[SF-KhunWoo] Love Rain - [SF-KhunWoo] Love Rain นิยาย [SF-KhunWoo] Love Rain : Dek-D.com - Writer

    [SF-KhunWoo] Love Rain

    บรรยากาศยามบ่ายของเส้นทางสายเล็ก ๆ ที่ทอดสู่ตัวอาคารสีขาวทรงแปลกตาค่อนข้างจะเงียบสงบ... เสียงสายฝนกระทบกับร่มและเสียงหัวใจตัวเองที่ดังตึกตักตามจังหวะการเดินของเรา

    ผู้เข้าชมรวม

    890

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    890

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.ย. 58 / 11:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Title: Love Rain 

    Short Fic (PG-13) 


    Couple: KhunWoo 


    Writer: talingping 







    แผ่นกระดาษบนโต๊ะว่างเปล่ามาหลายชั่วโมงแล้วและจางอูยองก็คิดว่ามันก็คงจะอยู่ในสภาพนั้นต่อไปอีกนาน 

    เขาเริ่มประสาทเสียจนเห็นเลขศูนย์ลอยอยู่เต็มหน้ากระดาษ ถึงจะไม่อยากได้แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้อย่างน้อยเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้า เปอร์เซ็นต์ว่าเขาอาจได้เกรดศูนย์จากวิชาบังคับของอาจารย์ปาร์คจินยอง 

    อู ยองถอนใจยาวขณะเหยียดแขนบนโต๊ะในร้านคอฟฟี่ชอป ปลายคางมนกดลงบนพื้นโต๊ะกระจกเย็นเฉียบ มือยังคงฝนลายตัวหนังสือด้วยดินสอสองบีบนแผ่นกระดาษพร้อมวาดวงกลมล้อมหัวข้อ งานที่เขาต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนสัปดาห์หน้าจะมาเยือน 

    เพลงรัก 

    ไม่ เคยมีครั้งไหนที่เขาชิงชังคำนี้เท่าวันนี้มาก่อน ไม่รู้เพราะมันยากเกินไปสำหรับคนถนัดเต้นอย่างเขา หรือเพราะยังพยายามไม่พอกันแน่ เด็กหนุ่มนั่งเซ็งพยายามเค้นอารมณ์ที่คาดว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกที่เรียก ว่ารักออกมา แต่จนแล้วจนรอดอูยองก็ทำไม่สำเร็จ 

    “นายก็ลองเขียนเพลงจากประสบการณ์ของตัวเองดูสิ” 

    อู ยองเบะปากใส่กระดาษที่น่าสงสารออกแรงฝนดินสอตรงคำว่ารักให้ดำมากขึ้นจนแทบ ทะลุแผ่นกระดาษ เมื่อนึกถึงคำแนะนำของคิมจุนซู รุ่นพี่ปีสามเอกดนตรี ถ้ามันง่ายขนาดนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่แบบนี้หรอก 

    ตั้งแต่ เรียนมัธยมจนกระทั่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เขาไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยมีแฟน นอกเหนือจากความรักของพ่อแม่ พี่สาวและเพื่อนฝูงอันน้อยนิดแล้ว เขาก็ไม่รู้จักความรักประเภทอื่นอีก 

    “ยากตรงไหน ไม่มีแฟนก็หาเข้าสิ นายจะได้รู้ไง ว่าความรักน่ะเป็นยังไง”
     

    นี่ก็อีกคน... 
    ถ้า การหาแฟนมันง่ายอย่างที่อีจุนโฮแนะนำล่ะก็ เขาคงมีแฟนไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องเอาคำว่าโสดแปะหน้าผากพกพาไปทุกที่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก 

