คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ชายแปลกหน้า(รีไรท์)
"เร่เข้ามา เร่เข้ามา วันนี้แหวนหยกมิติจากเซียนมี่จางมาจากแคว้นหยางเปิดประมูลวันนี้นะขอรับ เชิญเข้ามาดูก่อนได้เลย" เพราะคำว่าเซียนมี่จางทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจ พากันเข้าไปในหอเพื่อชมประมูลอันแสนจะดุเดือดแม้แต่คนในราชวงศ์ก็ยังมาเข้าร่วมถังอี๋ที่อายุได้ 13 ปียืนมองฝูงชนชาวบ้านธรรมดาที่มุงอยู่ข้างนอกหอ
"เจ้าสนใจการประมูลแหวนของท่านเซียนหรือถังอี๋" จินลี่ลูกชายของเถ้าแก่ร้านยามสมุนไพรเดินเข้ามาถามหลังจากซื้อของสำหรับซ่อมบ้านตัวเองที่ถูกพายุพัดหลังคาจนปลิวหายไป ถังอี๋ที่ไม่ได้เก่งเรื่องสมุนไพรจึงออกมาช่วยลูกชายเถ้าแก่ซื้อของให้ไอ๋อั๋นช่วยเก็บกวาดร้าน
"ข้าแปลกใจเพราะขนาดเมืองนี้ถูกพายุจากลมปราณของสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าพัดจนบ้านของพวกเขาเสียหาย แต่พวกเขาดูไม่เป็นทุกข์เลยนะ"
"นั่นเป็นเพราะว่าท่านมังกรฟ้าจะช่วยบันดาลเมฆฝนให้ตกลงสู่พื้นที่ที่แห้งแล้ง ท่านพ่อเคยบอกข้าว่าสมัยที่ท่านยังเด็กทุกสิบปีแคว้นหยิ่งจะแห้งแล้งจนเกิดภาวะขาดแคลนอาหารการที่เกิดพายุพัดจนหลังคาปลิวหายไป ข้าว่ามันยังดีกว่าการเกิดภาวะแห้งแล้งนะ"จินลี่พูดให้คนที่ไม่ได้เกิดแคว้นนี่ให้เข้าใจ ถังอี๋มองทหารจากราชสำนักที่มาลงพื้นที่เพื่อดูว่ามีบ้านใดต้องได้รับการช่วยเหลือบ้างทุกคนต่างยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร อย่างกับไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยจริงๆ
"รีบๆขนสิวะเจ้าควาย!!"เสียงตะโกนลั่นดึงความสนใจได้เป็นอย่างดีเป็นชายแก่คนหนึ่งที่กำลังลงแส้ฟาดสัตว์อสูรกระบือลงหลังขณะที่มันกำลังต้องลากเกวียนซึ่งบรรจุด้วยวัตถุดิบก่อสร้างเหมือนจะไปสร้างบ้านใหม่ แค่กระบือลมปราณระดับเหนือธรรมชาติคงไม่สามารถขนไปได้หมดแน่นอน
"พ่อบ้านของจวนขุนนางหง เจ้าอย่าไปสนใจเลยถังอี๋เดียวทหารก็เข้ามาจัดการเอง"จินลี่จับบ่าให้คนทำหน้าไม่พอใจเลิกสนใจแม้จะมีทหารเข้ามาพูดคุยว่าไม่หยุดการกระทำทารุณสัตว์อสูร เพราะแคว้นหยิ่งเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยพลังของมังกรฟ้าที่เป็นสัตว์เทพอสูรดังนั้นฮ่องเต้จึงประสงค์ที่จะให้สัตว์อสูรทุกตัวที่อยู่ในแคว้นหยิ่งมีชีวิตที่ดีไม่ต้องมาถูกทารุณแม้จะมีการซื้อขายสัตว์อสูรพวกเขาก็จะถูกเก็บภาษีที่แพงมาก
