คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เด็กก็ยังเป็นเด็ก(รีไรท์)
ข้ากลับมาที่เรือนมายาในตอนมืดค่ำ
เรื่องการรับเด็กสองคนมาดูแลคงไว้คุยในวันพรุ่งนี่ ชุนเดินออกมารับที่หน้าประตูก่อนจะไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงราวกับพี่ชายที่กลัวน้องสาวจะถูกจับได้ว่าเป็นสัตว์เทพอสูร
ข้าตอบไปเป็นกลางว่าได้เจอเรื่องที่ดีและไม่ดี
เรื่องที่ดีคือข้าได้ออกมาเดินตลาดเจอพ่อค้าแม่ค้าอารมณ์ดี
แถมยังได้ปิ่นปักผมชิ้นแรกที่ซื้อด้วยกำลังเงินของตนเอง
ส่วนเรื่องที่ไม่ดีคือข้ากำลังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาเรื่องส่วนตัวโดยที่ไม่ตั้งใจรู้ตัวอีกทีก็จะเด็กสองคนมาดูแลซะแล้วแต่ข้อหลังข้ายังคงไม่บอก
ชุนก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก ก่อนจะได้รับขนมเป็นของฝาก
“เมื่อวานตอนที่ข้าได้ไปที่เมืองตาหลั่งข้าได้เจอสตรีนางหนึ่งนางมีครอบครัว”
พอมื้อเช้ามาถึงข้าพูดเข้าเรื่องของท่านหมอทันที
ชุนทำหน้าสงสัยเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วถามต่อว่า นางเป็นคนเช่นไรหรือขอรับ
อา...ออร่าความเป็นพี่ชายที่ดีนี้มันอะไรกันเห็นแล้วอยากจะเข้าไปกอดแล้วเรียกเขาว่าพี่ชุนจริงๆแต่นั่นก็ได้แค่คิดแหละความเป็นจริงคือข้ากำลังทานมื้อเช้าพร้อมกับชุนด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน
“นางเป็นหมอรักษาคนและนางอยากให้ข้ารับบุตรชายของนางที่เป็นฝาแฝดมาดูแล”
“เพราะเหตุใดกันหรือขอรับ?”
ในน้ำเสียงไม่ความรู้สึกขุ่นเคือง มีแต่ความสงสัยจริงๆ
จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของชุนทำให้ข้ารู้สึกว่าความคิดที่อยากจะกลับคำพูดเมื่อวานดูเป็นความคิดที่เลวร้ายทันที
“ข้าไม่รู้หรอก นางแค่ต้องการความปลอดภัยของบุตรชายตนเองเท่านั้น
ข้าไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ด้วย”
“หมายความว่าชีวิตของนางถูกปองร้ายหรือขอรับ”
ปองร้ายนั้นมันก็น่าคิด
แต่หากถูกร้ายอยู่ฝ่ายเดียวท่านหมอก็ไม่น่าจะทำหน้าใคร่ครวญรำลึกความหลังและรู้สึกกับพ่อค้าฮง
เดาว่านางน่าจะติดค้างอะไรสักอย่างกับใครบางคนแล้วคนๆนั้นก็มาทวงสิ่งที่ติดค้าง
“เดาว่าเป็นเช่นนั้นแต่นางเต็มใจที่จะให้เป็นแบบนั้นเอง
ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าตกใจเมื่อจู่ๆจะมีเด็กมนุษย์สองคนเข้ามาอยู่ในเรือนมายาแต่หากเจ้าไม่อยากให้พวกเขามาอยู่ด้วย
ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
"ไม่ใช่แบบนั้นนะขอรับ
ข้าแค่แปลกใจกับความซับซ้อนของเรื่องนี้เฉยๆ ข้าไม่เคยเกลียดชังมนุษย์แต่ข้าแค่ระแวงเพราะว่า...มนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่าย"
โอ
ข้าไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้เลยลืมไปสนิทว่าชุนเป็นคนดีมากแค่ไหน
ขนาดเคยถูกมนุษย์ไล่ล่าจนบาดเจ็บสาหัสวันไหนที่มีมนุษย์ชาวบ้านธรรมดาหลงเข้ามาในป่าลึกชุนก็มักจะจะเดินไปมาพยายามพาพวกเขาออกไปจากป่าที่อันตราย
แม้จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์อสูรที่น่ากลัวเรื่องนี้ทำให้ข้าตลกไม่น้อยแต่ก็แค่ยิ้มแล้วให้ความร่วมมือในการพาพวกเขาออกไป
“ตะ
แต่หากท่านจะรับบุตรของหมอผู้นั้นมาดูแลข้าก็ยินดีจะช่วยเพราะว่านั้นคือหน้าที่ของข้าในฐานะผู้รับใช้”
น่ารักไปแล้ว!! อา
ผลบุญที่เคยทำไว้เมื่อชาติก่อนมันมาส่งให้ข้ามาเจอผู้ชายที่ดีอย่างชุนหรือไงกันดูใบหน้างามที่ดูราวกับผู้ชายผู้บอบบาง
แต่ความเป็นพี่ชาย
พ่อบ้านมาเต็มเปี่ยมสิข้ายังไม่ได้บังคับหรือพูดให้ชุนคล้อยตามแต่เขาก็ยังเต็มใจที่จะดูแลเด็กสองคนนั้น
"นั้นสินะ
ถ้าอย่างนั้นเมื่อวันนั้นมาถึงทั้งข้าและเจ้าจะต้องสั่งสอนอบรมให้พวกเขาเป็นคนดีนะชุน"
ความเจิดจ้าในรอยยิ้มที่อ่อนโยนสัตว์อสูรนกกระเรียนสีทองสาบานในใจว่าจะรับใช้ดูแลคนผู้นี้ไปตลอดชีวิต
นางเป็นสัตว์เทพอสูรที่แปลกมากแม้ไม่เคยพบเจอกับสัตว์เทพอสูรแต่นางก็ยังแปลกอยู่ดี
นางมีอำนาจแต่นางไม่เคยใช้มัน ไม่เคยถือตัวว่าสูงส่งกว่าตนเองซ้ำบางครั้งยังทำตัวไร้เดียงสาราวกับเด็กจนยังเคยเผลอลืมไปเลยว่า
ท่านหลิ่งเฟยคือสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง
สามวันต่อมาข้าไปหาหมอฮวาที่บ้านทันที
โดยแต่งกายแบบเมื่อครั้งที่แล้วเมื่อมาถึงบ้านของหมอหญิงฮวา
ข้าเห็นเด็กผู้ชายสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันจนยากจะแยกออกว่าใครเป็นใคร
แต่นั่นก็รู้ทันทีว่านั้นคือลูกของหมอฮวาเด็กทั้งสองคนหันมามองข้าด้วยความสงสัยที่มีคนแต่งตัวแบบจอมยุทธ์สวมหมวกปิดบังใบหน้ามาอยู่มองพวกเขา
“ท่านแม่ขอรับ
มีคนไข้มาขอรักษาแล้วขอรับ” คนหนึ่งขึ้นพูดพลางชี้มา
นี่ข้าดูเหมือนคนป่วยงั้นหรือ สงสัยทั้งสองคนจะคิดว่าผู้จะมาที่บ้านตนเองนั่นต้องมีแต่คนป่วยเท่านั้นละมั้ง
