คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Chapter 30 : แกรนครอสที่จะทะลวงไปถึงสวรรค์
Chapter 30 : แกรนครอสที่จะทะลวงไปถึงสวรรค์
ข้าคือกษัตริยา ข้าคือยุวราชแห่งแสง ไม่สิแค่เคยเป็นเท่านั้นเพราะตอนนี้ตัวข้าคือ ราชันย์แห่งแสงสว่าง
ที่แท้จริงข้าได้ก้าวข้ามแสงของท่านแม่ผู้เป็นเทพีแห่งแสงสว่างไปแล้ว และเบื้องหน้าของข้าตอนนี้พวก
มันคือศัตรูที่มาท้าทายข้า กล้าดียังไงถึงได้คิดชิงตัว พระสวามีในอนาคตของข้า!! ทอลเป็นของข้าเท่านั้น!!
ของข้าเพียงคนเดียวจากนี้และตลอดไป!!!
***********Fenrir Rising the First of All*************
“จีเอ็มโอเวอร์สกิล! (GM Over Skill)”
===========GM Over Skill=======
เสียงตะโกนประสานกันของมนุษย์ชุดเกราะทั้ง 4 ดึงราชาแกะสาว กลับจากห้วงภวังค์
พวกมนุษย์ซึ่งกลายเป็นสัตว์หางด้วยพลังของเทคโนโลยีชุดเกราะ ทันทีที่ใช้ความสามารถที่เรียกว่า
จีเอ็มโอเวอร์สกิล พวกเขาก็กระจายตัวแยกกันไปคนละทิศละทาง ด้วยความว่องไวปราดเปรียวประหนึ่งแสงฟ้าแลบ การเคลื่อนไหวแตกกับที่แล้วมาอย่างลิบลับ
ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซลซึ่งใช้กรงเล็บความร้อนเป็นอาวุธ ตัวหนึ่งเข้าประชิดนางโดยไม่ทันรู้ตัว
และตวัดกรงเล็บความร้อนใส่ทันที โชคยังดีที่ วงแหวนเวทคุ้มภัย Repel ที่ได้ร่ายเอาไว้
เพื่อป้องกัน จีเอ็มไดเร็ก ซึ่งดีดชิ้นส่วนเกราะออกมาก่อนหน้านี้ เป็นโล่ช่วยป้องกันกรงเล็บไม่ให้เข้าถึงตัว
กษัตริยา จึงถอยฉากออกห่างทันที พร้อมทั้งดีดนิ้วยิงกระสุนเวทแสงสวนกลับไป
=======Combo=======
กระสุนแสงลอยอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่อาจเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซลหักหลบกระสุนแสงอย่างสบายๆและฟาดกรงเล็บตามไปหวังจะฉีก นางเป็นชิ้นๆแต่ วงแวนเวทที่คุ้มกายนางก็ยังเข้ามารับการโจมตีนี้เอาไว้ เมื่อสบโอกาส พระสูตรก็ขับขานด้วยเสียงอันนุ่มนวลของนางกษัตริยา
“แม้ข้าพระองค์เดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์”( Yea, though I walk through the valley of the shadow of death, I will fear no evil: for thou art with me)
มานาในบรรยากาศกลั่นตัวเป็นอนุภาคแสงลอยมารวมกันที่ร่างของราชาแกะสาว ร่างของนางถูกฉาบไว้ด้วยละอองแสง
ก่อนจะซึมซับเข้าสู่ร่างกาย และช่วยเพิ่มพละกำลัง ความว่องไวต่างๆให้กับนาง การเคลื่อนไหวของนางเริ่มตามทัน
อีกฝ่ายแล้ว
========== Bless ==========
ทว่าคู่ต่อสู้ของนางยังคงเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก ในที่สุดนางจึงร่ายพระสูตรต่อเนื่องกับบทที่ท่องออกไป
เมื่อครู่
“คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์”( thy rod and thy staff they comfort me)
========== Gospel ==========
เมื่อกษัตริยาร่ายพระสูตรจบลง วงแหวนเวทคุ้มกายที่เคยร่ายไว้ก็ได้เสื่อมสภาพลงจนหายไปแล้ว
ตอนนี้นางไม่มีสิ่งใดจะป้องกันตัวอีก เห็นดังนั้นผู้สวมเกราะจีเอ็มโซล จึงคิดจะปิดบัญชีทันที
โดยยกขาขวา ขึ้น อุปกรณ์บริเวณหัวเข่ากับปลายเท้าสร้างลำแสงเชื่อมกันบัลดาลให้หน้าแข้ง
กลายเป็นดาบลำแสง กษัตริยาเอี้ยวตัวหลบลูกเตะได้ทันหวุดหวิด เป็นเพราะพระสูตรที่ร่ายเสร็จไป
ในตอนสุดท้ายช่วยเสริมพลังกายให้กับนางจนสามารถไล่ทันความเร็วของอีกฝ่ายทันในที่สุด
มานากลั่นตัวขึ้นในอากาศพร้อมร่องรอยการกระเพื่อมของมิติ ยุวราชแห่งแสงเอ่ยปากร่าย
บทกล่าวแห่งเวทมน
ราชาผู้หลับไหลในศิลาหิน ผู้ผูกพันด้วยสัญญา ข้าขอน้อมรับชัยชนะตามคำสัตย์ของท่าน…..
