ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #11 : สัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.07K
      246
      28 ส.ค. 64

                  เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์ส่องแสงเเย้งเข้าตาจน เยียน หยางซือลืมตาขึ้นเพราะความแสบตา เนื้อตัวสัมผัสได้ว่ากำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าไม่ใช่ที่นอน หยางซือค่อยๆลุกขึ้นยืนเสื้อคลุมปริศนาหล่นข้างตัว หยางซือก้มลงไปเก็บเสื้อคลุมที่มีกลิ่นของดอกไม้ครุ่นกรุ่นอยู่ทำให้นึกถึงเจ้าของเสื้อตัวเล็กที่เป็นเด็กสาวเมื่อคืนเอามาคลุมหัวไว้ให้ตนเอง ทุกๆสัมผัสที่ได้เห็นและรับรู้หยางซือมั่นใจทันทีว่าไม่ได้ฝันไป

                   เส้นผมสีเงินที่สะท้อนกับแสงจันทร์ ผมขาวจนเหมือนจะสามารถมองทะลุได้ คำพูดจาที่เหมือนจะกวนประสาทแต่ก็ยังนั่งพิงหลังให้กันจนกระทั่งตนเองเผลอหลับไปเพราะแบบนั้นความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายรอบสองถึงได้หายไปในทันทีเมื่อได้สนทนากับนาง นึกเสียดายไม่ได้ที่ทำความรู้จักกับเด็กสาวในเมื่อคืนให้มากกว่านี้      

    เยียน หยางซือเดินกลับออกมาจากจนถึงประตูขนาดใหญ่ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า พรรคหมื่นพิษ บันไดที่ทอดยาวขึ้นสูงทำให้รู้สึกว่าวันนี้สองเท้ามันหนักขึ้นกว่าทุกๆวันที่ยังเป็นเพียงแค่นายน้อยเยียนแต่ตอนนี้ตนเองได้เป็นประมุขพรรคไปแล้ว  เมื่อคนในพรรคเห็นว่าท่านประมุขคนใหม่กลับมาแล้วรีบกุรีกุจอต้อนรับประมุขคนใหม่ของพรรคในทันที หญิงรับใช้คนหนึ่งยื่นมือมาขอรับเสื้อคลุมในมือของหยางซือไปซักตามหน้าที่ หยางซือมองเสื้อคลุมตัวเล็กที่ถูกพับไว้ในมืออย่างเรียบร้อยอยู่สักพักหนึ่ง

    "เอาตัวนางไปควักลูกตา ตัดนิ้ว" คำสั่งแรกของประมุขคนใหม่หญิงรับใช้ตะลึงพูดไม่ออก เมื่อดวงตาที่เรียวคมมองมาราวกับว่าตนเองเป็นแมลงชั้นต่ำคนในพรรคเข้ามาลากตัวหญิงรับใช้ไปตามคำสั่งทันที คนอื่นๆที่ออกมาต้อนรับรีบก้มหน้าลงไปทันทีพยายามไม่มองของที่อยู่ในมือของท่านประมุข กลัวจะโดนควักลูกตาเหมือนที่หญิงรับใช้คนเมือกี้ที่โดนลากไป ประมุขพรรคคนใหม่ในปัจจุบันคือคนที่โหดร้ายสังหารได้แม้กระทั่งพี่น้องตนเองจนหมดสิ้น

                    “นึกว่าเจ้าไปตายอยู่ในป่า ข้ากำลังไปหาเจ้าพอดีเลย”

                    เสียงเล็กแหลมเรียกให้หยางซือเงยหน้ามองขึ้น มองร่างที่เรียกได้ว่าหยวดยวนชวนให้น่าลิ้มลอง ทรวงอกที่แทบจะทะลักออกมาจากสาบเสื้อที่ดำที่จงใจให้มันแหวกออกมามากกว่าปกติ  ขาอันเรียวยาวก็โผล่ออกมาให้เห็นอยู่ข้างหนึ่ง ใบหน้าสวยคมเข้ม ผมหยิกลอนปากที่ทาชาดสีแดงสดขยับพูดต่อไปอีก