    อู ยองถอนใจหนักหน่วง งานก็ไม่คืบหน้าแล้วก็ยังต้องมากลุ้มใจเรื่องไร้สาระที่ไม่ควรจะมาเป็น ประเด็นในชีวิตในตอนนี้ด้วยอีกต่างหาก ก็อย่างว่าใครจะมาชอบผู้ชายหน้าตาจืดชืดอย่างกับเต้าหู้ยัดไส้อย่างเขากัน หน้าตาก็ไม่หล่อ หุ่นก็ไม่ดี กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ลงพุงกับไปชุมนุมรวมกันในกระพุ้งแก้มซะอย่างนั้น การเรียนก็งั้น ๆ กีฬาก็ไม่ได้โดดเด่น ฐานะทางบ้านก็ไม่ร่ำรวย แถมยังไม่ชอบสุงสิงกับใครก็เลยไม่ค่อยมีใครคบอีกต่างหาก ใครจะมาคบกับเขาก็บ้าแล้ว ถ้าจางอูยองเป็นแบบรุ่นพี่นิชคุณก็ว่าไปอย่าง 

    สองร้อยเมตร... 

    อู ยองผงกศีรษะขึ้นทันทีเมื่อจู่ ๆ รุ่นพี่ที่เขานึกถึงก็ปรากฏตัวขึ้นที่พิกัดสิบสองนาฬิกา ดวงตารีเรียวจ้องมองร่างสูงโปร่งที่เดินฝ่าสายฝนออกมาจากห้องสมุดซึ่งอยู่ อีกฟากหนึ่งของถนน อูยองขยับเก้าอี้ให้ชิดกระจกร้านอย่างลืมตัว เบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองให้ชัดว่าชายคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เขากำลังคิด ถึง 

    และก็ใช่อย่างที่เขาคิด... 

    อูยองท้าวแขนขวาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอาหน้ากลมวางลงบนฝ่ามือและเอียงคอมองออกไปนอกร้าน แสร้งทำเป็นมองเม็ดฝนที่พร่างพรมไปทั่วมหาวิทยาลัย แกล้งกวาดสายตามองนักศึกษาหลายคนที่กางร่มเดินออกจากหอสมุดเป็นคู่ ๆ ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อมาท่าทีเพิกเฉยและทำทีไม่สนใจชายหนุ่มที่ดึงดูดใจเขา ตั้งแต่แรกพบก็มีอันต้องพังทลายลง 

    ร้อยเมตร...
     

    อู ยองจำใจต้องยอมรับกับตัวเองว่าไม่อาจละสายตาไปจากนิชคุณที่กำลังเดินก้มหน้า ฝ่าสายฝนมาตามทางเดินจากหอสมุดได้ ยังคงจ้องมองแม้จะไม่ได้เห็นซีกหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นพระเอกละครเวทีประจำ มหาวิทยาลัยเพราะถูกอำพรางไว้ด้วยหมวกเสื้อคลุมสีฟ้าหม่น 

    ไม่ได้ เห็นคิ้มคมเข้มรับกับนัยน์ตาหวานมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาชวนหลงใหล ไม่เห็นแม้กระทั่งริมฝีปากอุ่นได้รูปน่าสัมผัส เขาอยากเห็นดวงตาคู่นั้น ดวงตาแสนซื่อ สดใส ทว่ามีอำนาจมากพอจะดึงดูดให้ใครหลายคนหลงใหลและหวาดหวั่นกับพลังอำนาจในตัว ผู้ชายคนนั้นจนต้องยอมสยบให้อย่างง่ายดาย 

    “พี่คุณอาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมา”
     

    อี จุนโฮ เคยพูดกับเขาอย่างนั้น ทว่าเขาไม่เคยเชื่อคำพูดเหนือจินตนาการของจุนโฮเลย ถึงบางครั้งเขาจะหวาดหวั่นกับสายตาคู่นั้น แต่ไม่ได้กริ่งเกรงเสียจนหวาดผวาจนต้องถอยห่าง นิชคุณเหมือนดั่งดวงตะวันสำหรับเขา ดวงตะวันที่ฉายแสงเจิดจ้าแม้ยามสายฝนจะโปรยปรายในวสันตฤดู 

    ห้าสิบเมตร... 

