ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ღ Rival or Lover ღ :: kai x sehun ::

    ลำดับตอนที่ #4 : Rival or Lover :: 3 ::

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.23K
      35
      11 ธ.ค. 55


                บานประตูห้องน้ำถูกเปิดออกด้วยฝ่าเท้าของคิมจงอินที่ก้าวออกมายืนตากอุณหภูมิเย็นๆของเครื่องปรับอากาศภายในห้องนอน เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นพลางก้มลงมองน้องชายคนละสายเลือดที่นอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าหวานที่ซบอยู่ตรงหน้าอกเรียบนิ่ง เปลือกตาบางหลับพริ้มไม่รู้ราว คนเป็นพี่ที่ก่อเรื่องผ่อนลมหายใจก่อนจะนึกตำหนิกับตนเองที่เล่นเป็นเด็กๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพียงแค่หนอนสีเขียวตัวป้อมๆอีกฝ่ายจะกลัวอะไรนักหนา ถึงได้ลื่นล้มหัวฟาดไป


                ของเหลวสีข้นที่ไหลเปื้อนหน้าผากเนียนทำให้รู้ว่าตำแหน่งที่ฟาดคงจะเป็นขอบอ่างหรือไม่ก็อะไรสักอย่างก่อนล้มลง


                จงอินวางร่างไร้สติของน้องชายลงบนเตียงกว้างก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ ค้นเสื้อคลุมแขนยาวสีดำของตัวเองออกมาอย่างลวกๆแล้วสวมทับให้คนที่เปลือยท่อนบนท้าอากาศหนาวเย็น จัดการรูดซิบปิดเรียบร้อยแล้วก็ช้อนกายบอบบางขึ้นแนบออก มือเรียวค่อยๆเอื้อมเปิดประตูอย่างยากลำบาก แทรกตัวผ่านพาคนเจ็บออกจากบ้านอย่างเงียบที่สุด


                ถึงยังไงเขาก็ยังไม่อยากโดนพ่อดุ


                คิดอย่างนั้นแล้วก็ยัดคนอายุน้อยกว่าให้ขึ้นไปนั่งพร้อมปรับเบาะให้เอนลง จงอินคำรามในลำคอเบาๆอย่างหัวเสียกับฝีมือตนเองพลางดึงกระดาษทิชชูในกล่องตรงคอนโซลหน้ารถมาซับหยาดเลือดที่ไหลลงตามเรียวหน้า หัวคิ้วขมวดยุ่งก่อนจะปากระดาษอ่อนนุ่มสีขาวใส่หัวน้องชายอย่างหมันไส้ แล้วปิดประตูเดินอ้อมไปอีกด้านพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที


               


                ไม่นานหลังจากที่อนุญาตให้คุณหมอตรวจเช็คเอ็กซเรย์สมองบวกกับทำแผล นางพยาบาลก็เข็นรถเข็นออกมาจากห้องด้านใน ซึ่งมีโอเซฮุนนั่งทำหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ เพียงดวงตาเรียวคู่สวยเท่านั้นที่เหลือบมองมาทางเขาอย่างโกรธๆ บนหน้าผากเนียนมีผ้าก๊อซปิดแผลไว้อย่างเรียบร้อย ทว่าสิ่งที่เรียกความสนใจของคิมจงอินคือแขนยาวที่แน่นิ่งอยู่ในผ้าคล้องแขนตาข่ายนิ่มสีขาว


                “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ กะโหลกไม่ร้าวแค่บาดแผลเลือดออกบนศีรษะ” ชายในชุดกาวน์สีขาวรายงายอาการของคนเจ็บให้คนที่รออยู่ด้านนอกฟัง ซึ่งความสงสัยก็ยังไม่หมดไปจากใบหน้าหล่อเสียทีเดียว


                “แขนล่ะครับ”


                “โชคดีที่กระดูกไม่ร้าว แค่อักเสบ ช่วงนี้ไม่ควรให้ขยับแขนมากนะ”