ท่านหมอฮวาหันหน้ามามองก่อนจะยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่มองแล้วหนักใจเป็นอย่างมากก่อนที่นางจะจูงมือเด็กสองคนมาทำความรู้จักกับข้า
“ถังอี๋
ไอ๋อันท่านผู้นี่คือ...ท่านหลิ่งเฟยเป็นสหายของแม่”
ท่านอย่ามาทำหน้าเกรงใจ
ยิ้มแห้งให้ข้าแบบนั้นนะท่านหมอ
เดียวเด็กก็จับผิดสังเกตได้หรอกแค่คำว่าสหายมันไม่ได้หนักหนาหรอกนะ
“คารวะ!!ท่านหลิ่งเฟยข้าชู ถังอี๋”เด็กชายที่ท่าทางร่าเริงพูดเสียงดัง
คำว่าคารวะเขาไม่ได้ให้ใช้กับผู้ที่เคารพหรือคนที่เป็นอาจารย์หรือ
“ข้าไอ๋อั๋นขอรับ”
ตามด้วยคนที่มีท่าทางนบน้อมกว่า
พูดแนะนำตัวเองเด็กทั้งสองคนพยายามจะมองใบหน้าใต้หมวกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่พวกเขาแสดงอาการชัดเจนมากเกินไปเลยถูกท่านหมอส่งเสียงเตือนเบาๆ
“ข้าชื่อหลิ่งเฟย
ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ”
ทำจะถูกตำหนิจากท่านหมอมาแล้วแต่เด็กคนที่ชื่อถังอี๋ยังลุกลี้ลุกลนจนในที่สุดก็ได้คำเตือนจากคุณแม่
ด้วยการถูกจับหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่สื่อว่า หยุดเสียมารยาทได้แล้ว
จะที่ไหนๆถ้าสตรีขึ้นคำว่าแม่ยอมน่ากลัวกว่าสตรีทั่วไปจริงๆ
'แบน'
ถึงจะไม่มีเสียงออกมาจากปากคนที่ชื่อถังอี๋
แต่การขยับปากและสายตาที่มองราวกับกำลังประเมินแบบนั้นข้าเคยเจอมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่เด็กๆคงจะรู้ว่าข้าเป็นสตรีจากน้ำเสียง
แต่การที่มาวิจารณ์รูปร่างของข้าแล้วยังขยับปากพูดเหมือนจงใจบอกข้าอยากจะตบหัวเด็กคนนี้สักทีหนึ่งจริงๆ
รู้เลยว่าโตไปต้องตามรอยพ่อตัวเองแน่ๆ...เจ้าเด็กแก่แดด!
“ถังอี๋ ไอ๋อั๋น
พวกเจ้าไปก่อนเถอะนะ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าต้องสายแล้วแน่ๆ”
หมอฮวาลูบหัวเด็กทั้งสองคน
ถังอี้และไอ๋อันพยักหน้าอย่างรู้ความ
ก่อนที่ไอเด็กที่มันวิจารณ์หุ่นข้าจูงมืออีกคนวิ่งออกไปทันที
เป็นฝาแฝดที่นิสัยต่างกันสินะ
“ลูกของท่านเนี่ยหน้าตาเหมือนกันแท้ๆแต่นิสัยนี่ช่างแตกต่างกันเหลือเกินนะ”
“เจ้าค่ะ
แต่ทั้งสองคนซนมากเลยนะเจ้าคะ ยิ่งถังอี๋ชอบหาเรื่องให้เจ็บตัวบ่อยๆ
ไอ๋อั๋นถึงมักจะชอบอ่านตำรายิ่งตำราการแพทย์ก็ด้วยแต่ทั้งคู่ก็มักจะชอบเข้าป่าทำให้ข้าใจหายตั้งหลายครั้ง”
ท่านกำลังสื่อว่าเด็กสองคนนี้แม้จะดูแตกต่างแต่ความจริงคือพวกเขาซนยิ่งกว่าลิงภูเขาถูกหรือไม่...
