "ฟลอด้ายิ้มมองตามหลังชายหนุ่มไป

                      " ก็เป็นภรรยานี้นะ "อาร์คมองฟลอด้าสลับกับเฟลาซ์แล้วพูดต่อว่า " ก็เป็นสามีนี้นะ แหม เขินซะน่ารักเชียว "ทิ้งระเบิดไว้แค่นั้นอาร์คจอมปากรั่วก็เดินฮัมเพลงสบายใจกลับบ้านไป ปล่อยให้ฟลอด้าหน้าแดงเจ๋อยู่ตรงนั้นคนเดียว

                      " จะเข้าไปดีไหมเรา ยัยฟลอด้า "

       

       

                      " ปะป๋าาาาา ปะป๋าอย่าไปนะ ปะป๋าาา "

                      " ลูๆ ลูเป็นอะไร ฉันอยู่นี้แล้ว "เหมือนภาพเดจาวู ครั้งแรกที่ลูมิน่าละเมอนั้นยามมังกรน้อยตื่นมาเธอพบกับฟลอด้า แต่คราวนี้ในที่สุดเด็กน้อยก็พบกับคนที่รักมากที่สุดเสียที

                      " ปะป๋าาาาา "หนูลูเข้าสวมกอดผู้เป็นเหมือนพ่อเอาไว้แน่นราวกับว่าไม่อยากปล่อยให้เขาจากไปไหนอีก

                      " โอ้ ไม่ร้องนะคนเก่ง ไม่ร้องน้าาาาา "

                      " ลูจะไม่ร้อง ก็ลูได้เจอปะป๋าแล้วนี้ "ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กก็ยิ่งกอดเฟลาซ์แน่นขึ้นไปอีก แต่สงสัยจะลืมไปว่าตัวเองเป็นมังกรที่มีแรงมหาศาล

                      " อะ...โอ้ยยย "แต่เฟลาซ์ก็พยายามส่งเสียงให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากให้ลูคิดว่าลูทำร้ายเขา แต่หนูน้อยก็ดันมีหูที่ดีซะอีก เลยได้ยินเสียงร้องโอดอ้วยของปะป๋าตัวเองซะชัดเชียว

                      " ปะป๋าบาดเจ็บเหรอ ไหนๆขอลูดูหน่อย "ชายหนุ่มชั่งใจนิดหน่อยว่าจะให้ดูดีไหม แต่สุดท้ายก็ยอม เพราะแผลพวกนี้ยังไงเขาก็ได้มาเพราะความต้องการที่จะช่วยลู ดังนั้นแผลพวกนี้ก็คือหลักฐานแห่งความภูมิใจและความรู้สึก...พิเศษของเขา

                      " โอมมม เพี้ยง ความเจ็บปวดจงหายไป ไม่เจ็บแล้วน้าๆ "หนูลูทำท่าเหมือนร่ายมนต์ ไปบนแผลของเฟลาซ์เพราะลูจำได้ว่าตอนเด็กๆปะป๋าของลูเคยทำแบบเดียวกันนี้กับลู ที่น่าแปลกก็เด็กน้อยดันรู้สึกว่ามันหายจริงๆ เจ้าตัวเล็กก็เลยคิดว่าแบบนี้น่าจะช่วยปะป๋าของตนได้เช่นกัน

                      " ขอบคุณนะครับ เจ้าตัวเล็ก "เฟลาซ์เองก็จำได้ว่าตนเคยทำแบบนี้ให้หนูลู แล้วพอโดนร่ายมนต์กลับแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกหัวใจพองโตด้วยความสุขยังไงก็ไม่รู้

                      ติ๊ดๆๆๆ

                      " ข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันไปเอามาให้นะ "หนูลูพยักหน้ารับยิ้มๆแล้วปล่อยให้ปะป๋าเดินไป