                สิ้นเสียงคุณหมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลก็เหลือบมองใบหน้าขาวของโอเซฮุนที่ติดจะบึ้งตึงน้อยๆ คิมจงอินพยักหน้าแสดงการรับรู้ให้ชายวัยกลางคนแล้วเดินมาแทนที่นางพยาบาลเพื่อรับหน้าที่เข็นรถต่อ ทว่าพอจะก้าวเดินแล้วไปชำระค่ารักษา กายบอบบางที่ตอนแรกนั่งนิ่งก็เด้งตัวลุกขึ้นยืนกะทันหันแล้วเดินนำออกไปก่อน


                “อ้าวไอนี่” กระพริบตาปริบมองไล่หลังไปจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาก้มหัวให้อีกสองคนที่ยืนยิ้มแหยๆส่งให้เขา “ขอตัวนะครับ”


                พาตัวเองให้นั่งลงข้างคนอายุน้อยกว่าระหว่างรอเรียกรับยาและจ่ายเงิน ดวงตาคมเหลือบมองอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบ ก่อนจะต้องแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อกายบอบบางขยับหนีออกไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวคล้ายรังเกียจ เว้นที่ว่างไว้ตรงกลางพอดิบพอดี


                “อย่าเว่อร์ได้ป่ะ แค่หัวแตกทำสะดิ้งเป็นผู้หญิงไปได้”


                และประโยคของคนพี่ก็ทำเอาใบหน้าขาวของคนเป็นน้องหันขวับกลับมาเบิกตากว้างใส่ มองอย่างอึ้งๆให้กับท่าทีไม่ทุกร้อนอะไรนั่นเลย ริมฝีปากแดงอ้าออกเล็กน้อยพลางแค่นหัวเราะแล้วตอกกลับ


                “ลองให้ฉันจับหัวนายโขกกับอ่างอาบน้ำบ้างไหมล่ะคิมจงอิน ใครกันแน่ที่เด็ก เอาของแบบนั้นมาแกล้งคนอื่น มันเรียกว่าผู้ใหญ่ตรงไหนวะ กลับบ้านพ่อรู้เรื่องนี้แน่”


                “เชิญ ขี้ฟ้องอยู่แล้วนี่” ถ้าฟ้องได้ล่ะก็นะ เพราะคิมจงอินรู้สึกขยาดขึ้นมาทันทียามนึกถึงเวลาที่พ่อตัวเองเอาจริง ...จะเกลียดขี้หน้ากันแค่ไหน แต่พ่อของเขาไม่ชอบให้ทำร้ายกันเอง...


                พอเห็นว่าอีกฝ่ายยักไหล่ไม่ใส่ใจก็ไม่อยากต่อปากต่อคำอีก โอเซฮุนเลือกที่จะนั่งนิ่งๆรอเวลาให้อีกคนลุกไปจ่ายค่ายา ใบหน้าหวานบึ้งตึงยิ่งกว่าเก่าจนเรียกได้ว่าแทบจะกินหัวคนที่สบตาได้เลย ใครจะรู้ว่าในหัวเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยสายตาที่ทิ่มแทงไปที่แผ่นหลังกว้างตรงเคาน์เตอร์ก็สามารถบอกได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีกับจงอินนัก


                “จะนั่งรอให้ฉันอุ้มนายอีกไง” พอจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพคนพี่ก็เดินกลับมาแขวะคนน้องทันที เรียกสายตาแปลกใจจากคนผิวขาว


                “อุ้ม?”