==========Divinity Sword==========
สิ้นคำ ดาบทองคำสองเล่มได้ไหลเทลงมาจากรอยกระเพื่อมของมิติ ยุวราชแห่งแสงใช้สองมือจับ
เอาดาบทองคำมาใช้เป็นอาวุธแล้วเข้าฟาดฟันกับ ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซล โดยพลัน
เมื่อกษัตริยาฟาดดาบใส่ กรงเล็บความร้อนจึงยกขึ้นมาตั้งรับดาบของนาง ความร้อนที่แผ่ออกจากกรงเล็บ
ทำให้เนื้อดาบทองคำอ่อนยวบจนกรงเล็บถลำกินเนื้อดาบ กลายเป็นว่าดาบที่ฟันเข้ามาจะถูกตัดเสียเอง
ผู้สวมเกราะ ซัดลูกเตะขึ้นมาหมายจะผ่าร่างของ ยุวราชแห่งแสงให้ขาดกลางในหนเดียว แต่ก่อนที่จะเป็นแบบนั้น กษัตริยาปล่อยมือจากดาบทองคำแล้วชักเอาคัมภีร์ซึ่งปกหุ้มทำจากโลหะขึ้นมารับลูกเตะนั้นแล้วถีบตัวสุดแรงเกิดเพื่อถอยห่าง แข้งลำแสงตวัดเฉียดปกหุ้มคัมภีร์ละลายเป็นทาง
เมื่อลูกเตะปลิดชีพไม่เข้าเป้าอย่างที่หวังไว้ ผู้สวมเกราะจึงต้องเสียเวลาทำลายดาบทองคำ ที่ละลาย
ติดกับกรงเล็บ นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับกษัตริยา คัมภีร์ถูกเปิดพร้อมกับเสียงร่ายคาถาของยุวราชแห่งแสง
“ข้าขอวิงวอนต่อ องค์กษัตริย์ทั้งสี่ที่ได้รับเลือก ผู้หลับไหลในศิลาหิน ผู้ประทับบนพระหัตถ์ของพระเจ้า..... “
กษัตริยา เริ่มการบริกรรมคาถาเพื่ออัญเชิญศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดออกมา ทว่าขั้นตอนการร่ายคาถาที่กินระยะเวลายาวนาน กลับมีเวลาไม่เพียงพอเมื่อ ผู้สวมเกราะที่ประจันหน้าอยู่ได้ทำลายดาบทองคำที่เกะกะกรงเล็บของตนออกไปได้แล้วและบุกจู่โจมทันที ยุวราชแห่งแสงไม่อาจขยับตัวได้ กรงเล็บความร้อน
สะบัดหวดเข้ามา
“กษัตริยา!” ทอล ร้องลั่นด้วยความตกตะลึง แต่วินาทีที่กรงเล็บจะหวดถูกตัว กษัตริยา
โอดินหมาป่าขาวผู้เป็นบิดาของทอล ก็ได้เข้าประชิดตัว ผู้สวมเกราะพร้อมกับดาบที่ใบดาบเรืองแสงสีขาว
จากการกลั่นมานามารวมกัน
“………แอดเวนนิแอท เรกนัม ทูอัม (Adveniat regnum tuum)”[พระอาณาจักรจงมาถึง]
พระสูตรของโอดินจบลงพร้อมกับฟาดดาบคู่ใส่ลำตัวของผู้สวมเกราะ
ตูม!!
เสียงระเบิดดังสนั่นแสงสว่างจากใบดาบแผ่พุ่งออกมาในลักษณะของไม้กางเขน แรงระเบิดส่งร่างของผู้สวมเกราะลอยละลิ่วข้ามห้องไปอีกฟากโดยพลัน
===========Cross Break==========
กษัตริยารอดตายมาได้หวุดหวิดด้วยความช่วยเหลือของโอดิน ทอล ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ทว่าฝ่าย มนุษย์ผู้สวมเกราะที่กระเด็นจาก ครอสเบรกไปเมื่อกี้ก็ไม่ได้รับความเสียหายหรือแสดงอาการบาดเจ็บใดๆเลยนั่นเพราว่าดาบของโอดิน นั้นฟาดไปโดนส่วนของชุดเกราะพอดีและความแข็งของมันแม้แต่ครอสเบรกที่เสริมให้แรงขึ้นด้วยการร่ายแบบโบราณก็ยังไม่อาจสร้างริ้วรอยให้กับมันได้
”........ผู้จมปักในพระศอ ผู้สถิตย์กับองค์ศาสดา ภายใต้นามแห่งกษัตริย์ เอกซ์คาลิเบอร์ กุงกุเนีย ปรศุ อาเกดะห์ ข้าขอน้อมรับ วิญญูศาสตรา!”