ท่านหมอพาข้าเข้าไปในบ้านจึงได้เจอกับพ่อค้าฮงที่กำลังรดน้ำดูแลสวนสมุนไพรพอดี
ด้วยความว่างที่มีอยู่แล้วธุระวันนี้ก็แค่มาเอาตำราเลยอาสาช่วยงานสองสามีภรรยา
ถึงทั้งคู่จะเกรงใจแต่เมื่อเจอรอยยิ้มที่อ่อนโยนของข้าคนนี้เข้าไปพวกเขาก็ได้แต่บอกว่า
หากไม่สะดวกตรงไหนสามารถบอกพวกเขาได้ตลอด
ตอนเช้าก็ช่วยพ่อค้าฮงดูแลสมุนไพรพอเลยเที่ยงก็ช่วยท่านหมอตรวจคนไข้และจ่ายยาไปตามความเหมาะสมคนป่วยส่วนใหญ่ก็แค่เจ็บป่วยทั่วๆไป
ไม่ปวดตามร่างกายที่ต้องทำงานอย่างหนักตามภาษาของคนที่เป็นชาวบ้าน ก็เป็นไข้
ปวดหัว
มีหลายคนที่สงสัยว่าข้าเป็นใครเพราะข้าสวมหมวกปิดบังตลอดขนาดอยู่ในบ้านแต่ก็ได้ท่านหมอช่วยกลบเกลื่อนว่าข้าเป็นจอมยุทธ์ต่างถิ่น
ที่มาอาศัยอยู่ด้วยเวลามาเมืองนี้
และข้าก็ต้องแปลกใจเข้าไปอีกเพราะทุกคนเชื่อกันหมดไม่มีใครสงสัยซ้ำยังแนะนำโรงน้ำชา
สถานที่ที่น่าไปให้ด้วย แต่ความจริงคือข้าได้ไปมาหมดแล้วไง
จนกระทั่งเมื่อยามอิ่ว(17.00-
18.59 )มาถึงถังอี๋และไอ๋อั๋นก็กลับมาพร้อมกับคำพูดเสียงดัง
ว่ากลับมาแล้ว รู้เลยว่าเป็นถังอี๋แน่นอน
ตอนนี้ยังมีคนป่วยมารักษาอยู่หมอฮวาบ้างแต่ก็มีน้อยอยู่ ด้วยความที่อยากรู้นิสัยใจคอของเด็กสองคนนี้ข้าเลยขอออกมานั่งเล่นตรงหลังบ้านท่านหมอก็รู้ทันเลยให้เด็กทั้งสองพาข้าไปเหมือนกลัวข้าหลงทาง
พอมาถึงข้าก็เลือกที่นั่งเป็นใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วเปิดตำราสมุนไพรมาอ่านดู
ถังอี๋หยิบกระบี่ไม้มาซ้อมฟันอากาศส่วนไอ๋อั๋นเขาดูเงียบๆ นั่งมองแฝดคนพี่ซ้อมไปเขียนหนังสือทบทวนความรู้จากโรงเรียนไป
“ท่านหลิ่งเฟยขอรับ
ท่านเป็นหมอหรือขอรับ”
ไอ๋อั๋นเดินเข้ามาถามข้าเหมือนว่าเขาจะทบทวนหมดแล้วเด็ก 5 ขวบใบหน้าที่นุ่มนิ่ม คิ้วที่โก่งเรียวสวยตามคนเป็นแม่
ผมออกหยักศรเล็กน้อยเหมือนพ่อสายตาที่ดูเหมือนจะเป็นคนขี้เกรงใจแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้อยากเห็นกำลังมองที่ข้าเพื่อรอคำตอบ
“เคยเป็นนะ”
ข้าปิดหน้าตำราแล้วมานั่งจ้องหน้าเด็กน้อยที่นั่งคุกเข่าเหมือนว่าทำอะไรผิดมา
ไม่ค่อยเข้าใจประเพณีการคุกเข่าของที่นี้เท่าไหร่เลยแฮะ
ถึงแม้จะเคยเห็นมาจากในนิยาย หรือละครบ้างก็เถอะ
“ทำไมถึงเคยเป็นละขอรับ”
เด็กน้อยผู้ไม่เข้าใจเอียงคอถาม
ข้าลูบหัวเมื่อมาคิดถึงเหตุผลที่ข้าเคยเป็นหมอ
“....เพราะว่าข้าไม่ได้มีความจำเป็นมีหน้าที่ที่ต้องทำอาชีพนี่ละมั้ง”
“ขอรับ?”
