ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #3 : ขายหน้าไหมละ(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 64


    เวลาผ่านไป 10 ปี สำหรับหลิ่งเฟยมันคือ 40 ปีที่มีความทรงจำทั้งชาตินี่และชาติก่อน ร่างมนุษย์สาวอายุราวๆ16 ปี นั่งมองวิวผ่านหน้าต่างชั้นสามที่ตนเองนั่นได้ให้ฝูงวานรลายเถาวัลย์เสริมสร้างให้อีกครั้ง ก่อนจะตอบแทนด้วยการมอบสมุนไพรที่ตนเองได้ปลูกเอาไว้รอบๆเรือนพร้อมกับดอกไม้ต่างๆ ที่เอาไว้ทั้งประดับและเอามาทำเป็นยา ให้แก่ฝูงวานรลายเถาวัลย์ให้พวกเขาเอาไปฝึกลมปราณ นับว่าเรือนมายาเป็นเรือนที่ไม่เลว มันจะไม่มีตัวตนหากมองจากที่ไกลๆ และในเวลานี้ข้ามีหางถึงเจ็ดหางด้วยกัน ทำให้มีพลังลมปราณเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนหางไปด้วย

    ข้าได้สร้างอาณาเขตที่เรียกว่าเขตอาคมล้อมรอบเรือนมายาครอบคลุมไปถึงบ่อน้ำมรกตเป็นพื้นที่ที่กว้างพอสมควร มันไม่ได้จะช่วยป้องกันให้สัตว์อสูรอื่นๆเข้ามา แต่มันเป็นเขตที่จะมีพลังกดดันตลอดเวลาหากไม่ได้อยู่ในระดับจุติสวรรค์คงไม่อาจเข้ามาได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากข้า หากผู้ใดฝ่าฝืนถ้าทนรับแรงกดดันได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็เชิญนอนตายไปโลกหน้า

    ส่วนหน้าตาข้าในตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าสวยไม่พอแต่มีพลังอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม เห็นได้ชัดจากเวลาที่ออกไปนอกเรือนพวกสัตว์ต่างๆที่รู้ว่ามนุษย์สาวผมเงินนี้เป็นใครก็พากันหลีกหนีให้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะใช้ใบหน้าที่สวยราวกับเป็นธิดาดวงจันทร์ หรือจะใบหน้าของมนุษย์ธรรมดาที่สวยลึกลับ น่าค้นหา อา...น่าเสียดายจริงๆที่ข้าไม่สามารถเปลี่ยนสีผมสีตาได้ไม่เช่นนั้นจะเปลี่ยนให้เป็นผมสีฟ้า ตาสีเหลืองทองซะเลย

    และในตอนนี้ข้าก็ได้มีสหาย?ผู้หนึ่งเป็นสัตว์อสูรนกกระเรียนสีทองที่อยู่ในระดับจุติสวรรค์สามารถแปลงเป็นมนุษย์หนุ่มรูปงามมาอยู่ด้วย เขามีบรรยากาศรอบตัวที่ให้ความรู้สึกสบายๆ  นามว่าชุน เจอกันครั้งแรกเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนได้ ตอนนั้นชุนได้บินตกลงมาที่เขตของข้าเพราะถูกมนุษย์ไล่ล่า และเพราะชุนอยู่ในระดับจุติสวรรค์จึงสามารถเข้ามายังเขตอาคมนี่ได้โดยที่ไม่ถูกแรงกดดัน แต่มนุษย์ที่ไล่ล่าชุนมาก็หมดสติไปทั้งทีที่ก้าวเข้ามาทั้งที่รู้อยู่ว่าพื้นที่นี่ไม่สามารถจะเข้ามาได้ 

         ชุนบาดเจ็บหนักเพราะถูกธนูอาบยาพิษ ข้าไม่รอช้ารีบทำการรักษาทันทีตามความรู้ที่มีมาตั้งแต่ชาติก่อนที่เป็นหมอ เป็นการทดสอบความรู้ที่ตัวเองมีไปในตัว สมุนไพรนั่นเมื่อรู้สรรพคุณนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก ชาติก่อนก็ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องพวกนี้เมื่อเสริมความรู้ให้ดูน่าเชื่อถือสำหรับเส้นสายอาชีพหมอ เมื่อชุนหายดีและรู้ว่าหลิ่งเฟยคือจิ้งจอกเก้าหางก็รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตา สาบานว่าจะอยู่รับใช้ข้าไปชั่วชีวิตของตัวเอง อยู่รับใช้ก็ออกจะมากเกินไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรดีเสียอีกที่มีคนทอผ้าสวยๆให้ใส่แถมยังเป็นหนุ่มรูปงามหน้าตาดี ให้มองไว้เพลินตา 

