ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *ปฏิบัติการณ์รักร้าย Ver. เจ้าชาย..กับนายตัวแสบ*by ozaka

    ลำดับตอนที่ #70 : CHAPTER 69 สับสน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.33K
      14
      28 ม.ค. 55



     

     

                    ผมนิ่ง....

                    เหมือนที่อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งจ้องหน้าผม..

     

                    เขาเป็นผู้ชายตัวโต..ตัวโตเหมือนพี่ปีใหม่ที่สูงใหญ่เป็นเสาไฟฟ้า  อยู่ในชุดเสื้อโค้ทนอกราคาแพงสีดำสนิท  ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษตัดกับสีผมสีขนกาที่หวีเรียบเปล้เหมือนนักธุรกิจ  ดวงตาสีอ่อนแต่ขอบตาแดงคล้ำก้มต่อลงมามองผม  แสงไฟจากด้านหลังฉายให้สันจมูกโด่งโตเป็นเงาวาบน่าเกรงขาม

                    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมถัดขาถอยหลังด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ..

     

                    "เดี๋ยว!"

                    เสียงแหบนั้นพูดออกมา  ไม่ได้ดังจนน่ากลัวแต่กลับมีอะไรบางอย่างที่ดูดให้ผมต้องเฉยตาม..

                    ทั้งกำหมัดแน่นด้วยความตื่นกลัว...

     

                    ผมจ้องหน้าเขา..จ้องเข้าไปในดวงตาว่างเปล่าคู่นั้น..

                    เขามองหน้าผมนิ่ง..นิ่งจนบรรยากาศรอบตัวผมพลันหนักอึ้ง..

     

                    "……เหมือนจริงๆ...."

     

                    จู่ๆ..เสียงนั้นก็พูดขึ้นต่อ...

     

                    "…ทั้งๆที่หวาดกลัว..แต่กลับไม่ยอมหลบตา..."

     

                    เขาหลุบตาลงต่ำ  แก้มตอบจนซูบทำให้ผมรู้ว่าตัวเขาผอมแค่ไหน..เพียงแค่ชุดที่สวมใส่ใหญ่โตเทอะทะเกินร่างกายก็เท่านั้น..

                    "…ขอโทษ…"

                    น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เบาลงไปอีก  ทั้งๆที่ไม่มีการขยับของร่างกายเลยแม้แต่น้อย

                    "…ทั้งเธอ..ทั้งกันย์..ทั้งเมษา.."

     

                    ผมชะงักกับชื่อของพ่อและของอา..

                    "คุณ?"

                    ..แต่เชื่อเถอะครับ..ไม่ว่าเขาจะเป็นคนรู้จักของพ่อหรือไม่ก็ตาม..ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวนั้นลดหย่อนลงไปเลย..

     

     

                "เดียร์!!!"

     

                    ฉับพลันเสียงไอ้บูมก็ดังขึ้นจากมุมระเบียง  (เพิ่งมาถึงหรอไอ้บ้า!!) มันรีบจ้ำพรวดเข้ามาประชิดตัวเราสองคน..แอบแทรกตรงกลางเข้ามาเผชิญหน้ากับเขาคนนั้นนิดนึง

                    ผมไม่ต้องพูดอะไร  เขาก็ไม่พูด  และมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูด..

                    แต่เรื่องที่ผมแปลกใจคือการที่เขายอมปล่อยให้บูมพิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทั้งใบหน้าเฉยชา..และไม่มีการขยับอะไรทั้งสิ้น..

     

                    บูมหันมามองผมเป็นเชิงถามว่า 'ใคร?'

                    ผมส่ายหน้ากลับไปว่า 'ไม่รู้'

     

                    เพื่อนผมหันกลับไปอีกครั้งเพื่อมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้า  ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจ

                    "คุณเลือดออก!!"

                    ..ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่มันตะโกนเนี่ยแหละ..

