NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF :: HAEEUN :: BY LEE'DREAM

    ลำดับตอนที่ #10 : - THE FOX - | H B D LEE DONGHAE | (1/2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.73K
      13
      19 ส.ค. 59

    THE FOX

     

    TALK : มันมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านนานแล้วแถมอ่านไม่จบด้วยเพราะไม่มีแปลไทย

    ค้างๆคาๆในความรู้สึกเอามาแต่งเป็นเฮอึนเล่นดีกว่า แถมถือว่าสสวก.คุณ อี ทงเฮก ของฮยอกแจด้วยเลยละกันเนอะ

    อ่านได้ไม่ได้ยังไงก็บอกได้นะ

    ออกแนวพีเรียตนะ นึกถึงสภาพบ้านนอกๆริมป่าริมเขา ถนนมืดๆ แสงไฟไม่ค่อยมีนะ

    เรท 18+

     

    คริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนปลาย

    ชายคาตึกเรียนที่เงียบสนิทเพราะใกล้พลบค่ำเต็มที ร่างโปร่งในชุดนิสิตสีซีดกอดหนังสือแนบอกพยายามชะเง้อมองหาใครบางคนแต่ก็ไม่เห็นวี่แวว

     

    อี ฮยอกแจ ถอนหายใจยาวๆ วันนี้ตรงกับเทศกาลดอกไม้ไฟใครบางคนที่บ้านรับทำดอกไม้ไฟคงไม่โผล่มาแน่

    คิดแล้วก็น้อยใจ

    ทั้งๆที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดแต่ใครคนนั้นก็เว้นระยะห่างกับเขาซะจนรู้สึกได้ แถมพักหลังชอบหายไปไม่บอกไม่กล่าว หรือไม่ก็ไม่พูดจาพาทีกับเขาซักนิดทั้งๆที่ยืนอยู่ต่อหน้า

     

    นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่บนตึกกลางของวิทยาลัยตีบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง ฟ้ามืดสนิทเสียแล้ว ร่างบางถอนหายใจยาวอากาศเย็นชื้นเพราะฝนเพิ่งหยุดตก ขาเพรียวย่ำลงบนพื้นแชะ ตัดสินใจจะเดินกลับบ้าน

     

    ฟ้ามืด

    กลิ่นดินโชยอยู่ในอากาศ กลิ่นฝนยังไม่จาง

    วันนี้พระจันทร์เต็มดวงกลมสนิทลอยเด่นอยู่บนฟ้า

     

    บ้านของฮยอกแจอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากวิทยาลัยประมาณสามกิโลได้ มันไม่ได้ไกลเกินไปสำหรับเขาที่เคยชินกับเส้นทางแต่มันคงน่ากลัวไม่น้อยสำหรับใครที่ไม่เคยมา เพราะรอบข้างเป็นป่าไม้สนเรียงรายพงหญ้าพงไผ่ขึ้นทัดกันไปเรื่อย ทั้งยังไม่มีแสงไฟอื่นใดส่องสว่างนอกจากพระจันทร์สีนวลบนฟ้านั่น

     

    ฮยอกแจย่ำไปบนทางเฉอะแฉะนึกน้อยใจใครบางคนที่ทุกครั้งเวลามีฝนตกจะปั่นจักยานมารับเขาเพราะรู้ว่าฮยอกแจมักจะจมอยู่ในหอสมุดจนลืมเวลา แต่ช่วงนี้ไม่มี ไม่ใช่

    อี ทงเฮ ชื่อของใครบางคน คนที่เปลี่ยนไปจนฮยอกแจยังรู้สึกได้ถึงมัน

     

     

    ครืด.ด..ด..

    !!!

    เสียงดังขึ้นดังขึ้นด้านหลังทำให้ฮยอกแจชะงักฝีเท้า มองไปรอบกายทีมีเพียงต้นไม้พงหญ้าทึบๆและความมืด ยืนเงียบกวาดตามองหาสิ่งแปลกปลอมอยู่นานจนถอนหายใจออกมาบอกตัวเองว่าคงเป็นเสียงลม

     

    ร่างโปร่งเร่งฝีเท้า

    เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกออกไปแม้จะเคยชินกับเส้นทางเพราะใช้มาตั้งแต่เด็กยันโต แต่ก็รับประกันอะไรไม่ได้ว่ามันจะไม่อันตราย

     

    .

     

    .

     

    .

     

    กึก!

    ขาเพรียวชะงักกึกเมื่อเงาบางอย่างผ่านร่างตนไปหวูบหนึ่งแล้วหายไป

     

    “ใครน่ะ!?” ความมืดสลัวของป่าสนทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ชัด รอบกายเงียบสนิททั้งที่ฮยอกแจมั่นใจแน่แล้วว่ามีบางสิ่งที่สะท้อนเงาพาดผ่านตัวเขาไปเมื่อกี้ มือเรียวกระชับหนังสือแนบอกแน่นกวาดสายตามองฝ่าความมืดอย่างหวาดหวั่น

     

     

    กลัว

     

     

    จิตใต้สำนึกมันบอก..ยิ่งคำตอบที่สะท้อนมามีเพียงความเสียงลมหวีดหวิวกับไม้ที่เสียดสีมันยิ่งทำให้ที่หยุดยืนอยู่ท่ามกลางอากาศชื้นหลังฝนตกนั้นกลั้นหายใจ

     

     

     

    “ทงเฮใช่ไหม?” ยังนึกในแง่ดี อาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่ตามมารับเขา

     

     

     

    อึก... ร่างบางตัดสินใจเร่งฝีก้าวหนีบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนจนตอนนั้น

     

     

     

     

     

     

     

    “ย๊า!!!!

     

    พรึบ!

     

    หนังสือ กระเป๋า ทุกอย่างกระจายตกลงบนพื้นแฉะ เอวเล็กถูกลำแขนแกร่งรั้งไว้พอกับปากที่ถูกมือหนาปิดสนิท ฮยอกแจดิ้นรนพยายามแกะแต่แรงมหาศาลนั่นทำให้เขาทำได้เพียงแค่ขยับกายวุ่นวายเท่านั้น

     

     

    กลัว

    ในอ้อมแขนที่ไม่รู้จักความกลัวมันกัดกินหัวใจ ฮยอกแจพยายามส่งเสียงและเอาตัวรอดแต่ปีศาจร้ายกับลากเขาจากด้านหลังให้เข้าไปในพงป่าผิดจากทางที่ถูกถางไว้สัญจร

     

     

    ยิ่งไกล

     

     

    ยิ่งมืด

     

     

    อากาศยิ่งเย็น...

     

     

    ฮยอกแจไม่อาจเห็นหน้าเขาที่กระทำการอุกอาจ แต่จากสิ่งที่สัมผัสได้มันคล้ายเวทมนต์บางอย่างที่สะกดให้เขาไม่อาจรอดพ้น

     

    ปีศาจ...