หลังจากที่ช่วยซ่อมแซมบ้านของเถ้าแก่เสร็จแล้วแม้ว่าเถ้าแก่จะหวังดีให้มาค้างที่บ้านตนเองก่อนคืนหนึ่งแล้วค่อยออกเดินทาง แต่เพราะความทุรังของสองฝาแฝดที่อยากจะกลับบ้านไวๆจึงได้แต่ขอบคุณและมอบอาหารไปให้จำนวนหนึ่งสำหรับการเดินทาง
อาวุธสารพัดชนิดวางขวางทางเดินชั้นสามของเรือนมายา และมันมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยมือของเจ้าของบ้านที่กำลังจัดห้องคลังอาวุธใหม่
"หลิ่งเฟยท่านเอาอาวุธมากมายพวกนี้ยัดในห้องเดียวหมดได้ยังไงกัน"
"อย่าจับมีดเล่มนั้นนะ มันเป็นมีดคำสาป"เสียงพูดดังออกมาจากห้องถังอี๋ที่ตั้งใจว่าจะหยิบให้มันออกไปจากทางไม่กล้าจับทันทีเมื่อคนเอามาพูดอย่างนั้น
"แล้วนี้ล่ะ?" ไอ๋อั๋นถือกระบี่ที่หน้าตาก็ดูธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นแม้กระทั่งด้ามจับไม่มีอะไรประดับเลยด้วยซ้ำ
"อันนั้นเป็นผลงานที่ข้าทำผิดพลาดขึ้นมานะ ถ้าเจ้าใส่ลมปราณเข้าไปมันจะมีกระบี่มากมายแยกตัวออกมาแต่ก็ควบคุมไม่ได้เจ้าอย่าได้คิดลองทำเชียว"
หลิ่งเฟยพูดดักคนชอบลองของ ไอ๋อั๋นเลยทำเพียงแค่เอากระบี่ไปให้คนในห้องพวกเขาโตขึ้นแต่หลิ่งเฟยไม่เปลี่ยนไปเลยหลังจากอยู่ด้วยกันมาแล้วแปดปีภายในห้องว่างเปล่ามีอาวุธแขวนอยู่บนผนังกับทวนที่ถูกใส่ในที่เก็บของมันอย่างเป็นระเบียบหลิ่งเฟยถือลังไม้ที่ใส่สารพัดอาวุธมองที่จะวาง
"ว้าว ดาบมารพิภพที่ถูกสร้างโดยเต่าดำในอดีตเจ้าก็กล้าเอามันมาไว้ที่พื้นนะหลิ่งเฟย"เฟิงหู่ถือดาบที่ว่าขึ้นมาก่อนที่น้ำหนักของดาบจะเพิ่มขึ้นจนปลายดาบฝังลงไปในพื้นไม้เฟิงหู่ยกยิ้มดูเหมือนว่าดาบเล่มนี้จะไม่ชอบตนเองเป็นอย่างมาก
"ข้าขอลองถือหน่อยขอรับ!"ถังอี๋ปรีเข้าไปหาอย่างรวดเร็วเฟิงหู่โยนดาบให้คนอายุ 13 ไปถือต่อโดยไม่นึกถึงเลยว่ามันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งและต้องแปลกใจที่ถังอี๋สามารถถือมันได้อย่างสบาย ดาบยักษ์ดูเข้ากับคนชอบใช้กำลังอย่างถังอี๋
"พวกผู้ชายตรงนั้นนะถ้าว่างมากก็มาช่วยหน่อย โดยเฉพาะท่าน ท่านเฟิงหู่"
"อะไรวะ..." เฟิงหู่ที่แค่ขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้พูดออกมา
เมื่อมีคนว่างงานก็ต้องใช้พวกเขาให้คุ้ม ชุนรอดตัวไปเพราะต้องไปดูแลสวนข้างนอกหลิ่งเฟยนอนเยียดร่างกายบนหมอนใบโตที่สามารถนอนกันสองคนได้สบายสั่งการลูกน้องให้เอาของไปวางที่จุดที่ต้องการ ถังอี๋บ่นเรื่อยๆเพราะอาวุธแต่ละชิ้นก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้ทำไมต้องไปคว้านหาแล้วเอามาเก็บไว้ให้เป็นอันตรายต่อคนที่ไม่รู้เรื่องด้วยและคำตอบที่ได้คือ "ความชอบส่วนตัว"