                    และคำพูดนั้นก็ทำให้เขากระตุกยิ้มบางครั้งแรก  ยกมือใหญ่กร้านแตะที่สีข้างตัวเอง..แล้วแบมือออกให้เห็นคราบสีแดงปื้นหนึ่ง..ไม่มากจนน่าตกใจ..แต่ก็ไม่ได้น้อยเกินกว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย

     

                    "…ฉันถูก 'ทำลาย' ลงแล้ว...."

                    เขาพูดเรียบๆ

                    "…แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ..."

     

                    บูมกับผมยืนนิ่ง..ทั้งมึนงง  ทั้งพูดอะไรไม่ออก..

                    "เรียกรถพยาบาลมั้ย?" มันถามผม

                    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ..

     

                    ..ใจของผมบอกได้เลยว่าไม่ควรเรียก  ไม่อยากเรียก..

     

                    ….ความเลวในตัวผมมันร่ำร้องว่า..ตายๆไปซะ...

                    …….ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ....

     

     

                    ผมชั่วช้าขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่...

     

     

                    บูมมองหน้าผมพร้อมหมุ่นคิ้วสงสัย..ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นมัน..คงไม่รีรอที่จะร้องขอความช่วยเหลือหรือเรียกใครสักคนมาปฐมพยาบาล...

                    ….แต่ผม...ไม่ใช่มัน....

     

     

                    "ถ้า…"

                    ผมรู้ตัวว่าเสียงผมสั่น..สั่นมาก..

     

                    "…ถ้าไม่มีธุระอะไร...ก็กลับไปซะ..."

     

                    "เฮ้ย!"

                    คนข้างตัวผมร้องออกมาอย่างตกใจระคนงุนงงสับสน

     

                    แต่ผมไม่สนใจมัน..

     

                    ดวงตาสีจางคู่นั้นก้มลงมองผม  เขาถอยเท้าโค้งให้เพียงเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินกลับไปพร้อมแข้งขาโซเซ..ข้อเท้าเขาคงจะแพลงหรือไม่ก็โดนใครสักคนทุบอย่างแรงที่หน้าขา  ส่วนมือขวาที่เอาแต่สอดใต้เสื้อโค้ทคงพยายามห้ามเลือดที่สีข้างของตัวเองอย่างสุดกำลัง..

                    ..เขาไม่พูดอะไร..

                    แม้แต่จะอ้อนวอนให้ผม 'อภัย' ให้..ขู่คำรามใส่ผม..งัดปืนออกมายิงเปรี้ยงปร้าง..

     

                    สภาพเขาน่าสมเพชเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกสงสาร...

     

                    แต่น้ำตาที่ไหลออกมานี่คือความเจ็บใจในชะตากรรมของตัวเอง...

     

                    "เดียร์.."

     

                    "ผม..!!!!"

     

                    ผมโพล่งออกไปอย่างสุดจะทน  พร้อมยกหลังมือทั้งสองข้างถูเช็ดน้ำตาจนเจ็บแก้ม

     

                    "…ไม่มีวันให้อภัย..!!!!"

     

                    ตะโกนออกไปตรงหน้า..สู่นอกระเบียงที่ไม่มีใครยืน..

                    โดยที่ผมไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าผมตะโกนออกไปเพราะอะไร.....

     

                    ..รู้ทั้งรู้ว่าคนที่กำลังยืนรอลิฟท์อยู่ตรงนั้นต้องได้ยินเต็มสองรูหู..

     

                    "ไม่มีวันให้อภัยคนแบบนั้น!!!! ไม่มีวัน!!!…..ต่อให้......!!!!!"

     

                    "เดียร์! มึงเป็นไรเนี่ย!"

                    ผมปิดตา  ไม่ฟังเสียงไอ้บูมที่กำลังพยายามจับข้อมือผมที่เอาแต่ปาดน้ำตาตัวเอง

     

     

     

                    "ต่อให้เอาชีวิตมาแลกก็ไม่มีทาง!!!!"

