ฉันเป็นเด็กคนนึง… น่าจะใช่นะ…
เพราะไม่ว่าฉันจะทำอะไร พ่อกับแม่ก็คอยแต่จะห้ามนั่นห้ามนี่อยู่ตลอด
จนบางครั้งฉันก็แอบสงสัยว่า… ฉันเป็นเด็กจริงๆ หรือพ่อแม่ไม่ยอมให้ทำอะไรจนฉันไม่รู้จักโตกันแน่?
แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะฉันไม่ใช่ตัวละครที่สำคัญอะไรนัก
อันที่จริงแล้วเป็นแม่ต่างหาก
แม่สำคัญกว่าฉัน สำคัญกว่าพ่อ
หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ…
แม่เป็นตัวละครสำคัญที่สุดในเรื่อง
ดังนั้นก็ควรจะพูดถึงแม่ของฉัน ไม่ใช่ฉัน หรือพ่อของฉัน
แม่ของฉันเป็นผู้หญิงสวยจนฉันอดคิดตามไม่ได้ว่าตอนสาวๆ แม่จะสวยสักแค่ไหน?
แล้วทำไมแม่ถึงเลือกพ่อ ทั้งๆ ที่พ่อฉันหน้าตา…ไม่หล่อเอาเสียเลย
แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะถามออกไปหรอกนะ เพราะฉันเองก็มักจะเคารพการตัดสินใจของแม่อยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเรื่องในอดีต หรือปัจจุบัน รวมถึงอนาคตอันใกล้และไกลด้วย
นั่นพอจะบอกได้ไหมว่าฉัน…รักแม่
รักมากกว่าพ่อ แต่ห่างกันไม่เท่าไหร่
เพราะถ้าพ่อเป็นก้อนเมฆ แม่จะต้องเป็นท้องฟ้าอย่างหาที่ติไม่ได้
ซึ่งมันก็คง… ห่างกันไม่เท่าไหร่หรอกเนอะ
แล้วแม่สำคัญยังไง?
นั่นสิ ทำไมแม่สำคัญกับเรื่องนี้
ทำไมผู้หญิงที่งามทั้งกายและใจถึงสำคัญกับเรื่องของ ‘หนังสือ’ และ ‘แสงแดด’ ?
ทำไมนะ?
ทำไมกัน?
ทำไม…?
อ้อ! ฉันรู้แล้ว!
เพราะว่าแม่ชอบอ่านหนังสือไงล่ะ!
โดยเฉพาะเจ้าหนังสือปกอ่อนสีขาวเก่าๆ แต่ยังสภาพดีที่แม่มักจะบอกเสมอว่า…
“แม่รักมันมาก”
ฉันรู้ว่ามันเป็นหนังสือที่ต้องมีที่มาที่ไปแน่ๆ แต่ฉันก็ไม่เคยได้รู้
เพราะฉันไม่เคยถาม
แต่ก็พอจะเดาได้นิดหน่อย เมื่อทุกครั้งที่แม่บอกรักมัน…
…แม่จะมองไปที่พ่อ
นั่นทำให้ฉันหมดคำถาม
เพราะในใจลึกๆ ฉันรู้ดีว่ามันต้องมีเรื่องรักๆ แฝงอยู่ในนั้น
และแน่นอนแหละ ว่ามันต้องเกี่ยวกับพ่อด้วย
ทว่า… ใครจะอยากได้ยินเรื่องรักๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ชายแบบพ่อ?