                      ตอนนี้ในหัวของเธอกำลังตีกันวุ่นว่าเธอจะบอกความจริงของกับปะป๋าดีไหมว่าเธอไม่ได้ปวดท้องจริงๆ เธอแค่แกล้งปะป๋าเท่านั้นเอง

                      " แต่ถ้าบอกแล้วปะป๋าเกลียดเราละ ไม่หรอกก็ฟลอด้าบอกแล้วนิว่าปะป๋าไม่มีวันเกลียดเรา "

                      " ข้าวมาแล้วคร้าบบบ อะนี้ รสชาติไม่รู้เป็นยังไงเหมือนกัน "เฟลาซ์เดินกลับเข้ามาในห้องนอนของลูพร้อมกับถ้วยซุปขนาดพอเหมาะเขานั่งลงบนพื้นเพราะว่าจะได้ตักซุปให้หนูน้อยกินได้ถนัด

                      " ปะป๋า นี้ซุปอะไรเหรอ "หนูลูที่อยากจะบอกความจริงแต่ก็ยังไม่กล้า ตอนนี้เลยได้แต่แกล้งถามถ่วงเวลาไปอย่างนั้น

                      " ก็มีสิงโตวัวมั้ง หมาป่าไมตี้วูฟแล้วก็มัลเดส แต่ไม่สดนะ เพราะฉันไม่กล้าฆ่ามัน ฉันขอโทษลูด้วยนะ "ลูส่ายหน้าปฏิเสธ เด็กน้อยจะไม่เรียกร้องอะไรที่มากเกินไปอีกแล้ว หนูลูไม่กลัวปะป๋าจะหามาให้ตัวเองไม่ได้ แต่กลัวปะป๋าเป็นอันตรายมากกว่า

                      เฟลาซ์ตักข้าวขึ้นมาหนึ่งคำแบบพอเหมาะ " อ้ามมมม "

                      " อี๋แหวะ ทำไมขมจังป่ะป๋า นี้ซุปเนื้อสัตว์แน่เหรอ "เฟลาซ์ขำกับท่าทางตลกๆที่หนูลูพยายามจะทำให้มันขมน้อยลงด้วยการเอามือไปถูๆกับลิ้นเสียหลายครั้ง

                      " ก็ซุบเนื้อนั้นแหละ แต่มีสมุนไพรที่ชื่อปาปีรันอยู่ด้วยนะสิ ปาปีรันช่วยให้หายปวดท้องได้ดีในมังกร เพราะงั้นกินเข้าไปเยอะๆอย่าบ่น "หนูลูที่ยังขมไม่เลิกพอเจอช้อนต่อไปก็ปฏิเสธแล้วก็พยายามจะไม่กินแต่ช้อนนั้นมันก็ตามมาเข้าปากเธออยู่ดี

                      " ไม่อร่อยเลยปะป๋า พอแค่นี้ได้ไหมนะ "ได้ยินแบบนั้นเฟลาซ์ก็เขกหัวหนูน้อยขี้่บ่นเข้าให้หนึ่งที

                      " ก็ฉันทำเองนิ อย่าบ่นไปหน่อยเลย อีกอย่างหวานเป็นลมขมเป็นยานะ ปาปีรันช่วยแก้ปวดท้องได้ เพราะงั้นกินเข้าไป "ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตักคำต่อไปแบบยิ้มๆแล้วส่งให้หนูน้อยต่ออีกช้อนหนึ่ง

                      ต่างจากหนูลูที่ตอนนี้ที่นิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

                      " ทำหน้าแบบนั้นทำไม หรือมันไม่อร่อยจริงๆหว่า ไหนดูดิ "ในเมื่อเจ้าตัวเล็กไม่กิน เขาก็ลองเองซะเลย และผลปรากฏว่ามันก็ไม่อร่อยจริงๆ แต่เฟลาซ์คิดว่ายังพอจะแก้ได้ถ้าใส่ผงความหวานไปนิดหน่อย