                “ไม่ใช่มั้ง สลบคงเดินเองได้”


                “ไม่ได้ขอให้ทำ”


                “ก็ไม่ได้อยากทำ”


                ริมฝีปากแดงอ่อนที่กำลังจะอ้าเถียงหุบลงทันทีที่ได้ยินคำเพียงไม่กี่คำจากคนอายุมากกว่า ดวงตาเรียวเบนหนีจากการมองใบหน้าคมเข้มไปทางอื่นโดยที่ยังนั่งเฉยอยู่อย่างเดิม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


                “ถ้างั้นก็ไม่ต้อง”


                คนตัวสูงถอนหายใจราวกับเบื่อหน่าย ก่อนจะตรงเข้าฉุดแขนยาวข้างซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของน้องชายให้กายบอบบางลุกขึ้นยืนแล้วเดินตาม เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว ใช่ว่าเขาอยากจะยุ่งกับอีกคนจนอยากให้มันเกิดเรื่องวุ่นวาย ก็บอกว่าให้ต่างคนต่างอยู่ ถ้าไม่ชอบขี้หน้ากันนักก็ไม่ควรมาอยู่ใกล้


                แรงสะบัดทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว แล้วเดินนำไปที่รถ ปล่อยให้คนผิวขาวเดินตามมาเงียบๆ

               


                ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากรถคันสวยเข้ามาจอดในบ้านแล้วเรียบร้อย โอเซฮุนก็เดินตัวปลิวลงไปทันที ทิ้งให้คิมจงอินที่รวบถุงยาและล็อคประตูรถต้องรีบก้าวตามอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายปากโป้งได้สำเร็จ หากแต่แทนที่อีกฝ่ายจะรีบวิ่งไปฟ้องอย่างที่บอก เจ้าตัวกลับเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา และ...


                แกร็ก!


                ล็อคประตูจากด้านใน


                “โอเซฮุน!” ตะเบ็งเสียงเล็กน้อยพลางออกแรงทุบประตูสองสามที หัวคิ้วขมวดยุ่งพลางเหลือบสายตามองไปทางห้องนอนของพ่อและแม่ที่ประตูยังปิดสนิทดีอยู่ ประเด็นคือกุญแจสำรองอยู่ข้างในตอนเขานำมันไปไขประตูห้องน้ำ คิมจงอินทุบให้ตายไอน้องชายนอกสายเลือดมันก็คงไม่อกมาเปิด “ถ้าฉันเข้าไปได้เมื่อไหร่ นายโดนแน่”


               


                ได้ยินเสียงทุ้มขึ้นจมูกนิดๆดังลอดผ่านบานประตู คนเป็นน้องก็เบ้ปากอย่างหมันไส้ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องรีบวิ่งออกมาแทบจะทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าด้านในยังมีเจ้าหนอนสีเขียวตัวอ้วนกลมน่าขนลุกนอนขยับยุกยิกอยู่บนผ้าสีขาวตรงอ่างล้างหน้า


                มือขาวทำงานอย่างว่องไวในการบิดลูกบิดออกไปจากห้องนอน ยกมือซ้ายทาบหน้าอกบางที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ ดวงตาเรียวคู่สวยกระพริบถี่ราวกับพยายามจะลบภาพน่าสยดสยองเมื่อกี้ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตรงนี้ไม่ได้มีเพียงตนเอง เพราะพี่ชายเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกำลังยืนกอดอกยกยิ้มมุมปากมาทางเขา ขอบอกว่ากวนเบื้องต่ำโคตรๆ


                “ยิ้มอะไร! ไปเอาออกเดี๋ยวนี้เลย!


                “นึกว่าจะแน่”


                “แน่บ้าอะไร!” ตะคอกจนหน้าแดง แนวฟันขาวกัดริมฝีปากแน่น แววหวานที่ทอดมองใบหน้าคมเข้มหม่นลงทั้งยังสั่นระริก “..นายก็รู้ว่าฉันกลัวมัน..”


