ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ღ Rival or Lover ღ :: kai x sehun ::

    ลำดับตอนที่ #5 : Rival or Lover :: 4 ::

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 56



                ทางเลือกมีสองทาง คือเดินเข้าไปแล้วโมโหชวนทะเลาะกันเหมือนเดิม ลงเอยด้วยชัยชนะเล็กๆน้อยๆซึ่งเดี๋ยวมันก็เจือจางหายไป แล้วมันจะสะใจอะไรถ้าเทียบกับการตลบแผนซ้อนแผนให้อีกฝ่ายคิดว่าสามารถหลอกเขาได้ด้วยความคิดตื้นๆนั่น แน่นอนว่าคิมจงอินเลือกที่จะทำอย่างหลัง


                ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจไปอีกสักพักแล้วเดี๋ยวค่อยเหยียบทีเดียวหัวเราะซ้ำก็ดูจะเข้าท่าดี แสบนักใช่ไหมโอเซฮุน เดี๋ยวจะได้รู้ว่ากำลังราดแอลกอฮอล์ลงบนแผลของตัวเอง ทำได้ใจไปเหอะ


                คิดอย่างนั้นพร้อมกระตุกยิ้มที่มุมริมฝีปากก่อนจะหมุนลูกบิดปิดบานประตูไม้ลงช้าๆ กายสูงโปร่งเดินลงมายังชั้นล่างแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ก้านนิ้วเรียวเกลี่ยปัดเส้นผมที่ลงมาปิดดวงตาเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหัวเบาๆ


                ช่างซ่อมคนเก่งเดินมายังรถคันสวยที่เปิดกระโปรงหน้ารอให้เขาตรวจเช็คดูอาการ หากแต่ไม่ทันได้ทำอะไรเสียงทุ้มก็ดังขึ้นให้ได้ยินเสียก่อน


                “จงอิน เมื่อกี้มีคนมาหา” ช่างใหญ่ประจำอู่เอ่ยบอกพลางพยักพเยิดหน้าไปทางออฟฟิศกระจกใสเล็กๆด้านใน

                มองจากตรงนี้ไม่ไกลนักเห็นหญิงสาวตัวเล็กกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาวุ่นวายกับโทรศัพท์ของตนเอง ริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มบางทันทีที่ตระหนักได้ว่าเธอคนนั้นก็คือแฟนของเขา ก่อนจะตัดสินใจวางประแจที่เพิ่งจับลงเสีย แล้วเดินเข้าไปหาหญิงสาว


                เด็กน้อยปีหนึ่งที่เขาตอบรับยอมตกลงคบหาดูใจไปเมื่อเทอมที่แล้วหลังเจ้าตัวเข้ามาสารภาพว่าชอบเขามาก จริงๆคิมจงอินก็มองว่าน้องน่ารักบวกกับที่เพื่อนๆชอบเอ่ยแซวอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม ในเมื่อก็ไม่ได้มีใครมานาน ส่วนมากผู้หญิงที่เข้ามาหาก็จะเบื่อเขาที่เอาแต่ใช้เวลากับเครื่องยนต์เสียส่วนใหญ่ ผิดกับคนนี้ที่ขยันเอาใจอยู่ตลอด ที่สำคัญคือไม่น่ารำคาญ


                “อึนซล”


                “พี่จงอิน” ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นยิ้มกว้างรับกายสูงโปร่งที่เพิ่งเลื่อนประตูเปิดเข้ามา รอยยิ้มสดใสเข้ากับอายุมองแล้วก็น่าเอ็นดูอยู่ในทีจนต้องยกมือขึ้นหยิกเบาๆที่แก้มนิ่ม พลางเหลือบสายตาขึ้นมองผ่านกระจกใสไปยังช่างคนอื่นๆที่กำลังแอบดูเขากับหญิงสาว ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆคล้ายไม่ได้จะเอาความอะไร เพราะที่ได้กลับมาก็คือรอยยิ้มแห้งจากลูกจ้างคนสนิทเหล่านั้น


                “มาหาพี่มีอะไรเปล่า”


                “ไม่มีหรอกค่ะ แค่อยากมา” หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อยพลางยิ้มบางรับฝ่ามือที่วางบนกลุ่มผมอย่างอ่อนโยน


                “ขอโทษด้วยนะที่พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้เราเลย”