     

     

     

     

     

    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

     

     

     

     

     

     

                    สิ่งที่แย่กว่าความโกรธ..คือความเกลียดอย่างสุดขั้วหัวใจ...

     

                    วันรุ่งขึ้นประกาศพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ขึ้นเด่นหรา..ถึงการฆ่าตัวตายของบุรุษปริศนาที่ผมกับไอ้บูมพบเมื่อคืน..พร้อมหลักฐานการทำความผิดทางกฏหมายแทบทุกชนิดตั้งแต่การค้ายา ค้าประเวณี ขนสินค้าหนีภาษี ยันฆาตรกร...

                    ไอ้บูมใจหายพอสมควร  มันคงกำลังสับสนอยู่.....แต่น่าแปลก..ที่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ..

     

                    ..ผมรู้ว่าเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งค์นั่น..และก็คุณอา..

     

                    ..ในตอนสายพี่ปีใหม่ก็โทรเข้ามาหา  บอกผมว่าหลายๆเรื่องคงไม่เป็นไรแล้ว  ส่วนพี่ดาวเสาร์ก็จะส่งเครื่องบรรณาการเป็นเก้าอี้นุ่มเอามานั่งนอกระเบียงอ่านหนังสือให้..และผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ใครคนไหนฟัง...ซ้ำยังกำชับไอ้บูม(จอมปากมาก)ไว้อีกเกือบสิบรอบว่าอย่าบอกใคร...

                    ..ตอนบ่ายไอ้ไวน์ไอ้เอ็กซ์ก็เดินทางมาถือหอด้วยความเริงร่าเกินคาด...

                    แต่มันก็ต้องวางก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นเจ้าดังไว้บนโต๊ะครัวด้วยความเงียบ  แล้วนั่งดูหนังกันนิ่งๆ..

     

                    เพราะผมเอาแต่นอนจมกองหนังสืออยู่บนเตียง...ขีดๆเขียนๆข้อความแลคเชอร์...ท่องจำศัพท์นานาชนิด...และทำแบบฝึกหัดทั้งข้าวไม่ได้แตะสักมื้อ...

     

     

                    ผมจะอ่านหนังสือทำไม...

                    …..แต่มันก็คงดีกว่านั่งอยู่เฉยๆเพื่อคิดฟุ้งซ่านเรื่องไม่เป็นเรื่อง..หรือยกอะไรๆออกมาโทษตัวเองทั้งที่อีกใจกลับห้ามไว้ให้นึกสมน้ำหน้า...

     

                    ..สมน้ำหน้าในทั้งผม..และก็คนๆนั้น...

     

     

                    "เดียร์.."

                    ไวน์เรียกผมเสียงอ่อน

                    "..ใจคอมึงจะเอาแต่อ่านหนังสือจริงๆหรอวะ?  มึงเป็นอะไรกันแน่เนี่ย?  ข้าวปลาไม่ยอมกินมาสองวันแล้วนะ!"

                    "..กูกินแล้ว.."

                    "ซื้ออะไรมาก็กินยังกับแมวดม! ปกติมึงไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่รึไง?" เอ็กซ์เถียงต่อ  แล้วลงมานอนเท้าคางบนเตียงกับผม "เรื่องกินทิ้งกินขว้างนี่มึงชอบดุกูตลอดไม่ใช่รึไง?  มาทำเองแบบนี้มันไม่สวยนะว้อย!!"

                    ไม่ว่าเปล่า  ชี้นิ้วไปที่ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่นอนแผ่น่ากินอยู่บนโต๊ะ  ที่พวกมันลงทุนไปซื้อกันมาถึงตลาดเพื่อเอาใจผม..

     

                    ผมถอนหายใจ  ลุกขึ้นไปตักมันกิน2-3คำ  แล้วหยิบฝาชีเล็กมาครอบปิดไว้พอเป็นพิธี  ก่อนจะกลับลงมานั่งตามเดิม

                    และเสียงพวกมันถอนหายใจก็หนักกว่า...