    กาแฟ แก้วใหม่ถูกเอามาเสริ์ฟไว้ตรงหน้าเมื่อหลายนาทีก่อน หากอูยองไม่ได้ใส่ใจให้สมกับเงินที่เสียไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นไม่ได้เรียกสติเขาให้กลับเข้าร่าง ไม่สนใจเสียงกระซิบจากจิตใต้สำนึกว่าเขาควรลงมือทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ สิ้นก่อนฝนซา อูยองอิดออดและแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะรุ่นพี่ที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนน่าสนใจกว่าเป็นไหน ๆ 

    อูยองไม่เคย ชอบบรรยากาศขมุกขมัวของฤดูฝน ไม่ชอบความชื้นแฉะที่ปูพรมไปทุกที่ที่เขาเหยียบย่าง ไม่ชอบแม้ว่าหยาดฝนจะนำสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ให้เติบโตและมีชีวิต แต่เมื่อแล้วความคิดของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะอูยองรู้ว่าผู้ชายที่สาว ๆ ในมหาวิทยาลัยทุกคณะหมายปองชื่นชอบฤดูฝน 

    เขารู้ว่านิชคุณไม่กลัว การเปียกฝน ไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำอย่างที่ใครต่อใครหรือแม้ กระทั่งเขาไม่ปรารถนาจะเฉียดใกล้ ทั้งที่อูยองไม่นึกชอบฤดูฝน ไม่ชอบเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่เขากลับชอบมองภาพนิชคุณเดินฝ่าสายฝนด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเดินเล่นอยู่ใต้แสงแดด เขามองทุกความเคลื่อนไหวของนิชคุณภายใต้สายฝนพรำยามบ่ายด้วยสายตาเคลิบ เคลิ้ม 

    ทุกครั้งที่เขาเห็นสายฝนโปรยปรายลงมา เขาจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเสมอ วันที่เขาพบนิชคุณติดฝนที่ตึกคณะเมื่อตอนเขาอยู่ปีหนึ่ง และเป็นเขาเองที่เอ่ยปากชวนนิชคุณเดินออกมาด้วยร่มสีเหลืองคันเดียวกัน เขายังจำอาการประหม่าของตัวเองได้ ทั้งยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ชัดเจนและระลึกถึงมันเสมอ แต่เขาไม่มั่นใจว่านิชคุณจะยังจำเรื่องพวกนั้นได้หรือเปล่า 

    หลังจาก เหตุการณ์วันนั้นเขาก็ยิ่งไม่มั่นใจว่านิชคุณจะจำเขาได้ เพราะถึงเราจะเจอกันอีกครั้งทว่าท่าทีของนิชคุณทำให้อูยองคิดเอาเองว่า เหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เป็นความทรงจำอันยิ่งใหญ่ของเขาได้เลือนหายไปจากความทรงจำของนิชคุณหมด แล้ว 

    อูยองเหลือบมองร่มสีเหลืองที่เขาใส่ในถังหน้าร้านด้วยแววตาโหย หา มันไม่ใช่ร่มคันเดียวกับที่เราเคยเดินฝ่าสายฝนกลับตึกเรียนมาด้วยกัน แต่เขาก็เลือกที่จะซื้อสีเดียวกันมาใช้ในทุกครั้งที่ของเก่ามีอันต้องพังจน ใช้การไม่ได้ นิชคุณลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ก็พอแล้ว 

    สิบเมตร...
     

    อู ยองมองนิชคุณที่ก้มหน้ามองพื้นขณะวิ่งเหยาะ ๆ มาตามทาง มองเรียวขายาวคู่นั้นกระโดดข้ามแอ่งน้ำก่อนจะวิ่งมาตามทางโค้งที่ลาดต่ำลง อูยองกังวลเล็กน้อยเมื่อเสื้อผ้าที่รุ่นพี่ใส่อยู่ไม่สามารถช่วยปกป้องกล้าม เนื้อล่ำสันจากสายฝนได้ เขานั่งลุ้นราวกับดูนักกีฬาโอลิมปิควิ่งฝ่าสายฝนที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น เด็กหนุ่มนั่งอมยิ้มมองเรียวขายาวคู่นั้นก้าวสลับทีละข้าง มองกระเป๋าเป้กระเด้งกระดอนบนแผ่นหลัง มองดูเสื้อแขนยาวที่ชุ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำฝน ถ้าเขาต้องนั่งมองนิชคุณแบบนี้ทุกวันเขาก็ทำได้ไม่รู้เบื่อ 