                    “แล้วเจ้าเก็บอะไรมาด้วยละนั้น ผ้าเช็ดหน้าหรือไง”

                    นางพญาแมงมุมที่แต่งชุดดำทั้งตัวเดินลงบันไดมาดูสิ่งที่อยู่ในมือหยางซือ แรงกดดันโถมเข้าใส่ทับตัวนางขาสองข้างพยายามยืนทรงตัวเห็นเป็นเงาบางสิ่งบางอย่างแต่ไม่ชัดเจน เพราะสิ่งที่ชัดเจนกว่าคือกลิ่นของสัตว์เทพอสูรที่นางเคยได้พบเจอกันมาครั้งหนึ่ง กลิ่นของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว!!

                    “เยียน หยางซือ!! สิ่งที่อยู่ในมือเจ้านั่นเป็นของใครกัน!!

                    นางพญาแมงมุมรีบถอยห่างปล่อยไอพิษออกมาจนบางคนที่อยู่แถวนั้นก็กระอักออกมาเป็นเลือด แต่รอบตัวของหยางซือกลับไม่มีไอพิษปกคลุมตัวอยู่เลยราวกับว่าถูกบางอย่างกำลังปกป้องอยู่ หยางซือได้แต่ทำสีหน้าสงสัยกับท่าทางของนางพญาแมงมุมมี่อิง แต่ตอนนี่หากยังปล่อยให้มี่อิงปล่อยไอพิษออกมาแบบนี้ อีกเดียวคนที่อยู่แถวนี่ก็ได้ตายกันพอดี

                    “ข้าเองก็ไม่รู้ จะยังไงก็หาที่คุยกันดีก่อนเถอะนะมี่อิงเพราะข้าเองก็มีเรื่องอยากจะถามเจ้า”

                    มี่อิงมองประมุขพรรคคนใหม่ที่พึ่งได้เป็นเมื่อคืนนี่ เมื่อเห็นว่าประมุขพรรคคนใหม่ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆหยุดจึงปล่อยไอพิษแล้ว หยางซือสั่งให้คนที่โดนไอพิษไปรักษาทันที ก่อนจะให้มี่อิงไปเจอกันที่ห้องทำงานของประมุข 

                    “ เจ้ารู้อะไร” ถึงอีกฝ่ายจะเป็นนางพญาแมงมุมที่ระดับลมปราณอยู่ในขั้นราชันสวรรค์ มีลมปราณที่เหนือกว่าแต่หยางซือไม่คิดจะให้ความเคารพแก่ผู้ที่จ้องจะเอาชีวิตตนเองหรอก

                    “แล้วเจ้าละเมื่อคืนเจ้าไปไหนมา ทำไมถึงมีเสื้อคลุมตัวนี่ติดมือมาด้วย”

                    มี่อิงไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไปแทน เมื่อคืนหลังจากที่หยางซือและนางได้ร่วมมือกันสังหารเหล่าบรรดาพี่น้องจนหมดหยางซือก็หายตัวไปก่อนจะเห็นอีกทีคือตอนที่หยางซือเดินออกไปจากพรรคแล้วเขาไปในป่าสัตว์อสูร นึกในใจว่าคงจะไปฆ่าตัวตายในป่าเพื่อให้สัตว์อสูรฆ่าแต่เปล่าเลยหยางซือกลับมาที่พรรคและมีเสื้อคลุมตัวเล็กที่มีกลิ่นของพยัคฆ์ขาวอยู่จางๆ ติดมือมาด้วย แถมยังมีกลิ่นของสุราที่หอมไปดอกไม้ไม่รู้ว่าจะมีสุราที่มีกลิ่นของดอกไม้ และเท่าที่นางรู้พยัคฆ์ขาวไม่มีคนรัก เสื้อตัวเล็กแค่นี้ก็ต้องไม่ใช่ของพยัคฆ์ขาวแน่นอน หรือว่า....