“ท่านหลิ่งเฟยขอรับท่านเป็นสตรีจริงๆหรือขอรับ”
ถังอี๋เดินมาร่วมวงสนทนาด้วย
ถามคำถามจนไอ๋อั๋นต้องทำหน้าขอโทษแทนให้ส่วนข้าก็ยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรแต่ในใจก็คิดแค้นเอาไว้แล้ว
“เจ้านั่งพักก่อนเถอะถังอี๋”
ถังอี๋กล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งลงข้างตัว
ข้ามองเด็กแก่แดดที่ถือวิสาสะมานั่งข้างๆ บอกให้นั่งลงก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมานั่งใกล้ขนาดนี้นะ
แต่เพื่อตอบข้อสงสัยให้ข้าถอดหมวกออกเผยให้พวกเขาได้เห็นใบหน้าให้ชัดเจนว่าข้าเป็นบุรุษหรือสตรี
ปฏิกิริยาตอบรับก็อย่างที่คาดเอาไว้ทั้งสองคนหน้าแดงมองตาค้าง
ก่อนที่ถังอี๋จะหันหน้าหนีเก็บอาการเขิน
“ข้าเป็นสตรีนั่นแหละ
หายข้องใจหรือยัง”
“ท่านเป็นสหายกับท่านแม่ได้เช่นไรหรือขอรับ”คราวนี้เป็นไอ๋อั๋นถามบ้าง ตัวเขาเองไม่เคยเห็นว่าแม่ของเขาจะพาแขกมาที่บ้านหรือมีแขกมาที่บ้านเลย
นับว่าเป็นเรื่องแปลก
“ข้าได้รู้จักพ่อพวกเจ้าก่อนนะแล้วถึงจะรู้จักแม่ของพวกเจ้า”
“ท่านอายุเท่าไรหรือขอรับ?”
ถังอี๋ถามต่อเหมือนกำลังถูกสัมภาษณ์เลย
แต่คำถามนี่ก็น่าสนอายุจิตใจข้าก็ประมาณ 40 แต่ถ้านับตั้งแต่ที่ได้เกิดใหม่ก็ 10
ปี ต้องขอบคุณระดับลมปราณที่ช่วยทำให้ร่างนี้เจริญเติบโตเป็นร่างช่วงอายุวัยรุ่นทำให้ไม่มีปัญหาเวลาจะทำอะไรเพราะวัยรุ่นถือว่าเป็นวัยอยากรู้อยากลอง
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าอายุเท่าไรล่ะ”
" 16 ปี"
ถังอี๋ตอบห้วนๆใส่ทันที
อย่างไร้มารยาทข้าที่ไม่อยากจะโดนคนอื่นพูดใส่ว่ารังแกเด็กเลยยังคงรอยยิ้มไว้อยู่
ไม่ลงมือตบหัวเจ้าเด็กนี้
“ข้าคิดว่าเอ่อ.....
ท่านอายุเท่าไรหรือขอรับ”ไอ๋อั๋นเหมือนนึกอะไรบ้างออก
ถึงถามอีกครั้งหนึ่ง
คนนี้คิดก่อนพูดแถมยังรู้จักช่างสังเกตด้วย
น่าจะรู้เรื่องลมปราณมาจากท่านหมอ
“ข้าอายุ16 ปีแล้วละ แต่แค่ภายนอกนะ”
คำตอบกำกวมทำให้ใบหน้าของเด็กทั้งสองคนสงสัยหนักกว่าเดิม
ตอนแรกคิดจะตอบไปว่าอายุ 40 ให้เด็กทั้งสองรู้สึกว่าตนเองอายุมากกว่ามากพวกเขาจะได้เคารพ
แต่คิดอีกทีก็ไม่ดีกว่าอายุ 16 เนี่ยแหละกำลังสวยใช่ได้
“ข้าไม่เข้าใจไอ๋อั๋นบอกข้าทีว่านี่หมายความว่าอะไร” ถังอี๋ผู้ที่ไม่เข้าใจความหมายหันไปถามแฝดคนน้อง
“ท่านหลิ่งเฟยคงจะมีอายุมากกว่า 16 ปี เพราะเป็นผู้ใช้ลมปราณเพราะฉะนั้นท่านคงจะอายุเท่าๆกับท่านแม่ที่อายุ 40 ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ประมาณนั้น”ขอบใจที่ช่วยตอกย้ำอายุจริงๆของข้านะ....
