ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #10 : หนุ่มรูปงาม(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.35K
      262
      28 ส.ค. 64

          หลังจากที่บอกลาชายแปลกหน้าเรียบร้อย หลิ่งเฟยจึงเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมเจอชุนที่นั่งดื่มชาเป็นเพื่อนกับพยัคฆ์ขาว เมื่อก่อนแค่จะเอ่ยนามเฟิงหู่ ชุนต้องนับหนึ่งถึงสิบ ตอนนี้ก้าวหน้าจนถึงขั้นมานั่งดื่มชา ดื่มสุราด้วยกันได้แล้ว

              ตอนนี้นั่งร่วมโต๊ะงั้นหากงั้นวันข้างหน้าก็เป็นไปได้ว่าชุนกับเฟิงหู่อาจมีความสัมพันธ์ที่ดี ดั่งเช่นคู่รักต่างเผ่าพันธุ์!

              "ท่านหลิ่งเฟยขอรับ...." ชุนที่เห็นนายของตนยืนจ้องมาสักพักเข้าไปเรียกชื่อใกล้ด้วยความหนักใจ สีหน้าของท่านหลิ่งเฟยตอนนี้ดูจริงจังมาก

              "มีอะไรหรือชุน"

              "ท่านเฟิงหู่มีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ ข้าขอตัวกลับห้องนะขอรับ" ชุนพูดด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายดูเหมือนว่าการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้คงทำให้พ่อบ้านคนเก่งที่คอยดูแลตัวปัญหาได้มาพักผ่อนจะไม่เสียเปล่า ถึงจะไม่รู้ว่าเฟิงหู่จะคุยเรื่องอะไรแต่คงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัว

              ถึงจะกินอาหารเครื่องเทศจากชาติตะวันออกมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท้องก็ยังไม่อิ่มหลิ่งเฟยสั่งอาหารทะเลกับเสี่ยวเอ้อก่อนจะรินชาให้ตนเองก่อนเริ่มต้นการพูดคุย

              "ท่านมีปัญหาอะไรรึเปล่าท่านเฟิงหู่"

              "ชายที่เดินกับเจ้า เป็นใครกัน" เรื่องที่จะคุยแทนที่จะเป็นคำบ่นมาทำไมตนเองมาเที่ยวเมืองของมนุษย์ หรือเรื่องสุราใหม่ๆ กลับกลายเป็นเรื่องที่หลิ่งเฟยที่ไม่คิดว่าพยัคฆ์ขาวจะสนใจเรื่องนี้ด้วย

              "ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้มากกว่าข้า" ชายผู้นั้นไม่มีจิตสังหารมุ่งร้าย แต่เขาดูเหมือนจะรู้จักกับตนเองหลายครั้งที่หลิ่งเฟยแอบรู้สึกว่าลึกๆในใจที่ไหนสักแห่งกำลังเจ็บปวด แม้จะไม่มากนักแต่มันราวกับว่าคนที่ชายผู้น่ารู้จักไม่น่าจะใช่ตนเองแต่ดูเหมือนเขาจะรู้จักกับพลังของจิ้งจอกเก้าหางซะมากกว่า

              "ข้าไม่รู้จักหรอก แต่ตอนที่ข้าเห็นเจ้านั่งอยู่ในร้านอาหารสายตาของมันราวกับนักล่าข้าไม่เคยเห็นใครที่ว่างเปล่า ดูไม่ออกเลยว่าเจ้านั้นเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูร"

              "งั้นถ้าเป็นปีศาจล่ะ ข้าไม่เคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับปีศาจหรือตัวตนที่ว่าเลยนะท่านเฟิงหู่"หลิ่งเฟยพูดแสดงความคิดเห็น เฟิงหู่นั่งอึ้งกับระบบความคิดที่ออกจะแปลกไปของจิ้งจอกเก้าหาง

              "คำว่าปีศาจเอาไว้ใช้กับสิ่งที่ชั่วร้าย ทำไมเรื่องที่รู้กันไปทั่วเจ้าถึงไม่รู้เนี่ย"

              "แล้วตัวตนของปีศาจล่ะ ท่านเคยเห็นรึเปล่า" ครั้งนี้เฟิงหู่เบิกตากว้าง ชั่วชีวิตที่ผ่านมาร้อยปีตนเองก็ไม่เคยเห็นตัวตนของคำว่าปีศาจแม้กระทั่งในหมู่มนุษย์ที่มีผู้ที่ถูกเรียกว่าปีศาจ แต่พอตนเองไปประลองฝีมือด้วยก็แค่มนุษย์ที่กระทำต่ำช้าก็เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เฟิงหู่หัวใจเต้นสั่นระรัวจิตใต้สำนึกกำลังกรีดร้องอย่างกระหายเลือด ร้อยปีที่มีชีวิตถึงจะมีหลายครั้งที่เจ็บตัวแต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เกือบถึงชีวิต

              "ไม่ ข้าไม่เคยพบเจอสิ่งที่เป็นปีศาจจริงๆ "

              เมื่อได้คำพูดยืนยันแล้วหลิ่งเฟยฉีกยิ้ม เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีปีศาจหรือจอมมารเพราะยุทธภพนี่มีสัตว์เทพอสูรแปลว่าต้องมีสิ่งที่อยู่ฝั่งตรงหน้ากับสัตว์เทพอสูร ไม่มีทางหรอกที่สัตว์เทพอสูรจะเป็นปีศาจซะเองถึงแม้ว่าจะมีบุคคลที่ใกล้เคียงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เถอะ