                    "ข้าก็แค่ออกไปเดินตากลมแต่...เกิดเหตุเล็กน้อยข้าจึงได้เจอเด็กสาวตัวเล็กผมสีเงินเข้ามาช่วย นางไม่อยากให้ข้าเห็นหน้านางจึงเอาเสื้อคลุมตัวนี่มาคลุมหัวข้า และข้าเองก็ได้พูดคุยกับนางอยู่แค่สองสามคำก่อนจะเผลอหลับไป ตื่นมาก็ไม่เจอนางแล้ว"คำตอบตรงไปตรงมามี่อิงจ้องจับผิดว่ามีตรงไหนที่หยางซือโกหกหรือไม่แต่ทุกคำพูดนิ่งสงบเสื้อคลุมตัวนี้ก็ตัวเล็กมีลวดลายที่สวยงามเหมือนเจ้าของที่ใส่เป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ

              "ทีนี่เจ้าก็ตอบคำถามข้ามาได้แล้วว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง"ผู้ที่อายุน้อยกว่ามองอย่างกดดันมี่อิงในใจไม่อยากจะตอบคำถามนี้เท่าไรเพราะมันดูบ้าบอซะเหลือเกินสัตว์ร้ายอย่างพยัคฆ์ขาวเนี้ยนะที่จะอยู่กับเด็ก แถมยังเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมสีเงินอีก

                    “ข้าได้กลิ่นของสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว”

                    มี่อิงตอบสาเหตุที่นางปล่อยไอพิษออกมาป้องกันตัว หยางซือยังคงทำหน้าสงบเงียบรอฟังคำพูดที่เหลือ มี่อิงเอามือจับใบหน้าตัวเองวันที่ถูกสัตว์เทพอสูรตัวนั้นขยี้ใบหน้าของตนเองจนไม่เหลือชิ้นดีนางยังจำได้ดีว่ามันเป็นยังไง

    “ข้าเคยเจออยู่ครั้งหนึ่งในตอนที่ข้าพึ่งเลื่อนขั้นมาอยู่ในระดับสวรรค์ ตอนนั้นเพราะข้ามันไม่รู้จักเกรงกลัวเห็นว่าพยัคฆ์ขาวยังอยู่ในระดับจุติสวรรค์จึงได้ไปท้าสู้กับพยัคฆ์ขาวอย่างโง่เขลา หากเจ้าบอกว่าคนที่เจ้าเจอคือเด็กสาวผมสีเงิน แต่พยัคฆ์ขาวนั้นมีผมสีขาวเป็นผู้ชายข้าจึงคิดว่าเป็นไปได้มั้ยว่าเด็กสาวที่เจ้าว่ามานั้นจะเป็นบุตรสาวของพยัคฆ์ขาว”

    มี่อิงบอกความคิดของตัวเองออกไป หากเรื่องนี่เป็นจริงก็นับว่าเหลือเชื่อมากที่สัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวจะมีบุตรหรือบุตรี ดูจากนิสัยของพยัคฆ์ขาวแล้วไม่น่าจะยึดติดกับใครมากนัก ใครกันที่เป็นดวงใจของพยัคฆ์ขาว

    "................งั้นหรือ"

                 หากจะเป็นลูกสาวของสัตว์เทพอสูรก็คงไม่แปลกเรี่ยวแรงที่มากกว่าตนเองที่สามารถดึงแขนจนตัวเองให้ต้องนั่งลงไปกับพื้น ไหนจะตอนที่ห้ามสัตว์อสูรเสือดำโดยที่ไม่เสียเลือดเลยแม้แต่น้อย อยากจะทำความรู้จักกับเด็กสาวให้มากกว่านี่ อยากจะรู้ชื่อ อยากจะพูดคุยด้วย แต่ตอนนี่เรื่องในพรรคก็ยังไม่เรียบร้อยดีและเบาะแสที่มีคือมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาว 