    เมื่อ ระยะห่างระหว่างเขากับรุ่นพี่เริ่มสั้นลงจนจะเห็นทุกอย่างชัดเจน อูยองมองฝีเท้าที่วิ่งเหยาะๆ ผ่านทางโค้งคับแคบและตรงมายังคอฟฟี่ชอปประจำคณะที่อูยองยึดโต๊ะริมผนังกระจก ติดทางเดินริมฟุตบาทสิงสถิตย์อยู่ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา 

    สามเมตร... 

    เมื่อ ระยะทางสั้นลงจนมองเห็นนิชคุณวิ่งฝ่าสายฝนชัดขึ้น อูยองรีบคว้ากระดาษแผ่นใหม่ไร้รอยเปื้อนมาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะตั้งท่าถือ ดินสอดำสองบีเหมือนกับว่ากำลังขะมักเขม้นกับแผ่นกระดาษว่างเปล่าตรงหน้า พยายามควบคุมไม่ให้สายตามองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินย่ำแอ่งน้ำบนถนน ด้วยรองเท้าคอนเวิสเก่าเยินคู่เดิมที่รุ่นพี่ใส่เป็นประจำ พยายามไม่มองมือที่กุมสายสะพายเป้สีแดงไว้มั่น ไม่มองเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายแดงตรงกลางภายใต้เสื้อคลุมที่เปียกฝนจนแนบกับลำ ตัว พยายามห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นเร็วแรงขึ้นเมื่อนิชคุณหยุดฝีเท้าและหอบ หายใจอยู่หน้ากระจกที่เขานั่งอยู่ 

    แต่มันสายไปแล้ว... 

    แก้มอูยองแดงซ่านเมื่อนิชคุณเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นสบตาเขาผ่านม่านกระจก 

    จางอูยองทำอะไรไม่ถูก นอกจากมองดวงตาคู่นั้นนิ่งนาน ... 

    พลันในช่วงวินาทีสั้น ๆ นั้น 

    จางอูยองก็ตระหนักว่า เขารักนิชคุณ 

    รักมาโดยตลอด... 

     

    ฝน ลงเม็ดแรงขึ้นเมื่อนิชคุณวิ่งออกมาจากห้องสมุดลัดเลาะไปตามทางเพื่อไปให้ทัน นัดกับรุ่นพี่คิมจุนซู ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำฝนบนหน้าผาก เขานึกว่าน่าจะวิ่งไปถึงคณะดุริยางคศิลป์ได้ก่อนที่ฝนจะตกหนัก แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เขาก็หมดหวัง แม้จะวิ่งมาถึงร้านคอฟฟี่ชอปของคณะซึ่งห่างจากตึกเรียนของรุ่นพี่อีกแค่สอง ตึกแล้วก็ตาม 

    น้ำฝนไหลโกรกผ่านหลังคาร้านลงมาไม่ขาดสาย เขากระโดดหลบเข้าในชายคาไม่ให้ตัวเองต้องเปียกไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก้มตัวต่ำหอบหายใจช้า ๆ เขาถอดหมวกเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยละอองน้ำออก ใช้มือขวาเสยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ชุ่มฉ่ำแรง ๆ วูบหนึ่งเขารู้สึกว่ามีใครจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับจางอูยอง 

    ได้เจอกันอีกแล้ว...
     