                อย่างน้อยมันก็ทำให้คิมจงอินสะอึกไป เขาไม่อยากจะพูด ก็เพราะรูว่ากลัวนั่นแหละถึงได้เอามาแกล้ง แต่เดี๋ยวเรื่องมันจะวุ่นวายกันไปใหญ่ คราวนี้นอกจากพ่อจะออกมาฆ่าแล้วเขายังโดนลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ห้องนอนอีกต่างหาก คนตัวสูงเลยเลือกที่จะเงียบแล้วยักไหล่ไม่ใส่ใจด้วยท่าทางกวนๆเสียแทน


                “คิมจงอิน! ไอคนนิสัยไม่ดี! ไอดำ!!!” กายบอบบางปรี่เข้ามาทุบอั่กเข้ากับหัวไหล่ของพี่ชาย ลงแรงกะว่าจะเอาให้อักเสบเหมือนแขนอีกข้างของเจ้าตัวเลยทีเดียว


                “โอ๊ย! แล้วจะตะโกนทำไมเนี่ย!!” เลยกลายเป็นว่าเสียงดังทั้งคู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองบานประตูห้องของผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังจะเปิดก่อนจะรีบวาดแขนรวบเอวเล็กคอดให้เข้ามาด้านในห้องนอนได้ทันท่วงที แล้วยื่นหน้าออกมายิ้มรับใบหน้าสะลึมสะลือของแม่


                “ไค เสียงดังอะไรกันลูก”


                “ไม่มีอะไรหรอกครับ ทะเลาะกันนิดหน่อย”


                “นอนได้แล้วนะ”


                “ครับ” รับปากไปอย่างนั้น ซึ่งคนเป็นแม่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะมันก็เป็นเรื่องปกติเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกัน พอคล้อยหลังแม่ จงอินก็ปิดประตูห้องนอนลงแล้วหันมาฉะกับโอเซฮุนที่ยืนนิ่งในอ้อมแขนต่อ ทว่าระยะห่างที่มันน้อยเกินไป รวมถึงม่านกลมสีดำที่มองแล้วไม่เข้าใจ ทำให้เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งชะงัก


                และเหมือนโอเซฮุนจะเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ตรงนี้มานานเกินไป คนผิวขาวจึงสะบัดพาตัวเองออกจากลำแขนแกร่ง ออกแรงมากก็ชักจะปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ แต่ก็ยังไม่วายออกปากว่าคนแก่เดือนกว่าให้หายแค้น


                “ทะเลาะกันนิดหน่อยบ้านนายสิ หัวแตกแขนหัก!


                “อย่าเว่อร์! มันไม่ได้ถึงขนาดหักสักหน่อย”


                !!!


                โอเซฮุนเงียบไป ลิ้นเล็กแลบเลียริมฝีปากแดงอ่อนก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เลือกที่จะเป็นฝ่ายยุติสงครามหย่อมๆนี้ซะ แล้วเดินไปทรุดตัวนั่งลงตรงปลายเตียงกว้าง เปลือกตาบางกระพริบมองพื้น พลันนึกขึ้นได้ว่าเสื้อที่ใส่อยู่มันไม่ใช่ของตนเอง ก้านนิ้วเรียวจึงจัดการรูดซิบลงจนสุดเผยผิวขาวเนียนบริเวณหน้าท้องแบนราบหากมีกล้ามเนื้อนูนเล็กน่ามอง แล้วถอดออกจากหัวไหล่ข้างหนึ่ง โดยที่ไม่หันกลับไปสนใจนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองอยู่เงียบๆ


                “จะทำอะไร” ในที่สุดก็เข้ามาเอ่ยห้ามพร้อมกับปัดมือขาวที่พยายามจะเอาสายคล้องคอออก “หมอบอกว่าไม่ให้ขยับแขน ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องไง”


                เซฮุนเพียงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะลงมือปลดที่คล้องคอออก เพราะไม่อยากจะพึ่งพาของของคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว คนตรงหน้าที่ทำให้เขาเจ็บขนาดนี้ก็ยังไม่มีคำว่าขอโทษ แต่ช่างมันเหอะ เขาไม่ได้คิดจะหวังอะไรอยู่แล้ว


                !!!