              "น่าสนใจจริงๆ มีคำเรียกขานแต่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับตัวตน" ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้ต้องไปสืบค้นสักหน่อยแล้ว

              เช้าวันต่อมาของวันที่สองของฝาแฝดขอตัวไปเที่ยวตลาดอย่างกระตือรือร้น หลิ่งเฟยจึงตัดสินใจไปยังวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากโรงเตี๊ยมและน่าแปลกใจที่คนไม่น่าจะเข้าวัดเป็นอย่างสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวก็มาด้วย ภายในวัดเงียบสงัดแต่ก็ร่มรื่นไม่มีพระหรือเณรน้อยเลยสักคนจนต้องใช้ลมปราณตรวจจับและพบว่ามีมนุษย์อยู่ตรงสวนด้านหลังกำลังกวาดพื้นอยู่ตัวคนเดียว

              "...เข้าไปไหว้พระก่อนแล้วกันนะท่านเฟิงหู่"

              "ให้ไหว้ก้อนทองคำเนี่ยนะ"

              ปากน้อปาก ตายไปตกนรกแน่นอน

              แต่ถึงพยัคฆ์ขาวจะพูดแบบนั้น เมื่อเข้าไปแล้วก็ดูสงบมากกว่าปกติสองสัตว์เทพอสูรพนมมือไหว้พระพุทธรูป เฟิงหู่แอบลืมตาข้างหนึ่งเพื่อดูว่าจิ้งจอกเก้าหางกำลังทำอะไรอยู่ละอองแสงสีทองในอากาศกำลังซึมเข้าไปในตัวหลิ่งเฟย มันแตกต่างจากแสงของการชำระล้างที่เฟิงหู่เคยเห็นแม้กระทั่งหงส์แดงที่มีความชำระล้างก็ยังไม่มีอะไรแบบนี้เลย ความรู้สึกหงุดหงิด กระหายเลือดหายไปเมื่อลองเอามือไปสัมผัสละอองสีทองที่ค่อยๆ ลอยเข้าไปในตัวหลิ่งเฟย

              "อยู่ในวัดกรุณาสำรวมตัวด้วยท่านเฟิงหู่" หลิ่งเฟยที่ยังคงหลับตาพูดตำหนิ แต่มีหรือที่พยัคฆ์ขาวจะฟังมือจับหัวร่างมนุษย์ธรรมดาของหลิ่งเฟยก่อนจะให้หันหน้ามาทางตนเอง หลิ่งเฟยเสียสมาธิลืมตามองคนมือซนอย่างข้องใจ ละอองแสงสีทองหายไปในทันที

              "...เจ้ามันตัวอะไรกันแน่ จิ้งจอกเก้าหางเมื่อกี้ข้าเห็นเจ้ากำลังรวบรวมละอองสีทองเข้าตัว"

              "............เอามือท่านออกไปจากหัวของข้าเดียวนะท่านเฟิงหู่" หลิ่งเฟยที่มือยังพนมไหว้พระหรี่ตามองจิกคนจับหัว ส่งสายข่มขู่เป็นเชิงว่าท่านยังไม่เอามือออกเราได้เห็นดีกันแน่ นกกระพือปีกบินพระที่กวาดลานวัดรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจบางอย่าง รีบวิ่งไปที่โบสวัดก่อนจะเห็นเป็นสัตว์อสูรผมขาวในร่างมนุษย์หนึ่งและมนุษย์สตรีหนึ่ง

              "อยู่ในวัด ต่อหน้าพระโปรดสำรวจกิริยาด้วยโยม" บุรุษที่เป็นสัตว์อสูรหันหน้ามามองทันที รังสีจิตสังหารก่อตัวเป้นรูปพยัคฆ์ขาวจนพระต้องล้มไปนั่งที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้ หลิ่งเฟยที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแค่พระหนุ่มธรรมดา รีบห้ามคนอารมณ์ร้อนทันที

              "ทะ ท่านคือสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว? "

              "หลวงพี่ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ" เนื่องด้วยห้ามพระภิกษุจับเนื้อต้องตัวสตรีหลิ่งเฟยจึงได้แค่เจ้าไปถามอยู่ใกล้ๆ พระหนุ่มยืนขึ้นมองสัตว์เทพอสูรในร่างมนุษย์อย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะทำความเคารพผู้ที่สูงศักดิ์

              "อาตมาไม่เป็นอะไรแล้ว มาไหว้พระหรือโยม" หลังจากที่หลิ่งเฟยพูดขอขมาแทนคนข่มพระ พระหนุ่มไม่ถือสาก่อนจะพามานั่งคุยที่ศาลาหลิ่งเฟยอธิบายว่าตนเองเป็นเจ้าของบ้านที่สัตว์เทพอสูรตนนี้อาศัยอยู่และมาเที่ยวทะเลกับคนในครอบครัวพระหนุ่มดูไม่อยากเชื่อ ชื่อเสียงของพยัคฆ์ขาวเต็มไปด้วยในด้านแง่ลบ เอาตนเองเป็นหลัก ไม่ยึดติดกับใครในตำนานก็คอยท้าสู้กับสัตว์เทพอสูรตนอื่นไปทั่ว

              "ช่างน่ายินดีที่ท่านพยัคฆ์ขาวมาที่วัดแห่งนี้ แม้จะไม่มีอะไรให้น่าเที่ยวชมก็เดินดูได้ตามสบายนะโยม"

              หลวงพี่พูดไปไม่มองตาเฟิงหู่เลยสักนิด กลัวสินะเจ้าคะ...