กษัตริยา ร่ายคาถาต่อจากที่ค้างไว้จนจบ กระดาษคัมภีร์ในมือหลุดลอยขึ้นไปถึงเพดานห้องพร้อมทั้ง
ซึมซับละอองมานาที่กลั่นมาตลอดการร่ายคาถา กระดาษคัมภีร์ส่องแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง แล้วศาสตราทองคำสี่ชิ้นก็โรยตัวลงมาอยู่ต่อหน้า กษัตริยา
==========Soul of Arms==========
ยุวราชแห่งแสงไม่รอช้า สั่งให้ศาสตราทั้งสี่จู่โจมทันที ทั้งดาบ ขวาน กริช และ หอก พุ่งออกไปจู่โจม ผู้สวมเกราะโดยพร้อมเพรียง
/Power Break/ เสียงร้องแหลมสูงและแหบต่ำจนไม่น่าจะเป็นเสียงที่ตัวอะไรจะร้องออกมาได้
นั่นเพราะว่ามันเป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นจาก ชุดเกราะจีเอ็มชาโดว์ ที่ผู้เป็นหัวหน้าทีมมนุษย์สวมใส่
หัวหน้าทีมมนุษย์วิ่งเข้าขวางทาง ศาสตราทั้งสี่พร้อมกับชักเอากระบองเหล็กแบบติดด้ามจับหรือที่เรียกว่า ทอนฟา(Tonfa) ซึ่งเหน็บอยู่กับหัวไหล่ทั้งสองข้าง ออกมาแล้วกระโจนเข้าใส่วงล้อมศาสตรา
โผละ โผละ โผละ โผละ
เสียงแตกปริของศาสตราทั้งสี่ดังลั่น หัวหน้าทีมมนุษย์ซัดกระบองทอนฟาใส่พวกมันอย่างรวดเร็วและเพียงครั้งเดียว ศาสตราทั้งสี่ชิ้นปริร้าว ก่อนจะแตกสลายหายไป กษัตริยา มองกระบองทอนฟาที่ทำลายศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวอย่างตกตะลึง
==========Power Break==========
“อิลูกับเบลส ที!!” โอดิน กล่าวกับกษัตริยาก่อนจะวิ่งออกไปประดาบกับ หัวหน้าทีมมนุษย์
ยุวราชแห่งแสงไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจให้ทั่วท้องหลังหายจากอาการตกตะลึงเมื่อครู่เธอหันกลับมาร่าย
พระสูตรเสริมพลังแบบที่ใช้กับตัวเองเสริมพลังให้โอดิน ครั้นเมื่อได้รับการเสริมพลัง แม่ทัพหมาป่าขาว
ก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ยิ่งยวดขึ้นกว่าเดิม ท่วงท่าการฟาดดาบนั้นพลิ้วไหวราวกับสายลม
จนผู้สวมเกราะจีเอ็มโซลที่เป็นลูกน้อง ตวัดกรงเล็บไล่ฟันไม่ทัน จึงกลายเป็นการต่อสู้ด้วยความเร็วระหว่างโอดินกับหัวหน้าทีมมนุษย์แทน ในระหว่างนี้ กษัตริยาก็ร่ายพระสูตรเพื่อจะเสริมพลังให้กับโอดินอีกบท
“แน่ทีเดียวที่ความดีและความเมตตาจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า....
(Surely goodness and mercy shall follow me all the days of my life)”
ในระหว่างที่พระสูตรขับขาน มานาในบรรยากาศกลั่นตัวกลายเป็นแสงสว่างไหลไปรวมที่โอดิน
และช่วยฟื้นฟูกำลังวังชาให้ แม่ทัพหมาป่าขาวจึงต่อสู้ได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
========== Illuminate ==========
แต่เท่านั้นยังไม่พอกษัตริยาร่ายพระสูตรบทต่อไปต่อเนื่องกับบทที่ร่ายไปเมื่อครู่ทันที
“ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์สืบไปเป็นนิตย์ (I will dwell in the house of the LORD for ever.)”
เมื่อเสียงร่ายพระสูตรจบลง ขนของโอดิน ก็เปล่งแสงสีทองออกมาได้เป็นสัญญาณว่าการลงอาคมเสริมพลังให้กับร่างกายเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
==========Binding Light==========
“ พระแสงแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า !”( the sword of the Spirit, which is the word of God.) โอดิน ร่ายพระสูตรกลั่นมานามารวมที่คมดาบจนเปล่งประกายแสงสีขาวแล้ว ตวัดดาบหมายจะใช้ความร้อนของใบดาบที่ฉาบไว้ด้วยแสงมานา ตัดกระบองทอนฟาไปพร้อมกับแขนของหัวหน้าทีมมนุษย์
===============Holy Sword==============
ทว่าแม้แต่ดาบซึ่งเสริมพลังด้วยพระสูตรโฮลี่ซอร์ด ก็ยังมิอาจเทียบเคียงความแข็งของโลหะพิเศษที่ใช้
สร้างชุดเกราะจีเอ็มได้ ใบดาบกระทบกับกระบองแล้วจึงหักเป็นสองเสี่ยงทันที แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ
โอดิน ด้วยพลังพิเศษเฉพาะตัว แม่ทัพหมาป่าขาวประกาศใช้ไฟนอลมูฟของตนด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ไฟนอลมูฟเอ็กซีคิวชั่น!” ใบดาบที่หักกระเด็นและรวมไปถึงส่วนที่ยังติดกับโกร่งดาบ เกิดรอยปริร้าวและแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสงสว่างแผ่ขยายออกจากชิ้นส่วนเหล่านั้นเป็นสี่แฉกและกลายเป็นดาบแสงนับร้อยเล่ม ล่องลอยกลางอากาศ
“พิฆาต!” โอดินสั่ง พร้อมกับสะบัดแขนลงเป็นสัญญาณให้ดาบแสงทั้งร้อยเล่มทุ่มตัวถล่มใส่ หัวหน้าทีมมนุษย์
/Blade Song/ เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นพร้อมกับ คมดาบสุญญากาศแทรกเข้ามาปัดดาบแสงทั้งหมดจนพลาดเป้ากระเด็นไปปักพื้นห้อง
==========Blade Song==========
“ไม่เป็นไรนะครับหัวหน้า” ลูกน้องผู้สวมใส่เกราะจีเอ็มโซล ซึ่งเป็นคนที่สู้กับกษํตริยาตั้งแต่ช่วงแรก คือเจ้าของคมดาบสุญญากาศเมื่อครู่ ด้วยการตวัดกรงเล็บความร้อนอย่างรวดเร็วจนอากาศเกิดการฉีกตัว
และแหวกออกกลายเป็นคมดาบเป็นหลักการเดียวกับวิชา เบลดซอง ของเหล่าหมาป่าเบลดมาสเตอร์
จุดที่น่าทึ่งของชุดเกราะจีเอ็มนั้น คือการที่ใช้กรงเล็บซึ่งทั้งใหญ่และหนักกว่าดาบปกติเหวี่ยงด้วยความเร็วสูงจนแหวกอากาศใช้เบลดซองออกมาได้ นี่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพลังของมนุษย์มีเทียบเท่าหรืออาจมากกว่าสัตว์เสียด้วยซ้ำไป
“....ข้าขอน้อมรับชัยชนะตามคำสัตย์ของท่าน รับไปโอดิน!” กษํตริยา ได้กล่าวร่ายอาคมเพื่อส่งดาบเล่มใหม่ให้ทันทีนับตั้งแต่ที่เห็นโอดิน ใช้ไฟนอลมูฟ ดาบทองไหลออกจากรอยกระเพื่อมของมิติและถูกรับไว้ด้วยมือของโอดิน
“พระแสงพระวิญญาณคือพระวจนาจของพระเจ้า!” โอดินร่ายพระสูตรเสริมพลังให้กับดาบทองคำ ใบดาบเปล่งแสงสว่าง แล้วแม่ทัพหมาป่าขาวก็โจนทะยาน เข้าไปโรมรันกับ มนุษย์ทั้งสอง
กษัตริยา มองไปรอบห้อง การต่อสู้ระหว่างกลุ่มของมนุษย์กับ เหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ เป็นไปอย่างยืดเยื้อ
แม้แต่ตัวเธอเองที่ถอยจากการประจันหน้ากันตรงๆเยี่ยงอัศวินและหันมาสนับสนุนโอดินแทนก็ยังตึงมือ
ราวกับเป็นการตอกย้ำในความอ่อนหัดของพวกตนที่คิดปลดแอกสัตว์หางจากเทพเจ้า แค่กลุ่มมนุษย์เพียง 4 คนยังทำเอาลำบากลำบนขนาดนี้
ฝ่ายเดโมนิกครูเซเดอร์คนอื่นต่างก็รับมือกับ จีเอ็มโซลอีกสองคนอย่างยากลำบาก แนวหน้าการปะทะ
คืออิทารุส กับ อาร์ไมม่อน ที่สามารถต่อสู้ระยะประชิดได้ และถือครองศาสตรามารเกเฮน่า สัจจะแห่งสายลมพาซุส กับ สัจจะแห่งปฐพีอาร์ไมม่อน
“เพื่อท่านอัลเคเซีย !!” อิทารุส ประกาศก้องนับแต่ถูก จ้าวแห่งปฏิกุลที่หลอมรวมเข้ากับเลือดของทอลอาบย้อม จิตใจของแม่ทัพเหยี่ยวก็วนเวียนอยู่ในความมืด สิ่งที่ทำให้คนจงรักภักดีต่อเทพีแห่งแสงสุดชีวิตลงมือจบชีวิตของเทพีได้ คือภาพหลอนที่หลอกลวงสายตาของเขาให้มองเห็น คามิโอ เป็นอัลเคเซีย และสิ่งอื่นทั้งหมดที่ คามิโอ บอกว่าเป็นศัตรู อิทารุสจะเชื่ออย่างสนิทใจและต่อสู้โดยไม่ลังเล ด้วยพลังของเลือดทอลและ ปืนอันใหม่ที่ได้รับจากคามิโอ ซึ่งเป็นศาสตรามารที่มีสัจจะแห่งลมพาซุสสิงสู่ มอบความสามารถในการเล็งยิงอย่างแม่นยำ รวมทั้งการโจมตีด้วยกระสุนเพลิงสีดำสนิทมีอำนาจทะลุทะลวงการป้องกันทุกรูปแบบราวดับ ดาร์คเอจ(Dark Edge)
อิทารุส เล็งปืนไปยัง จีเอ็มโซลคนหนึ่งแล้วเหนี่ยวไกทันที กระสุนหมุนเกลียวพุ่งทะยานออกจากปากกระบอกแล้วลุกโชนด้วยเพลิงสีดำก่อนจะขยายตัวเป็นมหาเพลิง ลากไปกับพื้นเส้นทางที่มันวิ่งผ่าน
ทุกอย่างจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
/ Earth Rupture / เสียงสังเคราะห์ดังก้องกังวาน จีเอ็มโซลก้มตัวลงต่ำแล้วปักกรงเล็บลงบนพื้น
ก่อนจะลากมันครูดพื้นขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เกิดเป็นคลื่นพลังฉีกพื้นห้องและลากยาวไปชนกับกระสุนเพลิงดำของอิทารุส พลังงานทั้งสองปะทะกันจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
==========Earth Rupture==========