    นิ ชคุณยิ้มกริ่ม แต่ก็ต้องทำหน้านิ่งเก็บอารมณ์ที่ลิงโลดให้มันเพลา ๆ ลงบ้าง จะตื่นเต้นอะไรนักหนา มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่ได้พบกับรุ่นน้องของพี่จุนซู พี่ชายต่างคณะที่เขาทั้งรักและเคารพ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกันซักหน่อยและคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้พบใบ หน้าหวานยังกับเด็กผู้หญิงของอูยองด้วย ตราบใดที่เรายังคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน ตราบนั้นเขาก็ยังคงใบหน้าทรงกลมของเด็กคนนั้นต่อไปอีกเรื่อย ๆ คิดได้ดังนั้นนิชคุณก็เลยผลักประตูเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียก ปอนเป็นลูกหมาตกน้ำหรือไม่ 

    “ขอโทษนะ ตรงนี้มีใครนั่งหรือเปล่า” 

    ชาย หนุ่มพูดเสียงนุ่มเป็นเอกลักษณ์ แต่หางเสียงทิ้งท้ายกวน ๆ อย่างตั้งใจ เมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างที่เล็กกว่าเขาเล็กน้อย พลางยื่นมือออกไปแตะบ่าเจ้าของร่าง เขานึกหาเรื่องที่จะเริ่มต้นบทสนทนา ก่อนเอ่ยต่อ 

    “ว่าไง เก้าอี้ตรงนั้นน่ะ ว่างหรือเปล่า” 

    นิชคุณชี้ไปเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่มที่ตอนนี้มีกระเป๋าเป้สีขาวใบใหญ่ยึดครองพื้นที่อยู่ 

    คน ที่กำลังก้มหน้านิ่งถึงกับสะดุ้ง และเงยหน้าขึ้นมองผู้ถือวิสาสะอย่างตกใจ นิชคุณเลิกคิ้วมอง นิ้วชี้เคาะบนแก้วเซรามิกที่บรรจุคาปูชิโน่ร้อนในมือที่เขาหาเรื่องซื้อติด มือจากหน้าเคาน์เตอร์มาด้วยอย่างอดทน 

    เด็กหนุ่มคลายความตระหนก เขามองดูชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างคาดคะเน เราประสานสายตากัน กระทั่งนิชคุณกระแอมดัง ๆ จนอูยองสะดุ้ง นิชคุณมองกริยานั้นอย่างนึกขำปนเอ็นดู รอคอยคำตอบอย่างอดทน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ถ้าจะไปขอโต๊ะอื่นนั่ง นิชคุณก็มั่นใจว่าไม่มีผู้หญิงโต๊ะไหนในร้านนี้ปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ทำ 

    “โต๊ะอื่นไม่ว่างเหรอครับ” อูยองถามหวาด ๆ 

    “ก็ถ้าว่าง พี่จะถามเราเหรอ” 

    และ ก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ นิชคุณถือวิสาสะหยิบกระเป๋าที่นอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้ออกแล้วยื่นส่งให้เจ้า ของที่นั่งอ้าปากค้าง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายปฎิเสธ จัดแจงถอดเสื้อคลุมชุ่มน้ำฝนออกพาดไว้กับราวเก้าอี้หยิบหนังสือที่อ่านค้าง ไว้จากห้องสมุดมาอ่านต่อโดยไม่สนใจ ดวงตาเบิกโตของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม 

    “นี่...ทำไรอยู่น่ะ” นิชคุณถามขึ้นลอย ๆ 

    “ทำ งานส่งอาจารย์จินยอง” เด็กหนุ่มก้มหน้าตอบขณะเอ่ยชื่ออาจารย์กอริลล่าที่ขึ้นชื่อถึงความโหดหินของ การให้คะแนนแก่นักศึกษาประจำภาควิชานัก นิชคุณนึกขอบคุณที่ชีวิตเขาไม่ต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นเดียวกับนักศึกษาใน คณะที่จินยองเป็นอาจารย์สอนอยู่ 

    ชายหนุ่มยื่นหน้ามองกระดาษว่าง เปล่าแล้วก็หัวเราะเบา ๆ มองอูยองก้มหน้าต่ำลงแถมดึงหมวกแก๊บปิดบังหน้าขาว ๆ แก้มกลม ๆ นั่นอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าอูยองรำคาญเขาหรือเขินกันแน่ แต่เห็นแล้ว...น่ารัก 