                ..ทว่าต้องเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงที่จู่ๆก็ย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นตรงหน้า


                “งั้นอยู่เฉยๆ” ปัดมือขาวออกอย่างรำคาญแล้วค่อยๆเอาผ้าตาข่ายคล้องแขนออก ตามด้วยแขนเสื้ออีกข้าง โดยที่เจ้าตัวพยายามประคองลำแขนของตัวเองเอาไว้ จงอินสบถเบาๆในลำคอกับความเรื่องมากของโอเซฮุน แต่ก็ยอมเดินไปหยิบเสื้อกล้ามสบายๆของเจ้าตัวออกมาสวมให้ แล้วใส่ที่คล้องแขนกลับไปอย่างเดิม “เสร็จแล้วก็นอนๆไปเลยไป”


                ว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการสัตว์ตัวน้อยๆที่น่าขยะแขยงเหลือเกินในความคิดของคนเป็นน้อง คิมจงอินออกจะมองว่ามันน่ารักไม่มีพิษภัย พอดีเห็นว่ามันเกาะกิ่งไม้ทำตัวเนียนอยู่หน้าบ้านเลยจับมา ตอนเด็กเคยทำยังไง ตอนโตก็ทำอย่างนั้นแหละ ไม่แปลกเลยสักนิดที่เซฮุนจะจำไม่เคยลืม


                “จะถอดกางเกงด้วยไหม” เลิกคิ้วถามกวนๆเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำพบว่าคนผิวขาวยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน และพอโดนทักเซฮุนก็ขยับปากมุบมิบคล้ายด่าไม่มีเสียงอยู่คนเดียวแล้วพาตัวเองให้นอนราบไปกับฟูกนุ่มพร้อมห่มผ้าให้ตัวเองเสร็จสรรพ เห็นอย่างนั้นคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องนอนเพื่อเอาของเล่นไปปล่อยก็เอ่ยขึ้นมาอย่างห้วนๆ ทำเอาคนได้ยินเบิกตาอย่างไม่เชื่อหู “ขอโทษ...”


                หวังว่าคืนนี้จะไม่นอนฝันร้ายให้เขารำคาญอีกเท่านั้น


     

    * * * * *


     


                “นี่มันอะไรกัน”


                คิมจงอินไม่ได้ลืมคิดไปว่าอาการบาดเจ็บของโอเซฮุนซ่อนไม่ได้ ไม่ได้ลืมคิดไปเลยสักนิด เพราะแค่เดินลงมาร่วมโต๊ะอาหารเช้าเสียงทุ้มของคนเป็นพ่อก็เอ่ยถามอย่างคาดคั้นพลางพยักพเยิดมาที่กายสูงเพรียวด้านหลัง ก่อนจะตวัดสายตากลับมาหาเขาเหมือนเดิม จงอินเพียงแต่ยืดเวลาและทำข้อตกลงกับโอเซฮุนนิดหน่อยก่อนจะโดนพ่อแท้ๆเค้นความจริง


                “พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ทำน้องน่ะไค” หัวหน้าครอบครัวเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าคมตามแบบผู้ใหญ่ดุดันมองลูกชายอย่างตำหนิ แบบนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด


                “ผมเปล่า..” ก็หนอนไง หนอนทำ คิดในใจสบตาดุๆของพ่อเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเอง เรื่องเนียนนี่ขอให้บอก


                “แล้วน้องแขนหักได้ยังไง”


                “เอ่อ.. คุณพ่อ เซฮุนล้มเองครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่อักเสบนิดหน่อย แล้วก็หัวแตก” บอกยิ้มๆ ดวงตาเรียวหยีลงน่ารักรับริมฝีปากแดงอ่อนช่างพูดช่างจาที่โค้งขึ้น ทำเอาคนมองใจอ่อนยวบแทบลืมหัวข้อสนทนา “ไปกินข้าวกันเถอะ หิวแล้ว”


                “ไปสิลูก”