ฉันคนนึงล่ะที่ไม่อยาก
…
แต่นั่นไม่ใช่ว่าฉันไม่รักพ่อหรอกนะ
เพียงแต่อยากให้ผู้ชายแบบพ่อเบาเสียงลงหน่อยในยามดึกแบบนี้
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อเสียงดัง
ดังนั้นการทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ น่าจะทำให้พ่อชำนาญกับมัน
และรู้ว่าควรลดเสียงลงซะ
ดูอย่างแม่สิ เสียงแม่เบากว่าพ่อตั้งครึ่งนึง
แม้จะอู้อี้ด้วยเสียงสะอึกสะอื้นจนเกือบจะฟังไม่รู้เรื่องก็เถอะ
แต่ฉันยังคงยืนยันว่าแม่เสียงเบากว่าพ่ออยู่ดี
และหากพ่อเลือกใช้โทนเสียงเดียวกันกับแม่
ทุกอย่างมันคงจะง่ายกว่านี้
ฉันคงหลับได้ลงเหมือนคืนอื่นๆ ที่พ่อไม่เสียงดัง!
แต่พ่อก็คือพ่อ
ยิ่งฝ่ายตรงข้ามโต้ตอบน้อยลง พ่อก็จะยิ่งเสียงดังมากขึ้น
ราวกับสิงโตเจ้าป่าที่ร้องคำรามเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้
ทั้งๆ ที่คู่ต่อสู้กลัวเสียจนยอมแพ้แล้วยอมแพ้เล่า
หากพ่อก็ยังคง… คำรามต่อไป… ต่อไป… ต่อไป… ต่อไป…
ก่อนที่เวลาต่อมาจะตามด้วยเสียงข้าวของนานาหล่นจากที่สูงลงสู่พื้นเบื้องล่าง
ตามแรงโน้มถ่วงของโลก
โดยที่ตัวฉันทำได้เพียงกอดหมอนข้างให้แน่นขึ้น
และเตรียมตัวข่มตาให้หลับลง
ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่ลูกคนนึงจะหลับลงได้
ขณะที่พ่อกำลังพูดจาเสียงดังใส่แม่อยู่อีกฝั่งนึงของผนังห้องนอน
แต่ความง่วงก็คือความง่วง
หากเราเลือกที่จะต่อสู้กับมัน
เราก็จะต่อสู้กับมันไม่รู้จักจบสิ้น
สู้เรายอมแพ้มันเสียตั้งแต่ตอนนี้
มันคงเลิกตามราวีเราได้อีกสักพักใหญ่
ดังนั้น
ฉันจะข่มตานอนท่ามกลางเสียงดังจากการกระทบกันระหว่างสิ่งของกับพื้นบ้าน
โดยได้แต่ภาวนาว่า… อย่าให้เป็นของที่ฉันรักเสียหายเลย…
….
…
..
..
.
ก็อย่างที่บอก
เมื่อคุณยอมแพ้ต่อความง่วง
มันจะเลิกราวีคุณสักพัก
ตอนนี้ฉันก็เลยสดชื่นที่จะเปิดประตูห้องนอนออกไป
เพื่อพบกับ…
…สภาพบ้านหลังสงครามที่กระจัดกระจาย
ทว่า… หยุดนิ่งลงเสียแล้ว
สิ่งแรกที่ฉันมองหาคือแม่
ในขณะที่แม่เองก็ทำตัวให้ง่ายต่อการมองหาเสมอ
ฉันแอบคิดไว้อยู่แล้วว่าแม่ต้องกำลังจัดการกับบ้านรกๆ หลังนี้
และแม่ก็คงต้องวุ่นวายกับมันทั้งวัน จนกว่าที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง และกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ซึ่งคนอย่างฉันรู้งานดีพอที่จะทำตัวให้วุ่นวายน้อยที่สุด
จึงได้แต่เดินเข้าไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเงียบๆ
เช็ดตัวให้แห้งเงียบๆ
แต่งตัวเงียบๆ
หาอะไรง่ายๆ ในครัวกินเงียบๆ
แล้วเดินออกไปให้พ้นจากห้องนั่งเล่นของแม่อย่างเงียบๆ อีกเช่นกัน
ดูเหมือนว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าที่ฉันคิด
พ่อที่ทำเสียงดังตลอดทั้งคืนหายตัวไปเสียแล้ว
ทิ้งไว้เพียงความกระจัดกระจายที่เหนื่อยคนต้องเก็บกวาดอยู่มาก
เพราะมันถึงขนาดว่ากระจัดกระจายเลยเถิดออกจากห้องนั่งเล่นไปยังทางเดินเชื่อมเหนือบ่อปลาคาร์ฟเลยทีเดียว
แล้วนั่น…!