"แหวนวงนี้ก็เป็นอาวุธหรือขอรับ"ไอ๋อั๋นเอาแหวนสีเงินมีลวดลายแกะสลักเป็นใบไม้ให้ดู
"นึกว่าทำหล่นหายแล้วซะอีก มันคือธนูลมปราณนะ" อีกสองคนที่ได้ยินดังนั้นรีบทิ้งงานมาดูแหวนวงเล็กที่มันสามารถกลายเป็นธนูได้ แหวนเล็กจนนิ้วของคนในที่นี้ไม่น่าจะใส่ได้เลยสักคน "ลองสวมแหวนดูสิเดียวมันจะปรับขนาดให้เอง" หลิ่งเฟยพูดให้ลอง ไอ๋อั๋นลองสวมทันทีปรากฎว่ามันใส่ได้พอดีเมื่อลองใส่ลมปราณเพียงเล็กน้อยมีเลื้อยไม้งอกออกมาจากแหวนก่อนจะกลายเป็นคันธนูสีเงิน
ถังอี๋ตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นเลื้อยไม้กลายเป็นธนูสีเงินก่อนจะยืนนิ่งเพราะจู่ๆน้องชายฝาแฝดก็เล็งเป้ามาที่เขา ลูกธนูไม้ที่เกิดจากพลังลมปราณของไอ๋อั๋นถูกง้างตาของไอ๋อั๋นดูเหม่อลอยคล้ายคนไม่มีสติ
"ไอ๋อั๋น?"
ปัง!!!
เฟิงหู่มองโล่เกล็ดมังกรฟ้าที่เคยป้องกันการโจมตีของตนเองได้เมื่อครั้งอดีตหลังจากนั้นเห็นว่ามันหายสาบสูญไป ตอนนี้มันอยู่ที่นี่อยู่ในมือของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกถังอี๋ที่ยกดาบมาป้องกันตัวเองไว้น้องชายถูกเจ้าบ้านเอาโล่เคาะหัวเรียกสติทีหนึ่ง
"อย่าให้แหวนครอบงำเจ้าสิไอ๋อั๋น แม้ว่าแหวนวงนี้จะมีจิตของภูตแห่งพงไพรก็เถอะ"
"เอ๊ะ..ถังอี๋เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า!?" ไอ๋อั๋นที่จำได้แล้วว่าตนเองทำอะไรลงไปเข้ามาตรวจเช็คร่างกายพี่ชายตนเอง เมื่อดูจนแน่ใจว่าถังอี๋ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะถอนแหวนที่นิ้วแต่มันถอดไม่ได้
"หืม..ท่าทางนางจะชอบเจ้านะ"หลิ่งเฟยผู้รู้จักอาวุธทุกชิ้นในห้องพูดอย่างสบายใจ แต่คนได้รับของฟรีกลับไม่รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
แหวนที่ถอดไม่ออกมันไม่มีชื่อเรียกเพราะหลิ่งเฟยเป็นคนบังเอิญสร้างมันขึ้นมาจิตของภูตินางไม้ที่กำลังสิ้นชีพหลังจากที่ป่าของนางถูกมนุษย์บุกรุกจนพลังวิญญาณถดถอย และได้เข้ามาอาศัยอยู่ในแหวนนี้ในภายหลังไอ๋อั๋นยืนเหม่อลอยหมดแรงที่ได้อาวุธมาไม่พอได้วิญญาณสตรีติดตัวมาด้วยหนึ่งถึงคนอื่นจะมองไม่เห็นแต่ไอ๋อั๋นรู้สึกได้ สัตว์เทพอสูรก็มองเห็นนางไม้ที่ว่ากำลังกอดไอ๋อั๋นจากด้านหลังอย่างอารมณ์ดี
"ไอ๋อั๋นได้อาวุธดีๆแล้วข้าขอบ้างสิ" ถังอี๋ที่พยายามมองตัวตนของนางไม้ที่ว่าแต่ก็ไม่เห็น จึงหันมาสนใจอาวุธที่ตนเองก็มีชิ้นที่ถูกใจเหมือนกัน
"ก็เอาไปสิ เจ้าถูกใจชิ้นไหนก็เอาไป"
"ข้าเอาดาบเล่มนี้!" ดาบใหญ่เกินตัวคนอยากได้ถูกหยิบขึ้นมาหลิ่งเฟยที่ไม่รู้วิธีใช้ดาบมารพิภพยอมยกให้ก่อนจะสั่งเร่งทั้งสามคนที่แอบเนียนอู้งานจัดห้องต่อไป