     

     

    ความเชื่อเก่าแก่เกี่ยวกับปีศาจที่ชนพื้นเมืองแถบนี้เล่าขาน แต่ฮยอกแจไม่เจอนึกจะใส่ใจจนวินาทีนี้

     

     

    “อุก!” ร่างโปร่งถูกโยนกระแทกโคนต้นสนโดยมีร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนยืนคร่อมอยู่เหนือร่าง ร่างบางเจ็บร้าวแต่พยายามมองหาช่องทางหนีรอด

     

    ไกลจากถนน

     

     

    “แกเป็นใคร?” เอ่ยถามอย่างหวาดหวั่น เห็นชัดว่าเป็นชายไม่ใช่หญิงสาวแน่จากรูปร่าง มันสวมชุดพื้นถิ่นเนื้อผ้าสีทึบเก่าๆที่ดูขลังและน่าเกรงขาม เขามองไม่เห็นหน้ามันเพราะความมืด

     

     

    “ย๊า ปล่อยนะ ปล่อย!!!” ฮยอกแจตะกายหนีหากแต่แค่ก้าวเดียวก็ถูกปีศาจร้ายกระชากร่างทั้งร่างกลับมานอนจมโคลนแฉะๆใต้ต้นสนที่เดิม กลิ่นดินโชยใกล้จมูกมันนั่งคร่อมลงบนร่างเขาไม่พูดไม่จา

     

     

    “เฮ้ จะทำอะไน เฮ้ อย่าทำอะไรบ้าๆนะ!” ไม่มีคำตอบจากปีศาจร้าย เสียงคำรามบางอย่างในลำคอดังขึ้นขณะที่มันกระชากปลดเข็มขัดกางเกงของฮยอกแจ

     

    ร่างบางตะลึงพรึงเพลิดไม่รู้ว่าตนกำลังจะเจอกับอะไร พยายามตะกายหนีทั้งถีบทั้งดันคนที่ทรงอำนาจเหนือตน

     

    เพี๊ยะ!

     

    หน้าเรียวสะบัดตาแรงตบ มุมปากแตกบอกถึงแรงฟาดไม่ยั้งของใคนคนนั้น ฮยอกแจพูดไม่ออกชาไปทั้งหน้า เขาปลดกางเกงฮยอกแจออกปลดแม้แต่กางเกงชั้นในจนไม่เปลยท่อนล่างไว้คลุมกาย

     

    ฮยอกแจหนาวเหน็บ

     

    บนฟ้าพระจันทร์ยังคงลอยเด่น

     

    อากาศชื้นเย็น

     

     

    เสื้อสีขาวที่แนบลงกับฟื้นโคลนเลอะเต็มไปด้วยดินแดง แต่บัตินี้กลับไม่มีใครสนมัน สิ่งที่หันเหความสนใจของชายหนุ่มได้ดีที่สุดที่ริมฝีปากของปีศาจร้ายตนนี้ที่ทาบทับแนบสนิทราวกับจะกลืนกินกลีบปากเขาลงไป รสเลือดแปร่งๆจากมุมปากทำให้ความรู้สึกประหลาดพุ่งสูงขึ้นมาตามริ้วเนื้อหนัง

     

    ฮยอกแจเลิกดิ้นรนเพราะรู้แน่ว่ามันไม่มีประโยชน์

    เขาปล่อยให้เงามืดสูงตระหง่านนั้นนำพาอารมณ์ด้วยเรียวลิ้นที่แตะลงบนผิวกายเขา ความดิบร้อนของสัมผัสทำให้ร่างบางดิ้นเร่าอยู่ภายใต้การครอบครองเขาปีศาจร้าย จากผลักไสกีดกั้นให้ห่างกายแปรผันเป็นรัดโอบรั้งร่อนให้ผิวกายเสียดชิดแนบนำไม่ห่าง

     

    กลิ่นดินอยู่ที่ปลายจมูก สถานที่ไม่เหมาะควรแต่การกระทำแต่กลับปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้นมาอย่าน่าประหลาด ฮยอกแจไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรแต่ทุกสัมผัสที่มือกร้านนั้นลากผ่านเขารู้สึกสะท้านและร้อนรุ่มไปหมด

     

    โหยหา

     

    กลายเป็นเขาเองที่ดึงรั้งอีกฝ่ายให้แนบชิด ชิด ....ใกล้จนได้ยินเสียงคำรามยามที่บางสิ่งแทรกซอนเข้ามาในร่างกายเขา

     

    อ๊า...

    เสียงร้องก้องป่าสนแต่มันกลับกลืนหายไปในสายลมอย่างรวดเร็ว บางสิ่งคับแน่นอยู่ในร่าง ฮยอกแจกรีดปลายเล็บลงบนผ้ากลิ่นอับของคนพื้นเมืองนั้น แผ่นหลังใหญ่ที่โอบกระชับยามที่แอ่นกายรับสัมผัสหนักหน่วง

     

    เสียงคำรามของอีกฝ่ายอยู่ในลำคอ ไม่มีซักคำที่เอื้อยเอ่ย ไม่มีเสียงบ่งบอกความพอใจนอกจากเสียงขบกรามคล้ายอดกลั้นในบางสิ่ง ฮยอกแจไม่รับรู้อื่นได้นอกจากสิ่งที่เขาได้รับยามนั้น เขาเลยสนใจอากาศชื้นแฉะเสื้อที่เปื้อนโคลนหรือแม้แต่ท่อนขาที่เลอะไม่ต่างกัน ยามนี้เขามัวเมากับภาพพระจันทร์ที่มองเห็นกับสัมผัสร้อนเร้าของปีศาจร้ายที่สะกดเขาไว้ไม่ว่าจะด้วยมนต์คาถาหรืออะไรก็ช่าง

     

    มันน่าหลงใหล

     

    และน่าหวาดกลัว...แม้ยามหลับ หรือ ยามตื่น

     

     

    ........

     

     

     

    ...

     

     

     

    ..

     

     

    ฟ้าเริ่มสว่าง

    ร่างโปร่งปรือตามองไปรอบกาย

     

    ป่าสน...

     

     

    สิ่งแรกที่มองเห็นคือต้นสนที่บ่งบอกว่าเขาเองไม่ได้ฝันและมันเกิดขึ้นจริง ...

     

     

    ร่างบางขยับกาย ท่อนล่างเย็นหวาบบนถึงผิวเนื้อที่สัมผัสกับอากาศโดยตรง

     

     

    หายไปแล้ว...