    นกกระเรียนสีทองนั้นเมื่อสามารแปลงเป็นมนุษย์ได้แล้วจะมีความสามารถในการทอผ้าที่  มีลวดลายที่วิจิตรงดงามเป็นความสามารถเฉพาะพิเศษ และเรื่องทำความสะอาดเรือนมายาตอนนี่เป็นหน้าที่ของชุน ส่วนตัวข้าเหรอนั่งกินนอนกินอย่างเกียจคร้านเมื่อมีคนเต็มใจจะดูแลเรือนมายาให้ยกเว้นเรื่องอาหารการกินที่ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบทำเอง

    ไม่ใช่อาหารที่ชุนทำไม่อร่อยหรอก แต่บางครั้งด้วยวิสัยของนกกระเรียนที่ทานน้อย มักน้อยมื้ออาหารเลยเผลอน้อยตามไปปริมาณของผู้ทำที่มักน้อย ข้าเลยต้องลงมือทำเองไปจนกว่าชุนจะสามารถทำอาหารที่ข้าชอบกินได้ทั้งหมดและต้องเป็นในปริมาณที่ข้าทานด้วย

    "ท่านหลิ่งเฟยขอรับ ตอนนี่ที่เมืองตาหลั่งในแคว้นหยางคึกคักยิ่งนักข้าเห็นท่านเคยพูดถึงว่าอยากจะไปเมืองมนุษย์ ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ" ชุนเอ่ยปากถามขณะทานอาหารมื้อเย็น ข้ายังคงคีบอาหารฝีมือตัวเองเข้าปาก พร้อมกับทำท่าครุ่นคิดไป

    จริงสิเราเคยคิดว่าจะเอาสมุนไพรไปขาย แล้วนำเงินไปซื้อตำรากับของที่อยากได้ ไปตอนนี่ก็ดีไหนก็ว่างๆอยู่แล้วด้วย

    " ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะไปด้วยหรือไม่?" ข้าถามชุนกลับ ถึงจะไม่แน่ใจว่าชุนจะรู้สึกยังไงกับมนุษย์แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้ไปเปิดหูเปิดตาไปด้วยกัน

    "ขออภัยข้าคงต้องอยู่ดูแลเรือนของท่าน มิอาจไปได้"

    ชุนเอ่ยปฏิเสธไป ความเป็นจริงคือชุนไม่ชอบความวุ่นวายของมนุษย์ในเมืองเท่าไรนัก ตนเองเคยบินผ่านเมืองหนึ่งแล้วเห็นว่าเป็นที่ที่ทั้งแคบและดูอึดอัด และสกปรกสำหรับนกกระเรียนที่อาศัยอยู่ในแถบน้ำสะอาด ไม่รู้ว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไงกัน

    "งั้นหรือ..ไม่เป็นไรหรอกถ้าเช่นนั้นไว้ข้าจะซื้อของมาฝากเจ้านะ ข้าคงไปสักสองสามวัน"

     เข้าใจว่าชุนคงไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์เท่าไร เพราะเคยถูกมนุษย์ไล่ล่ามาก่อน ไปคนเดียวก็ดีอย่างหนึ่ง ไม่ต้องมาห่วงเรื่องอื่นนอกจากตนเอง

    วันต่อมาข้าแต่งกายด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาสีน้ำตาลเพราะไม่อยากให้เตะตา ปกติแล้วจะใส่ชุดที่ชุนทอมาให้ ซึ่งมันก็จะดูดีไปหน่อยหากไปเดินในเมืองมนุษย์ ในย่ามมีสมุนไพรที่หายากสำหรับมนุษย์อยู่มากมาย เพื่อเอาไปขายแลกกับเงิน ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้สามารถเจอได้จมูกที่สามารถรับกลิ่นได้มากกว่าจิ้งจอกทั่วไป แค่ตั้งใจดมก็รู้ว่ามันอยู่ตรงจุดไหน เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้วจึงออกเดินทาง สัตว์เทพอสูรในร่างมนุษย์แปลงเป็นจิ้งจอก 7 หางขนาดตัวเท่าจิ้งจอกทั่วไปวิ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองตาหลั่ง เท่าที่รู้มาเมืองตาหลั่งนับว่าเป็นเมืองที่ใกล้กับเรือนของตนที่สุดถ้านับจากเมืองอื่นที่อยู่รอบๆป่า ใช้เวลาเพียงแค่3 ชั่วโมง ร่างจิ้งจอกสีขาวก็มาถึงเมืองตาหลั่ง 