                      " ปะป๋าทำเองจริงๆเหรอ "จู่ๆเด็กน้อยก็ถามขึ้นมาซะอย่างงั้น บทจะเงียบก็เงียบบทจะพูดก็พูด แต่พูดครั้งนี้ไม่พูดเปล่า หนูน้อยจับมือของปะป๋าตนที่มีพลาสเตอร์แปะอยู่เต็มไปหมด

                      " ก็ทำเองนะสิ นึกว่ามีหนังสือแล้วจะง่าย ที่ไหนได้ โคตรยากกก แถมกว่าจะแกะเปลือกของยอดปาปีรันได้เนี่ยเล่นเอาเจ็บมือเหมือนกัน เอ่อแต่จะว่าไปฉันเองก็ทำให้หนูลูกินเนี้ย "

                      " ครั้งแรก ครั้งแรกเลย! "หนูลูพูดแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว เธอเข้าใจทั้งหมดแล้วว่าปะป๋าของเธอเป็นห่วงและรักลูกปลอมๆอย่างตนมากขนาดไหน เพราะงั้นลูมิน่าเองก็จะตอบแทนความรักของปะป๋าด้วยความจริงใจเหมือนกัน

                      " ปะป๋าคือที่ลูปวดท้องนะ ลูโกหก เพราะงั้นปะป๋าไม่ต้องห่วง ส่วนห้องเนี้ยลูเป็นคนเก็บกวาดให้เองแหละ "พูดจบเจ้าหนูก็ยิ้มร่าหน้าบานด้วยความสุข

                      " โกหกเหรอ? อืมมมม "เฟลาซ์ไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เขาแค่เดินออกไปเดินจากไป ทิ้งให้ลูถือชามกับช้อนเองอยู่คนเดียว สิ่งที่หนูลูคิดว่าจะได้รับกลับไม่ได้อะไรเลย แสดงว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้นผิดทั้งหมด นั้นสินะ ถ้าโดนโกหกเป็นใครใครก็โกรธ ก็ไม่ให้อภัย แบบนี้รึเปล่าที่เรียกว่าโดนเกลียด

                      ลูมิน่าที่ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่นั่งร้องไห้แล้วพยายามตะโกนสุดเสียง " หนูขอโทษษษษษ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูจะแก้ไข หนูจะปรับปรุงตัวกับข้าวที่ปะป๋าทำลูเองก็จะกินให้หมด จะไม่เกี่ยงอีกแล้ว จะกินผักให้เป็น จะทำทุกอย่างให้ได้ เพราะงั้นปะป๋าอย่าทิ้งหนูไป ฮื้ออออ "ถึงแม้จะพยายามเบ่งเสียงเท่าไร เสียงของเธอก็ไม่ได้ดังไปกว่าการกระซิบเพราะว่าการสะอื้นจากความเสียใจนั้นมันมากกว่า

                      หนูน้อยซุปกินทีละนิดๆ แม้ว่าในซุปนั้นมันจะป่นไปด้วยน้ำตาจนทำให้รสชาติมันแย่มากกว่าเดิมลูก็จะกินมันให้หมด

                      เท้าเองก็ออกย้ำเดินไปหน้าบ้านเพราะคิดว่าปะป๋าคงหนีไปแล้ว

                      หนูน้อยเดินออกมานอกบ้านย้ำเท้าเปล่าไปในความมืดเพื่อที่จะตามหาปะป๋าของเธอ แต่ทว่าด้วยดินหลังฝนตกที่ลื่นและเปียกแชะ มันจึงทำให้เด็กน้อยสะดุดหกล้มลงจนเป็นแผลถลอด

                      ลูมิน่าที่ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าความเจ็บปวดไหนมันเจ็บกว่ากันระหว่างแผลทางกายกับทางใจ สิ่งที่เด็กอย่างเธอจะทำได้คงมีแค่การร้องไห้และหวังว่าจะให้ปะป๋ากลับมาปลอบเธอเหมือนทุกที