     

     

    มันที่ ข่มขืนเขา .... หายไปแล้ว

     

     

    ร่างโปร่งขยับพยุงกายที่บอบช้ำให้ลุกขึ้น ใบหน้าร้อนวาบขึ้นมาเมื่อรู้สึกที่ถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในตัวเขา บางสิ่งที่ย้ำเตือนการมีตัวตนของใครคนนั้น

     

     

    ฮยอกแจนั่งนิ่งเพื่อเรียกสติตัวเอง สมองเรียบเรียงเรื่องราวไม่ค่อยทันนักเมื่อทุกอย่างตีกันยุ่งเยิง

     

     

    ในหัวมีแต่คำว่า.. ไม่มีแล้ว... ไม่อยู่แล้ว วนเวียน

     

     

    สายตากวาดหาร่างใหญ่ที่เขาได้สัมผัสเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

     

     

    ไม่มี

     

     

    ไม่มีเลย...

     

     

    ร่างบางตัดใจ สภาพเขายามนี้มันอนาถจนสมเพชตัวเอง

     

     

    ฮยอกแจเรียกสติตัวเองกลับมาเลิกมองหาอะไรบางอย่าง

     

     

    เขาต้องกลับบ้าน...

     

     

     

    แต่ก่อนจะลุกไปไหนได้มือก็ป่ายไปเจอกับบางสิ่งที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น...

     

     

     

     

    .....หน้ากากหมาจิ้งจอก

     

     

     




     

    เกือบปี

     

                เกือบหนึ่งปีผ่านไปพร้อมกับการหายไปแบบไร้ร่องรอยตามตัวของใครบางคนในป่าสน ปีศาจที่ทิ้งหน้ากากหมาจิ้งจอกเอาไว้ในคืนวันเทศการดอกไม้ไฟ

     

     

                ไม่ได้อยากจำ

     

     

                แต่มันยากเย็นเกินกว่าจะลืมมันได้

     

     

                แค่หลับตา ...แค่หลับตาลงสมองก็หวนนึกถึงสัมผัสหยาบโลนหื่นกระหายของปีศาจร้ายในความมืด มือใหญ่ที่ลูบไล้ไปทั่วร่าง ลิ้มชื้อที่สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของเขา

     

                ร่างเล็กขยับมือไม่หยุด นอนงอตัวอยู่บนเตียงอุ่นภายในบ้านตนเอง

     

     

                จิตใต้สำนึกบอกตนเองว่าอย่าลืมตา อย่าเพิ่งให้ความผิดชอบเข้ามาแทรกแซงอารมณ์ความต้องการในยามนี้

     

     

                ร่างบางกัดฟันขยับมือถี่ยิบเพื่อปลดปล่อยความต้องการของตนเอง

     

     

     

                อ๊า....

     

                ของเหลวฉีดพ่นเปรอะมือสวยแต่ฮยอกแจไม่ได้ใส่ใจมัน ตากลมลืมขึ้นมองหลอดไฟหรี่บนเพดานด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

     

     

                รับรู้ความจริง..

     

     

                ความจริงที่ว่าไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ฮยอกแจใช้สำผัสเลวร้ายในคืนนั้นเพื่อสัมเร็จความใคร่ของตนเอง

     

     

                ทุกครั้ง ทุกหน จะต้องเป็น มันอย่างที่ควบคุมไม่ได้

     

                ละอายแก่ใจ อายที่รู้ว่าตัวเองฝักไฝ่ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่ฮยอกแจก็ไม่อาจจะห้ามตนเองได้

     

     

                ร่างบางเหวี่ยงผ้าห่มออกจาตัว พาร่างเปลือยเปล่าไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระคราบคาวบางอย่าง

     

     

                วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องไปวิทยาลัย

     

     

                ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการศึกษาแต่แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้นเพราะผ่านการเรียนมาได้จนขนาดนี้แต่สำหรับฮยอกแจมันแย่ลง

     

     

                ทงเฮทิ้งเขา

     

     

                เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาจู่ๆปีที่แล้วก็ย้ายสาขาเอากลางเทอม ทิ้งเขาแบบไม่บอกกล่าว ไม่มีแม้แต่คำลา หรือจนทุกวันนี้ฮยอกแจก็ยังไม่ได้คุยกับทงเฮซักคำ

     

                จู่ๆก็เปลี่ยนไปดื้อๆแบบที่ฮยอกแจเองก็ไม่เข้าใจ ตอนแรกๆก็พยายามจะไล่ตามถามข่าวแต่ดูจะเป็นตัวทงเฮเองที่ไม่อยากคุยกับเขาทั้งยังหลบหน้าสุดท้ายฮยอกแจจึงต้องยอมแพ้

     

     

                จริงๆทุกอย่างมันควรจบตรงนั้นถ้าหากเทอมนี้การเรียนตัวสุดท้ายไม่ต้องเรียนรวมทั้งสาขาของเขาและสาขาของทงเฮ

     

     

                การเจอกันอีกครั้งยิ่งทำให้ฮยอกแจข้องใจ เขาไม่เคยถามว่าทำไมทงเฮถึงเปลี่ยนไป

     

                นึกโทษตัวเองว่าทำอะไรไม่ดีให้ทงเฮโกรธหรือไม่

     

     

                แต่เปล่าเลยไม่มีซักอย่างที่ฮยอกแจคิดออก ไม่มีแม้แต่นิด

     

     

     

                ฮยอกแจไม่อยากให้เรื่องของเขากับทงเฮจบแบบนี้ เพื่อนสนิที่สุดตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยของเขาตีตัวออกห่างกันแบบนี้มันไม่สนุกเอาซะเลย

     

     

     

                ฮยอกแจเฝ้ากังวลเรื่อง เพื่อนรัก

     

     

     

                แต่อีกเรื่องที่ฮยอกแจกังวลยิ่งกว่าเรื่องเพื่อนก็คือ มันคำถามที่ต้องการคำตอบยิ่งกว่าทงเฮโกรธอะไรเขาก็คือสิ่งที่เขาเจอในป่าสนนั้นมันคืออะไร

     

     

                คน ปีศาจ หรือตัวอะไร?

     

     

                หน้ากากหมาจิ้งจอกยังคงถูกวางไว้บนชั้นวางหนังสือและถูกหยิบขึ้นมามองทุกคราวที่เจ้าของห้องเผลอไผล

     

     

                ใครกัน....

     

     

                คำถามที่วนเวียนตลอดมาเกือบปี....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “ฮยอกแจ” เสียงตะโกนเรียกตามหลังตอนที่ร่างโปร่งหอบหนังสือออกจากหอสมุดวิทยาลัยที่กำลังจะปิดในเย็นวันนั้น

     

     

     

                “อ่า ...คิบอม?” แปลกใจไม่น้อยที่เพื่อนต่างสาขามาทักเพราะปกติก็แทบไม่เคยคุยกัน รู้จักชื่อก็เพราะเคยเรียนร่วมก็เท่านั้น

     

     

     

                “ฮยอกแจรีบรึเปล่า?” ร่างสูงวิ่งตามมาหยุดตรงหน้าเขา

     

     

                “ไม่หรอกคิบอมมีอะไรรึเปล่า?”