“....ข้าขอตัวไปฝึกต่อขอรับ”
แต่พอได้รู้อายุจริงถังอี๋ก็พูดสุภาพมากขึ้น
ข้ามองเจ้าเด็กแก่แดดหยิบกระบี่ไม้ออกไปซ้อมเด็กนั้นทำหน้าที่จริงจังเกินเด็กด้วย
สงสัยคงกำลังรู้สึกไม่ดีที่พูดจาไม่สุภาพใส่คนอายุมาก
“ข้าก็ขอตัวไปอ่านตำราก่อนนะขอรับ”
ไอ๋อั๋นเองก็ลุกขึ้นก่อนจะโค้งตัวแล้วเดินตามถังอี๋ไปในทันที
พอไม่มีใครให้คุยด้วยข้าหยิบตำราขึ้นมาอ่านต่อ
แต่ครั้งนี้หูก็แอบฟังเด็กทั้งสองคุยกันเพราะอยากรู้ว่าเวลาเด็กผู้ชายคุยกันจะเป็นเรื่องแบบไหนนะ
ผจญภัย?หรือว่า ทหารที่ชื่นชอบ
‘ข้ามิเชื่อหรอกว่านางจะอายุ 40 ‘
‘แต่ถังอี๋ ท่านแม่เรียกท่านหลิ่งเฟยว่าท่านทั้งๆที่เป็นสหายกันแสดงว่าบางทีฐานะของท่านหลิ่งเฟยอาจจะสูงกว่าไม่ก็อายุมากกว่านะ’
‘ข้าไม่เชื่อหรอก
ท่านพ่อบอกข้าว่าหากอยากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนอายุมากจริงๆ ให้ดูที่หน้าอก
ยิ่งอายุเยอะ หน้าอกก็จะใหญ่ตาม’
ชู
ฮงฮงเจ้าสอนอะไรให้เด็กเนี่ย...ข้าต้องเอาหน้าฟุบลงไปกับตำราเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดออกไปเกิดมาก็พึ่งเคยมาได้ยินความเชื่อแบบนี้
ถ้าหากเป็นจริง งั้นสตรีที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปจะใหญ่ขนาดไหนกัน เด็กน้อเด็ก
ไม่สิขนาดตอนเด็กเรายังเคยถูกสอนเลยว่าห้ามเคาะตะเกียบเล่นไม่อยากนั้นจะเป็นการเรียกผี
แต่อันนี้มันค่อนข้างจะตลกเกินไปหน่อยแล้ว
‘ไม่ใช่หรอกนะถังอี๋
เรื่องหน้าอกนะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนนะ
เรื่องที่ท่านพ่อบอกเจ้านะไม่จริงหรอก’
‘ถ้าเช่นนั้นทำไมของท่านแม่จึงมีขนาดใหญ่ละ ‘
‘ เพราะว่าท่านแม่มีพวกเราไงละ
ตอนที่พวกเรายังเด็กจำเป็นต้องอาศัยนมท่านแม่เป็นอาหาร
เรื่องนี่ท่านแม่ก็เคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ’
‘แสดงว่าท่านหลิ่งเฟยก็ยังไม่มีลูก
หากไม่มีลูกก็คงยังไม่มีสามีสินะ’
ทำไมข้ารู้สึกเหมือนโดนหลอกด่า
ท่านพ่อค้าฮงสอนบ้าอะไรให้เด็กพวกนี้ไปละเนี่ย
ว่าแต่ทำไมต้องมาสนใจเรื่องที่ข้าจะมีสามีหรือไม่มีสามีด้วย มือปิดตำราลงไปก่อนจะตั้งใจฟังคำพูดสนทนาของคู่ฝาแฝดที่ทั้งน่าสนใจและตลกยิ่งกว่าเรื่องตลกที่อื่น
‘ถ้าเช่นนั้นเมื่อข้าโตขึ้นข้าจะไปขอนางมาเป็นภรรยาข้า’
เป็นความคิดที่น่ารักสมวัยจริงๆ
ลืมไปได้ยังว่าสองคนนี้อายุแค่ 5 ขวบ
การที่อยากจะแต่งงานกับคนหน้าตาที่ดีที่พึ่งเจอกันวันแรกก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก
ขนาดเรายังเคยวาดฝันว่าจะได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปหล่อในนิทานเลย
‘ถังอี๋เจ้าพูดอะไรก็หัดคิดหน่อยเถอะนะ
พวกเราพึ่งเจอนางวันนี่เองนะ
แถมกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ตอนนั้นนางก็อาจจะมีครอบครัวไปแล้วด้วย
และพวกเราเองก็ยังไม่รู้จักนางดีเลยนะ’
‘ฮึ
เจ้าชอบพูดขัดข้าอยู่เรื่อย’
ไอ๋อั๋นพูดความเป็นจริงต่างหากเล่า
พอเข้าใจได้คร่าวๆแล้วถังอี๋แฝดคนพี่มีนิสัยใจร้อน
ชอบใช้กำลัง...ชอบเล่นแบบที่เด็กผู้ชายทั่วไปชอบเล่นและพูดก่อนคิด
แต่ไอ๋อั๋นแฝดคนน้องเป็นคนใจเย็น มีสติช่างสังเกต
นี่มันอย่างกับน้ำร้อนกับน้ำเย็นเลย
‘แต่หากนางยังไม่มีสามีจริง
ข้าก็คิดว่าไปสู่ขอนางเป็นภรรยาด้วยเช่นกัน’
แต่ถึงแม้ไอ๋อั๋นจะเป็นคนที่ฉลาด
แต่เขาก็ยังเป็นเด็กเหมือนกันอยู่ดี
เอาเถอะนี่เป็นแค่ความฝันในวัยเด็กที่คิดอยากจะแต่งงานกับคนนู้นคนนี้เดียวพอโตไปได้เจอคนที่สมควรเป็นแม่ของลูกหรือคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปเอง
เวลาผ่านไปจวบจนพ่อค้าฮงออกมาตามให้เด็กทั้งสองคนมากินข้าวและเชิญข้าให้ไปทานข้าวด้วยกัน
ข้าไม่อยากปฏิเสธน้ำใจที่พ่อค้ากับหมอฮวาแถมพวกเขายังบอกว่านี่คือการตอบแทนที่ตนเองได้รบกวนข้า
คำนี้ทำให้รู้แล้วว่าท่านหมอบอกกับพ่อค้าฮงแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไป
ข้าจึงตอบตกลง
มื้ออาหารก็นับว่าผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับข้านะน่ะ
เพราะถังอี๋เองเอาแต่คีบเนื้อมากินจนกระทั่งแย่งของไอ๋อั๋น ของข้าก็ด้วย
หมอฮวาจึงตำหนิทันทีด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะไปทางโมโห บอกให้กินผักบ้าง
บ่นเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารบางส่วนพ่อค้าฮงเหมือนจะกลัวหมอฮวาอยู่หน่อยๆจึงไม่พูดอะไรเลยรับประทานอย่างเรียบร้อยไม่พูดจา
ผ่านไปสักพัก
พ่อค้าฮงก็เหมือนอยากจะเอาใจหมอฮวาจึงคีบเนื้อให้หมอฮวาแต่โดนถังอี๋แย่งชิงไปคีบให้ก่อนเลยเกิดศึกเอาใจท่านหมอหญิง
หมอฮวาก็ไม่ห้ามคู่นี้นางบอกว่าพวกเขาเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว
จนกระทั่งถังอี๋ถามพ่อค้าฮงเรื่องหน้าอกของผู้หญิงที่จะใหญ่ขึ้นตามอายุเนี่ยแหละ
เล่นเอาโต๊ะอาหารแทบลุกเป็นไฟกันเลยทีเดียว
ส่วนข้าก็กลั้นขำไม่รู้ไม่ชี้ทานอยู่อย่างเงียบๆ
ก่อนจะขอตัวกลับเรือนมายาในเวลาต่อมาพร้อมกับตำราหลายเล่มที่หมอฮวาเตรียมไว้ให้
ก่อนที่จะได้ยินเสียงหมอฮวาจะเรียกพ่อลูกคู่แสบมาคุยกันให้รู้เรื่องดังออกมาจากบ้าน
ความคิดเห็น