หกปีที่ผ่านมาหลังจากทดลองสร้างแหวนมิติจนสำเร็จและได้ลองเอาไปให้ร้านประมูลแห่งหนึ่งในแคว้นหยางเอาไปเปิดประมูลสามวง เพียงแค่คืนเดียวชื่อเสียงของมี่จางก็เป็นที่รู้จักไปทั่วยุทธภพในฐานะ เซียนมี่จางด้วยผลงานที่ออกสู่ตลาดนับไม่ถ้วนทั้งเครื่องประดับอันล้ำค่า เสื้อผ้าที่สวยหรู งดงาม วิจิตรบรรจงแม้จะเป็นเพียงแค่เสื้อคลุมก็ตามและมาโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อแหวนมิติที่สามารถเก็บของได้มากกว่ากระเป๋าใบหนึ่งถูกเซียนคนนี้เอามาออกประมูล ความสามารถอันน่าพิศวงของมันทำให้ทุกคนในยุทธภพต่างอยากได้แม้กระทั่งราชสำนักก็ตาม ตอนนี้แหวนมิติที่ผู้ครอบครองมีสามคนและอีกวงกำลังถูกประมูล จากคำเล่าลือถึงรูปลักษณะภายนอกของเซียนมี่จาง นางเป็นสตรีที่สวยหมดจด ใบหน้าการแสดงออกที่ดูให้น่าหลงใหลงามจนสามารถใช้คำว่าสตรีงามล่มเมืองก็ว่าได้เจ้าของร้านเครื่องประดับกล่าวว่านางเป็นคนที่คาดเดาความคิดได้ยาก
ไม่ว่าแคว้นไหนที่ได้รู้จักแหวนมิติต่างก็อยากจะพบปะกับเซียนคนนี้แต่ก็ไม่มีใครได้โอกาสนั้น เพราะมี่จางปฏิเสธตลอด
"จดหมายเชิญเข้าวังหลวงจากแคว้นโจว แคว้นหยิ่งป้ายเข้าออกพระราชวังกรณีพิเศษท่านไม่ควรเอามาวางทิ้งไว้ที่พื้นแบบนี้นะขอรับท่านหลิ่งเฟย" ชุนผู้ได้กลายเป็นพ่อบ้านเต็มตัวบ่นเจ้าบ้านที่กำลังนอนวาดรูปเล่นอยู่บนเตียง
"....ไปเที่ยวทะเลก็น่าสนนะชุน เคยคิดจะไปก็ไม่ได้ไปสักที" ปลายพู่กันลงสีน้ำเงินใส่แผ่นกระดาษชุนชะงักมือที่กำลังเก็บสารคำเชิญจากแคว้นเข้าลิ้นชักโต๊ะ
"ท่านจะไปตามคำเชิญหรือขอรับ" มนุษย์ที่อยู่ในพระราชวังน่ากลัวซะยิ่งกว่านักล่าสัตว์อสูรเสียอีก
"ทำไมข้าต้องไปด้วย ข้าหมายถึงไปเที่ยวทะเลที่แคว้นโจวต่างหาก"
คำพูดที่ไขข้อข้องใจจนมาหายสงสัยได้เมื่อตนเองและทุกคนในเรือนมายามายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมริมทะเลอย่างมึนงง เพราะจู่ๆเช้าวันต่อมาเมื่อทานอาหารเช้าเสร็จหลิ่งเฟยพูดชักชวนแกมบังคับให้ไปทะเลด้วยกันทุกคนไม่ให้ได้เตรียมตัวอะไรทั้งนั้น เฟิงหู่ที่ไม่อยากยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเข้าไปก่อนโดยที่ไม่สนใจหลิ่งเฟยขณะกำลังถามคนอื่นเรื่องห้องพัก
"ยินดีต้อนรับสู่โรงเตี๊ยมมิงขอรับ"เสี่ยวเอ้อตัวน้อยเข้ามาต้อนรับอย่างขยันขันแข็งก่อนจะยืนนิ่งเพราะบุรุษตรงหน้าดูแล้วไม่น่าใช่มนุษย์อย่างแน่นอนสีผมสีตาผิดมนุษย์เช่นนั้น สัตว์อสูรชั้นสูงหรือ...