     

                    "..ทำแบบนี้แล้วสีครามจะว่าไงละ?  นี่คิดถึงมันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับรึไง?"

     

                    ผมส่ายหน้าเนือยๆ  ใจอยากจะตะโกนเถียงออกไปว่า 'ไม่ใช่!' แต่แม่งไม่มีอารมณ์..

                    ได้ยินเสียงพวกมันถอนหายใจออกมาอีกรอบ...

     

                    "แล้วนี่สีครามกลับวันไหน?"

                    "วันมะรืนมั้ง.."

                    "ติดต่อกลับมามั่งป่ะ?"

                    ผมลดหนังสือในมือลง  ..เออจริงว่ะ..กูปิดมือถือตั้งแต่คืนนั้นนี่หว่า..

     

                    เมื่อคิดได้ดังนั้นเลยลุกขึ้นจากเตียงตรงไปยังมือถือสีแดงสดที่นอนพับอยู่ข้างโคมไฟ  พอเปิดดูเจอหน้าจอมืดๆก็นึกอยากสบถตัวเอง  แบบนี้สีครามโทรมาไม่โกรธตายก็ให้มันรู้ไป..เพราะเอ็กซ์กับไวน์มาค้างที่หอเลยไม่ค่อยเหงาน่ะสิเลยไม่กังวล..

                    นิ้วโป้งผมแช่ค้างอยู่ที่ปุ่มเปิดเครื่อง..ไม่นานไฟก็ติดวาบพร้อมเสียงเปิดพร้อม..

                    "มึงลืมเปิดมือถือเรอะ!?" ไอ้เอ็กซ์เริ่มโวยวาย

                    "มิน่า..กูโทรหาเลยไม่ติด แสรดดดด"

                    "นี่ก็เปิดอยู่นี่ไง..."

                    "สีครามเลยไม่โทรมาใช่ป่ะ?"

                    "………ไม่ยู้..."

                    ผมว่าเสียงอู้อี้แล้วเดินถอยกลับมานั่งบนเตียง  วางโทรศัพท์เจ้ากรรมไว้ข้างๆกองหนังสือ..โดยรู้เลยว่าพวกมันมองผมตาไม่กระพริบ..

                    "….กูเป็นสีคราม..กูเสียใจตาย..." เอ็กซ์ว่า

                    "ผิดแล้ว  ถ้ามึงเป็นสีคราม..มึงคงปรี่กลับมาตั้งแต่ที่โทรไม่ติดในสายแรกแล้วล่ะ...กลับมาเพื่อตบไอ้เดียร์นะ  ไม่ใช่มาง้อ..."

                    "สัสไวน์..น้อยๆหน่อยเหอะ..เดี๋ยวปั๊ด!"

                    "รึกูพูดไม่จริง?"

                    "ห่าน! มานี่เลยมา!"

                    สิ้นคำร่างไอ้เอ็กซ์ก็กระโจนข้ามตัวผมไปตะครุบไอ้ไวน์..เป็นที่แน่นอนว่าไวน์มันรู้ทันกระโดดไปหน้าประตู  แล้วหันมาแลบลิ้นตบตูดป้าบๆก่อนจะพาลวิ่งหนีออกไปข้างนอก

     

                    เสียงเอะอะโวยวายคงจะดังลั่นตึกหอ  โชคดีที่ปิดเทอมไม่ค่อยมีคนอยู่นะ..ไม่งั้นโดนด่าตาย...

     

                    ผมถอนหายใจกับการกระทำเด็กๆของพวกมัน  จะขำก็ขำแหละ..แต่มันก็ซนไปหน่อยละนะ..ถ้าเทียบกับสีครามแล้วโดนด่าแค่นั้นคงแค่สะกิดเข็มจิ้มๆ  แล้วก็มาเง้างอดง้ออยู่ข้างๆ.......