              "เออ..คือที่นี่มีโบราณสถานหรือที่เก็บบันทึกตำราเก่าๆ บ้างหรือไม่เจ้าคะ"หากเป็นตามวัดก็คงจะมีตำราเก่าๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนในอดีต แววตาของพระหนุ่มเปลี่ยนไปทันที

              "สิบกว่าปีที่แล้วคนจากราชสำนักเข้ามายึดตำราและสั่งให้ท่านเจ้าอาวาสกับพระผู้อาวุโสออกไปจากแคว้นโจว น่าเสียดายที่โยมมาช้าเกินไป"ความจริงอันน่าตกใจของแคว้นโจว เฟิงหู่มองคนพูดทันทีคิดอยู่เหมือนกันว่าตามวัฒนธรรมของมนุษย์สถานที่เรียกว่าวัดต้องมีผู้ที่คอยดูแลคือเจ้าอาวาสและลูกวัดทั้งหลาย แต่ตอนที่ใช้ลมปราณตรวจจับดูพบเพียงแค่พระรูปนี้แค่คนเดียว

              "ทำไมกันละเจ้าคะ? "

              "เป็นราชโองการจากฮ่องเต้นะโยม เอาเป็นว่าไหนๆ ก็มาแคว้นโจวไหว้พระแล้วจะเดินดูสำรวจรอบๆ ก็ไม่เสียหายนะขอแค่อย่าทำลายข้าวของก็พอ" ประโยคหลิ่งเฟยคิดทันทีว่ากำลังบอกกับสัตว์เทพอสูรที่นั่งอยู่ข้างตัวเองแน่นอน เมื่อที่วัดไม่มีอะไรให้สืบค้นหรือมีตำราให้อ่านจึงตัดใจเรื่องปีศาจทันที แคว้นโจวที่ดูสงบสุขกลับดูเหมือนมีความลับอะไรบางอย่างที่ตนเองไม่อยากเข้าไปยุ่งให้ปวดสมองด้วย ยิ่งคนที่ปกครองแคว้นตอนนี้คือคนที่ส่งนักฆ่าไปสังหารท่านหมอฮวากับพ่อค้าฮงอีกเป็นไปได้จะขอไม่ยุ่งเกี่ยว

              "แปลกๆ นะแคว้นนี้ เจ้าว่ามั้ยหลิ่งเฟย"

              "นั้นสินะ แต่ว่าการสั่งยึดตำราพระธรรมกับไล่ เจ้าอาวาส พระผู้อาวุโสมันออกจะเกินไปหน่อยละมั้งปกติแล้วศาสนากับราชสำนักจะไม่เกี่ยวข้องกันไม่ใช่หรือ"

              "ข้าไม่รู้เรื่องแบบนั้นหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางแท้ๆ ทำไมถึงไหว้ก้อนทองคำนั้นเหล่า"เฟิงหู่ก้มตัวให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน หลิ่งเฟยมองคิดแปลกใจปกติแล้วสัตว์เทพอสูรเข้าวัดไหว้พระไม่ได้หรือ

              "ข้าก็แค่ไหว้ตามความเชื่อที่มีเท่านั้นเองท่านเฟิงหู่" หลิ่งเฟยเดินนำเมื่อพูดจบพยัคฆ์ขาวมองตามหลังคนที่เป็นเจ้าของบ้าน หลายครั้งที่เคยท้าสู้ด้วยแต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธตลอดมาจนขี้เกียจจะท้า แต่ตอนที่ได้เห็นละอองแสงสีทองรอบตัวมันทำให้พยัคฆ์ขาวอยากรู้ว่าหากทำให้หลิ่งเฟยเอาจริงและสู้กับตนเองขึ้นมามันจะเป็นยังไง

              หลังจากที่ได้มาที่แคว้นโจวเปิดหูเปิดตาสองฝาแฝด ความใฝ่ฝันของทั้งคู่เห็นผองตรงกันทันทีว่าอยากจะเป็นนักท่องยุทธภพหลิ่งเฟยที่กำลังจัดเก็บผ้าไหมและผ้าอื่นมากมายที่ได้มาจากท่าเรือแคว้นโจวมองสองฝาแฝดที่โตขึ้นมาแล้ว

              "แล้วไปตอนไหนล่ะ ข้าจะได้จัดงานเลี้ยงส่งพวกเจ้า" เงียบได้สักพักหลิ่งเฟยจึงพูดต่อถังอี๋ไอ๋อั๋นมองหน้ากันเอง

              "มะรืนนี้/ มะรืนนี้ขอรับ"

              หืม เร็วเหมือนกันแฮะแต่ทั้งคู่ก็อยู่ในระดับจุติสวรรค์แล้วถึงจะอายุ 13 แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เชื่อคนง่ายอย่างน้อยก็ยังมีคนรู้จักอย่างเถ้าแก่หรือเจ้าของหอที่แคว้นหยาง