     

     

                “คืองี้ วิชาพฤษศาสตร์ที่เรียนร่วมน่ะเราไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ปีนี้ปีสุดท้ายแล้วกลัวจะไม่จบเอา เราไปปรึกษาอาจารย์มาท่านบอกว่าฮยอกแจเก่งที่สุดในห้องให้ลองมาคุยกับฮยอกแจดู”

     

     

                “อ่า ไม่ขนาดนั้นหรอก” ร่างบางถ่อมตน

     

     

                “แต่ฮยอกแจเป็นความหวังของเราเลยนะ คือยังไงช่วยเราหน่อยสิ” คิบอมเอ่ยอย่างอ้อนวอนครั้นร่างบางจะเอ่ยปากปฎิเสธเพราะไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับใครก็นึกเกรงใจจึงได้แต่ยิ้มแหยๆให้อีกฝ่าย

     

     

                “แล้วคิบอมจจะให้เราช่วยยังไงหรอ?”

     

     

     

                “ก็ช่วยสอนพิเศษเราหน่อยขอเข้มๆ ใกล้สอบปลายภาคแล้วด้วย” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเจ้าสเน่ห์

     

     

                “อ่อ แล้วจะให้เริ่มเมื่อไหร่ละ”

     

     

                “อืม พรุ่งนี้ได้ไหมแต่พี่บ้านเราไม่ค่อยว่างคนเยอะเลยเราไปเรียนตอนเย็นที่บ้านฮยอกแจได้ไหมให้เราจ่ายค่าสอนก็ได้นะ เรารบกวนไปรึเปล่า?”

     

     

     

                “ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง แต่เราต้องอ่านหนังสือเหมือนกันเอาเป็นว่าเราจะสอนคิบอมให้ถึงหนึ่งทุ่มละกันนะ”

     

     

                “อืม ฮยอกจะอยู่ที่หอสมุดตอนเย็นใช่ไหมละงั้นเราเจอกันที่หอสมุดแล้วค่อยไปบ้านฮยอกแจละกัน” คิบอมสรุป

     

     

                “อ่า ตามใจนาย”

     

     

     

                “งั้นลงไปกันเถอะฟ้าจะมืดแล้ว” คิบอมเอ่ยชวนเมื่อมองออกไปนอกอาคารเรียน “ฮยอกแจกลับค่ำแบบนี้ทุกวันเลยหรอ?”

     

     

                “อืม ก็ปกติของเรานะ”

     

     

     

                “ขยันจังเลย” คิบอมเอ่ยชม ร่างบองก้มมองสองเท้าที่เก้าเดินอย่างจดจ่อเหตุผลหนึ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมตนถึงกลับบ้านค่ำทุกวันมันไม่ใช่เหตุผลของการเรียนเลยแต่เพราะเขาอยากเจอบางสิ่งอีกครั้งต่างหาก

     

     

                เขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

     

     

     

                “งั้นเราไปส่งฮยอกแจดีกว่า” คิบอมเอ่ยปากอย่างมีน้ำใจ

     

     

     

                “เฮ้ย ไม่ต้องหรอกเรากลับเองจนชินแล้วคิบอมกลับไปเถอะ”

     

     

     

                “ได้ไงกัน แค่นี้เองเรามีจักรยานมาดีกว่าเดินนะ ถือว่าขอบคุณที่ฮยอกแจตกลงช่วยเราไง” คิบอมไม่ยอมตามฮยอกแจทั้งยังเสนอทางที่ฮยอกแจได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้

     

     

                “อ่า...”

     

     

                แก๊ก!!

                ทั้งสองสะดุ้งหันพรึ่บไปยังที่มาของเสียง ร่างหนาของใครบางคนกำลังย่ำห่างออกไปจากพวกเขาด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าเจ้าตัวคงรีบมาก

     

     

                “นั่นทงเฮนิ” คิบอมเอ่ยทักมองตามใครบางคนที่เดินทิ้งห่างออกไปแบบไม่ชายตาแลพวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น

     

     

     

                “ฮยอกแจเป็นเพื่อนกับทงเฮใช่ไหม?” คิบอมหันมาถามเพราะจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน

     

     

                “อื้อ”

     

     

     

                “แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ไปด้วยกันแล้วละ?”

     

     

     

     

                “ก็ยุ่งๆละมั้ง ทงเฮก็ย้ายสาขาไปสาขาเดียวกับคิบอมนี่” ฮยอกแจเลือกจะโกหก

     

     

     

                “อือ แต่หมอนั่นน่ะแปลกๆนะ มาเรียนสาขาเราพวกเพื่อในสาขาแถบจะไม่เคยคุยด้วยเลยเจอหน้าแค่ตอนเรียนแค่นั้นแหละทำตัวลึกลับสุดยอด”

     

     

     

                “งั้นหรอ” ร่างบางรับฟังหันมองไปตามทางเดินที่เมื่อกี้มีใครอีกคนเดินอยู่ตรงนั้น

     

     

     

                ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้คุยกันแต่สำหรับฮยอกแจนั้นเขาตัดทงเฮไม่ขาดเลย เขายังคงห่วงอีกฝ่ายอยู่เสมอและอยากจะทวงถามความผิดของตัวเองว่าทำอะไรให้ทงเฮไม่พอใจหรือไม่

     

     

                คิบอมรับฮยอกแจซ้อนจักรยานและพาขี่ไปตามทางสลัวๆ ยังดีที่จักรยานมีหม้อแบตสำหรับจ่ายไฟหน้ารถให้พอขี่ฝ่าความมืดมิดไปได้บ้าง

     

     

                จนถึงบ้านฮยอกแจจำไม่ได้ว่าเพื่อนใหม่ที่จะมาเป็นลูกศิษย์เขาในวันพรุ่งนี้เอ่ยปากบอกลาว่ายังไงบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิบอมเข้าบ้านเขามาหรือว่าจอดให้เขาลงแล้วกลับไปเลย

     

     

                ในหัวนึกวนเวียนถึงแผ่นหลังของใครบางคนที่เดินหลีกห่าง

     

     

     

                อกซ้ายมันกระตุกหวูบ

     

     

     

                คำถามมากมายที่ไม่เคยมีคำตอบ

     

     

     

                ฮยอกแจอยากรู้....

     

     

     

     

                ..............

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ......

     

     

     

     

     

     

     

     

                ...