                   "ดูเหมือนสิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้ตนเองมีชื่อเสียงเพื่อไปเข้าร่วมงานชมดอกไม้ที่แคว้นหยิ่งนะ"

                   หยางซือพูดขึ้นมาเหมือนเป็นเรื่องทั่วไปแต่สำหรับมี่อิงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ปกติเพราะทุกๆปีที่แคว้นหยิ่งจะมีงานชมดอกไม้และงานประลองคัดเลือกทหารฝีมือดี สัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวจะไปเข้าร่วมเกือบทุกปีเพื่อประลองฝีมือกับผู้ที่เข้ารอบสุดท้ายและที่นั้นเองก็มีสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าอีก สัตว์เทพอสูรสองตนอยู่ในสถานที่เดียวกันไม่อยากจะจะนึกถึงเลยว่ามันจะเป็นยังไง

    มี่อิงมองหยางซืออย่างเสียดาย อุตส่าห์ได้เจอเด็กผู้ชายหน้าตาดีๆ คิดว่าพอตนเองช่วยให้หยางซือได้เป็นประมุขพรรคหมื่นพิษแล้วกะจะรอให้หยางซืออายุได้สัก 20 แล้วค่อยจับกินแล้วขึ้นเป็นประมุขพรรคแทน แต่ตอนนี่หยางซือกลับได้เสื้อคลุมตัวเล็กที่มีกลิ่นของพยัคฆ์ขาวติดอยู่ ความกลัวจากตอนที่ตนเองไปลองดีกับพยัคฆ์ขาวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำอยู่เลยและอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพยัคฆ์ขาวไม่ว่าจะทางตรงหรือเล็กน้อยตนเองก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว

    "จะทำอะไรก็เรื่องของเจ้าสิ"


    ร่างเด็กผู้หญิงตัวเล็กกลับมาถึงที่เรือนมายาอย่างทันเวลาพอดี ถังอี๋ไอ๋อั๋นใบหน้าดูซีดกว่าปกติเพราะยังเมาค้างแม้จะกินยาสมุนไพรที่ช่วยกำจัดแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง

    "ท่านหลิ่งเฟยเสื้อคลุมท่านหายไปไหนหรือขอรับ"ชุนเข้ามาถามพร้อมกับเสื้อคลุมตัวใหม่

    "ให้ผู้ชายไปแล้ว" หลิ่งเฟยรับเสื้อคลุมตัวใหม่มาสวมก่อนจะเดินเข้าไปสับหัวคนเมาค้างเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทางถังอี๋ไอ๋อั๋นที่อาการดีขึ้นแล้ว โบกมือลาก่อนเดินออกไปจากเขตอาคมของเรือนมายา หลิ่งเฟยในร่างเด็กผู้หญิงนั่งมองคนที่ตัวเล็กนิดเดียวตอนนี้พวกเขาเติบโตขึ้นมามากจนสามารถที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว

    "ลูกของพวกท่านโตขึ้นมาแล้วนะท่านหมอ พ่อค้าฮง"หลิ่งเฟยนั่งมองสวนที่มักมีสองฝาแฝดวิ่งไปมาอยู่เสมอตรงหน้าประตู มือหยิบปิ่นปักผมดอกวานเจียนหลั่นปิ่นอันแรกที่ตนเองได้ใช้เงินซื้อมันมาและได้มารู้จักครอบครัวนี้

    "ท่านพกมันไปมาไว้อยู่เสมอเลยนะขอรับท่านหลิ่งเฟย"ชุนที่ยืนอยู่ข้างหลังชวนคุย ตอนนี้หลิ่งเฟยมีปิ่นสวยๆมากมายเต็มกล่องแต่ปิ่นที่หลิ่งเฟยมักจะพกมันไปมาเสมอคือปิ่นอันนี้แม้จะไม่ได้ใช้ก็ตาม