              "อืม เอาสินานๆ ทีก็เขียนจดหมายมาหาด้วยก็ดีนะ" สองฝาแฝดที่คิดจะถูกห้ามเบิกตากว้างตกใจ

              "ท่านไม่ห้ามพวกข้าหน่อยเลยหรือท่านหลิ่งเฟย"

              "จะห้ามทำไมล่ะสิ่งที่พวกเจ้าอยากทำมันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ตื่นเต้นจะตายการได้ออกไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ ขอแค่อย่าไปเข้าพรรคกลุ่มคนแปลกๆ หรือทำอะไรที่ไม่ดีก็พอ" ความห่วงถูกถ่ายทอดออกมาถังอี๋มองสตรีที่เลี้ยงดูตนเองมาด้วยความซาบซึ้งสมัยเด็กเคยคิดอยากจะขอแต่งงานแต่ตอนนี้ตนเองรับรู้ได้ว่าด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้ไม่มากพอที่ปกป้องหลิ่งเฟยได้แน่นอน หลิ่งเฟยเป็นทั้งครอบครัว คนรัก การที่ต้องมาพูดเหมือนเป็นเรื่องสบายดีขณะที่คนที่เลี้ยงดูมาจะออกข้างนอกเป็นเวลานานต้องใช้กลั้นใจมากแค่ไหนกัน

              "กลับมาที่เรือนมายาได้เสมอเลยนะถังอี๋ ไอ๋อั๋น"

              ใบหน้าสวยสง่ายิ้มอย่างอ่อนโยน ไอ๋อั๋นเข้าไปกอดคนแรกตามด้วยถังอี๋ทั้งสองคนไม่ร้องไห้อีกต่อไปแล้วหลิ่งเฟยลูบหัวเบาๆ ชุนที่ยืนอยู่หน้าห้องแอบใจหายไม่น้อยที่สองตัวแสบจะไม่อยู่ที่เรือนมายา เฟิงหู่พอรับรู้ได้ถึงบรรยากาศการจากลาไม่พูดอะไรกลับไปนอนต่อ

              คืนก่อนวันออกเดินทางชุนหยิบสุรามากมายมาเตรียมไว้ที่สวนหน้าเรือนพื้นปูเสื่อ วางโต๊ะขาสั้นจัดโต๊ะสำหรับ 5 คนหลิ่งเฟยประกอบอาหารอยู่ในห้องครัวมีลูกมืออย่างไอ๋อั๋นคอยช่วย

              "ข้ากลับมาแล้ว"ถังอี๋เกาะหน้าประตูร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลนจนมองไม่เห็นบาดแผล เพราะถังอี๋อยากจะลองสู้กับพยัคฆ์ขาวก่อนออกเดินทางผลคือแพ้กลับมาพร้อมกับบาดแผล ไอ๋อั๋นรีบทำการรักษาทันทีอาหารที่ทำเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงอำลาต้องยกให้ถังอี๋เอาไปกินฟื้นฟูกำลังเป็นกรณีพิเศษ เฟิงหู่ที่กลับมาจากการยืดเส้นยืดสายมาท้าสู้หลิ่งเฟยหลังจากที่ไม่ได้ท้ากันมานาน

              "เอาไว้หลังคืนงานเลี้ยงข้าจะมาสู้กับท่านนะ" หลิ่งเฟยพูดไปชิมรสน้ำซุปไปผู้ได้รับการตอบรับดีใจอย่างปิดไม่มิดเข้ามากอดคอเจ้าบ้านจนน้ำซุปหกกระเด็น

              เมื่อยามราตรีมาถึงอาหารพร้อมสุราพร้อมแม้ทั้งคู่จะอายุ 13 ปีแต่หลิ่งเฟยขี้เกียจมาถือเรื่องเด็กไม่ควรดื่มสุราโดยเฉพาะถังอี๋ที่เหมือนจะเจริญตามรอยพยัคฆ์ขาวชอบมากินอยู่บ่อยๆ จนต้องล็อกห้องเก็บสุราเอาไว้อย่างดี ไอ๋อั๋นคอยๆ จิบสุราที่หลิ่งเฟยเป็นคนหมักเองเนื่องจากสุราเหล่านี้ไม่ควรประมาทมีกลิ่นที่หอมหวานดั่งบุปผาชวนให้ลิ้มลอง และสุราพวกนี้ยังไม่มีขายในยุทธภพ

              "ไอ๋อั๋นเจ้าจะเรียบร้อยไปถึงไหนกัน พอพวกเราออกไปข้างนอกแล้วเราจะไม่ได้ดื่มสุราเลิศรสแบบนี้อีกแล้วนะ! "ถังอี๋หน้าเริ่มขึ้นสียัดจอกสุราใส่มือน้องชายไอ๋อั๋นดื่มเข้าไปจอกต่อไปก็มาวางอยู่ตรงหน้า

              "อย่าดื่มมากเกินไปล่ะทั้งสองคน เดียวพรุ่งนี้พวกเจ้าจะตื่นไม่ไหวเอานะ" ชุนเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นครั้งแรกที่เห็นทั้งสองดื่มมากถึงเพียงนี้