     

     

                รางบางเหวี่ยงกระเป๋าเรียนและหนังสือลงบนโต๊ะกลางบ้านก่อนจะออกวิ่งแบบไม่เหลียวหลังเพื่อไปหาใครบางคน

     

     

                ใครบางคนที่ไม่ได้คุยกันนานเหลือเกิน

     

     

     

     

                บ้านทงเฮเป็นร้านขายของชำและรับจ้างทำพวกดอกไม้ไฟ ที่นี่จึงประดับประดาด้วยผ้าแทบสีสันต์เพื่อเรียกคนเข้าร้าน

     

     

     

                ร่างบางยืนมองประตูหน้าบ้านของเพื่อนสนิทที่ตนเองเคยคุ้นเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้

     

     

     

     

                “พ่อครับ” ร่างบางเอ่ยเรียกชายชราที่กำลังจะปิดหน้าร้าน

     

     

     

                “อ้าวฮยอกแจ มาหาทงเฮรึไง?”

     

     

     

                “ครับพ่อ”

     

     

     

     

                “อยู่ในห้องน่ะ ไปสิ” บิดาทงเฮไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนไปในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าฮยอกแจไม่ได้มมาบ้านเขานานเท่าไหร่แล้ว

     

     

     

                “ขอบคุณครับ”

     

     

     

                ร่างบางเดินขึ้นชั้นสองของบ้านอย่างชำนาญก่อนจะหยุดเท้าอยู่หน้าห้องของใครบางคนอย่างชั่งใจ มือเรียวยกขึ้นหมายจะเคาะแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นผลักเข้าไปแทน

     

     

                !!!!!

                ร่างสูงที่กำลังปลดเสื้อตัวเองชะงักกึกหันมามองผู้บุกรุกอย่างไม่เชื่อสายตา

     

     

     

                “มาทำไม?” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามคนเป็นเพื่อน ฮยอกแจยืนแนบประตูก้าวขาไม่ออก ตอนนี้เห็นทงเฮยืนอยู่ตรงหน้าแต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา

     

     

                กลัว

     

     

                ไม่รู้ทำไมแต่ฮยอกแจกลับรู้สึกกลัวทงเฮ

     

     

     

                “ถ้านายไม่มีธุระอะไรก็กลับไปเถอะ” เสียงเข้มเอ่ปากอย่างเย็นชาก่อนจะเลี่ยงไปนั่งหันหลังให้ร่างบางที่โต๊ะหนังสือทำทีไม่สนใจคนที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องตนทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาร่วมปี

     

     

     

                “ฉ...ฉันไม่เอาแบบนี้นะทงเฮ” ร่างบางเอ่ยเสียงเครือ ทงเฮนิ่งไปแต่ยังไม่ยอมหันกลับมามองหน้ากัน

     

     

     

                “ฉันทำผิดอะไร ทำอะไรให้นายไม่พอใจหรือ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้” ฮยอกแจทวงถามสิ่งที่คาใจเดินเข้าไปใกล้อยากจะเอื้อมมือแตะตัวอีกฝ่ายแต่ทงเฮลุกหนีกก่อนจะหันมาประจัญหน้า

     

     

     

                “จะเรียนจบแล้วนะฮยอกแจ เลิกใส่ใจเรื่องไร้สาระเถอะ” เขาเอ่ยอย่างไม่ใยดีจนน้ำตาหยดน้อยไหลลงอาบหน้าเพื่อนสนิท

     

     

                ฮยอกแจคงเป็นเรื่องไร้สาระของทงเฮสินะ

     

     

     

                “เรื่องของทงเฮไม่ใช่เรื่องไร้สาระสำหรับเรา เราอึดอัดแค่ไหนช่วงที่ผ่านมาทงเฮไม่รู้สึกเลยหรือไง เรื่องของเราความรู้สึกเราคงไร้สาระมากสินะ”

     

     

                “....” ทงเฮไม่มีคำตอบให้คำถามพวกนั้นเขาเลือกจะเบือนหน้าหนีดวงตากลมที่เอ่อไปด้วยน้ำตา

     

     

     

                “นายก็สบายดีนี่ฮยอกแจ ฉันเองก็ปกติสุขดีไม่เห็นมีใครเป็นอะไร”

     

     

     

                “เป็นสิ! ฉันเป็น ฉันไม่มีความสุขซักนิด ฉันเคยคิดว่านายจะอยู่เคียงข้างกัน ฉันเคยไว้ใจแต่สุดท้ายวันที่ฉันต้องการนายมากที่สุดนายก็หายไป หายไปแบบไม่มีเหตุผลให้ฉันได้รู้เลยว่ามันเพราะอะไร” ประโยคยาวเหยียดกบั้วเสียงสะอื้นจนคนฟังได้แต่เม้มปากแน่น

     

     

     

                “นายก็เลิกคิดซะสิ กลับไปได้แล้ว” ทงเฮไล่

     

     

     

                “ทำไม นายไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนนายแล้วใช่ไหม?”

     

     

     

                “....คิดซะว่าเราไม่เคยเป็นเพื่อนกัน”

     

     

                !!!!

     

     

                “ทงเฮ!” ฮยอกแจมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อหู อี ทงเฮ ใจร้ายกับเขาเหลือเกิน

     

     

     

                ใจร้ายที่สุด

     

     

                ร่างบางวิ่งออกมาจากห้องนั้นอย่างไม่รั้งรออะไรอีก เจ็บเหลือเกินกับคำพูดไม่ใยดีของเจ้าของห้อง

     

     

                เจ็บกับคำตัดสัมพันธ์ของเพื่อน

     

     

                ยอมรับว่าวันที่เลวร้ายที่สุดหลังจากตื่นมาในป่าสนฮยอกแจอยากเจอทงเฮ อยากให้ทงเฮอยู่ข้างๆ อยากจะข้ามคืนวันในความทรงจำโหดร้ายนั้นไปพร้อมกับทงเฮ

     

     

                แต่สุดท้ายก็เหลือแต่เขา

     

     

     

                มีแต่เขาจนวินาทีนี้

     

     

     

                ...............

     

     

     

                .....

     

     

     

                ..

     

     

                ใบหน้าเข้มเครียดขึงเหม่อมองไปนอกระเบียงห้องนอนที่เผยทางเดินหน้าบ้านเขา ใครบางคนเพิ่งวิ่งออกไปทางนั้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

     

     

     

                มือหน้ากำราวระเบียงแน่น ภาพเมื่อเย็นฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก

     

     

     

                “นายมีคนอื่นแล้วฮยอกแจ.... นายมีคนอื่น!




     

    ฮยอกแจไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอีกตั้งแต่วันที่เขาถูกเพื่อนรักไล่ให้พ้นหน้า ร่างบางคิดทบทวนความผิดของตนเองวนเวียนอยู่แบบนั้นจนแทบข่มตาให้หลับไม่ได้ในแต่ละคืน แต่คิดจนปวดหัวเขาก็ค้นหาความผิดของตนไม่เจอ

     

    ทำไมทงเฮทิ้งกันแบบนี้?