     

                    '..เธอ..ขอให้เธอจำเอาไว้...จากนี้ทุกลมหายใจ..'

     

                    นั่น..ไม่ทันขาดคำ..โทรเข้าพอดีเด๊ะ..

     

                    ปิ๊บ

     

                    "ฮัลโหล"

                    ((ครับ  กานดา..2-3วันมานี่โทรหาไม่ติดเลยนะ  ลืมชาร์จแบตหรอ?))

                    "อือ ก็..ประมาณนั้นแหละ" ผมเส "เป็นไงมั่งอ่ะ?"

                    ((ไม่เป็นไรมากจ้ะ  ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการ...อยากกลับไปหาที่รักใจจะขาดอยู่แล้วเนี่ย!))

                    "ปากหมา!"

                    ((..ฮะๆ  ปกติเค้าต้องบอกว่า 'ปากหวาน!' ไม่ใช่หรอ?))

                    "แล้วมันหมามั้ยล่ะ...ไอ้บ้าเอ้ย"

                    ((อืมม~ งั้นตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ?))

                    "อ่านหนังสือ..เอ็กซ์กับไวน์เพิ่งเล่นวิ่งไล่จับออกไปนอกห้อง  ตอนนี้อยู่คนเดียว"

                    ((อ่าฮะ  แล้ว….เหงารึเปล่า?))

                    ..นั่นคือคำถามหยอด..และออดอ้อนให้ผมตอบกระมัง..

                    "ไม่"

                    ..ชัดเจนพอมั้ยละ? ฮ่าๆ

                    ((งั้นหรอ?  แต่ผมน่ะ...เหงาเป็นบ้า...อยากกอดจนแทบบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย))

                    ..แล้วไหงกลายเป็นผมที่หน้าแดงละเนี่ย..

                    "ไม่รู้! ก็ไม่อยากกลับมาเองไม่ใช่รึไง?"

                    ((ใครว่าไม่อยากกลับล่ะครับ  อย่าพูดอย่างนั้นสิคนดี...รู้มั้ยว่าทำแบบนี้มันน่ารักมากๆเลยนะ))

                    "ไอ้…!!! ฮ่วย!" ผมสบถออกมาอย่างขัดใจ  ใครแม่งไปล้างสมองไอ้บ้านี่ให้ทำตัวแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย!

     

                    เราพูดกันต่ออีกไม่กี่ประโยคหรอกครับ  เพราะเขาเข้าใจว่าผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานๆ..อีกทั้งยังเสียค่าโทรข้ามประเทศด้วยนะ..มันเปลือง..โทรมาสั้นๆแต่เป็นประจำก็พอแล้ว..เอาแค่พอให้หาย...เอิ่ม...คิดถึง...ไปวันๆ...

                    ….และผมก็ไม่ได้บอกสีครามเรื่องที่เกิดขึ้น...

     

                    ผู้ชายที่มาขอโทษผมก่อนที่เขาจะตาย..

                    หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมต้องไปเรียนต่อเมืองนอก..

     

                    ……

     

                    ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันจบลงไปแล้ว...

                    ทำไมผมต้องไปเรียนต่อด้วยล่ะ?

     

                    ผมวางหนังสือในมือลงบนตัก  แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่กำแพงว่างเปล่าประหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้

     

                    "สีคราม!!"

                    ((เอ๊ะ..ครับ?))

                    "…เออะ..เปล่า  ช่างมันเหอะ"

                    แล้วผมจะบอกให้มันรู้ทำไมล่ะเนี่ย...

                    ((กานดา?  เป็นอะไรรึเปล่า?  ดูแปลกๆนะ...))

                    "-เปล่านี่..."

                    ((..โกหกอีกละ))

                    "-ไม่มีอะไรสักหน่อย!"