ต้องรีบไปบอกเถ้าแก่
"ช่วยกรุณารอข้าไม่ถึงหนึ่งก้านธูปไม่ได้รึไงกัน!"ร่างชายที่สูงใหญ่และแผ่อำนาจบารมีถูกถีบกระเด็นออกไปจากจุดเดิม เสี่ยวเอ้อน้อยหลับตาแน่นไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"ขอห้องพักส่วนตัวสามห้องห้องสำหรับสองคนหนึ่งห้อง สำหรับสองคืน"น้ำเสียงของสตรีทำให้เสี่ยวเอ้อน้อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองเห็นเป็นเพียงแค่ใบหน้าครึ่งบนนอกนั้นถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอ แต่เสี่ยวเอ้อน้อยรู้ว่าสตรีผู้นี้ต้องเป็นคนที่สวยเอามากๆ
"รบกวนหน่อยนะ"
ไอ๋อั๋นกับถังอี๋เข้ามาทักเสี่ยวเอ้อที่ได้สติกลับคืนมาเต็มที่แล้วรีบพาทั้งสองไปลงชื่อและจ่ายเงินค่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้หรูหรามาก บรรดาแขกที่เข้ามาพักโรงเตี๊ยมแห่งนี้บางคนก็มองอย่างสนใจและมีบางคนตกใจไม่อยากเชื่อสายตาเพราะจำสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวในร่างมนุษย์ได้แต่ก็ไม่พูดออกไปให้ตื่นตูมไม่มีความจำเป็นต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวาย สิ่งที่ต้องทำคือเอาเรื่องที่พบเห็นในวันนี้ไปบอกแก่ฮ่องเต้ที่แคว้นหยิ่ง
คลื่นน้ำทะเลซัดเข้ามาหาฝั่งถังอี๋สัมผัสน้ำทะเลสีสวยไอ๋อั๋นยื่นอาหารทะเลเสียบไม้ที่ขายตามข้างทางให้พี่ชาย
"ที่นี่คือบ้านเกิดของท่านแม่สินะ" เสียงของคลื่นทะเลทำให้ถังอี๋รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าแปลกราวกำลังฟังเสียงที่อ่อนโยนปลอบจิตใจที่บอบชำจากเรื่องในตอนเด็ก ไอ๋อั๋นไม่ตอบกินไม้เสียบเนื้อสัตว์ทะเลนั่งเป็นเพื่อนถังอี๋
"เอ้า หมดเวลาเศร้าแล้วไปเล่นน้ำกันทั้งคู่ซะ"
หลิ่งเฟยที่เป็นคนพาทุกคนมาเที่ยวทะเลโยนสองฝาแฝดลงไปในน้ำถังอี๋โผล่หัวขึ้นมาตะโกนใส่ ไอ๋อั๋นไอสำลักน้ำทะเลที่เค็มยิ่งกว่าเกลือปรุงอาหารออกมาก่อนทั้งคู่จะถูกคลื่นทะเลที่เกิดจากการควบคุมของหลิ่งเฟยซัดเข้าให้
เฟิงหู่นอนหลบแดดใต้ร่มในขณะที่ชุนผู้มักน้อยพอใจกับบรรยากาศเอากับแกล้มสุรามาวางไว้แล้วไปนั่งเว้นระยะห่างอย่างพอเหมาะ
"ขี้โกงนี่นาหลิ่งเฟยแน่จริงทำไมท่านไม่ลากท่านเฟิงหู่กับพี่ชุนมาด้วยละ!!" ถังอี๋ตะโกนกล่าวอย่างไม่เป็นธรรมเสียงดังเจ้าของนามสะดุ้งตัวเมื่อถูกพาดพิง คนพาเล่นตาเป็นประกายก่อนที่ทั้งคู่จะถูกจับโยนลงน้ำ เฟิงหู่ผู้ขี้เกียจเล่นน้ำนอนลอยคอแหงนหน้าดูแสงอาทิตย์บนฟ้าไปเรื่อยๆ ชุนเล่นเพียงเล็กน้อยก่อนจะขอตัวขึ้นไปก่อน