    "แน่นอน เพราะมันเป็นมากกว่าปิ่นไม้ธรรมดาเสียอีกช่วยทำผมให้ข้าทีสิ" ชุนเข้ามาทำผมให้โดนดีมือสางเส้นผมสีเงินสลวยให้มวยขึ้นไปก่อนจะปักปิ่นให้ เฟิงหู่ที่พึ่งตื่นมายืนข้างหลังทั้งคู่ พอดีที่ชุนทำผมให้นายตัวเองเสร็จพอดี

    "สองคนนั้นมันไปแล้วสินะ"

                    “ใช่ ถามทำไม”หลิ่งเฟยในร่างเด็กไม่หันไปมอง ตนเองยังจำที่สัญญากับเฟิงหู่ได้อยู่

                    “มาสู้กัน”

                   ชุนหายใจสะดุดทันทีครั้งนี้เฟิงฟู่เอาจริง หลิ่งเฟยใจเต้นอย่างรุงแรกเพราะว่านี้เป็นครั้งแรกที่จะได้สู้กับสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าในใจอยากจะหลีกหนีแต่ลึกๆก็อยากรู้ว่าเวลาที่สู้กับจะเป็นยังไงหลิ่งเฟยหลับตาสงบใจก่อนจะกลับไปในร่างเดิมเป็นมนุษย์จิ้งจอกเก้าหางที่มีหางแปดหาง

                    “งั้นสู้กันที่ไหนดีละ ท่านเฟิงหู่”

     

                    เสียงหยดน้ำที่กระทบกับพื้น หินงอกหินย้อยที่โผล่ออกมาตามเพดานและพื้นดิน หากเป็นคนปกติคงไม่สามารถมองเห็นข้างในถ้ำนี่ได้แต่เพราะเป็นสัตว์เทพอสูรถึงได้เห็นในลักษณะที่สว่างจนกลายภาพที่ดูสวยงาม แต่หลิ่งเฟยกลับรู้สึกว่าภายใต้สิ่งที่ดูสวยงามเช่นนี่มีบางอย่างไม่ปกติ เธอรู้สึกได้ลมปราณที่ไหลเวียนในหินงอกหินย้อยราวกับว่าถ้ำนี่มันมีชีวิต เฟิงหู่เป็นคนนำทางมาที่นี่หลังจากที่ถามว่าจะสู้กันที่ไหนดี หลิ่งเฟยไม่นึกว่าจะเป็นถ้ำเพราะหากต้องสู้กันในถ้ำ มันจะไม่ถล่มลงมาหรือไง

                    “ถึงแล้วละ”

                    หลิ่งเฟยหยุดการชมบรรยากาศในถ้ำ หันมาสนใจที่ๆเฟิงหู่ยืนอยู่ข้างหน้า มันเหมือนเป็นแอ่งน้ำใสธรรมดาแต่เพราะเฟิงหู่เป็นคนแนะนำอดคิดไมได้ว่ามันจะเป็นทางเข้าทางลับ เฟิงหู่ไม่พูดอะไรเดินลงไปในแอ่งน้ำและจมหายไปหลิ่งเฟยเข้าใจในทันทีว่ามีสถานที่ลับซ่อนอยู่ในถ้ำนี่

                    ทันทีที่เท้าสัมผัสได้ถึงพื้นหญ้าหลิ่งเฟยเงยหน้ามองทิวทัศน์พื้นทุ่งหญ้าที่กว้างจนสุดสายตา ไม่มีต้นไม้หรือก้อนหิน ไม่มีสิ่งมีชีวิต ท้องฟ้าเป็นเหมือนเพดานม่านน้ำที่อยู่สูงมาก หากจะกลับไปคงต้องขึ้นไปข้างบนอย่างเดียว

                    “เป็นไงเป็นสถานที่ดีเลยใช่มั้ยละ”เฟิงหู่พูดไปยิ้มไป

                    “ใช่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย ท่านรู้จักสถานที่แบบนี้ได้ไงกัน”