    ก่อนเข้าเมืองก็แปลงกายเป็นหญิงสาวผมดำปกปิดลมปราณให้ดูเป็นคนธรรมดาจากต่างถิ่น เมื่อเดินเข้าไปในตลาด ความคึกคักของผู้คนที่เดินไปมา พ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงเรียกลูกค้า ทำให้อดรำลึกถึงชาติก่อนไม่ได้ เวลาที่ตนได้แอบมาเดินตลาดสด เพื่อดูนักเรียนโรงเรียนเดียวกันจับจ่ายซื้อของพูดคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนฝูง ต่างจากข้าที่เรียนเสร็จ ก็ต้องไปเรียนเสริมต่อ เมื่ออยากมาจะมาตลาดหรือเดินห้าง  บิดามารดาก็ไม่ค่อยจะอนุญาตเท่าไร เว้นแต่เสียว่าพวกเขาจะมาด้วย หรืออีกกรณีหนึ่งถ้าอยากจะมาคือแอบหนีมาเที่ยวและสิ่งที่ได้กลับไปคือนิยายการ์ตูนซึ่งต้องแอบซ่อนของพวกนี้ให้ดีไม่เช่นนั้นคนในบ้านจะจับโยนทิ้งหมด

     แต่ตอนนี่ไม่มีผู้ใดมาควบคุมแล้วรู้สึกตื่นเต้นกับตลาดย้อนยุคที่เคยเห็นแค่ในละคร ก่อนจะเดินหาร้านขายสมุนไพรก่อนเป็นอันดับแรกโดยสอบถามจากแม่ค้าผู้หนึ่งเพื่อนำสมุนไพรไปขายแลกกับเงิน เมื่อแลกเงินเสร็จก็เดินดูของไปเรื่อยๆ หูตั้งใจฟังเรื่องที่ผู้คนในตลาดพูดคุยกัน

              'ตะกูลชางลู่ ได้มาเยือนที่เมืองด้วย'

              'เล่ากันว่าเพื่อมาล่าสัตว์อสูรชั้นสูงไปทำสัญญาด้วย'

              'มิใช่ว่าเหล่าเชื้อพระวงค์ ก็มาพักผ่อนที่ทะเลเนียนซีด้วยรึ ตระกูลชางลู่จึงได้มาเมืองนี่ด้วย'

              'เช่นนั้นแล้วทำไมตระกูลอื่นถึงไม่มาด้วยเหล่า'

              'เห็นว่าตระกูลต่างๆก็ส่งบุตรหลานมาร่วมทางด้วย นี่มิใช่เพื่อผลประโยชน์กับตระกูลหรอกหรือ'

              เสียงพูดคุยที่เป็นเรื่องราว ทำให้อดทึ่งไม่น้อยกับลมปากของคนที่นี่ เพียงแค่มีพวกตระกูลอะไรสักอย่าง กับเชื้อพระวงศ์มาเยือนก็สามารถสรรหาเรื่องราวมาพูดคุยได้สนุกปากขนาดนี้ แต่ไม่มีส่วนไหนให้สนใจมากเท่าไรเพราะจะอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับตน แม้จะมีเรื่องล่าสัตว์อสูรปนอยู่ด้วย แต่ก็ไม่สนอยู่ดีเพราะเชื่อว่าตนเองแข็งแกร่ง และเรือนมายาก็ถือว่าอยู่ไกลเข้าไปได้ยาก 

              แผงวางขายเครื่องประดับสำหรับสตรี ที่มีทั้งปิ่น กิ๊บที่ห้อยพู่เป็นดอกไม้ต่างๆ แม้จะมีแต่อันที่ทำมาจากไม้แต่ก็มีเรียกสายตาให้ข้าต้องหยุดเดินและมองพวกมันไล่เรียงลงมา หลายชิ้นที่มีลวดลายที่ตวัดไปอย่างสวยงาม จนอดให้มองนานๆไม่ได้เลย