แม่ทัพเหยี่ยวจิกปากด้วยความโกรธ ก่อนจะยกกระบอกปืนทั้งสองมือขึ้นเล็งไปยัง จุดๆหนึ่งที่ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย
“ไฟนอลมูฟ จงประทานพรปีกของสัตว์ร้าย จงแผ่สยายปกคลุมฟากฟ้าแห่งโบราณกาล ซิซ(Ziz)”
เมื่อ อิทารุส กล่าวจบลงบนพื้นห้องบริเวณที่เขาเล็งปืนไป ก็ปรากฏเส้นแสงวิ่งตัดกันเป็นรูปสามเหลี่ยม
ขนาดพอที่จะให้คนๆหนึ่งเข้าไปยืนได้
======================================
ZIZ
=========================================
เรกกุ ซึ่งถูกย้อมด้วยจ้าวแห่งปฏิกุลเช่นเดียวกัน ก็เหมือนกับ อิทารุส คือทำตามคำสั่งของคามิโอ
ทุกอย่างโดยไม่มีการขัดขืน สังฆราชสิงโตทะเล เห็นรอยสามเหลี่ยมที่เกิดจากเส้นแสงสว่างตัดกันบนพื้น
ก็อ้าปากร่าย คาถาทันที
“แทคีออน(Tachyon) ผู้ดูแลแห่งความรุ่งโรจน์ และ โฟตอน(Photon) ผู้นำทางแห่งความรุ่งโรจน์ โปรดส่งบุตรแห่งดวงดารามาจุติยังโลกหล้า มวลมหาดาราสถิตปฐพี!! ”
เสียงร่ายคาถาของ เรกกุจบลงไปแล้วแต่ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จีเอ็มโซล มองดูการกระทำของ แม่ทัพเหยี่ยวและสังฆราชสิงโตทะเลด้วยความงงงวย แต่ก็หาได้เก็บเอามาใส่ใจ เพราะนี่คือโอกาสที่จะจัดการเก็บ
ทั้งสองไปพร้อมๆกัน จีเอ็มโซล เล็งเป้าไปที่ เรกกุที่ท่าทางจะจัดการได้ง่ายกว่าอิทารุส เมื่อเขายกกรงเล็บขึ้นหมายจะฉีกร่างของสังฆราชสิงโตทะเล สภาพทุกอย่างรอบตัวกลับเปลี่ยนไป สังฆราชสิงโตทะเลที่อยู่ต่อหน้าเขาได้หายไป กรงเล็บจึงฟาดลงไปบนพื้นแทน มนุษย์ผู้สวมเกราะ มองไปรอบๆด้วยอาการลนลาน
ก่อนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวของเขาถูกย้ายมาอยู่ในกรอกสามเหลี่ยมที่ อิทารุส สร้างก่อนจะทันฟาดกรงเล็บใส่ เรกกุ นั่นเอง พริบตาต่อมาเพดานห้องก็ถล่มพร้อมๆกับ ฝูงหินอุกกาบาตเทลงมา
พวกมันลุกไหม้ด้วยไฟจากการเสียดสีกับอากาศก่อนจะตกลงมาถึงห้องในฐานใต้ดินนี้
มนุษย์ผู้สวมเกราะ ไม่อาจขยับตัวออกจากกรอบสามเหลี่ยม หาได้เป็นเพราะว่าเขาหวาดกลัวจนก้าวขาไม่ออกแต่เป็นอำนาจของสามเหลี่ยมต่างหาก ที่ตรึงขาของเขาไว้รวมไปถึงอวัยวะอื่นๆของร่างกายด้วย
แม้แต่ดวงตาก็ยังเหล่ขึ้นไปมอง ฝูงอุกกาบาตที่กำลังจะหล่นลงมาทับก็ยังทำไมได้
โครม ตูม!!!!!
เสียงกระแทกตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งห้อง แต่การต่อสู้ของคู่อื่นๆในห้องก็หาได้หยุดลง
มีเพียงควันและฝุ่นที่ลอยละล่องขึ้นมาจนฟุ้งไปทั้งห้อง แม่ทัพเหยี่ยวกับสังฆราชสิงโตทะเล กระหยิ่มยิ้มอย่างลำพองอยู่ในใจ ไม่มีทางที่จะมีใครรอดจากการถูกหินไฟหลายสิบลูกกดทับโดยที่ไม่สามารถขยับตัวหลบหลีกหรือป้องกันได้อย่างแน่นอน
=============Giant Star Falling Comet ==========
/Moon Storm/ เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นหลังกลุ่มควันบริเวณที่อุกกาบาตตกใส่ สีหน้าของอิทารุสกับเรกกุ
เปลี่ยนไปทันที ทั้งสอง แยกกันถอยไปคนละทางเมื่อเสียงแหวกอากาศหวีดแหลมดังขึ้น บางสิ่งบางอย่างพุ่งตัวผ่านร่างของพวกเขาไป ทั้งสองทรุดตัวล้มลงราวกับตอไม้ในทันที โดยมีบาดแผลถูกฟันเข้าที่ลำตัว
เป็นแผลสาหัส
==========Moon Storm==========
ผู้ที่โจมตีออกมาจากกลุ่มควันก็คือ ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซล ที่ถูกอุกกาบาตฝังลงไปนั่นเอง โดยที่ร่างกายหรือแม้แต่ชุดเกราะนั้นไม่มีริ้วรอยจากการถูกฝูงอุกกาบาตกระแทกใส่เลยแม้แต่น้อย
ที่อีกฟากของห้อง คามิโอ กำลังจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อไปพร้อมๆกับตั้งสมาธิใช้นิ้ววาดอะไรซักอย่างขึ้นในอากาศ
“โอ้โหๆๆ งานนี้ไม่ใช่เล่นๆแล้วนะเนี่ย โดนเข้าไปขนาดนั้นแต่กลับไม่มีแม้แต่ริ้วรอยคงจะบอกว่าพลังป้องกันสูงมากก็ไม่ถูกสินะ ต้องบอกว่าการโจมตีเข้าไม่ถึงเลยต่างหากคล้ายกับพระสูตรแห่งการรอดพ้น(Salvation)ของพวกโอเชี่ยนเทมพลา เลยนะขอรับ”