หนังสือเล่มโปรดของแม่มันควรอยู่ตรงนั้นหรอ!?
มันควรจมอยู่ก้นบ่อปลาคาร์ฟของพ่อที่แม่เป็นคนทำความสะอาดจริงๆ น่ะหรอ!?
เอาจริงๆ ฉันไม่แน่ใจนักว่าตัวเองตกใจมากมายแค่ไหน
หรือกำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่เห็นหนังสือเล่มนั้นนอนนิ่งอยู่ใต้น้ำ
แต่พอรู้ตัวอีกที… ฉันก็ช้อนหนังสือปกขาวที่เคยแห้งสนิทขึ้นมาได้สำเร็จเสียแล้ว!
ช้อนขึ้นมาด้วยที่ช้อนปลาของพ่อ และสติที่เกือบจะขาดหายไปของตัวเองเมื่อได้เจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้!!
ฉันรู้ว่ามันอาจจะฟังดูงี่เง่า…
แต่ฉันแสนเศร้า เมื่อ… คิดว่าแม่จะต้องเสียใจที่เห็นมันเสียหาย…
ทันใดนั้น
ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างที่พอจะทำได้
ทำยังไงก็ได้ให้หนังสือที่แม่รักกลับมาแห้งเหมือนเดิม
โดยที่ไม่มีหน้าใดขาดหายไปแม้แต่หน้าเดียว
และไวเท่าความคิด
ฉันวิ่งแบบสุดฝีเท่าไปยังแดดยามสายที่ร้อนแรงมากขึ้นในทุกๆ ปี
ก่อนจะวางหนังสือของแม่ลง
หวังให้แสงแดดช่วยขจัดความเปียกปอนให้จางหายไป
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
..
..
…
….
….
…
..
..
.
ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าที่ฉันจะแน่ใจว่าควรหยุดตากหนังสือกลางแดดเสียที
เมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา
ฉันต้องพยายามเปลี่ยนที่วางหนังสืออยู่หลายครั้ง
ให้ตรงกับแสงแดดที่เอาแต่หนีฉันไปเรื่อยๆ
จะสบายหน่อยก็ตอนเที่ยงที่แม่เรียกไปกินข้าว
เพราะฉันสามารถวางมันไว้ตรงไหนก็ได้ในสนามหญ้า
เนื่องจากแสงแดดสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่
จริงๆ ตอนที่แม่เรียกเข้าไปกินข้าว
ฉันแอบสังเกตว่าห้องนั่งเล่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย
จนฉันแอบคิดเล่นๆ ว่าแม่อาจจะไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยก็เป็นได้
แต่ช่างเถอะ
มันไม่สำคัญหรอกว่าแม่จะลงมือจัดการหรือไม่
เพราะตอนนี้หนังสือแห้งแล้วในที่สุด
แห้งซะจนฉันลืมไปเลยว่ามันเคยเปียกป้อนอย่างน่าสงสารมาก่อนหน้านี้
ซึ่งฉันดีใจที่ตัวเองทำสำเร็จ!
ฉันสามารถแก้ปัญหาของแม่ได้!
และนี่อาจจะบอกให้ฉันรู้ว่า… ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว!
ความตื่นเต้นจากการช่วยชีวิตเจ้าหนังสือปกขาว
ทำให้ฉันไม่ได้ใส่ใจที่จะมองอะไรให้รอบคอบนัก
พอคิดอะไรได้ปุ๊บ ก็ทำปั๊บ
เหมือนกับที่คิดว่าจะเอาเจ้าปกขาวไปให้แม่ ฉันก็เอาไปให้ในทันที
ซึ่งตอนนั้นแม่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
นั่งนิ่งๆ อย่างเห็นได้ชัด
เอาแต่มองข้าวของกระจัดกระจาย และยังไม่ลงมือเก็บอะไร
“แม่คะ นี่ค่ะ”
ฉันส่งหนังสือที่แม่รักให้กับแม่ที่ฉันรัก
“ลูกทำอะไรกับมัน?”