    ปกติรุ่นพี่อย่างเขาใช่ว่าจะเป็นยียวนกวน ประสาท ใคร ๆ ก็รู้ว่านิชคุณนิสัยดีจะตายไป อ่อนโยนมีน้ำใจ รักเด็ก น่ารักกับรุ่นน้องทุกคน เว้นแต่กับจางอูยองเท่านั้นแหละที่เขาเห็นแล้วหมั่นเขี้ยว อยากแกล้ง อยากจีบ แต่ก็นะ ถ้าความกล้ามันมีมากกว่านี้อีกซักหน่อย เขาคงไม่ปล่อยให้อูยองเป็นโสดมาจนถึงเรียนปีสองหรอก 

    ใช่เขาชอบอูยอง 

    ชอบมานานแล้ว 

    โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ และไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้เมื่อไหร่ 

     

    ฝน ไม่มีทีท่าจะหยุดตก และเขาก็เลยเวลานัดกับคิมจุนซูมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ปกตินิชคุณเป็นคนที่ตรงต่อเวลาและไม่เคยให้ใครต้องรอ เขาส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่แล้วว่าจะไปช้าสักครึ่งชั่วโมง อ้างเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าติดฝนอยู่ ไม่สนใจว่าคิมจุนซูจะโวยวายแค่ไหน เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะสนใจในขณะนี้ เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่ารุ่นพี่ที่ชอบแหกปากโวยวายเป็นไหน ๆ 

    “มีเรียนช่วงบ่ายหรือเปล่า แล้วจะไปยังไง” 

    “เดินไป” 

    “ฝน ตก ๆ อย่างนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” นิชคุณทำเสียงดุเล็กๆ เขาอยากจะต่อท้ายประโยคว่า พี่เป็นห่วง แต่ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ แล้วก็กลัวจะถูกสวนกลับมาว่า อย่ามายุ่ง 

    “รอให้ฝนซาก่อนแล้วค่อยไป” นิชคุณสั่ง 

    อูยองนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าน่าฟังว่า 

    “ผมมีร่ม” 

    “งั้นไปด้วยคนสิ” 

    “ว่าไงนะครับ” 

    “พี่มีนัดกับรุ่นพี่จุนซู” นิชคุณโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ อธิบายสั้น ๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งจนต้องกระเถิบตัวถอย 

    อูยองเม้มปากเงียบไปครู่หนึ่ง รอบกายได้ยินเพียงเสียงฝนและเสียงคนในร้าน เสียงแก้วและเสียงช้อนกระทบกันเป็นครั้งคราว 

    “เอา ล่ะ” นิชคุณก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจแววตาสงสัยของรุ่นน้อง และยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบเพื่อคลายความหนาวโดยไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่าง ใด 

    “ฝนซาเมื่อไหร่เราจะเดินไปคณะนายด้วยกัน แต่ถ้านายอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ตามใจนะ ได้ข่าวว่าวิชาอาจารย์จินยองสายไม่ได้แม้แต่นาทีเดียวไม่ใช่เหรอ” 

     

    ทันที ที่นิชคุณผลักประตูร้านออกไป ชายหนุ่มก็ยื่นมือดึงร่มที่อูยองหยิบออกมาจากถังใส่ร่มที่ตั้งอยู่หน้า ร้านออกมากางเสียเอง เด็กหนุ่มเอียงคอมองด้วยความประหลาดใจ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ยอมเข้ามาในร่ม ทำราวกับกำลังจะถูกรุ่นพี่ล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายซักแห่ง 

    นิ ชคุณมองดูเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ เรียวแก้มแดงซ่านจนนิชคุณเห็นแล้วก็อดจะใจสั่นไม่ได้ เขามองอูยองยืนกัดริมฝีปากแล้วก็นึกอยากจะเป็นคมฟันประทับบนเรียวปากบางสวย อยากจะเป็นปลายลิ้นที่เลียอยู่บนริมฝีปากบางแห้งผาก เขาอยากทำแม้กระทั่งกอดอูยองให้คลายหนาว แต่นิชคุณก็ทำไม่ได้ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากกางร่มให้รุ่นน้องคนนี้เท่านั้น 