                “ตกลงมันหรือไคกันแน่ที่เป็นลูกพ่อ พูดอะไรนิดหน่อยก็เชื่อไปหมด”


                “ลูกพ่อสองคนโอเคไหม เลิกน้อยใจแล้วไปกินข้าวกันได้แล้ว” อย่างน้อยเสียงทุ้มดุก็อ่อนลง แล้วดูเหมือนว่าหัวหน้าครอบครัวจะไม่อยากคาดคั้นต่อเท่าไหร่ เพราะรีบเดินเอาใจลูกชายคนโปรดเข้าไปในห้องอาหารแล้วเรียบร้อย


                “เปล่าอีกนั่นแหละ” หมายถึงที่บอกว่าน้อยใจคิมจงอินก็ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ แค่หมันไส้คนบางคนที่ชอบเอาพ่อมาเป็นตัวช่วยตลอด พอดีคิมจงอินมีแต่ความหล่อ ไม่ได้ขาวน่ารักประจบเก่งเหมือนใครบางคน


                ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างหน่ายๆ ก่อนจะก้าวตามเข้ามาเห็นทุกคนนั่งรอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ที่ทำให้เรียวคิ้วเข้มต้องเลิกขึ้นคือที่ว่างข้างโอเซฮุนต่างหาก เพราะนอกจากพ่อที่นั่งหัวโต๊ะแล้วเจ้าฮยอนอูประกบข้างโดยมีแม่นั่งถัดไป อีกด้านก็เป็นน้องชายนอกสายเลือดกับที่ว่างถัดไปเช่นกัน


                อาจเพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขามันดูแปลกใจ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในบ้านจึงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มใจดีที่บีบหัวใจของคิมจงอินได้อย่างประหลาด


                “น้องบอกว่าเมื่อคืนไคอุ้มน้องไปโรงพยาบาล ..แม่พลาดได้ยังไงนะ” เงยหน้าพูดกับเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่ยังยืนงง ประโยคหลังบ่นกับตัวเองแบบที่ได้ยินกันทั้งโต๊ะ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดีใจจนปิดไม่มิด “วันที่เราดีกันแม่ใฝ่ฝันมานานแล้ว อย่าทะเลาะกันอีกเลยนะลูก”


                คำตอบฉายชัดอยู่แล้วบนใบหน้าขาวๆของโอเซฮุน ฉายชัดถึงรอยยิ้มยั่วโมโหรวมทั้งกิริยายักคิ้วกวนอย่างคนได้เปรียบ แน่นอนคิมจงอินไม่ลืมว่าเรามีข้อตกลงอะไรกัน คิดอย่างนั้นก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งลงด้านข้างคนอ่อนเดือนกว่าด้วยหน้านิ่งๆ


                ก้านนิ้วเรียวจับช้อนส้อม นัยน์ตาคมกลอกมองสำรวจอาหารในจานก่อนจะตัดสินใจตักกุ้งผัดบร็อคโคลี่ใส่จานของตนเอง ทว่าขั้นตอนต่อไปนี่สิทำสองผู้ใหญ่งงตาแตก เบิกลูกตามองอย่างไม่พร้อมจะเชื่อเมื่อช้อนที่ตักข้าวคำเล็กๆติดตัวกุ้งถูกส่งไปจ่อที่ริมฝีปากแดงอ่อนของคนด้านข้าง และประเด็นสำคัญคือโอเซฮุนอ้าปากรับข้าวคำนั้นเข้าปากพร้อมรอยยิ้มหวานเชื่อมจนผู้ให้กำเนิดน้ำแทบพุ่ง


                “พ่อเห็นเหมือนแม่ไหม”


                “แม่ก็เห็นเหมือนพ่อสินะ”


                แปลกใจมากกว่าเดิมเพิ่มเป็นสองเท่า หลังได้ยินคำพูดเรียบๆออกมาจากปากของพี่ชายคนโตที่หันไปสั่งกับแม่บ้าน