คามิโอ หมายถึงพระสูตรที่มอบพลังในการคุ้มครองให้แก่ผู้รับมนต์ ซึ่งผู้ได้รับมนต์นี้จะไม่มีภยันอันตรายใดๆเข้ามากร้ำกรายได้นับเป็นสุดยอดแห่งการป้องกันของโลกนี้เลยทีเดียว
=======Salvation========
แต่บุรุษอีกา ก็เพียงแค่เปรียบเปรยเพราะรุ้ซึ้งดีว่าพลังของมนุษย์นั้นไม่ใช่แค่ระดับสัตว์หางแต่อยู่ในระดับ
เดียวกับเดมิก็อด(DemiGod) ที่เป็นพวกกึ่งเทพเจ้าเลยก็ว่าได้นั่นหมายความว่าสิ่งที่คุ้มครองเหล่ามนุษย์อยุไม่ใช้ความแข็งของชุดเกราะที่คลุมไม่มิดทั้งตัวหากแต่เป็น สนามพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นห่อหุ้มตัวอยู่ต่างหาก
“ว่าไปแล้วมันคล้ายกับ ความสามารถของเซเวอร์ที่ทำให้อากาศจับตัวแข็งจนกลายเป็นเกราะป้องกันได้เลยนี่เนอะ ที่แท้โอเวอร์สกิลของพวกจีเอ็มคือแบบนี้นี่เอง ฮี่ๆๆ งั้นก็หมายความว่าคีย์แมน(Key Man) ของการต่อสู้นี่อยู่ที่ทอลคุงแล้วสินะ”
บุรุษอีกา เปรยพลางเหล่ตาไปมอง หมาป่าดำที่ถูกตรึงอยู่กลางห้อง ก่อนจะย้ายสายตาไปอีกทางหนึ่ง
ที่นั่นเขามองเห็นการต่อสู้ระหว่าง ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซลอีกคน กับ กลุ่มของ อาร์ไมม่อน ปูม่อน และ
โมสโซลี่
ในการต่อสู้อาร์ไมม่อน นั้นไม่อาจตามความเร็วของ ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซลทันได้เลยจึงเป็นฝ่ายถูกซ้อม
อยู่เพียงฝ่ายเดียว ทว่าบาดแผลที่เกิดจากกรงเล็บความร้อนหรือแม้แต่ลูกเตะเลเซอร์ ซึ่งตัดและฉีกร่างกายของ อาร์ไมม่อน ออกเป็นชิ้นๆได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้นถึงแม้จะรับการโจมตีเต็มๆ ร่างกายของอาร์ไมม่อนก็จะมีแค่แผลไหม้ไฟเป็นรอยถูกฟัน ทั้งนี้เป็นผลมาจาก ศาสตรามารเกเฮน่า ที่เขาถือครองอยู่
ศาสตราของอาร์ไมม่อนมีสัจจะแห่งปฐพีสิงสู่และมีรูปแบบของพลังที่มอบให้แก่สาวกต่างออกไปจาก ศาสตราอื่นๆ คือผู้ใช้จะถูกศาสตราช่วงชิงร่างไป จิตและกายของผู้ใช้จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับ อาร์ไมม่อนสัจจะแห่งดิน จึงทำให้ร่างกายมีพลังเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเท่าเทียบกับเดมิก็อด ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าทั้งหกเลยก็ว่าได้ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่มากมายที่ทำให้ศาสตรานี้ถูก คามิโอ จัดอันดับให้เป็นที่ 6 จาก 8 ชิ้น
นั่นเพราะว่าพลังของ อาร์ไมม่อนจะสำแดงได้เท่าที่ขีดจำกัดของสาวกมี เนื่องจากร่างสาวกของอาร์ไมม่อนเป็นสัตว์หางเผ่าตัวตุ่น ที่ด้อยความสามารถในการต่อสู่ด้วยร่างกายแต่เด่นในเรื่องของสติปัญญาและการใช้เครื่องมือเสียมากกว่า ทำให้อาร์ไมม่อนเป็นคนที่ อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แอกเกรเซอร์
ระหว่างที่อาร์ไมม่อน ถูกกระหน่ำเป็นกระสอบทราย ปูม่อน ซึ่งรอโอกาสมาตลอด
ก็มองเห็นจังหวะที่ จีเอ็มโซล หยุดเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการหยุดกลังจากตวัดขาซัดลูกเตะอัดอาร์ไมม่อน
จนกระเด็นไปกระแทกผนังห้อง มีดอีโต้เล่มเขื่อง ในมือของพ่อครัวโจรสลัดขว้างออกไปทันที แต่มีดทำครัวก็ไม่อาจทำให้เกราะป้องกันจีเอ็มโอเวอสกิล ระคายได้แม้แต่น้อย หนำซ้ำ ผู้สวมเกราะที่ถูกมีดขว้างใสยัง
ทำเมินไม่สนใจอีกเสียด้วยซ้ำราวกับไม่เห็น เชฟโจรสลัดอยู่ในสายตา และตรงเข้าไปอัดอาร์ไมม่อนที่ดูจะเป็นอันตรายกว่าแทน เชฟโจรสลัด ชักสีหน้าด้วยความโกรธพลางหันไปทาง โมสโซลี่ ที่เอาแต่ยืนดูอยู่เฉยๆ
“เฮ้! เจ้าจ๋อมาช่วยกันบ้างเด้ แกเป็นคนที่มีศาสตรามารไม่ใช่รึไง!”
บาบูนเฒ่า เหล่ตามองเชฟโจรสลัดอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขืนให้ข้าใช้ไฟนอลมูฟล่ะก็ ที่นี่ได้ถล่มลงมาหมดแน่แล้วเจ้าที่ไม่มีศาสตรามารเลยซักชิ้นนั่นแหละที่จะตายเป็นคนแรก”
ปูม่อน กลืนน้ำลายเอือกใหญ่ เพื่อจะกลบความรู้สึกประหม่าที่ถูก บาบูนเฒ่าตอกหน้ากลับมา