     

     

    เกลียดกันหรือ?

     

     

    รำคาญกันแล้วหรือ?

     

     

    ฮยอกแจไม่รู้เลย ไม่รู้แม้แต่นิด ...

     

    เวลาดำเนินไปร่วมเดือนฮยอกแจต้องสอนพิเศษให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่างคิบอมซึ่งก็เพิ่มความสนิทสนมมากขึ้นเพราะความไว้ใจคนง่ายของฮยอกแจเอง

     

    คิบอมกลายเป็นเพื่อนที่เข้านอกออกในบ้านฮยอกแจได้ไปแล้ว ทั้งบางครั้งที่ฮยอกแจรู้สึกไม่ได้คิบอมก็เสนอที่จะใช้ห้องนอนของฮยอกแจในการสอบพิเศษก็ได้ ซึ่งในตอนแรกฮยอกแจไม่เห็นด้วยแต่คิดอีกทีก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกต่างเพราะทั้งคู่เป็นผู้ชายด้วยกัน

     

     

    “วันนี้พอแค่นี้นะ” ร่างบางยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะรวบหนังสือเก็บเข้าชั้น คิบอมก็ทำเช่นเดียวกัน

     

     

    “ขอบใจฮยอกแจมากนะ” คิบอมจัดกระเป๋าตัวเองพลางยิ้มตาหยีส่งมาให้ร่างเล็กที่ยืนรอส่งตนอยู่

     

     

     

    “อืมไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกัน” ฮยอกแจยิ้มกลับแม้จะรู้สึกข้องใจไม่น้อยกับสายตาเยิ้มเกินปกติของอีกฝ่าย

     

     

     

    “งั้นเรากลับก่อนนะ” คิบอมบอกลาก่อนจะสะพายกระเป๋าออกมา

     

     

    ฮยอกแจตามลงมาปิดล็อกประตูบ้าน ด้านนอกไม่มีแสงไฟ ฟ้ามือสนิทเพราะเกือบจะสามทุ่มแล้ว

     

     

    เงียบ...

     

     

    หมู่บ้านแถบนี้เงียบเสมอ ฟ้ามืดทุกคนก็จะเก็บตัวบ้านใครบ้านมัน ไม่มีแสงสี หรือสิ่งรบกวน

     

     

    ฮยอกแจเพ่งมองไปในความมืดความหวังเล็กๆในใจที่ถึงจะถูกเรื่องอื่นกลบไปมากในช่วงนี้แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ความจริงอยู่ดี

     

     

     

    ............

     

     

     

     

     

    ........

     

     

     

     

     

     

     

     

    ...

     

     

     

     

     

    ..

     

     

     

     

    “อึก...” ร่างเล็กอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง มือเรียวปัดป่ายไขว้คว้าอากาศหากแต่ไม่นานก็ถูกยึดไว้แล้วกดลงกับฟูกนอน อากาศเย็นเฉียบที่ปะทะกายทำให้ฮยอกแจปรือตาขึ้นมองความผิดปกติที่มี

     

     

    !!!!!!!

     

     

    เงาดำของร่างสูงทะมึนกำลังทาบทับอยู่บนตัวเขา ในความมืดสัมผัสเหล่านั้นกำลังกลับมาอีกครั้ง

     

     

    ใช่....

     

     

     

    ใช่มันแน่....

     

     

     

    มนตราหรือพลังบางอย่างพันเกี่ยวไม่ให้ร่างเล็กขยับหนีตอนที่ใบหน้าในความมืดนั้นก้มลงซุกไซร้ที่ซอกคอขาว

     

     

    ฝันหรือ?

     

    ถามตัวเองให้แน่ใจหากแต่สัมผัสไรหนวดที่ทิ่มตำผิวเนื้อจนแสบก็พอจะทำให้รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง

     

     

    “ขะ...เข้ามาได้ยังไง..?” ถามตะกุกตะกักเพราะแลเห็นบานหน้าต่างห้องตนยังปิดสนิท ประตูก็ลงกลอนไว้แน่นหนา

     

     

    “....” ไม่มีเสียงตอบมีแต่การลุกล้ำที่ฮยอกแจไม่ได้คิดจะขัดขืน

     

     

     

    โหยหา... และต้องการ...

     

     

    ฮยอกแจนั้นช่างไร้ยางอายที่ยอมรับความคิดนั้นของตนเอง กลิ่นกายของปีศาจร้ายที่แฝงกายในความมืดนั้นอบอวลไปด้วยความดิบเถื่อนที่ฮยอกแจอธิบายไม่ถูก

     

    มือหยาบเคลื่อนคลึงใต้สาปเสื้อ บีบเค้นไปทั่วช่วงอก

     

    รุนแรง

     

     

    ไม่รู้ทำไมแต่ฮยอกแจรู้ว่ามันรุนแรงกว่าครั้งก่อน ลงแรงแบบไม่ยั้งมือทั้งที่เขาไม่ได้ขัดขืนเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “เจ็บ” ร่างบางร้องเมื่อฟันคมงับลงมาที่หัวไหล่ตนอย่างจัง

     

     

    ไม่มีเสียงตอบกลับมีแต่เสียงลมหายใจฮึดฮัดไม่พอใจของคนด้านบน

     

     

    กางเกงถูกปลดลงไปตอนนั้นไม่มีใครรู้ ริมฝีปากถูกประกบเอาไว้เว้นวรรคแค่ช่วงลมหายใจก่อนจะทาบทับซ้ำแล้วซ้ำอีกหากแต่ไม่มีใครหยุดยั้ง บางสิ่งในร่างกายทั้งคู่แข็งขืนและมีปฎิกิริยาตอบรับความต้องการ

     

     

    ไม่มีการเบิกทาง

     

    ไม่มีความอ่อนโยน

     

     

    หากแต่เรียวแขนสวยก็โอบรอบลำคอของบุคคลในความมืดเอาไว้แน่นไม่ยอมห่าง

     

     

    ความต้องการพุ่งสูงจะไม่ได้คิดแม้แต่จะพิสูจน์ความจริง

     

     

    ฮยอกแจโหยหาสัมผัสนี้มาเกือบปีแล้ว และในวันนี้ได้คืนเขาจึงยอมมัวเมากับมันอีกซักครั้ง

     

     

    “อ๊า...” ร่างบางร้องครางเมื่อบางส่วนแทรกสอดเข้ามาในร่างเขา มือหยาบยึดเอวสอบเอาไว้ชิดตนไม่ให้ร่างเล็กขยับหนีได้

     

     

    อา....