แม่ถามด้วยความสงสัยเมื่อรับมันไปไว้กับมือแล้ว
“หนูช้อนมันขึ้นจากบ่อปลาคาร์ฟของพ่อ แล้วก็เอามันไปตากแดดจนแห้งเหมือนเดิม”
ฉันยิ้มมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆ ของตัวเอง
ต่างจากแม่ที่มองหนังสือเล่มนั้นนิ่ง
และนาน จนฉันไม่อาจจะยิ้มต่อไปได้ดี
…
...
..
.
ก่อนที่แม้จะเริ่มขยับ
ส่งหนังสือคืนให้ฉันที่ไม่ใช่เจ้าของ
แล้วพูดให้ฉันสังเกตอะไรมากขึ้นกว่าเดิม
“ลูกคิดว่ามันเหมือนเดิม แต่ดูสิ มันไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด”
ฉันพยายามสำรวจว่ายังมีตรงไหนที่เปียกอยู่หรอ?
เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะได้เอาไปตากแดดอีกสักครั้งสองครั้ง
คราวนี้คงกลับไปเหมือนแบบเดิมตามที่แม่ต้องการ
แต่เดี๋ยว…!
ฉันมองข้ามอะไรไปจริงๆ ด้วย…!
เพราะในความเป็นจริง
หนังสือนั้นแห้งจนหาที่เปียกไม่ได้
ทว่า… กระดาษกลับพองยับยู่
น่าเกลียด
น่าเกลียดจริงๆ!
ฉันเงยหน้าขึ้นมองแม่ด้วยความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้
ฉันคงยังเด็กเกินไป…
…เด็กเกินกว่าจะรู้ว่าการเอาหนังสือไปตากแดดมันไม่ได้ช่วยให้อะไรเหมือนเดิม
ฉันคิดว่าแม่จะเอ่ยปากดุฉันแรงๆ เหมือนที่พ่อชอบทำ
แต่แม่กลับจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันด้วยความอ่อนโยน
“มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วลูก”
“…”
“การเอาหนังสือไปตากแดดช่วยให้มันอยู่ต่อไปได้ แต่ช่วยให้มันสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้”
“…”
“เพราะฉะนั้น แม่อยากให้ลูกช่วยอะไรที่แม่คิดว่าลูกน่าจะช่วยได้”
“อะไรหรอคะ?”
“ช่วยไปหยิบถุงดำใบใหญ่ในครัวมาให้หมดเลยนะ”
“ถุงดำที่เอาไว้ใส่ขยะน่ะหรอคะแม่?”
แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่ฉันพอจะเดาได้เหมือนกับที่ฉันเดาออกแทบจะทุกครั้ง
เมื่อแม่หยิบหนังสือพองๆ หน้าตาน่าเกลียดกลับไป
กวาดตามองสิ่งของกระจัดกระจายในห้องนั่งเล่น
ก่อนจะโยนเจ้าปกขาวให้ไปนอนรวมกับเครื่องแก้วที่แตกยับเยิน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่ายังไงก็คงต้อง…ทิ้งสถานเดียว
จบ
คุณเขียนดีมากอะ T_T
อ่านไปฟังเพลงไป ทั้งตัวหนังสือทั้งเพลงพาอารมณ์พี่ดิ่งมาก
แต่อ่านจบแล้วถึงจะยังจมอยู่กับฟีลลิ่งที่บรรยายไม่ถูก
ก็รู้สึกดีใจนะ ที่หนูน้อยตัวเล็กๆ เมื่อหลายปีก่อนโตขึ้นขนาดนี้แล้ว <3