                    “ข้าก็แค่เกิดแถวนี้และตอนที่ข้ายังอยู่ระดับจุติข้าก็ใช้ถ้ำนี้เป็นที่หลับนอนนั้นแหละ”

                    หลิ่งเฟยคิดตามถึงสิ่งที่เฟิงหู่พูดดูเหมือนว่าต่อให้เป็นสัตว์เทพอสูรเกิดมาคงจะเริ่มจากศูนย์เหมือนสัตว์อสูรทั่วไปใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณก่อนจะมาถึงระดับจุติ

                    “เจ้าจำความได้ตั้งแต่ตอนไหนหรือ”

                    “ก็ตอนที่ข้าระดับจุตินั่นแหละ ก่อนหน้านั้นข้าจำได้เพียงรางๆว่า ข้าเคยผ่านเส้นทางไหนและรู้สึกยังไง”

                    “งั้นเหรอ”

                    มีเราคนเดียวที่แปลกสินะ แล้วจะเริ่มสู้กันยังไงละเนี่ยเราเองก็ท่าหลายท่าที่จะลองใช้เหมือนกัน

                    ตูม!!!!

                    “อย่ามัวแต่เหม่อสิหลิ่งเฟยนี่การต่อสู้นะ”

                    หลิ่งเฟยหลบการโจมตีของเฟิงหู่ได้ทันอย่างเฉียดฉิวมองค้อนทันทีที่โจมตีโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เฟิงหู่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนักก่อนจะกำหมัดเตรียมชกสตรี

                    “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอทดสอบพลังตนเองหน่อยละกัน”

                    เมื่อเฟิงหู่เห็นหลิ่งเฟยพูดเช่นนี่ก็แสยะยิ้มออกมา ที่อีกฝ่ายก็มีใจจะสู้ด้วยเช่นกันหลังจากถูฏปฏิเสธมานับสิบปี เฟิงหู่คืนร่างเป็นพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่คำรามข่มขวัญใส่หลิ่งเฟยที่ยืนนิ่งอุ้งเท้าตะปบใส่ อุ้งเท้าสีขาวขาดออกจากกันเป็นผลจากหางทั้งแปดหางที่เคลื่อนไหวดั่งอาวุธอย่างหนึ่ง

                    แปลกจังเลยนะ ทำไมเราไม่รู้สึกกลัวเลยนะทั้งๆที่ก็ได้เห็นร่างพยัคฆ์ขาวที่ควรจะกลัวแท้ๆ 

                    ตูม!!

                  อุ้งเท้าขนาดใหญ่อีกข้างตบลงมาที่หลิ่งเฟยยืนอยู่ แต่หากพื้นที่ตรงนั้นก็ไม่มีร่างของหลิ่งเฟย เฟิงหูมองหาหลิ่งเฟยก็พบว่าอีกฝ่ายกระโดดไปอีกทางแต่มันก็ไกลจนเกือบจะไม่เห็น พยัคฆ์ขาวคำรามออกมาสายฟ้าฟาดลงมารอบตัวก่อนที่พยัคฆ์ขาวจะวิ่งพุ่งเข้าไปหาสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกที่ยังไม่ยอมใช้ร่างที่แท้จริงสักที

                    กรรรร

                    อย่างกับว่าเราเคยเจออะไรที่น่ากลัวมามากกว่านี้

                   หลิ่งเฟยแบมือออกรวบร่มลมปราณมาที่ฝ่ามือด้านขวาเป็นเหมือนลูกบอลเล็กๆ และลูกบอลลมปราณนั้นก็รวบรวมสายลมรอบตัว ก่อตัวเป็นเหมือนลูกบอลลมขนาดใหญ่มันเป็นวิชาที่ตนเองเคยฝึกตอนไม่มีอะไรทำ ปกติแล้วจะทำเป็นลูกบอลเล็กๆแต่ตอนนี้เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้หลิ่งเฟยทำการขยายขนาดของมัน เฟิงหู่หรี่ตามองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเฉยไม่เคยรับรู้เลยว่าหลิ่งเฟยสามารถใช้วิชาจากธาตุลมได้ด้วย แถมยังควบคุมมันได้สมบูรณ์แบบอีกต่างหาก