    นิชคุณหลับตา ลงและถอนใจอย่างอ่อนแรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่ออูยองไม่ยอมกระถดตัวเข้ามาใกล้จึงเป็นเขาเองที่เถิบตัวเข้าหา เขาหวังอะไรถึงได้ทำเหมือนเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเด็กคนหนึ่งที่ ไม่ได้เป็นอะไรกับเขานอกเสียจากน้องชายของรุ่นพี่ที่สนิท 

    นิชคุณ คลายมือที่กำคันร่มเมื่อเราเดินใกล้ถึงปลายทางและนึกอยากให้ตึกเรียนของจุน ซูอยู่ไกลออกไปอีกซักสองสามตึก เขานึกขอบคุณฟ้าฝนที่เป็นใจให้เขาได้พบเจอกับอูยอง ถ้าไม่ใช่เพราะฝนเขาก็อาจจะไม่เจอกับอูยองก็ได้ เขาหาโอกาสมาเจออูยองที่คณะตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบ ลองเลียบเคียงถามพี่จุนซูก็เฉไฉไม่ยอมบอก 

    เขาไม่มีเวลาจะมานั่งเฝ้า อูยองทั้งที่อยากเจอวันละหลาย ๆ ครั้งได้ เพราะเขามีทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน ไหนจะกิจกรรมของคณะอีก โชคอย่างเดียวที่พอจะช่วยเขาได้คือการที่คิมจุนซูโทรให้ไปหาที่คณะด้วย เรื่องไร้สาระที่คิดว่าก็คงไม่พ้นเรื่องชวนไปกินเหล้า 

    “มึงไม่มาก็ตามใจนะ กูว่าจะชวนอูยองไปด้วย”
     

    โอกาสมาถึงแล้วมีหรือเขาจะยอมปล่อยให้หลุดลอยไป 

    เขา ยืดกายขึ้นพลางสะบัดปรอยผมที่ตกลงมาเคลียหน้าผากให้เข้าที่ สายตาของชายหนุ่มเหล่มองไปยังเด็กหนุ่มที่เดินคู่มากันภายใต้ร่มสีเหลืองคัน เล็ก เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสะอาดตากับกางเกงยีนส์สีขาวเข้ารูปที่อูยองสวมอยู่ เริ่มมีหยดน้ำเปียกชื้นเป็นวง เมื่อฝนลงหนาเม็ดขึ้นอีกครั้งในสองสามนาทีต่อมาไหล่ของอูยองก็เปียกฝน นิชคุณเอนร่มให้อูยองและปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนแทน อูยองพูดเขิน ๆ เป็นครั้งแรกหลังจากเงียบมานานว่า 

    “เขยิบมาใกล้ ๆ สิครับ” 

    ไม่ต้องรอให้อูยองพูดซ้ำ นิชคุณก็เถิบตัวเข้าหาจนไหล่ของเราเริ่มแตะกันท่ามกลางสายฝนแห่งความรักกำลังโปรยปรายลงมา 

    ชายหนุ่มรักสายฝน 

    และรักอูยองด้วยเช่นกัน
     

    ครั้ง หนึ่งอูยองเคยหยิบยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยยอมให้เขาหลบฝนในร่มคันเดียวกันระหว่างเดินไปที่ตึกเรียนสมัยอูยองยัง เรียนอยู่ปีหนึ่ง มันเป็นความประทับใจแรกที่เขาไม่เคยลืมตราบจนถึงวันนี้ แต่นิชคุณไม่รู้ว่าอูยองลืมเหตุการณ์เล็กน้อยในครั้งนั้นไปแล้วหรือยัง 