                    ..ผมไม่ได้โกหกนะ  ก็มันไม่มีอะไรจริงๆนี่! ก็เรื่องที่ผมต้องไปน่ะผมยังไม่ได้บอก..แล้วผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปอะไรอีกแล้ว..จะบอกว่า 'กูจะไปเรียนเมืองนอก แต่คิดอีกทีกูไม่ไปแล้ว' มันก็กระไรอยู่ใช่มั้ยล่ะ?

                    ผมรู้ตัวว่ากลบเกลื่อนเรื่องดังกล่าวไม่เก่งอะไรเท่าไหร่..แต่สีครามที่นิ่งไปก็ยอมรับออกมา

                    ((โอเค  ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร..))

                    "…ไม่..ไม่มีอะไรจริงๆนะสีคราม  ไม่ต้องเป็นห่วง  ตอนนี้ก็ไอ้เอ็กซ์ไอ้ไวน์ก็กลับมาแล้วด้วย..เนอะๆ  ใช่มะๆ?  อีกอย่าง..เดี๋ยวมึงก็กลับมาแล้วไง  แล้วก็...."

     

                    ((……….ร้องไห้ได้นะครับ))

     

                    "เอ๊ะ?"

                    ผมอึ้งกับคำอนุญาตแบบแปลกๆนั่น..ก้อนอะไรบางอย่างก็ไหลปรี๊ดขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยจนกลืนน้ำลายลำบาก  สุดท้ายก็ทำได้แค่การอ้ำๆอึ้งๆไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปอธิบาย

     

                    และเสียงอันอ่อนโยนของเขาก็ยังคงลอดมาตามสาย

     

                    ((กานดาน่ะ..จะพูดเยอะจนผิดปกติเวลาที่อยากร้องไห้..))

     

                    จริงหรอ?

                    ผมถามตัวเองในใจ..และไม่ได้คำตอบออกมา

     

                    ((..ถ้ามีอะไร..ก็บอกได้นะ..ระบายได้......ไม่อยากให้เก็บเรื่องแบบนั้นไว้คนเดียว..))

                    "….กู…" ผมขึ้นไว้แค่นั้น  รู้สึกได้ว่าขอบตาร้อนผ่าวเพราะคำพูดของเขา "….กูไม่รู้....ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน..."

                    ((กานดา?))

                    "…สีคราม..."

                    ผมครางเรียกชื่อเขา  พร้อมยกเข่าตัวเองขึ้นมาชัน..แล้วซบหน้าลงบนนั้น

     

                    "…อยาก…………."

     

                    ((ครับ..?))

     

     

                    "อยากเจอที่สุด..ไม่ไหวแล้ว..อยากเจอ.......อึก..."

     

     

                    ((..กานดา..))

                    "…-ไม่ได้หมายถึงให้รีบกลับมานะ! กลับมาตามกำหนดการน่ะแหละ! ไม่-ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านั้น.......แต่.........แค่มันรู้สึก.....แปลกๆ.....แค่คิดว่าถ้ามึงอยู่ตรงนี้ด้วย....ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้...."

                    ((…ที่รักครับ...ไม่เป็นไรนะ  เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว))

                    "อืม รู้แล้ว.." ผมว่า..ทั้งเสียงสะอื้นเต็มๆถูกกรอกเข้าไปในสาย "รู้มั้ยว่าตอนนี้กูรำคาญตัวเองเอามากๆ.....รำคาญที่....รู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงของ 'เรา' ขนาดนี้.....ทั้งๆที่เรื่องบางเรื่อง..กูก็รู้ว่ามันผิด  แต่ก็ยังทำ...ยังสับสน...ยังไม่เข้าใจตัวเอง..."

                    ((ครับๆ  ผมเข้าใจ))

                    "มึงไม่เข้าใจหรอก!"

                    ((เข้าใจสิ!))

                    "ไม่-มี-ทาง-!!"