              "อะไรกันชุน เจ้าพวกนี้มันก็โตขึ้นเยอะแล้วนะเจ้าเป็นบุรุษแท้ๆ ทำตัวเป็นแม่ไปได้"เฟิงหู่ยกขวดสุราอิงฮวากระดกเข้าปาก สุราที่จิ้งจอกเก้าหางเป็นคนพยายามบ่มมานานนับหลายปีนี้คือเหตุผลหนึ่งที่เฟิงหู่ยอมอาศัยอยู่ที่เรือนมายถึงแม้จะต้องถูกใช้งานก็ตาม

              ยังมีรสฝาดของกลีบอิงฮวาอยู่แต่บ่มไปอีกห้าปีรสชาติคงจะดีขึ้น

              หลิ่งเฟยลองจิบสุราอิงฮวาที่ตนเองยอมอดทนทดลองทำซ้ำไปซ้ำมาจนสำเร็จ ไวน์องุ่นก็ถือว่าสำเร็จด้วยดีตั้งใจว่าจะเอาของขายในอนาคตบางทีจะเปิดร้านที่มีตนเองเป็นเจ้าของไปด้วยเลย

              "ท่านพี่ชุน.."

              "ถังอี๋!! "ชุนเรียกชื่อคนเริ่มเมา

              "ฮ่าฮ่าฮ่า เอาเลยถังอี๋" เฟิงหู่หัวเราะสนับสนุน หลิ่งเฟยเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องดีใจที่ปิดไม่มิดนี่ออกไป ภาพเด็กผู้ชายอายุ 13 คล่อมบุรุษที่งดงามและบอบบางอย่างชุนแม้ถังอี๋จะตัวเล็กกว่าแต่พลังลมปราณนั้นเทียบเท่ากับชุน ถังอี๋เอาแก้มถูไถแผ่นอกไอ๋อั๋นนั่งเนียนจิบชาอย่างสบายใจ หลิ่งเฟยเอามือไปเขย่าแขนเฟิงหู่ด้วยความตื่นเต้นที่สองชายต่างวัยกำลังมีเรื่องให้น่าจดจำเสียแล้ว

              "ช่วยข้าก่อนขอรับท่านหลิ่งเฟย! "

              "ไม่เอาหรอก ข้าชอบแบบนี้" อ่า...ความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างสองคน ข้าจะเข้าไปห้ามได้อย่างไรกัน...

              "อือ พี่ชุนอย่าบ่นข้าเลยน้า"ถังอี๋ยังไม่ได้สติเฟิงหู่ตบขาตัวหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ชุนพยายามแกะมือออกแต่ถังอี๋ก็ยังไม่ยอมปล่อย ความจริงจะตบหน้าให้สร่างเมาไปเลยก็ย่อมได้ แต่เพราะชุนรู้ว่าเด็กคนนี่เป็นเด็กดีแม้จะซนไปหน่อยและที่ทำแบบนี้ก็เป็นเพราะฤทธิ์สุรา

              "ถังอี๋ปล่อยข้าก่อนเถอะนะ" ชุนพูดเสียงอ่อนโยน เจ้าบ้านที่ทำตัวให้น่านับถือมานานอ้าปากยิ้มจนตาตี๋มือเขย่าเฟิงหู่จนพยัคฆ์เริ่มบ่นไอ๋อั๋นพยายามกลั้นหัวเราะเพราะภาพที่ตนเองเห็นมันดูตลกเป็นอย่างมาก ถังอี๋เข้าไปอ้อนพี่ชุน ท่านเฟิงหู่หัวเราะหันไปบ่นท่านหลิ่งเฟยที่หน้าแดงไปทั้งหน้า ชัดเจนเลยว่าท่านหลิ่งเฟยเป็นพวกชอบต้วนซิ่ว

              "เฮ้ย! ไอ๋อั๋นเจ้าอย่าเนียนจิบชาแทนสุราสิ! " เฟิงหู่ที่พึ่งมาสังเกตเห็นว่ามีคนแอบเนียนไม่ดื่มสุราทำการบังคับทันที

              จนเวลาผ่านไป 2 เค่อหรือ 2 ก้านธูป ถังอี๋กอดชุนไม่ปล่อยมือจนชุนปลงใจที่ไม่มีใครช่วยตนเองได้แต่ดื่มสุราปลอบใจ ไอ๋อั๋นเมาจนคอพับไปกับโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย เฟิงหู่ตอนนี่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรจึงยังหัวเราะได้ราวกับคนบ้าซ้ำยังยุยงให้ถังอี๋และไอ๋อั๋นดื่มสุราเข้าไปเพิ่มอีกทั้งที่ทั้งคู่ไม่น่าไหวแล้ว หลิ่งเฟยที่เริ่มเบื่อเล็กน้อยเนื่องจากหัวเราะมาเยอะลุกขึ้นตั้งใจจะไปเดินเล่นในป่าช่วงเช้าอาจจะกลับมาชุนได้แต่น้ำตาตกในที่คนที่น่าจะช่วยตนเองได้ออกไปเดินเล่น หลิ่งเฟยก็ใช้ร่างเด็กมนุษย์จิ้งจอกอายุ 6 ขวบแทนร่างปกติ ร่างนี้จะดูเหมือนมีลมปราณน้อยกว่าปกติและยังตัวเล็กน่ารัก หากเจอมนุษย์ก็คงทำให้ตายใจไปได้ว่าไม่มีอันตรายอะไร พวกสัตว์อสูรที่ไม่ได้อยู่บริเวณรอบเรือนมายาก็จะไม่สนใจ