ทั้งสองจึงได้แต่ยืนดูอาร์ไมม่อน โดนซ้อมต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ฝ่ายกษัตริยา เห็นดังนั้นจึงคิดจะลามือไปช่วย เพราะฝั่งเธอ โอดินก็ดูจะเข้าที่เข้าทางดีแล้ว
หลังจากเสริมพลังด้วยพระสูตร แต่การจะทิ้งให้ โอดินต่อสู้แบบ 2รุม1ก็ใช่ที แต่ไม่ว่าการโจมตีใดๆ
ก็ไม่อาจทะลวงเกราะป้องกันของฝ่ายมนุษย์ได้เลย
“มีแต่ต้องใช้ไฟนอลมูฟเท่านั้นสินะ” ยุวราชแห่งแสงมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันทีแต่ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว กษัตริยา ยื่นมืออกไปข้างหน้าแล้วร่ายเวทเรียกให้หน้ากระดาษคัมภีร์ที่หลุดลอยออกไปตอนที่ใช้
Soul of Arms ให้กลับมารวมเป็นเล่มอีกครั้ง
“ไฟนอลมูฟ บทแห่งปฐมกาล บาปแรกกำเนิด เมโลดาช” (Final Move Ganesis Original Sin Merodach)”
สิ้นคำ คัมภีร์ทั้งเล่มเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าและเปลี่ยนไปสู่รูปลักษณ์ใหม่
======================================
MERODACH
=========================================
เมื่อแสงสว่างจางหาย สิ่งที่ปรากฏในมือของกษัตริยาแทนที่คัมภีร์เล่มหนาเตอะ คือปืนไรเฟิลที่มีหน้าตาล้ำสมัยตัวปืนทำด้วยโลหะพิเศษที่ไม่มีในโลก และส่วนประกอบภายในของปืนยังเป็นวิทยาการที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าสมัยใดๆ หรือแม้แต่วิทยาการของ มนุษย์เองก็อาจจะเลียนแบบไม่ได้ นี่คือรูปร่างที่แท้จริงของ ศาสตรามารเกเฮน่า สัจจะแห่งแสงสว่างลูซิเฟอร์
กษัตริยา ยกไรเฟิลขึ้นประทับบ่าแล้วมองผ่านกล้องส่องของกระบอกปืน รอจังหวะที่โอดิน
ยื้อกับหัวหน้าทีมมนุษย์ จนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยุวราชแห่งแสงเหนี่ยวไกปืนไรเฟิลและในทันที
แสงแห่งการทำลายล้างก็ได้พุ่งออกจากปากกระบอกไปด้วยความเร็วที่แสงจะมีได้
อนิจจา แทนที่ลำแสงจะวิ่งไปเข้าเป้าคือหัวหน้าทีมมนุษย์อย่างที่เล็งเอาไว้ แต่ในช่วงที่
ปืนรวมพลังงานเพื่อยิงลำแสง ผู้สวมเกราะจีเอ็มโซล ที่ช่วยกันรุมโอดิน กลับเข้ามาขวางทางปืนพอดี
ชายผู้โชคร้ายจึงตกเป็นเหยื่อของลำแสงทำลายไป
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นสั้นๆ ลำแสงทะลวงผ่านชุดเกราะจนกลวงโบ๋เป็นรูเหวอะขนาดใหญ่กลางอก
ร่างนั้นล้มลงและนอนแน่นิ่งสนิทไม่ขยับกายใดๆอีกเลย
“บีวัน(B1)!!” หัวหน้าทีมมนุษย์ ร้องลั่นด้วยความความตกตะลึง
ผู้สวมเกราจีเอ็มโซล ที่แยกกันไปสู้กับ เดโมนิกครูเซเดอร์คนอื่น หลังจากหันตามเสียงระเบิดมาก็ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกันอย่างตื่นตระหนก “บีวัน!”
หัวหน้าทีมมนุษย์ ซึ่งยื้อกับโอดินอยู่ เกิดเลือดขึ้นหน้าขึ้นมา ออกแรงผลักดาบของโอดินกลับไปด้วยทอนฟา
แล้วจึงชักทอนฟากลับมาข้างหนึ่งและซัดออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว โอดิน ที่ถูกผลักออกไปนั้นเซถลาอยุ่จึงไม่อาจตั้งรับได้ทันและถูกกระบองทอนฟาอัดเข้าที่สีข้าง เสียงกระดูกซี่โครงหักดังเปราะก่อนร่างของแม่ทัพหมาป่าขาวจะทรุดล้มลง หัวหน้าทีมมนุษย์จึง ถอยฉากกลับไปดูอาการลูกน้องที่โดนยิงทันที
“บีวัน ได้ยินรึเปล่า บีวัน ” หัวหน้าทีมมนุษย์ ก้มตัวลงนั่งชันเข่าข้างศพของลูกน้องที่แน่นิ่งสนิทไปแล้ว
ไม่มีการตอบกลับใดๆจากศพที่เขาเรียกว่าบีวัน หัวหน้าทีมมนุษย์ นิ่งไปพักหนึ่งราวกับกำลังต่อสู้กับความสะเทือนใจที่สูญเสียลูกน้องไป ระหว่างนี้เอง ลูกน้องอีกสองคนที่แยกไปสู้ก็ย้อนกลับมา คุ้มครองหัวหน้า
จาก กษัตริยาที่คิดจะเล็งยิงมาในตอนที่ไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้ เนื่องจากปืนมีระยะเวลาหน่งในการยิงแต่ละครั้งอยู่ เมื่อถูกประกบโดยจีเอ็มโซลถึงสองคน ยุวราชแห่งแสงจึงต้องถอยหนี
“ราชาผู้จมปักในพระศอ ผู้ประหารทรราชย์ ข้าขอน้อมรับภาระกิจของท่าน….”