                      " หนูลู! ออกมาทำอะไร "เป็นแสงสว่างเดียวในความมืดของเด็กน้อย ชายหนุ่มพุ่งเข้ามาสวมกอดเด็กน้อยเอาไว้ ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับเจ้าตัวเล็กในยามกอดเขา นั้นคือไม่อยากให้หนูน้อยหายไปไหน

                      " ก็ลู ก็ลูคิดว่าปะป๋าโกรธลู ไม่ให้อภัยลูแล้วนะสิ "

                      " ยัยเด็กบ๋อง ฉันไปเอาผงความหวานให้เธอจะได้ใส่ซุปกินง่ายๆ แต่มันอยู่ในห้องเก็บของโน่น ฉันไม่ได้หายไปไหนทั้งนั้นแหละ ส่วนเรื่องโกรธ ใครจะไปโกรธเด็กขี้แย ตัวเล็ก ทำอะไรไม่ได้ลงละหื้ม เลิกร้องได้แล้ว "เฟลาซ์ใช้สองมือจับแก้มของเด็กน้อยแล้วบิดไปบิดมาอย่างเอ็นดู ส่วนเจ้าตัวเล็กที่พยายามหยุดร้องแต่มันเลิกไม่ได้ก็ร้องโอ๊ยๆไปทั้งน้ำตา แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุขนะ

                      " ปะป๋าเองก็ร้องเหมือนกันนั้นแหละ "

                      " ไม่ได้ร้องงง ฝนทั้งนั้น "พอเห็นว่าคนเป็นพ่อไม่ยอมเลิกซักทีเด็กน้อยก็เลยเอาคืนบ้าง ตอนนี้ก็เลยเกิดสงครามบิดแก้มกันไปมาเสียจนแก้มทั้งสองงี้แดงไปหมดแล้ว

                      " ปะป๋าหนูเจ็บแล้วพอเถอะนะ "

                      " ฉันก็เจ็บ แต่ถ้าฉันเลิกหนูจะเลิกไหมละ "เจ้าตัวเล็กทำเสียงจิเล็กๆเพราะคนเป็นพ่อดันรู้ทันซะอีก

                      " ก็ได้ งั้นนับสามแล้วปะป๋าปล่อยนะ "

                      " งั้นพ่อตกลง โอเคนะเริ่ม "เฟลาซ์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองหลุดพูดคำว่าพ่อ แต่คนที่ได้ยินเต็มสองรูหูอย่างหนูลูเนี้ยยิ้มจนแก้มแทบปริ เพราะว่าตลอดมาปะป๋าของลูไม่เคยแทนตัวเองว่าพ่อเลย วันนี้เป็นวันพิเศษที่สุดของลูจริงๆ

                      " หนึ่ง "เป็นลูมิน่าที่นับก่อน

                      " สอง "คราวนี้เฟลาซ์เป็นผู้นับตาม

                      " สาม "สองพ่อลูกประสานเสียงกันนับอย่างร่าเริง แต่ทว่าคนที่ปล่อยมีเพียงแค่เฟลาซ์เท่านั้น ส่วนลูมิน่านะเหรอ เล่นหยิกเอากำไรไปหลายทีแล้วก็รีบวิ่งหนีกลับเข้าบ้านเสียเฉยๆ

                      " เฮ้อออ วิ่งไม่สนใจคนแก่เลย รอพ่อด้วยยย "พูดแบบยิ้มๆแล้วคนเป็นพ่อก็วิ่งตามเข้าไป ก็จะไม่ให้วิ่งตามได้ยังไงกันละ ในเมื่อที่มาของความรู้สึกรักอันมากมายที่ผลักดันให้เขาทำอะไรก็ได้บนโลกนี้ อยู่ทางนั้นนี่

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×