    " เชิญแม่นางคนสวยชมดูได้เลย ทั้งหมดนี่ข้าทำเองทั้งเอง"

    พ่อค้าวัยกลางคนหน้าตาดูเป็นคนสบายๆใบหน้ามีร่องรอยของคนมีอายุ เชิญชวนให้ชมดูเครื่องประดับ สมุนไพรที่นำไปขายเมื่อครู่นี้ทำให้ได้เหรียญมาไม่ต่ำกว่า 30 เหรียญทองเลยเพราะมีสมุนไพรที่หาได้ยากและยังมีจำนวนมากอีกต่างหาก มองดูพิจารณาเครื่องประดับพวกนี้ดูแล้วพ่อค้าผู้นี่จะมีความสามารถทำเครื่องประดับที่สวยงามถูกตาได้ขนาดนี่เลยหรือ เว้นแต่ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญ หรือชอบของแบบนี้คอยออกแบบแนะนำให้

    "ของพวกนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก ผู้ใดเป็นคนทำหรือพ่อค้า?" 

    "แม่นางคนสวย เครื่องประดับเหล่านี่ข้าเป็นคนทำเองแต่มีภรรยาช่วยวาดต้นแบบให้"

    พ่อค้าตอบคำถามให้ด้วยความภูมิใจในตัวภรรยาอย่างไม่ปิดบัง หน้าตาที่ดูสบายและสดใสจนหลิ่งเฟยรู้สึกแสบตาเล็กน้อย

    " มิน่าล่ะงามจนข้าคิดว่ามันต้องแพงแน่ๆ ท่านขายชิ้นละเท่าไรหรือ?"

    ข้าพูดยกย่องความงามที่ปรากฏผ่านเครื่องประดับไม้เหล่านี่ หากทำด้วยโลหะคงจะมีราคาที่สูงและต้องมีคนอยากได้อยากซื้อมากแน่ๆ

    "หามิได้แม่นาง ข้าขายตามราคาที่ท่านจะให้ข้า เพราะอย่างไรมันก็ทำมาจากไม้"

    เมื่อพ่อค้าตอบเช่นนั้น ทำให้เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวจะให้ซื้อหมดแผงนี่มันก็กระไรอยู่ จะซื้ออย่างเดียวก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเงินมาทอนให้  เหรียญทองเลยนะเครื่องประดับที่ทำจากไม้คงมีราคาไม่เกินสิบเหรียญเงินหรอก

    " ท่านช่วยข้าเลือกให้สักสองสามชิ้นเถอะ เพราะทุกชิ้นงามหมดทั้งนั้นทำให้ข้าเลือกไม่ถูก"

    "แม่นางคนสวย ท่านถามว่าชิ้นไหนเหมาะกับท่าน กับข้าที่เป็นผู้ชายนะหรือ"

    พ่อค้าหัวเราะไปพูดไป ก็คนทำน่าจะรู้ว่าชิ้นไหนเหมาะกับลูกค้าไม่ใช่หรือไงกัน

         "ข้าคิดท่านเหมาะกับชิ้นนี้" พ่อค้าหยิบปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งที่มีลายแกะสลักเป็น ดอกวานเจียหลั่ง(ดอกแกลดิโอลัส) ประดับอยู่ ข้ามองดูด้วยความงงงวย เพราะถ้าจำไม่ผิดภาษาของดอกไม้นี่คือ เธอช่างมีความมั่นใจจริงๆ ปกติคนจีนชอบดอกกุ้ยเหมย ดอกโบตั๋นไม่ใช่เหรอ

              พ่อค้าหัวเราะออกมานิดนึงเมื่อเห็นลูกค้าทำหน้าสงสัยก่อนจะพูด

                  “แม่นางคนสวยใบหน้าท่านงดงามยิ่ง สายตาที่เอาแต่ใจ กิริยาก็ดูเป็นตัวของตัวเองต่างจากคุณหนูที่ข้าพบเจอนัก ข้าคิดว่าท่านช่างมีความมั่นใจจริงๆ ท่านมาที่ร้านข้าที่ขายเครื่องประดับถูกๆ ทำจากไม้ เพียงคนเดียวโดยไม่มีผู้ติดตาม แล้วท่านให้ข้าเป็นคนเลือกเครื่องประดับให้ ทั้งๆที่ข้าเองก็เป็นบุรุษที่แต่งงานแล้ว”