     

     

    เสียงครางดังเป็นระยะเมื่อเจ้าจิ้งจอกร้ายนั่นเริ่มขยับถี่หยิบจนคนข้างใต้ตั้งรับไม่ทัน

     

     

     

    โกรธกันหรือไร...รุนแรงอะไรปานนั้น?...

     

     

     

    ไม่ทันได้ถามเพราะริมฝีปากที่ไม่ยอมผละห่าง ทั้งยังสัมผัสรุนแรงเกินกว่าที่ร่างเล็กจะทันได้ทักท้วง คำพูดที่จะเอ่ยออกมาก็กลับกลายเป็นเสียงครางหลงคีย์เพราะรสสัมผัสจากบุคคลปริศนา

     

     

     

    อา....อ.....

     

     

     

     

     

    ...............................

     

     

     

     

     

    ................

     

     

     

     

     

    .......

     

     

     

     

     

     

    ....

     

     

     

    ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่บนฝูกหลังจากมองใครบางคนที่ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า ทันทีที่เสร็จกิจเขารีบคว้าหน้ากากหมาจิ้งจอกที่ทำด้วยไม้นั่นมาใส่ทันที

     

     

    สายตาคงคุ้นชินกับความมืดอยู่มาก เพราะมันวางอยู่ข้างฮยอกแจมาตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่แต่ร่างเล็กกลับมองไม่เห็น จนตอนนี้เขาจับได้แต่โครงหน้ากับกลิ่นสาปเสื้อผ้าเก่าเท่านั้น

     

     

    มัวแต่น่ามืดสิเรา...

     

     

     

    “จะไปแล้วหรอ?” ร่างเล็กยันตัวขึ้นมองคนที่เดินหลบไปทางหน้าต่างห้อง

     

     

     

    “......” เขาชะงัก ไม่มีคำตอบเพียงแต่ปรายตามองคนที่นอนหมดสภาพเพราะถูกรีดเรี่ยวแรงเสียหนัก

     

     

    ร่างสูงเป็นหน้าต่างไม้ก่อนจะปีนลงไปอย่างชำนาญ

     

     

     

    ฮยอกแจถอนหายใจยาว ไม่มีแรงพอจะต่อกลอนหรือลุกขึ้นไปมองว่าเจ้าปีศาจนั่นหายไปทางไหน

     

     

     

    .....จิ้งจอกป่าเอ้ย!

     

     

     

     

     

    .....................

     

     

     

     

    .............

     

     

     

     

    ......

     

     

     

     

    ....

     

     

     

    ในห้วงราตรี ใครบางคนยืนอยู่เคียงจักรยานคันโปรดของตน

     

    เฝ้ามองความเป็นไปของใครบางคนที่เขาพบเข้าโดยบังเอิญ

     

     

    รอยยิ้มที่เคยอ่อนโยนหวานจับใจแสยะออกอย่างมีแผนในใจ...

     

     

     

    ....เสร็จแน่

     

     

    ..........

     

     

     

    .........

     

     

     

     

     

     

    ....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อี ทงเฮ

     

    เดินเข้าบ้านหลังกลับจากวิทยาลัยอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผู้เป็นบิดาเพียงแต่เหลือบมองท่าทางไร้วิญญาณของลูกชายเพียงเล็กน้อยเพราะง่วนอยู่กับการขายของ

     

     

    “ทงเฮ! มีเพื่อนมาหาในห้องนะ” พ่อเขาตะโกนไล่หลังตอนที่เขาขึ้นบันไดมาแล้ว คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อได้ยินคำว่า เพื่อน

     

     

    เขายังมีเพื่อนที่ไหนอีกหรือ?

     

     

     

     

    แอ๊ด....

     

     

     

    “อ๊ะ...” ร่างสูงโปร่งของใครอีกคนที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับชั้นหนังสือในห้องนอนเขา “ขอโทษทีที่เสียมารยาท” คิบอมถอยออกจากตู้หนังสือกลับมานั่งที่กลางห้อง

     

     

    “มีอะไร?” ทงเฮแปลกใจไม่น้อยที่คิบอมมาหาเขาที่นี่

     

     

    “ห้องนายสวยดีนะ ของเก่าทั้งนั้นเลยสิ?” คิบอมเบี่ยงประเด็นมองสำรวจรอบห้อง

     

     

    “ฉันว่านายคุยธุระของนายมาเลยดีกว่า” ทงเฮตัดบทเพราะไม่อยากเห็นความลีลามากของคิบอม

     

     

     

    “เฮ้อ....ก็ได้” คิบอมตอบรับก่อนจะล้วงหาของบางอย่างจากกระเป่าเรียน

     

     

     

    แกร๊ก!!

     

    หน้ากากไม้ถูกโยนลงบนพื้นหมุนติ้วอยู่แทบเท้าทงเฮ ตาคมเบิกกว้างมองหน้ากากนั่นสลับกับใบหน้าที่แต้มยิ้มเยาะของคนที่ทำเสียมารยาท

     

     

    “ฉันเอาของนายมาคืน” คิบอมบอก ทงเฮกำหมัดแน่นคิ้วขมวดเกร็งไปหมดอย่างเห็นได้ชัด “ฉันรู้ว่าไอ้คนที่ทำเรื่องบ้าๆหลอกฮยอกมันคือนาย ใช่ไหมละ?” คิบอมยิ้มอย่างเป็นต่อ

     

     

     

    “เอาอะไรมาพูด?” ทงเฮเค้นเสียงออกไป

     

     

    “เอาความจริงมาพูดไงละ อย่าบอกว่ามันไม่ใช่ของนายเพราะฉันเพิ่งถามจากพ่อนายก่อนขึ้นมาว่านายเป็นคนทำมันเองกับมือ....”

     

     

    !!!!!

     

    “หลักฐานละ?” ทงเฮพยายามหาทางหนีทีไล่จากข้อกล่าวหาของผู้มาเยือน

     

     

     

    “กล่องบนหลังตู้นั่น...นายกล้าเอาลงมาพิสูจน์ไหมว่ามันไม่มีหน้ากากหมาจิ้กจอกกิ๊กก๊อกของนายอยู่อีก.... อี ทงเฮ นายโกหกไม่เก่งหรอกนะ” คิบอมหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าเครียดขึงของคนที่เขาไล่ต้อนจนจนมุมได้

     

    ทงเฮเหลือบตามองกล่องที่ว่าแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

     

     

    ความลับของเขา...

     

     

    ความลับ....