                “ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่คะ พี่ไม่ว่างเดี๋ยวฉันมาหาเองก็ได้” พูดจาน่ารักน่าฟังจนคนอายุมากกว่าต้องยกมือขึ้นยีเบาๆให้ทรงผมยาวสวยยุ่งนิดๆ


                “ดีจังเลยนะ ..งั้นพี่ไปทำงานก่อน ถ้าเบื่อก็เรียกล่ะ”


                “ค่ะ”


                จงอินหัวเราะเบาๆในลำคออย่างนึกขันกับภาพหญิงสาวฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู อารมณ์ดีขนาดนี้เขาถึงไม่รังเกียจหรือว่าปฏิเสธที่จะอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ทุ่มเทให้กับเธอเท่าที่ควร แต่เขาให้โอกาส อย่างน้อยๆตอนนี้จงอินก็เอ็นดูอึนซลมากกว่าผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ


                กายสูงโปร่งพาตัวเองให้ออกจากออฟฟิศได้ก็พยักพเยิดหน้ารับเพื่อนสนิทที่เพิ่งมาถึงไม่นาน เห็นอยู่หลัดๆว่าเมื่อกี้เดินไปคุยกับช่างคนอื่นก่อนจะตรงมาทางเขา เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อยืดธรรมดาสีเหลืองกับกางเกงยีนที่ผ่าจนเกือบขาด บนไหล่ข้างหนึ่งสะพายเป้และกำลังจะนำเข้าไปวางไว้ด้านในออฟฟิศ คนตัวเล็ก หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเตี้ยก็ไม่ผิด ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากบางเฉียบชมพู แววหวานประกายจ้าจ้องมองเขาปริบๆ น่ารักโคตรจริงๆก็เถอะ แต่อย่าคิดว่านิสัยมันจะเป็นเหมือนหน้าตา


                “จงอิน! พากูไปยลโฉมน้องเซฮุนหน่อยยยย” คนน่ารักแค่หน้าตาแทบจะลงไปคุกเข่ากอดขาอ้อนวอนเพื่อนซี้เจ้าของผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าหวานเกินจะเป็นผู้ชายดูเพ้อฝันยามนึกถึงใครอีกคน ใครอีกคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนากันอยู่ขณะนี้ เพียงเห็นรูปในบ้านหัวใจเขาก็กระเด็นกระดอนไปหาทันที “กูสัญญาว่าจะไม่หื่นใส่น้องมึง น้า”


                “อะไรของมึงเนี่ยแพคฮยอน ไปทำงานไป!


                “อยากเจออ่ะ กูอยากจีบ!


                “ไม่มีใครหลงคารมมึงหรอก แค่หน้าก็ไม่ผ่านสถาบันกูแล้ว”


                “สถาบันไหนวะ?”


                “สถาบันของคนแมนๆ”


                “เชี่ย! กูนี่แหละแมน” เชิดหน้ายื่นเข้าไปใกล้คิมจงอินจนจมูกแทบจะชนกัน สายตามุ่งมั่นคล้ายไม่เคยมั่นใจอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หากแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มกลับถูกผลักออกด้วยฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของคนตรงหน้า ทำเอากายเล็กของพยอนแพคฮยอนเซถอยหลัง


                จงอินกลอกตาไปมาพลางถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำลายที่พอสัตว์ตัวน้อยๆพ่นออกจากปากบางก็กระเด็นเต็มหน้าเขาเลย ขายาวก้าวไปยืนตรงตำแหน่งเดิมหน้ากระโปรงรถคันสวยโดยมีเพื่อนตัวเล็กตามไม่ห่าง ก่อนจะต้องหันมาไล่อีกที


                “ถ้ามึงไปทำงาน เดี๋ยวกูจับใส่พานถวายให้เลย”


                “กูเข้าใจนะว่ามึงไม่รักน้อง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูรักให้เอง” คำพูดเชิงปลอบใจ(ล่ะมั้ง)ถูกหยิบมาใช้ขณะที่มือเล็กตบบ่าของคนที่สูงกว่าตุบๆ ตามประสาคนแมนๆ


                “แล้วปาร์คชานยอลของมึงล่ะ”