ตลาดท่าเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลาย มีทั้งคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลายแปลก คนผิวคล้ำเหมือนน้ำบอระเพ็ด ถังอี๋ไอ๋อั๋นมองบรรยากาศครึกครื้นจากผู้คนพวกเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกับตนเองหลิ่งเฟยให้ถุงเงินทั้งคู่ไปเดินเล่น ซื้อของที่อยากได้ถังอี๋ที่เห็นคนตัวสูงแต่งตัวฉูดฉาดแต่ไกลรีบพาน้องชายฝาแฝดไปตรงนั้นทันที
"ท่านไม่สนใจไปเดินดูหน่อยเลยเหรอท่านเฟิงหู่"
"มันไม่มีอะไรให้น่าสนนะสิ" ถึงจะพูดแบบนั้นก็ส่องสายตามองบรรยากาศคึกคักด้วยความอยากรู้ไม่น้อย ถังอี๋ไอ๋อั๋นทั้งสองไปดูโชว์จากแดนตะวันตกส่วนชุนแค่มาถึงหน้าตลาดก็ขอกลับไปที่โรงเตี๊ยม คนที่บอกว่าไม่มีอะไรให้น่าสนไม่นานนักก็เดินหายไปในกลุ่มคนซึ่งหลิ่งเฟยดมจากกลิ่นตามตัวสัตว์เทพอสูรซึ่งทางที่เฟิงหู่ไปมีแต่กลิ่นของเหล้าเป็นส่วนใหญ่คงได้แต่หวังว่าเฟิงหู่จะไม่กวาดซื้อจนเงินหมด
"ท่านดูไม่สนุกเลยนะแม่หญิง"ชายคนหนึ่งเข้ามาทักหลิ่งเฟยหันไปมองดูแล้วเหมือนไม่ใช่คนยุทธภพนี้ เหมือนเป็นคนชาติอื่นที่สวมใส่ชุดคนที่นี่มากกว่าเป็นชายที่มีผิวสีน้ำผึ้งหน้าคม แววตาดูล้ำลึกสัญชาตญาณในร่างกายเต้นไม่เป็นจังหวะราวกับได้เจอกับคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
"ก็ไม่นะ ข้าก็เดินดูไปเรื่อยๆแล้วท่านละท่านเป็นพ่อค้าจากแดนไหนหรือ" น่าแปลกที่เหมือนรู้จักคนๆนี้ ความรู้สึกในใจกำลังรู้สึกไม่ดี เศร้า เสียใจ ชายแปลกหน้ามองหน้าสตรีที่ตัวเองทักก่อนจะชวนไปที่ร้านอาหารของชาติตะวันตกที่หนึ่ง
"อร่อยจัง ขอบคุณที่พามาร้านนี้นะ เออ...ข้ายังไม่รู้ชื่อของท่านเลย"หลิ่งเฟยที่ลองตามชายแปลกหน้ามากินร้านอาหารเครื่องเทศจากแดนตะวันออกเอ่ยถามนาม ชายแปลกตายิ้มอ่อนแต่สายตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามเลย ไม่ได้มีท่าทีที่หลงใหลใบหน้าอันงดงามของตนเอง
"ข้าเป็นแค่คนแปลกหน้า แม่หญิงไม่จำเป็นต้องรู้จักข้าหรอก" หลิ่งเฟยตักแกงเข้าปากมองคนประหลาดที่ชวนตัวเองมากินอาหาร แล้วไม่คิดจะแนะนำชื่อ
"ถ้าท่านกล่าวแบบนี้ก็เอาตามที่ท่านพูดแล้วกัน" ผู้ชายคนนี้มีความแค้นอะไรเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางรึเปล่าหว่า เห็นท่านจิ้งจอกบอกว่าตัวเองก็สร้างเรื่องไปทั่วด้วยนะสิ...แต่ผ่านมาพันปีแล้วใครคิดแค้นได้นานขนาดนี้
แม้ว่าจะเป็นคนที่แปลกแต่ไม่ได้มีจิตสังหารมุ่งร้าย มีเพียงแค่ความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ออกมาจากคนๆนี่ แต่ถึงจะเป็นทหาร หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากที่ไหนก็ตามหลิ่งเฟยตัดสินใจว่าจะไม่ถามก่อนจะขอสั่งอาหารรายการอื่นมาเพิ่มอีกเพื่อเลี้ยงให้กับคนที่แนะนำร้านอาหารร้านนี้ให้ตนเองได้รู้จัก