                    ได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ ((..จ้ะๆ  ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ...พูดต่อสิ))

                    "ไม่! ถ้ากูพูดหมดเดี๋ยวมึงก็เกลียดกูพอดี..."

                    ((อะไรน่ะ? จะเกลียดได้ยังไงกันละครับ? พูดมาเถอะ))

                    "…หรือมึงอาจจะเกลียดตัวเองที่ต้องมาทนอยู่กับคนเลวๆแบบนี้..."

                    ((ไม่เกลียดหรอก ไม่มีทางด้วย))

                    "ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยนะ! โธ่!!"

                    ผมคราง  แล้วพลิกตัวลงซุกหน้ากับหมอน  ร้องไห้แบบขำๆกับสิ่งที่ตัวเองคิดไปเมื่อครู่..ผมคิดออกไปได้อย่างไร้สาระที่สุดว่าเขาจะเกลียดผม  จะโกรธผม..ไอ้ที่ไร้สาระไม่ใช่เพราะเขาเกลียดนะ..แต่ไร้สาระตรงที่ว่าผมเอาเวลาอันแสนจะมีค่ายิ่งมานั่งพะวงถึงเรื่องดังกล่าวต่างหาก...

                    "..กูรู้ว่ามันผิด..แต่ว่า....ก็ยังไม่รู้สึกผิดเลย  ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึก...กูแปลกใจ..."

                    ((ไม่เป็นไรหรอก..คนเราก็เป็นแบบนั้นทั้งนั้นแหละ  ผมก็เคย))

                    "จริงอ่ะ? อย่างมึงอ่ะนะ?"

                    ((แน่นอนสิ! แล้วที่พูดมาเนี่ยเรื่องอะไรกันแน่ครับ? อยากรู้จัง..))

                    "พูดแบบนั้นทำเอาไม่อยากเล่าแล้ว"

                    ((ง่ะ! ไหงงั้นอ่าา))

                    "ไม่รู้ด้วยแล้ว!"

                    ((กานดา~~))

                    ผมถอนหายใจกับเสียงเง้างอดแบบนั้น  ทำเอานึกใบหน้าหล่อๆของมันยิ้มหวานๆทั้งที่คิ้วขมวดแบบขำๆตอนที่รู้ตัวว่าทำอะไรผิดออกเลย..

     

                    "เมื่อคืนก่อน.." ผมตัดสินใจเล่า..เล่าเพื่อระบายความรู้สึกผิดของตัวเอง "มีคนมาหา"

                    ((คน?  ใครน่ะ?))

                    "ไม่รู้เหมือนกัน"

                    ((อ่าว…))

                    "แต่เค้าท่าทางจะรู้จักกับอาเมษ  รู้จักกับพ่อ..." ผมเอนหลังนอนหงายเล่นบนเตียง "…ท่าทางจะเป็นคนของแก๊งค์นั้น..."

                    ((เอ๊ะ!?))

     

                    เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ  ผมเลยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นช้าๆ..ออกแนวขำๆมากกว่า..ส่งเสียงหัวเราะออกไปทั้งหัวใจบีบคั้นจะเป็นจะตาย...

     

                    "..กูไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นยังไงกับแก๊งค์นั้น  อยู่ในฐานะอะไร...แต่รู้สึกแค่ว่าให้อภัยไม่ได้........เลยพูดคำที่คล้ายๆกับว่า 'ตายๆไปซะ!' ออกมา....ฮะๆ...ตลกดีนะ  เพราะวันต่อมาข่าวก็ขึ้นหนังสือพิมพ์หราเลยว่าเขาตายไปแล้ว....น่าขำใช่มั้ยล่ะ?"

     

                    ((…………))

                    ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย..ผมรู้ว่าสมองฉลาดๆของมันกำลังประมวลผลคำพูดบ้าๆของผมอยู่..