                “มันไม่ใช่ของกู เด็กเรียนเกินไปไม่ชอบ! สำคัญคือมันจะให้กูอยู่ล่างนี่แหละที่กูไม่ยอม”


                “โอเซฮุนก็เด็กเรียน”


                “มึงไม่เชียร์เพื่อนเลยใช่ป่ะ”


                “กูเชียร์มึงนะ” พูดโดยไม่หันหน้ากลับมามองเพื่อนตัวเล็กที่กำลังง้องแง้งเหมือนลูกหมาข้างกาย จงอินตั้งใจกับการจับนั่นจับนี่ตรงเครื่องยนต์อย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะต้องหันกลับมาทำสายตาเอือมระอาส่งให้ เมื่อเห็นว่าตนยังโดนเกาะแกะไม่เลิก “..เชียร์ให้มึงไปทำงานสักทีเถอะ ก่อนช่างใหญ่เขาจะหักเงินมึง”


                เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่สนใจตนอีกต่อไป แพคฮยอนก็ยู่ปากอย่างหมันไส้ในความหล่อคมเข้มขี้เก็กของมันนัก ก่อนจะเดินกระแทกเท้ากลับไปประจำตำแหน่งของตนหน้าเครื่องยนต์ที่กำลังจะประกอบใส่รถคันงามในโซนผลิต


                พยอนแพคฮยอนทำงานที่นี่เพราะจงอินบอกให้มาช่วยกันทำ เป็นการเรียนรู้แล้วก็ตรงกับสายที่เรียนด้วย อย่าทำหน้าแบบนั้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะตัวเล็กจิ้มลิ้มน่ารักมากมายเพียงใด อย่างที่เพื่อนมันชอบย้ำและไอปาร์คชานยอลมันชอบกล่าวหา แต่แพคฮยอนคนนี้ก็แมนมากพอจะเรียนวิศวกรรมนะ!


               


                เข็มนาฬิกาใหญ่ยักษ์บนฝาผนังในอู่บอกเวลาพักเที่ยง พนักงานและลูกจ้างรวมถึงช่างคนอื่นๆก็พากันออกไปหาอะไรใส่ท้องกันหมด แน่นอนว่าคนที่ทำงานเพลินอย่างคิมจงอินยังไม่ขยับไปไหน ส่วนเพื่อนสนิทเองก็ตั้งใจเหลือเกินด้วยการรีบวิ่งฉิวชวนจองอึนซลออกไปซื้อของกินเมื่อสิบห้านาทีก่อน


                ขณะที่กำลังเช็คน้ำมันเครื่อง จู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าขาวๆยุ่งๆดูบึ้งตึงขมวดคิ้วมุ่นของน้องชายนอกสายเลือดเข้าพอดี นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองผ้าคล้องแขนที่ใส่ไว้อย่างเดิมข้างขวาแล้วแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานที่อยู่ตรงหน้า


                การกระทำเมินเฉยทำให้คนอ่อนเดือนกว่าชักสีหน้าเข้าไปอีก เจ้าตัวยกปลายเท้าขึ้นสะกิดขายาวของคิมจงอินไม่เบานัก จนอีกฝ่ายต้องหันกลับมาเผชิญหน้าเสียไม่ได้


                “อะไรอีกอ่ะ”


                “หิวข้าว”


                ริมฝีปากแดงอ่อนเวลาไม่พูดนี่มันก็ดีอยู่หรอก ขยับเมื่อไหร่คิมจงอินล่ะเบื่อหน่าย นัยน์ตาสีน้ำตาลกลอกไปมาอย่างรำคาญ


                “แม่บ้านในบ้านก็มี ทำไมต้องมากวนคนอื่น”


                “ก็คนอื่นมันทำแขนชาวบ้านเขาเกือบหัก” หาเหตุผลร้อยแปดที่จะสามารถจิกใช้คิมจงอินเข้าว่า อย่างน้อยช่วงเวลานี้ก็ขอสะใจ ขอทำอะไรให้หายหมันไส้หน่อยเถอะ หรือจะบอกว่าเขากำลังเอาคืนก็ไม่ผิด อยากเอาความกลัวของเขามาล้อเล่นทำไมกัน โทษฐานที่ทำเขาหัวแตกก็สมควรแล้ว


                เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องลงที่เดิมแล้วหันไปจ้องใบหน้าขาวของเซฮุนนิ่ง หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย


                “อย่าทำให้ฉันคิดว่านายเรียกร้องความสนใจได้ไหม ความจริงเราควรจะอยู่ใครอยู่มัน”


                “แต่ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือไง” คนผิวขาวเริ่มจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำเหมือนรังเกียจเขาเต็มประดา จริงๆเซฮุนก็รังกียจ แล้วยังไงอ่ะ ต้องแสดงออกขนาดนี้เลยหรือไงวะ และเพราะคำพูดถัดมามันสะกิดแผลในอดีตจึงทำให้คนอ่อนเดือนกว่าสะอึกไป


                “แล้วนายรับผิดชอบอะไรล่ะโอเซฮุน”


                แววหวานสั่นระริกวูบไหวไปชั่วครู่ที่ได้ฟัง ก่อนจะเบนหลบมองออกไปทางอื่น กายบอบบางหมุนกลับหลังเตรียมจะก้าวเดินออกไปจากโรงงาน โดยไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายประโยคราวกับขู่กรรโชกก็ไม่ปานในความรู้สึกของคนฟัง


                “เออดี คุณพ่อจะได้รู้ไปเลย”


                “เดี๋ยว!” มือเรียวเอื้อมออกรั้งลำแขนกลมกลึงของอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน หยุดคนผิวขาวที่กำลังจะเดินออกไปทำอย่างที่ว่าจริงๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมากลัวโดนทำโทษ แต่ในเมื่อโอเซฮุนเล่นมาเขาจะยอมเล่นด้วยก็ได้ หากแต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับทำให้คิมจงอินต้องเลิกคิ้วมอง


                “อะไรอีกเล่า!” หน้าหวานงองุ้ม หันกลับมาหาอย่างเอาเรื่อง


                “ไม่เจ็บเหรอ”


                และเหมือนว่าเจ้าตัวเพิ่งจะนึกได้ เหมือนเซฮุนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าแขนข้างขวาที่ถูกดึงไว้นั้นกำลังบาดเจ็บสาหัส(?) แขนข้างที่หมอบอกว่าห้ามขยับเพราะอักเสบ ถึงแม้ว่าจะมาจากบทบาทที่เขาให้แสดงก็เถอะ ตอนนี้มันเวลาของการสวมวิญญาณคนป่วย เซฮุนที่อึ้งไปจึงชักสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมาทันที่ แล้วร้องเสียงดังจนพนักงานบางคนที่อยู่ด้านในหันมามอง


                “อ.. โอ๊ย! ก็ปล่อยเซ่!” ทำหน้าเหยเกอีกนิดให้อีกฝ่ายคิดว่าเจ็บมากจริงๆพลางประคองข้อศอกเบาๆ และมันจะได้ผลถ้าก่อนหน้านี้คิมจงอินไม่รู้ความจริง


                “หิวข้าวไม่ใช่หรือไง รอแป๊บนึงแล้วกัน เดี๋ยวอึนซลก็มาแล้ว” ปล่อยมือออกจากลำแขนขาว เลือกที่จะไม่พูดถึงอาการแกล้งเจ็บของคนแกล้งป่วย แล้วหันไปเช็ดมือกับผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ


                “อึนซล? ...อ้อ แฟนนายคนนั้น ...รักมากเลยมะ”


                “ก็รัก” แม้ว่าจะยังรู้สึกเหมือนเป็นน้องสาวคนนึงอยู่ตอนนี้ แต่เขาบอกแล้วไงว่าเขาให้โอกาส หารู้ไม่ว่าคำพูดสั้นๆนั้นมันทำให้อีกคนเงียบไป


                เซฮุนแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงอ่อนก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ กายสูงผอมหันหลังพิงเข้ากับตัวรถด้านข้าง และคงจะไม่รู้ว่าหัวคิ้วที่กำลังขมวดยุ่ง บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆข้างใน มันเกิดจากคำว่ารักเพียงคำเดียวของคิมจงอิน ดวงตาเรียวคู่สวยทอดมองไปเรื่อยเปื่อยรอบๆโรงงานกว้างขวาง ซึ่งมันก็มีแต่รถ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิด

     