แคว้นโจวเป็นแคว้นที่อยู่ติดกับมหาสมุทรมีเรือมากมายมาเทียบท่าเพื่อติดต่อซื้อขายของต่างถิ่น หลิ่งเฟยฟังชายปริศนาพูดถึงดินแดนแห่งอื่นมากมายที่มายังยุทธภพนี่ราวกับเป็นนิทาน ตำนานก่อนนอนแต่ในขณะเดียวกันมันก็น่าสนใจมากอย่างเรื่องสัตว์ประหลาดที่มีหลายหัว พ่นไฟออกมาตลอดเวลาเพื่อปกป้องขนแกะทองคำของจักรพรรดิองค์หนึ่ง จนอาหารหมดโต๊ะแล้วชายแปลกหน้าจะจ่ายเงินให้หลิ่งเฟยขอปฏิเสธทันทีเพราะแค่ชวนมาร้านอาหารต่างชาติก็แปลกอยู่แล้ว จะมาจ่ายเงินให้อีกก็แปลกเข้าไปอีก
"ขอบคุณที่มาส่งข้าท่านชายแปลกหน้า"
"ให้สตรีเดินกลับมาที่โรงเตี๊ยมคนเดียวในเวลากลางคืนข้าว่ามันอันตรายเกินไป ป่านนี้แล้วคนที่ท่านพามาด้วยคงจะเป็นห่วง" ตาจ้องมองคนเดินมาส่งจับความผิดสังเกตแต่เขายังทำตัวสงบไม่มีจิตมุ่งร้ายหรือปรารถนาใดๆ แต่
"ข้าไม่เคยพูดว่ามากับใครแต่ท่านกลับพูดเหมือนรู้จักข้า" หลิ่งเฟยที่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีพูดตอกกลับชายแปลกหน้าไม่แสดงอารมณ์ บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดมีเพียงแค่เสียงของคลื่นทะเลซัดเข้าฝั่งกับเสียงผู้คนจากตลาดท่าเรือเบาๆ ปกติสตรีทั่วไปควรจะกลัวและถ้าเป็นตนเองเมื่อชาติก่อนก็คงจะกลัวเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้
แต่ตอนนี้ข้ามีพลัง อำนาจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าย่อมชนะแน่นอน
".....ข้าเห็นท่านตั้งแต่เล่นน้ำทะเลแล้วแม่หญิง ข้าขอตัว"ชายแปลกหน้าที่น่าสงสัยก้มหัวให้ก่อนหันหลังเดินจากไป
"ข้าชื่อหลิ่งเฟยครั้งหน้าที่เจอกันช่วยบอกชื่อของท่านด้วยนะคุณชายแปลกหน้า" ชายแปลกหยุดเดินก้าวหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเดินจากไปหลิ่งเฟยมองจนลับสายตาด้วยความรู้สึกผิดที่มันน่าแปลกเพราะตนเองมั่นใจว่าไม่เคยเจอคนนี้
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าชาวต่างถิ่นเดินสวนทางไปมาอย่างครึกครืน บางคนที่พอจะพูดภาษาของยุทธภพนี้ได้ก็พูดเรียกลูกค้าเข้ามาชม ตัวตลกโยนบอลขึ้นไปและแกล้งทำเป็นพลาดให้ตกใส่หน้าผู้คนหัวเราะ ผู้คนยิ้มแย้มที่ได้ขายของนัยน์ตาสีดำมองภาพตรงหน้าอย่างไร้อามรณ์ เขาเข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงยิ้มหัวเราะ เข้าใจว่าทำไมตัวตลกตัวนั้นถึงทำเป็นโยนพลาดเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น
แต่มันช่างว่างเปล่าเมื่อเทียบกับสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในตอนนี้แล้ว
"หลิ่งเฟย สายลมที่พัดโชยงั้นหรือ..."
ความคิดเห็น