                    จะสื่อถึงเรื่องวัยปักปิ่นหรือไงกัน แต่วัยปักปิ่นต้องอายุ 15 ไม่ใช่หรือ หรือว่าจะบอกเรื่องที่ห้ามให้ชายอื่นเลือกปิ่นปักผมให้ เรื่องที่ท่านแต่งงานจะอย่างไหนข้าก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิดแถมยังคิดว่าเป็นลูกคุณหนูอีก ช่างคิดเองเออเองได้เก่งนักพ่อค้าคนนี้

                “ข้าเลยวัยปักปิ่นไปแล้วท่านพ่อค้า อีกอย่างข้ายังไม่มีสามี และข้ามิใช่ลูกผู้ดีที่ไหนหรอกนะ ข้าเป็นเพียงนักท่องยุทธ์ที่เดินทางมาเรื่อยๆ”

                     หลิ่งเฟยบอกตามที่ตัวเองเข้าใจในความหมายคำพูดของพ่อค้า เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดถึงตัวเองในชาตินี่จะอายุได้ 17 ปีเป็นช่วงวัยที่ควรออกเรือน แต่เรื่องนี้ขอร่วมอายุตัวเองในชาติที่แล้วด้วยแล้วกัน ที่สำคัญแค่มาซื้อของทำไมต้องมาคิดมากกับเรื่องพวกนี้ด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่ารำคาญซะจริงดีนะที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวของมนุษย์ไม่งั้นคงโดนจับแต่งงานอีกรอบตอนอายุ 15 พอดีเลยมั้ง

                     “อีกอย่างข้าให้ท่านเลือกเครื่องประดับให้ข้าสองสามชิ้นนะท่านพ่อค้า มิใช่เลือกปิ่นให้ข้าเสียหน่อยท่านคิดเองเออเองทั้งสิ้น”

                      หลิ่งเฟยกล่าวประโยคนี้อย่างขบขัน ส่วนพ่อค้าก็ทำหน้าอึ้งๆเพราะก็จริงอย่างที่นางพูด แต่เดียวนะนางยังไม่แต่งงานงั้นหรือ ทั้งๆที่มีหน้าตาที่งดงามสวยสง่าหมดจดเช่นนี้ เท่าที่ดู นางก็น่าจะอายุเพียง 16 ปีแต่นางบอกว่าเป็นผู้ที่ออกท่องยุทธ์ไปเรื่อยๆ หรือนางจะเป็นผู้ใช้ลมปราณระดับจุติทำให้เป็นผู้ที่อยู่ระดับนี่ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง นางจึงครองตัวเป็นโสดถึงทุกวันนี่ แต่ถ้าเช่นนั้นก็ดูอ่อนเยาว์เกินไปหากสิ่งที่คิดนั้นเป็นจริง 

                   พ่อค้าทำหน้าสงสัยหนักขึ้นเรื่อยๆ เห็นแบบนั้นข้าจึงยังพูดต่อไปอีก

                      “แถมท่านยังเรียกข้าว่าแม่นางคนสวย รู้ความหมายดอกไม้อีก ตอนท่านยังหนุ่มๆท่านคงเจ้าชู้น่าดูถึงได้เรียกข้าว่าแม่นางคนสวยได้คล่องปาก ฮ่าฮ่าฮ่า”

                     สตรีผู้เป็นลูกค้าเอามือปิดปากหัวเราะออกมาอย่างไม่รักษาหน้าตาสวยๆของเธอจนบุรุษที่แอบเนียนมาทำเป็นซื้อของต้องหน้าแดงจนอยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยใจจะขาด แต่ก็ยังไม่มีจังหวะให้เข้าไปพูดแทรกแถมนางกำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีด้วย

              ตัวข้ารู้สึกแปลกๆตั้งแต่ประโยคแรกที่พ่อค้าเชิญตัวเองเข้ามาดูเครื่องประดับ หากเมื่อก่อนไม่ใช่คนเจ้าชู้ก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักพูดจาให้ถูกใจลูกค้า แต่ดูจากท่าทางและบรรยากาศรอบตัว เลยคิดว่าน่าจะเป็นข้อแรก คำพูดของหลิ่งเฟยที่ทำให้แม่ค้าที่ตั้งแผงขายข้างๆก็ต้องหัวเราะออกมาดังๆตามมาด้วย เจ้าพ่อค้าโดนคุณหนูผู้ที่มีสายตาหลักแหลมมองแล้วรู้ทันทีว่าพ่อค้าคนนี้เคยเป็นคนที่เจ้าชู้มาก ดูถูกคุณหนูผู้นี้ไม่ได้จริงๆ