     

     

     

    “ต้องการอะไร?” ทงเฮเอ่ยถาม คิบอมตบเข่าฉาดเพราะรู้สึกว่าทงเฮเข้าใจสถานการณ์ดีกว่าที่คิดเอาไว้

     

     

    “ออกไปจากชีวิตฮยอกแจซะ ทั้งในชีวิตจริงและในฐานะหมาจิ้งจอกลวงโลกนี่ ไม่งั้นฉันจะแฉว่านายมันโรคจิตขนาดไหน”

     

     

    “.....” มือหนากำแน่นอย่างข่มอารมณ์

     

     

     

    “แค่นั้นใช่ไหม?”

     

     

     

    “ใช่ หวังว่านายจะเอาความลับของนายลงหลุมไปด้วยเลยยิ่งดี”

     

     

     

    “......”

     

     

     

    “ตกลงรึเปล่าทงเฮ ถ้านายตกลงฮยอกแจไม่มีทางรู้ว่านายคือคนฉวยโอกาสแล้วก็จะไม่มีใครบนโลกที่รู้ว่านายโรคจิตวิปริตมากแค่ไหน..”

     

     

    “ฉัน....”

     

     

     

    “คิดดีๆนะ ฉันมาเสนอให้ ไม่ต้องห่วงฮยอกแจหรอก เพราะฉันจะดูแลเพื่อนรักของนายเอง” คิบอมเอ่ยปากไล่ต้อนไม่หยุดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคิดหนัก

     

     

     

     

    “ได้ ได้สิ” ทงเฮตอบตกลง

     

     

     

    “ดี จากวันนี้ไปอย่าให้ฮยอกแจเห็นหน้านายอีกจนวันตาย!


     

    ....................

     

     

     

     

    ....

     

     

     

     

     

     


                ...

     

     

     

    ปัง ปัง ปัง !!!!!!

     

    เสียงหน้ากากไม้ที่ถูกปาเข้าใส่ผนังแบบไม่ยั้งแรก ทงเฮมองหน้ากากที่แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยสายตาของสัตว์ร้าย

     

     

    เขาจนมุม

     

     

    ความลับของเขามีผู้ล่วงรู้

     

     

     

    ...ลักเพศ....

    ทงเฮสนใจในเรือนร่างของผู้ชายด้วยกันอย่างประหลาด เขารู้ตัวเองมาเกือบปีแล้ว แต่ที่น่ากลัวคือผู้ชายคนนั้นคือ อี ฮยอกแจเพื่อนรักของเขาเอง

     

     

    การอยู่ใกล้ฮยอกแจเหมือนเขาถูกสะกดให้เฝ้ามองและหลงใหลในรอยยิ้ม สายตา และเรือนร่างระหงส์ซ้อนรูปที่ถึงจะดูไม่สมชายแต่นางมองจนเขาเก็บมาฝัน

     

     

    เขาเสพติดการมองฮยอกแจ การจิตนาการถึงเรือนร่างของเพื่อนยามที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกาย ยามที่ร่างนั้นขึ้นสีแดงเถือกและร่างกายที่บิดเร้าอยู่ใต้ร่างของเขา

     

     

    กลัว...

     

     

    ทงเฮรู้ตัวว่าตัวเองล้ำเส้นไปไกล มันยิ่งกว่าความรัก เพราะเขาใกล้จะโรคจิตเต็มที เขาเฝ้ามองฮยอกแจอยู่ตลอดเวลา จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน และหึงหวงเมื่อมีใครเข้าใกล้เพื่อนของเขาไม่ว่าคนพวกนั้นจะเป็นใครก็ตาม

     

     

    พวกวิปริตและรักร่วมเพศไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับได้ในเกาหลี

     

    เขาเหมือนตัวประหลาดที่นับวันก็รู้สึกว่าตนผิดแปลกกว่าใครๆ

     

     

    เขาปลีกตัวออกจากสังคม ออกห่างจากฮยอกแจเพื่อที่จะข่มตัวเองให้ได้มากกว่านี้ เขาเป็นพวกอารมณ์รุนแรงซึ่งสุดท้ายคนที่จะเสียใจที่สุดหากเขาทำอะไรลงไปก้คงหนีไม่พ้นคนที่เขารักเอง

     

     

    หากแต่ความยับยั้งชั่งใจนั้นมีได้ไม่นาน

     

     

    คืนงานออกไม้ไฟ เขาได้ลงมือทำบางสิ่งที่อุกอาจและไม่น่าให้อภัย

     

     

    เขาฉวยโอกาสจากสภาพอากาศและสถานที่

     

     

    เขาอยากลิ้มลองร่างกายนั้นจนไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไป ร่างเปล่าเปลือยที่บิดเร้าต้องแสงจันทร์ในป่าสนคือภาพฉายที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา

     

     

    เขาทำผิด...

     

     

     

    แต่เขากลับสุขสมกับมัน ...ภาพนั้นฝังตรึงอยู่ในห้วงความคิด

     

     

    ทุกครั้งที่จิตใต้สำนึกต้องการบางอย่าง เขาเลือกที่จะดึงภาพในค่ำคืนวันนั้นมาใช้บำบัด

     

     

    ครั้งแล้วครั้งเล่า

     

     

    แต่ความผิดก็คือความผิด เขาไม่มีหน้าไปพบฮยอกแจอีก แม้จะเฝ้าติดตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดก็ตาม

     

     

    มันเป็นความลับ

     

     

     

    และมันคงจะลับตลอดไปหากวันนั้นฮยอกแจไม่ได้มาหาเขา และเขาไม่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกไปด้วยคำพูดไร้เยื้อใยแบบนั้น

     

     

    รู้สึกผิด

     

     

    แต่ภาพบาดตาที่อีกฝ่ายเปิดประตูรับใครอีกคนแล้วหายเข้าบ้านไปสามสี่ชั่วโมงต่อวันมันก่ออารมณ์คุกรุ่นในใจ

     

     

    ตรงนั้นควรเป็นที่ของเขา!

     

     

     

    การต้องการประกาศความเป็นเจ้าของทำให้เขาลงมืออีกครั้ง ...

     

     

     

    ลงมือด้วยความรุนแรงและความต้องการที่สูงยิ่งกว่าครั้งก่อน

     

     

     

    แต่สัมผัสของฮยอกแจนั้นทำให้เขาแปลกใจ

     

     

     

    ร่างนั้นแสดงออกว่าต้องการเขาไม่ต่างกัน

     

     

     

     

     

    ....หน้ากากหมาจิ้กจอกที่แตกเป็นเศษถูกโยนลงกล่องก่อนจะปิดตายมันอย่างไม่ใยดี

     

     

     

    ความลับ...

     

     

     

    ก็ควรจะเป็นความลับ...



    100 per
                ทำไมมันไม่จบซักที  
               ปั่นมาหลายอาทิตย์ละนะ สงสัยพล็อตมันยาวไป
               ขอแบ่งตอนละกัน ตอนหน้ามาจบนะ เลิ้บๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×