                “เอาจานของเซฮุนไปเก็บก็ได้นะ เดี๋ยวให้กินกับผม ยังไงก็เจ็บแขนอยู่” จงอินพยายามไม่ใส่ใจกับยิ้มมุมปากของคนผิวขาว โดยก้มหน้าก้มตาตักข้าวป้อนอีกฝ่ายอย่างเดียว ระหว่างที่เซฮุนเคี้ยวอยู่เต็มปากนั้น พี่ชายก็จะหันมาตักใส่ปากตัวเองบ้าง และมันจะได้ถึงสองคำก่อนที่อีกฝ่ายจะเคี้ยวหมด


                “พ่อ”


                “หืม”


                “แม่ว่าเราต้องมีปาร์ตี้เล็กๆในบ้านแล้วล่ะ”

     

              

    * * * * *


     

     
               ขายาวก้าวเร็วๆเข้ามาภายในบ้าน ริมฝีปากอิ่มสบถเบาๆให้กับความสะเพร่าของตนเอง เรียวคิ้วขมวดเล็กน้อยพลางเหลือสายตาเห็นคิมฮยอนอูน้องชายวัยห้าขวบกำลังนอนดูการ์ตูนอยู่บนโซฟานุ่มบริเวณรับแขกโดยมีลูกจ้างในบ้านคอยดูแล จงอินยกยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าไปใกล้


                “พี่ฮะ!


                พร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นอีกทันทีที่กายเล็กๆวิ่งเข้าหา แขนทั้งสองข้างจึงออกแรงยกเจ้าน้องชายจนตัวลอยขึ้นจากพื้น


                “เดี๋ยวเย็นๆพี่จะกลับมาเล่นด้วยนะ ตอนนี้ก็นอนดูการ์ตูนไปก่อน ..แม่ไปไหนครับ” ท้ายประโยคหันมาถามกับหญิงสาวที่นั่งเล่นเป็นเพื่อนน้องชายคนเล็ก ซึ่งเธอก็ตอบรับอย่างรู้หน้าที่


                “คุณซึงมีออกไปทำธุระกับคุณแจโฮแล้วค่ะ”


                เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งพยักหน้าเป็นการรับรู้น้อยๆ พร้อมกับวางเจ้าตัวเล็กลงบนโซฟาอย่างเดิม โดยไม่ลืมจะยีผมนุ่มเบาๆคล้ายหมันเขี้ยว แล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตนเอง


                หลังจากทำความสะอาดแผลบนหน้าผากเสร็จเรียบร้อย คิมจงอินที่รับหน้าที่เป็นบุรุษพยาบาลชั่วคราวก็พาตัวเองให้ลงไปทำงานอยู่ในอู่ที่โชว์รูมรถไม่ไกลจากบ้านนี่เอง แต่ไม่ยักรู้ว่าการที่เขาลืมของไว้ในห้องจะทำให้ได้เห็นอะไรดีๆอย่างการที่โอเซฮุนซึ่งมองเห็นลอดผ่านช่องบานประตูเปิดแง้มกำลังถอดผ้าคล้องแขนออกแล้วโยนมันทิ้งบนเตียงกว้าง แถมยังออกแรงสะบัดแขนข้างขวาเบาๆเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่งอพับมาเป็นเวลานาน


                เท่านี้คิมจงอินก็รู้แล้วว่าตัวเองโดนต้มจนเปื่อย!


                แต่ถ้าอยากเล่นแผนเอ เขาก็จะจัดแผนบีให้


     

     






    - - -
    นานไปหน่อย (หราาา) ขอโทษนะคะสำหรับคนที่รอ มันแต่งได้ทีละนิดจริงๆ (มัวแต่โม้) ใครอยากอ่านก็บอกได้นะ เพราะมันจะเป็นการเตือนเค้าให้รีบๆทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันสักที และที่สำคัญมันทำให้เค้ารู้ว่ามีคนอ่านฟิค 

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันนะคะ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×