    ชาย หนุ่มจับตาดูท่าทางของเด็กหนุ่มที่เดินคู่กับเขาทีละก้าว ไม่เคยมีใครทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาไม่รู้ว่าอูยองรู้สึกยังไง จะถามก็ไม่กล้า นิชคุณนึกอยากให้ปลายทางมันยาวไกลอีกสักหน่อย อยากให้วันพรุ่งนี้ หรือวันต่อ ๆ ไปมีเรื่องบังเอิญเหมือนวันนี้ เขาอยากเดินร่วมไปกับอูยองในทุก ๆ วัน ในทุก ๆ สถานที่ อยากใช้เวลาเหล่านั้นอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าวันนั้นฝนจะตกแดดจะออกหรือไม่ แต่มันจะมีวันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ จางอูยองจะยอมเดินเคียงข้างกับเขาไปในทุกที่อย่างนั้นหรือเปล่า เขาอยากรู้เหลือเกิน 

    “ถ้ามึงชอบอูยองก็รีบจีบซะ เพราะถ้ามึงไม่จีบกูจะจีบมันเอง” 

    เขาไม่ชอบคำขู่ของจุนซูเลยให้ตายสิ แต่ถ้ารุ่นพี่ไม่ได้ขู่ล่ะ... 

    บรรยากาศ ยามบ่ายของเส้นทางสายเล็ก ๆ ที่ทอดสู่ตัวอาคารสีขาวทรงแปลกตาค่อนข้างจะเงียบสงบ ลมเย็นชื้นของสายฝนพัดโชยมาต้องใบหน้าและเนื้อตัวให้ความรู้สึกสดชื่นอย่าง ประหลาด เขาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของรุ่นน้องโดยไม่ทันรู้ตัว ฟังเสียงสายฝนกระทบกับร่มและเสียงหัวใจตัวเองที่ดังตึกตักตามจังหวะการเดิน ของเรา 

    นิชคุณชำเลืองดูอูยองที่เดินข้างเขาอย่างเงียบ ๆ มาตลอดทาง ถ้าไม่ดูเป็นการเข้าข้างตัวเองจนเกินไป อูยองเองก็ดูจะมีความสุขกับการได้เดินร่วมทางกับเขาแบบนี้ 

    “ขอบคุณนะ” 

    นิ ชคุณโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พูดเสียงนุ่มจริงใจกับรุ่นน้องที่ไม่ยอมพูดจาอะไร นอกจากพยักหน้ารับเบา ๆ อูยองยื่นมือจะขอร่มคืน แต่นิชคุณกลับยื้อร่มคันนั้นเอาไว้ จนอูยองไม่กล้าที่จะพูดอะไรและลดระดับมือลง แต่กลับถูกนิชคุณดึงข้อมือข้างนั้นมากุมไว้แทน 

    “กว่าพี่จะคุยกับพี่จุนซูเสร็จ ฝนอาจจะตกอีกรอบ พี่อยากจะขอยืมร่มอูยองไว้ก่อนจะได้มั้ย” 

    อู ยองเม้มปากแน่น พวงแก้มกลมแดงซ่านจนเห็นเลือดฝาดเป็นริ้ว ๆ นิชคุณอมยิ้ม เขายืนเกาท้ายทอยแก้เขินเมื่ออูยองช้อนตามองเขา แววตาคู่นั้นหวั่นไหวและเต็มไปด้วยคำถาม แต่นิชคุณเลือกที่จะไม่ตอบ ทว่ากลับเอ่ยประโยคอื่นที่ทำให้อูยองถึงกับเขินจนนิชคุณอยากจะยื่นหน้าไปหอม แก้มซักฟอด 

    “แล้วถ้าบ่ายนี้อูยองเรียนเสร็จ เรากลับด้วยกันนะ พี่จะไปส่ง” 

    เขา อาจไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอย่างคิมจุนซูแล้วก็ได้ บางทีอาจไม่ต้องรอให้ฝนหรือบังเอิญมาพบอูยองในที่ใดที่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดี ๆ แบบในวันนี้อีกไหม แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ เขาจะทำยังไง 

    “นะ..” 

    “ครับ...ผมจะรอ..” 




    The End
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×