     

                    "..แล้ววันนั้นพี่ดาวเสาร์ก็โทรมาหา..บอกว่าแก๊งค์นั้นถูกทำลายไปจริงๆแล้ว...หลังจากที่กูอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  น่าคิดเหมือนกัน...ว่าผู้ชายคนนั้นเกี่ยวข้องกับแก๊งค์นั่นขนาดไหน...ประโคมข่าวกันอื้อซ่าแต่เสือกจับนักการเมืองไม่ได้สักตัว...น่าขำจริงๆ  ฮ่าๆ"

     

                    ..แม้จะรู้ว่าเสียงหัวเราะผมแหบแห้งแค่ไหน..แต่เขาก็ยังเรียกชื่อผมด้วยเสียงนุ่มๆแบบเดิม..

                    ว่า… ((..กานดา..))

                    "แต่คิดดูนะ  ถ้าหากว่าหมอนั่นเป็นคนเลวจริงๆก็สมควรอยู่ใช่มั้ยล่ะ?  ทำกับอากู..ครอบครัวกู..จับกูไปบ้างอะไรบ้าง  ไหนจะลาล่า..ไหนจะเพื่อนคนอื่นๆ  ตามึงก็ต้องไปรักษาแพงๆถึงเมืองนอกเมืองนา...แค่ 'ตาย' น่ะยังรู้สึกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ......."

     

     

                    ((กานดา..))

                    เขาเรียกอีกครั้ง..เพื่อสงบเสียงหัวเราะบ้าๆของผม..

     

                    ((..ใครจะตาย..มันก็ไม่ดีหรอกนะ..))

     

     

                    "กูรู้แล้วน่า!!!!!!!!!"

                    ผมเถียงควับ  ทั้งห้วน..ตวัดเสียงขึ้น..และยังตะโกนออกไปสุดเสียง..

                    "กูบอกเค้าไปเองว่า 'ถึงตายก็ไม่ให้อภัย!'...บอกเค้าไปเองว่าเค้าผิด และกูโกรธ..กูแค้น!! ทุกสิ่งที่อย่างที่พวกนั้นทำ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกช่วงชิงไป!..."

     

                    ((…เดียร์….))

     

     

                    "....กูเป็นคนสั่งให้หมอนั่นไปตาย!!!!!"

     

     

     

                    ผมร้องออกมาอย่างสุดจะกลั้น...

                    น้ำตาที่ถูกเก็บขังไว้เกือบตลอด3วันเต็มๆหลั่งทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  ผมยอมรับว่าแต่ก่อนไม่ใช่คนที่ร้องไห้อะไรบ่อยๆขนาดนี้..แต่พักหลังๆหลายเรื่องมันตีกันจนผมปวดหัว..และรู้สึกอยากระบายมันออกมาด้วยน้ำตา......

     

                    ผมขดตัวนอนกลมอยู่บนเตียง..ปล่อยให้น้ำใสๆไหล่อาบลงตามแรงโน้มถ่วงเปื้อนผ้าปูที่นอนเปียกชื้น..ปล่อยเสียงสะอื้นที่ยากจะกลั้นลอดไปตามสายโทรศัพท์.....ที่ปลายสายเอาแต่เงียบงัน...

     

                    ..และจากความเงียบนั้น...

                    ทำให้ผมรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร...

     

                    ผมเลื่อนนิ้วโป้งกดปุ่มวางสายโดยไม่มีคำบอกลา  แล้วยกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นแนบริมฝีปาก..พยายามปิดสวิตซ์ต่อมน้ำตาจนไหล่สั่นสะท้าน..

     

                    "…กูไม่ได้อยากให้เค้าตาย...."

                    เสียงผมเบา..เบาจนเลือนลาง...

                    "กูไม่ได้อยากให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้..."

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    สีครามจะทำยังไง...

     

                    ….ถ้ารู้ว่าคนที่เขารัก.....

     

     

     

     

     

                    …….เป็นแค่ 'ไอ้ฆาตรกร' ………..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×