                   สัตว์เทพอสูรทุกตัวต่างควบคุมพลังงานธาตุจนเป็นวิชาสำหรับตนเองได้ยกเว้นข้าที่ไม่เคยควบคุมได้เลย

                  และไม่เคยมีสัตว์เทพอสูรตนเองเอาชนะข้าด้วยเช่นกัน!

                  สายฟ้าฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง พยัคฆ์ขาวคำรามใส่รับรู้ได้ว่าสายลมรอบตัวกำลังถูกดูดรวมไปอยู่แค่ที่หลิ่งเฟย หลิ่งเฟยปาลูกบอลลมพายุเข้าใส่เฟิงหู่สายฟ้าที่ฟาดลงมาถูกดูดเข้าในลูกบอล เฟิงหู่รู้ได้ทันทีว่าต้องหลบการโจมตีนี่ มันอันตรายเกินไปที่ร่างกายจะรับได้ บอลลมพายุถูกหลบหลีกเฟิงหู่แสยะยิ้มก่อนจะถูกแรงปะทะจากบอลลมที่ตกลงสู่พื้น มันขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะระเบิดออกมาในชั่วพริบตา หลิ่งเฟยกางโล่ลมปราณกันไม่ให้เศษดินมาโดนตัวร่างพยัคฆ์ขาวตัวใหญ่กระเด็นออกไปไกลต่อหน้าต่อตาเจ้าของวิชา

                   ท่าบอลลมปกติแล้วมันจะขยายตัวเมื่อกระทบอะไรบางอย่างและกลายเป็นคลื่นพายุที่รุงแรง แต่ที่มันระเบิดคงเป็นเพราะสายฟ้าที่เกิดจากพลังอำนาจของพยัคฆ์ขาวเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายและความตั้งใจของหลิ่งเฟย 

                    “ท่านเฟิงหู่ท่านยังมีชีวิตหรือไม่”หลิ่งเฟยตะโกนถามหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบใจคอเริ่มไม่ดีเพราะหากท่าเมื่อกี้มันรุงแรงจนสามารถสังหารสัตว์เทพอสูรได้ล่ะ

                   โฮก!!!!!

                   เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่ว มันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งหลิ่งเฟยหลบสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมา พื้นหญ้าไหม้เป็นเถ้าตะกอนก่อนที่มันจะฟื้นฟูกลับมาเป็นพื้นหญ้าเหมือนเดิม ความสงสัยเกี่ยวกับถ้ำทำให้หลิ่งเฟยอยากรู้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา หันหน้าไปอีกทีพยัคฆ์ขาวกำลังฟาดอุ้งเท้าลงมาใส่ตัวเองครั้งนี้หลบไม่ทันแขนเสื้อถูกกรงเล็บข่วนจนขาดและการโจมตีก็ตามมาอีกหลายครั้งหลิ่งเฟยสร้างกำแพงลมขึ้นมาขวางกั้นแต่พยัคฆ์ขาวกระโจนฝ่าเข้ามาเหมือนไม่รู้สึกเจ็บทั้งที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

                   "บ้าจริงๆเลยนะ ท่านเฟิงหู่" หอกลมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการก่อตัวของสายลมหมุนเป็นเกลียวมาจ่อตรงหน้าพยัคฆ์ขาว สายลมพัดวนรอบตัวจนมองไม่เห็นเจ้าของวิชาที่กำลังหายใจหอบอย่างรุงแรง มือที่ควบคุมลมปราณให้ก่อตัวลมเป็นรูปร่างตนเองสั่นระริกแต่ริมฝีปากยิ้มอย่างมีชัย

                   "อย่าตายซะละท่านเฟิงหู่"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×