             มีมนุษย์เดินเข้ามาในป่าด้วยละ

              แต่มีกลิ่นเลือดเต็มตัวเลย

              แถมยังมีกลิ่นของนางพญาแมงมุมดำอีกด้วย

              มนุษย์นั้นฆ่าครอบครัวตนเองจนสิ้น

              มนุษย์นี้มันช่างโสโครกสิ้นดี

              เสียงสัตว์ในป่าพูดคุยกันไปมา หลิ่งเฟยจงใจเดินตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงมนุษย์คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีกลิ่นเลือดเต็มตัว เท้าเล็กกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้หากได้เจอมนุษย์ที่ว่าจริงและเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมตามที่เหล่าสัตว์อสูรพูดถึงตนเองก็จะทำการจดจำใบหน้าเอาไว้เผื่ออนาคตข้างหน้าได้บังเอิญมาเจอกันแถวบ้านตัวเองจะได้ระวัง แม้ว่าเส้นทางที่ตนเองกำลังเดินมาอยู่นั้นไม่ใช่เส้นทางประจำแถมเหมือนว่ามนุษย์ที่ว่าจะอยู่ไกลมากเสียด้วย

              กลิ่นเหล็กสนิมจางๆ แตะจมูกหลิ่งเฟยคิดในใจว่าคงใกล้ตัวมนุษย์ที่ว่า

              จนมีร่างๆ หนึ่งกำลังเดินเข้ามาในป่า รูปร่างบอบบางตัวเล็กเป็นบุรุษดูแล้วน่าจะรุ่นเดียวกังบสองฝาแฝดหลิ่งเฟยย่อตัวบนกิ่งไม้พยายามมองใบหน้าที่ถูกเส้นผมปรกปิดใบหน้าจนเห็นไม่ชัด ตามเนื้อตัวก็มีแต่เลือดที่แห้งกรังอย่างที่พวกสัตว์อสูรพูดกัน

              มนุษย์นี้ไงที่ฆ่าพี่น้องตนเอง

              ฆ่าแม่ตนเอง

              ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง

              กินเลยดีมั้ย ยังไงซะตายไปก็ไม่น่าจะมีมนุษย์ที่หน้าไหนออกตามหา

              ถึงจะมีกลิ่นนางพญาแมงมุมดำแต่ก็ไม่ใช่คู่สัญญากันอยู่ดี

              ฆ่าแม่ พี่น้องตัวเองงั้นหรือท่าเดินอย่างกับคนหมดอาลัยตายอยากแถมยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ

              เสียงเหล่าสัตว์อสูรที่สื่อสารกันเริ่มเสียงดังขึ้น เสียงของเหล่าสัตว์อสูรที่ดังระงมกันในป่าตอนกลางคืนที่มืดมิดมีเพียงแค่ความสว่างจากแสงจันทร์ หากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงจะร้องไห้หรือหวาดกลัว มนุษย์จิ้งจอกตัวน้อยเท้าคางมองดูว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนมนุษย์คนนั้นจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเหล่าสัตว์อสูรที่จ้องมองมา

              “อยากจะฆ่าข้างั้นหรือ......เอาสิ เอาเลย” เสียงแหบแห้งแตกเหมือนคนพึ่งตะโกนจนหมดแรงมนุษย์คนนั้นยังคงก้มหน้าอยู่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น แต่ลมปราณรอบตัวมนุษย์นั้นกำลังก่อตัว

              “ฆ่า...ฆ่าข้าเลยสิ!!! ”

              สิ้นคำสุดท้ายที่ตะโกนออกมาลมปราณพุ่งกระจายเป็นสายลมไปทั่วรอบป่า จนเหล่าสัตว์อสูรตัวเล็กๆ ต้องหลบหนี เหลือเพียงแต่สัตว์อสูรระดับจุติบางส่วนที่ตัวใหญ่ๆ ที่ยังคงจ้องมองอยู่ หลิ่งเฟยเอามือมาสางผมที่พันกันเล็กน้อย

              ขนาดอยู่ไกลขนาดนี่ลมปราณยังสามารถส่งมาถึงได้ คิดว่าจะมีแต่พวกบ้าพลังแบบถังอี๋ซะอีกที่ทำแบบนี้ได้

              กรรรร

              เสียงของเสือดำที่ปรากฏกายมาทางด้านหลังมนุษย์ เหมือนจะรู้ว่าตนเองกำลังถูกปริชีพจึงแหงนใบหน้าที่มีคราบเลือดสีน้ำตาลเงยขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงในคืนนี่ ทำให้ใบหน้าที่ถูกปิดบังด้วยเส้นผมนั้นโผล่ออกมาให้เห็นหน้าได้อย่างชัดเจนหลิ่งเฟยเอามือปิดทันทีเพราะใบหน้าของเขานั้น

              งาม!! งามมาก!!! นี่ถ้าเป็นชาติก่อนตอนที่โดนจับหมั้นแล้วมีผู้ชายหน้าตาที่สวยขนาดนี่มาอยู่ตรงหน้า ฉันจะพูดออกมาดังๆ เลยว่า แม่ค่ะพ่อค่ะหนูจะแต่งงานกับคนๆ นี่!!