                        “ฮะฮ่า  ฮงฮงคนเก่งโดนคุณหนูคนสวยตอกกลับจนได้  จริงอย่างที่คุณหนูกล่าว เมื่อตอนที่หมอนี่ยังหนุ่มๆชอบจีบหญิงสาวไปทั่ว แม้กระทั่งข้าเองเจ้านี่ก็ยังจีบข้าเลย จนไปเจอท่านหมอฮวานั่นแหละถึงจะหยุด ฮ่าๆๆ”

                        แม่ค้าพูดสาวไส้ของพ่อค้าฮงให้คุณหนูหน้าตาดีฟัง ข้ายิ้มแย้มอย่างเป็นกันเองให้กับพ่อค้าที่ตอนนี้เหมือนจะอ้าปากอยากจะค้านสิ่งที่แม่ค้าคนข้างๆพูด แต่ก็ค้านไม่ลงเพราะมันคือความจริงที่ตนเองเป็นในสมัยหนุ่ม

                        “ท่านหมอหญิงฮวางั้นรึ”  

                        แสดงว่าผู้นี่คือคนที่เป็นภรรยาของพ่อค้าฮง  ที่สามารถทำให้พ่อค้าคนนี้หยุดหลีผู้หญิงอื่น แถมภรรยาเป็นหมอเชียวเลยรึเนี่ย ถ้าอย่างนั้นพอดีเลยตัวเองก็อยากจะเรียนรู้เรื่องการรักษาในสมัยนี่จริงๆ ว่าวิธีการรักษาแตกต่างกับชาติก่อนของเธอมากแค่ไหน

                        “ภรรยาข้าเอง”

                        พ่อค้าฮงพูดย้ำอีกทีเผื่อจะไม่เข้าใจว่าหมอหญิงฮวาที่ว่าคือใคร และอดทำหน้าเจื่อยๆไม่ได้หลังจากโดนแม่ค้าปากมากพูดถึงเรื่องราวตนเองในสมัยก่อน จนตอนนี่ก็ยังไม่หยุดพูด ถ้าหากภรรยามารู้เข้าก็ไม่อยากจะคิดว่าจะโดนว่าอะไรบ้าง

                        “ข้าอยากรู้จักกับภรรยาท่านยิ่งนักที่สามารถกำราบ ท่านฮงฮงคนเก่ง “

                        ข้าส่งยิ้มให้พ่อค้าที่ชื่อฮงฮงจนคนที่เป็นพ่อค้าอดเหงื่อตกไม่ได้ กลัวว่านางอยากไปเจอภรรยาเพื่อจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับภรรยาของตนเอง

                        “ได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี่กับภรรยาข้าเลย ข้าจะยกเครื่องประดับทุกชิ้นให้ท่านข้าขออย่างเดียวคืออย่าบอกภรรยาข้า”

                        พ่อค้าฮงพูดอ้อนวอนหลิ่งเฟย ด้วยสายตาขอร้อง คิ้วข้างหนึ่งยักขึ้นสงสัยท่านหมอหญิงฮวาเป็นพวกหึงโหดหรือไง ทำไมต้องมาขอร้องเรื่องนี้ด้วย

              “พ่อค้าฮง ข้าแค่สนใจเรื่องการรักษาเลยอยากจะเรียนรู้จากภรรยาท่านก็เท่านั้นเองนะ”

                        หลิ่งเฟยพูดแก้ความเข้าใจผิดอีกรอบ และเมื่อพ่อค้าได้ยินจุดประสงค์ที่หลิ่งเฟยต้องจะพบกับภรรยา ทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว ขายหน้าที่ตัวเองพูดขอร้องไปเมื่อกี้ ไหนจะขายหน้าแม่ค้าปากมากที่ตอนนี้หัวเราะจนน้ำตาไหลไปแล้วอีก


    ขายหน้าคนอื่นไหมล่ะ ฮงเอ๋ย






    ดอกแกลดิโอลัสพริสซ์ คลอส 

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×