                “มาแล้วววว วันนี้กินจาจังม... น้องเซฮุน!!” พยอนแพคฮยอนที่กลับมาจากซื้อของกินเบิกตากว้างทันทีที่เห็นคนในดวงใจ ร่างเล็กวิ่งทั่กๆเข้ามาใกล้ก่อนจะยัดทุกสิ่งทุกอย่างในมือไปให้เพื่อนสนิทแล้วเบี่ยงตัวมายืนฉีกยิ้มหวานส่งให้เซฮุนที่กำลังงง


                ดวงตาเรียวคู่สวยสำรวจใบหน้าน่ารักที่ดูแล้วไม่น่าจะเรียกเขาว่าน้องเท่าไหร่ แต่เดาว่าคงเป็นเพื่อนกับพี่ชายจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปหาคำตอบกับจงอินที่ยืนส่ายหัวระอาเสียแทน


                “พยอนแพคฮยอน เพื่อนฉัน”


                “อ้อ” พยักหน้ารับรู้เล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มบางส่งให้อย่างเป็นมิตร “น่ารักดี ..สวัสดีครับ ผมโอเซฮุน”


                แพคฮยอนแทบผงะกับคำว่าน่ารักของคนรุ่นน้อง แต่ก็ยิ้มแหยพลางยื่นมือออกไปทำความรู้จักอย่างเพลิดเพลินจนเซฮุนต้องหัวเราะออกมาเบาๆกับความสดใสเหลือเกินของอีกฝ่าย ก่อนที่มันจะหุบลงกะทันหันเมื่อเห็นกายสูงโปร่งของคิมจงอินเดินไปช่วยใครอีกคนถือของ


                ม่านตากลมกลอกมองตามการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มอ่อนโยน โดยไม่ทันได้สังเกตว่าแพคฮยอนที่จ้องมองตนเองอยู่กำลังขมวดคิ้วมุ่น เบนสายตาตามคนผิวขาวเผื่อไขข้อสงสัย ก่อนจะสลับกลับมาจ้องเซฮุนนิ่งแล้วก็เหมือนจะถึงบางอ้อ เหมือนจะเข้าใจอะไรลางๆบางอย่าง เหมือนว่าเขาจะพลาดอะไรไปนะตั้งแต่เป็นเพื่อนกับคิมจงอินมา


     


                ก็ไหนมันเล่าให้เขาฟังว่าน้องเกลียดมันไงวะ


                แต่ที่เขาเห็นนี่มัน....

     


                “ไปนานจัง พี่หิวจะแย่”


                “เว่อร์ค่ะ ไปแป๊บเดียวเอง” เสียงหวานใสกลั้วหัวเราะเบาๆที่อีกฝ่ายพูดจาว่าหวานใส่ ที่แท้เพราะเห็นแก่ของกิน ไม่ได้นึกถึงอย่างอื่นเลย


                ทั้งคู่เดินอ้อมไปวางของลงบนโต๊ะกว้างสี่เหลี่ยม โดยอึนซลไม่ลืมที่จะยิ้มทักทายและก้มหัวให้เซฮุนเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง หากแต่ใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรนั้นมันทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงหลบสายตาเย็นชาแล้วไปนั่งตรงข้ามกับคิมจงอิน


                “ยืนทำอะไรกันวะแพคฮยอน จะกินไม่กิน? ..ไหนนายบอกว่าหิวไงเซฮุน” คนที่ก้มหน้าก้มตาเปิดของกินเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดนิ่งจดจ้องใบหน้าขาว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะดูยังไงมันก็บึ้งตึงตลอดเวลา


                เมื่อกี้เห็นยิ้มให้เพื่อนเขาอยู่หลัดๆ เป็นอะไรไปอีกอ่ะ อารมณ์เรื่องมากจับหรือไง


                “เอ่อ.. แต่ฉันซื้อมาแค่สามที่เองค่ะพี่จงอิน ไม่รู้ว่าพี่เขาจะมากินกับเราด้วย”


                สายตาทั้งสามคู่เบนไปหาคนอายุน้อยที่สุด และเธอก็รู้สึกขยาดกับดวงตาเรียวที่เหลือบมา ก่อนคิมจงอินจะกวาดสายตามองของบนโต๊ะแล้วเอ่ย