              ทุกคนที่อยู่ในเรือนมายาอาจจะหน้าตาดีกันทุกคน แต่ก็ไม่อาจจะมาทำให้หลิ่งเฟยมาอ้าปากค้างเท่ากับตอนนี่ ยกเว้นเฟิ่งหู่คนหนึ่งนะน่ะตอนเด็กยังงามขนาดนี่โตไปจะหล่อจะงามแค่ไหนคงต้องถามสวรรค์ดูแล้ว ในขณะที่หลิ่งเฟยยังคงชื่นชมกับมนุษย์ร่างบางที่ตอนนี่ยังเงยหน้ามองพระจันทร์ ดวงตาที่หยาดเยิ้มเรียวคมหลับตาลงน้ำตาไหลออกมาอาบใบหน้างาม เรียวปากบางขยับเหมือนพูดอะไรบางอย่างหลิ่งเฟยเงี่ยหูตั้งใจฟัง

              ทำไมต้องเป็นข้าที่ถูกเกลียดชังขนาดนี่

              เมื่อสิ้นคำพูดที่แผ่วเบาเจ้าเสือดำกระโดดเข้าใส่หมายจะกินเข้าไปครั้งเดียว เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเร็วมากสำหรับเด็กหนุ่มรูปงามหลับตาจนเวลาผ่านไปสักพักไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย แถมยังมรีบางอย่างมาคลุมหัวพอลืมตาขึ้นเห็นเป็นแขนเสื้อคลุมตัวเล็ก และมีเด็กดังอยู่ข้างหลังตนเอง

              “ไปซะข้าไม่อยากจะทำร้ายเจ้า”

              หลิ่งเฟยเอามือจับหัวเสือดำเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว เสือดำที่ได้กลิ่นสัตว์เทพอสูรจึงถอยห่างแต่โดยดี สู้ไปมีแต่จะแพ้ เด็กหนุ่มรูปงามเอามือหยิบเสื้อคลุมที่คลุมหัวอยู่ออกแต่ไม่ทันเอาออกก็ถูกมือเล็กๆ ที่มีแรงเยอะกว่าดึงให้ตนเองนั่งลงไปกับพื้น

              “นั่งหันหลังคุยกับแบบนี้แหละ เจ้าคงไม่อยากให้ใครมาเห็นหน้าสินะถึงเลือกมาเดินเข้าในป่าที่มีแต่สัตว์อสูร”

              หลิ่งเฟยนั่งลงไปตามและเริ่มชวนคุยก่อน เสื้อคลุมตัวเล็กที่มันสามารถย่อขนาดได้ ถูกเย็บขึ้นโดยชุนเพื่อความสะดวกในเวลาที่หลิ่งเฟยจะเปลี่ยนเป็นมนุษย์ในช่วงอายุต่างๆ เพราะความสนุกส่วนตัว ในตอนนี้หลิ่งเฟยได้เอาเสื้อคลุมมาคลุมหัวเด็กหนุ่มรูปงามเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตนเองและใบหน้าของเด็กคนนี้ก็งดงามเกินไปด้วย

              “เจ้าเป็นใคร” อีกครั้งที่เสียงแหบเหมือนคนเจ็บคอถาม

              “สิ่งมีชีวิต”

              “..........” เมื่ออีกฝ่ายตอบมาแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงเงียบไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครฟังจากเสียงต้องเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กแน่นอน ตนเองก็ไม่มีอารมณ์จะมาพูดคุยกับใคร เป็นแค่เด็กบีบคอครั้งเดียวห็หักคามือแล้วมั้ง

              “ทำไมตัวเจ้าถึงเลอะเทอะเช่นนี่”

              ".............."

              หลิ่งเฟยใช้คำว่าเลอะเทอะ เพราะไม่อยากจะตอกย้ำด้วยคำว่าทำไมตัวเจ้าจึงเปื้อนเลือดเช่นนี่ ไม่ว่าจะดูยังไงตั้งแต่ต้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ดูเหมือนคนที่ไม่เต็มใจจะฆ่า เด็กหนุ่มยังคงนั่งชันเข่าเอาหน้าวางไว้ที่หัวเข่าราวกับต้องการพักผ่อน หลิ่งเฟยแอบเหลือบตามองท่านั่งอมทุกข์ของอีกฝ่ายจึงเอนหลังไปพิงหลัง ไหนๆ ก็นั่งท่าแบบนั้นไปแล้ว เชิญนั่งไปจนกว่าจะเมื่อยละกัน ปฏิกิริยาก็ตามคาดแผ่นหลังที่ใหญ่กว่าสะดุ้งราวกับตื่นกลัว

              “เสื้อคลุมตัวนี่ข้ายกให้ ข้ายังมีเสื้อผ้ามีมากมายก่ายกองตอนนี่หากเจ้ายังไม่อยากกลับบ้านก็นั่งเป็นเพื่อนข้าก่อนสิ พระจันทร์คืนนี่งามใช้ได้เลยนะ”