                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้กินกับพี่ก็ได้” ยิ้มบางส่งให้หญิงสาว มือเรียวแกะซองตะเกียบเตรียมจ้วงบะหมี่สีดำจานใหญ่ตรงหน้า ทว่าต้องหันมาเรียกเพื่อนและน้องชายอีกครั้ง “มาดิวะ สองคนอ่ะ”


                พอเห็นอย่างนั้นแพคฮยอนจึงชะงักมือที่กำลังจะสะกิดแขนของเซฮุน เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าบาดเจ็บอยู่ ริมฝีปากบางจึงเอ่ยชวนเสียแทนพลางยกมือออกแรงดันหลังเบาๆ ตอนแรกก็ลังเลนิดหน่อยเนื่องจากบรรยากาศที่น้องเขาปล่อยมันมาคุเหลือเกิน แต่คนอยากจีบก็อยากทำคะแนน แม้ว่าใจจะถดถอยไปมากเมื่อเห็นสายตาของเซฮุนที่ส่งไปมองคู่หญิงชาย โดยเฉพาะเพื่อนเขาคิมจงอิน เหมือนมันจะไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนเพ่งเล็ง


                ทรุดตัวนั่งลงข้างพี่ชายนอกสายเลือดปุ๊บ เสียงใสๆก็แว่วเข้าโสตประสาททันที


                “แต่พี่จะอิ่มเหรอคะ”


                “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เซฮุนมันกินน้อยจะตาย” ฝ่ามืออุ่นเอื้อมไปยีเบาๆที่ผมนุ่มจนฟูน้อยๆ เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ หากแต่ไม่ทันได้สังเกตว่าสิ่งที่ตนเองพูดมันทำให้เพื่อนสนิทและคนที่เป็นหัวข้อสนทนาชะงักไป


                ยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้พยอนแพคฮยอนเริ่มจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างอีกนิด เพราะหลังจากได้ยินวาจาของคิมจงอิน วาจาที่เหมือนกับใส่ใจ วาจาที่เหมือนกับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของโอเซฮุนก็คลายลง และแม้ใบหน้าขาวจะเรียบสนิท แต่สีเลือดฝาดน้อยๆมันไม่สามารถปกปิดสายตาคนฉลาดอย่างเขาไปได้


                ฟังดูประโยคแบบนั้นของพี่ชายน้องชายทั่วไปมันคงจะธรรมดา แต่ถ้าเป็นพี่ชายกับน้องชายที่ประกาศปาวๆว่าไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างสองคนนี้ มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน


                “อ่ะ คนแขนหัก กิน”


                แล้วไอประเภทยกชามขึ้นมา คีบเส้นจ่อริมฝีปากแดงอ่อนบังคับแบบไม่เต็มใจอย่างนี้ เซฮุนจึงได้แต่กลอกตาพลางถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บแย่งตะเกียบมาจากอีกคน


                “กินเองได้!” และเพราะแขนข้างที่อักเสบหลอกๆมันอยู่ด้านเดียวกับจงอิน คนผิวขาวเลยต้องเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อจะกินได้ถนัด ก้านนิ้วเรียวคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก ตามด้วยตะเกียบจับยัดแล้วสูดทีเดียวเส้นที่แกว่งไกวก็พาเลอะไปหมด


                “กินยังไงให้เลอะ”


                !!!


                คราวนี้แหละชะงักไปทั้งโต๊ะ ยกเว้นเจ้าของการกระทำอย่างคิมจงอินที่ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดปากให้เซฮุน แม้แต่คนเป็นน้องชายที่เจอแบบนี้ก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ดวงตาเรียวคู่สวยเบิกน้อยๆกลอกมองใบหน้าคมเข้มอย่างตกใจ อะไรบางอย่างมันสั่นแปลกๆ อะไรบางอย่างที่เจ้าของมันยังไม่เข้าใจ


     

                อึ้งกับแผนบีไปเลยสิ โอเซฮุน


              มันยังไม่จบแค่นี้หรอก

     








    - - -
    นานจังกว่าจะได้แต่ละตอน คนแต่งเป็นประเภทคิดไม่ออกแล้วชอบไปเม้า เม้าแล้วก็ยาวอ่ะ 5555  ตีสอง อยากลงเลยก็เลยปั่น จะมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ ตอนนี้เอาเรื่องนี้ก่อน 
    ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และให้กำลังใจกลับด้วยคอมเม้นดีๆนะคะ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×