              เด็กหนุ่มก็แอบเหลือบตาเห็น แต่เห็นเพียงเส้นผมสีเงินที่ยาวสลวย แขนเล็กๆ ผิวขาวจนเหมือนจะสามารถส่องแสงได้ สายตาที่หวาดระแวงก็อ่อนลงเหมือนเห็นว่าอีกฝ่าย  เป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ แม้จะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม กลิ่นของดอกอิงฮวาลอยออกมาจากตัวเด็กผู้หญิงและเสื้อคลุม ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเข้าไปอีกจนคนงามเริ่มมีความรู้สึกง่วงนอน แต่ยังไม่หลับตาเพราะอยากจะรู้จักกับเด็กสาวคนนี้

              “บ้านเจ้าอยู่แถวนี่หรือ”

              “เปล่า”

              “แล้วเจ้ามาได้ยังไงกัน”

              “เดินมา”

              เด็กหนุ่มรูปงามที่รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกกวนประสาทจึงเงียบปากไป ก่อนจะขยับปากพูดออกมาอย่างแผ่วเบาหลิ่งเฟยยังคงนั่งพิงตั้งใจฟังคำพูดพึมพำที่เบายิ่งกว่าเบาเสียอีก

              “ข้าได้สังหารพี่น้องร่วมสายเลือดลงไป..”

              เสียงอันแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิ่งเฟย หลิ่งเฟยยังคงเงียบต่อรอให้อีกฝ่ายเล่าระบายความในใจออกมา

              “ข้าเหลือเพียงแค่ท่านแม่เพียงผู้เดียว แต่พี่ของข้ากลับสังหารท่านแม่ เพื่อตำแหน่งท่านประมุข...”

              หืม เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้นี่เอง การแก่งแย่งชิงตำแหน่งในพรรคสินะ

              “รู้ตัวอีกที ข้าก็เหลือตัวคนเดียวเสียแล้วจะตายก็ไม่ได้ตาย”

              แผ่นหลังที่กว้างกว่าหลิ่งเฟยสั่นจนไม่ต้องเดาเลยว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ หลิ่งเฟยกลอกตาไปมาเพื่อสรรหาคำพูดที่จะไม่ทำร้ายจิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้ หากมนุษย์คนนี้ต้องการที่ระบายความในใจโดยไม่ให้ผู้อื่นเห็น ตอนนี่ก็ถือว่าไม่มีผู้ใดเห็นอยู่แล้วนอกจากตนเอง

              “สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี่คือร้องไห้ออกมาเถอะ ยังไงซะทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่รู้จักกันเพราะงั้นข้าไม่บอกใครหรอกนะ”

              หลิ่งเฟยเอนหลังไปพิงมากขึ้นเพื่อให้รู้ว่ายังมีคนที่รับฟังอยู่ เมื่อเจ้าอยากหาที่ร้องไห้เพื่อที่จะระบายความเจ็บปวด ตอนนี่ก็ร้องออกมาเลย ไม่มีผู้ใดอยู่แถวนี่อีกแล้ว

              พูดจบเด็กหนุ่มรูปงามก็ตัวสั่นมากขึ้นกว่าเดิม เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ปากพูดพร่ำไปต่างๆ นาๆ ว่า ขอโทษบ้าง ทำไมตนเองต้องมาเจอแบบนี้ เพราะเหตุใดพี่น้องตนเองจึงจ้องแต่ฆ่ากันเอง หลิ่งเฟยพิงหลังที่สั่นโยกไปมา ฟังที่เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาจนกระทั่งมนุษย์ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนั้นก็ได้หลับลงเสียแล้ว หลิ่งเฟยพยายามขยับตัวออกมาไม่ให้เด็กหนุ่มตื่น มือประคองหลังให้มานอนบนตักเล็กๆ ของตัวเธอเอง เอาเสื้อคลุมที่คลุมหัวให้เด็กหนุ่มในตอนแรกนั้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่นองใบหน้า ก่อนจะเอาไปคลุมไหล่ให้เพื่อให้ความอบอุ่น มือเกลี่ยนเส้นผมเผยให้เห็นใบหน้ารูปงามราวกับสตรีในหอนางโลม

              ผิวละเอียดนุ่ม คิ้วโก่งเรียวดั่งคันศร ขนตาแพยาว จมูกโด่ง ปากแดงชำเพราะตอนร้องไห้เด็กหนุ่มผู้นี้กัดปากตัวเองจนปากแตก

              มีใบหน้าที่งดงามขนาดนี่ตั้งแต่เด็กคงไม่แปลกหากพี่น้องหรือสตรีอื่นจะอิจฉา

              พระจันทร์เต็มดวงค่อยๆ คล้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ แต่ก็อีกนานกว่ารุ่งอรุณจะมาเยือน แต่หากเด็กคนนี้ไม่ตื่นมาตอนรุ่งเช้า แล้วตัวเองยังไม่กลับคงจะไม่ทันก่อนที่ถังอี๋ไอ๋อั๋นจะออกเดินทาง รออีกสักนิดแล้วค่อยไปก็แล้วกัน

              จะว่าไปชุนสามารถทำให้เสื้อผ้ามีคุณสมบัติย่อขยายได้นี่นา ถ้าเราทำให้เสื้อคลุมตัวนี่สามารถป้องกันสิ่งอันตรายละก็...

              หลิ่งเฟยยิ้มออกมาก่อนจะเริ่มลงมือดัดแปลงเสื้อคลุมของตนเองให้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้

              ถือว่าแทนคำขอโทษที่แอบดูหน้าเจ้าตอนหลับแล้วกันนะ เจ้าคนขี้แย


     


     


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×