กษัตริยา ร่ายคาถาพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในรอยกระเพื่อมของมิติ แล้วดึงเอาขวานทองคำ
ออกมาขว้างใส่
==========Divinity Axe==========
จีเอ็มโซลทั้งสองคนเอี้ยวตัวหลบคมขวานได้ทันพอดี แต่ขวานก็มุ่งต่อไปทางที่หัวหน้าของทีมมนุษย์
นั่งอยู่ ทั้งสองคิดจะย้อนกลับไปช่วย ทว่าหัวหน้าทีมก็ได้ตัดขาดจากความสะเทือนใจไปแล้วและ
ยกกระบองทอนฟา ขึ้นรับขวานเอาไว้ ก่อนจะใช้อีกอันกระทุ้งใส่ตัวขวานเพียงครั้งเดียวให้แตกสลายในทันที
“ทุกนายรุมโจมตีTail รูปแบบแกะตัวนั้นซะมันมี เอจีเอทลูซิเฟอร์อยู่อย่าให้มันยิงเราได้”
หัวหน้าทีมสั่ง แล้วจึงตามไปสมทบกับลูกน้อง ช่วยกันรุมกษัตริยา พร้อมๆกันจากสามทิศทาง
ฝ่ายเดโมนิกครูเซเดอร์ ก็ไม่มีใครอีกแล้วในที่นี้ที่จะเข้าปะทะเพื่อช่วยเหลือกษัตริยาได้
ยุวราชแห่งแสงได้แต่วิ่งหนีไปมา ปืนไรเฟิลที่มีน้ำหนักมากกลายเป็นตัวถ่วงทำให้วิ่งได้ช้าลง
และในที่สุดเมื่อเส้นทางหนีถูกปิดล้อม อีกทั้งฝ่ายมนุษย์ก็ยังมีความโกรธที่ถูกฆ่าสหายร่วมสมรภูมิไป
ยุวราชแห่งแสง ตกเป็นเหยื่อของความแค้นในทันที กรงเล็บความร้อนของจีเอ็มโซลทั้งสองคน ตวัด
ใส่แต่นางเอี้ยวตัวหลบจึงโดนไปเพียงแผลเล็กๆเท่านั้น หัวหน้าทีมผู้สวมเกราะจีเอ็มชาโดว์
เข้ามาจากทางด้านข้างแล้วซัดกระบองทอนฟาใส่ ท้องของเธอเต็มแรงจนร่างลอยละลิ่ว
กระเด็นข้ามห้องไป กษัตริยาสำลักอาเจียนรุนแรงแถมยังไม่มีเรี่ยวแรงจะยันตัวให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ได้
จีเอ็มโซลนายหนึ่ง เดินเข้ามาหาแล้วยกกรงเล็บขึ้นหมายจะฉีกทึ้งร่างกายให้ได้รับความทรมานแสนสาหัสก่อนตาย
ในวินาทีเป็นตายของ กษัตริยา คามิโอ ทำเพียงแค่จับตาดูเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ บางอย่างที่เขา
หวังไว้ใกล้จะเป็นจริง เมื่อเสียงขู่คำรามแผดลั่นออกมาจากกลางห้อง และทำให้ทุกคนชะงักในทันที
กรร!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงของ ทอล ดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้อง น้ำเสียงอันทรงพลังราวกับสะกดคนทั้งห้องเอาไว้
“หยุดนะไอพวกสารเลว….อย่ามา….”
หมาป่าดำทนดูมามากพอแล้ว และความอดทนของเขาหมดลงเมื่อ ยุวราชแห่งแสง ลงไปนอนราบกับพื้น
อย่างน่าสมเพช ร่างกายของทอล ร้อนลุ่มราวกับไฟเลือดในตัวเดือดพล่าน มันกำลังกุ่ร้องให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายที่เคลื่อนไหวด้วยโทสะและความบ้าคลั่ง
“อย่ามาแตะต้องผู้หญิงของข้า!!!!”
พลังของสัญชาตญาณดิบที่มีอยู่ในเลือดพลังของเก้าบุตรกำลังร่ำร้องให้เขาใช้มัน แต่ด้วยเครื่องพันธนาการทั้งโซ่ลงอาคมที่ยึดร่างไม่ให้วิ่งออกจากพื้นที่กลางห้องได้ ไหนจะเครื่องสูบเลือดที่ติดตั้งอยู่ถึงสิบเครื่องก็เริ่มทำงานและสูบเอาเลือดออกจากร่างของเขากระนั้นก็ตามความโกรธแค้นที่เดือดพล่านก็เร่งให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองจนเลือดในร่างกายกลับมาไหลเวียนอย่างเต็มปรี่ไม่ว่าจะถูกเครื่องสูบเลือดไปมากเท่าไหร่ก็ตามที วินาทีนี้ ทอล คิดเพียงแค่การทำให้ศัตรูที่ทำร้ายคนรักของตนหายไปเพียงแค่นั้น
ความทรงจำในการใช้พลังของเก้าบุตรก็แล่นขึ้นมาในสมองทันที หมาป่าดำกัดลิ้นตัวเอง
จนเลือดไหลท่วมปาก แม้ว่าความเจ็บปวดเจียนตายของการกัดลิ้นจะพุ่งเข้าเล่นงาน แต่จิตใต้สำนึกที่ถูกกลืนด้วยความโกรธไปแล้ว ทำให้ความเจ็บปวดนั้นไม่มีค่าพอให้สนใจด้วยซ้ำ
ทอลพ่นเลือดที่อมอยู่ปากออกไป แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง ”ศรเพลิงทมิฬมังกรโลกันตร์หย๋าจื้อ!!”
เลือดที่กระจายออกไปลุกโชนกลายเป็นสะเก็ดไฟสีดำและหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกศร ส่วนปลายของลูกศรเพลิงแยกออกจากกันเหมือนปากของสัตว์ร้าย
รูปลักษณ์ของศรเพลิงเปลี่ยนเป็นมังกรในที่สุด
============睚眦============== (YAZI)
จีเอ็มโซลที่ ยืนอยู่ต่อหน้ากษัตริยา ถูกศรมังกรไฟดำกระแทกใส่ร่างกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกกับ
ผนังห้องจนแหลกเหลวตามด้วยระเบิดเป็นกลายจุลโดยไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้องออกมา ไม่มีเศษซากของร่างกายหรือชิ้นส่วนของชุดเกราะรอดมาจากไฟดำได้
“ย้ากกกกกกก!!!!!!!!!!!!!” ทอล ร้องตะโกนเลือดในตัวเดือดพล่านและเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายจน
ร้อนราวกับไฟจากขุมนรก เครื่องสูบเลือดเริ่มจะสูบเลือดออกไปไม่ทัน อัตราการฟื้นตัวของทอล
เร็วกว่าความเร็วของเครื่องสูบไปแล้ว ในที่สุดเครื่องสูบทุกเครื่องก็ทำงานจนโอเวอร์ฮีท พังไปเสียทุกเครื่อง
เลือดของทอล ที่ถูกสูบไปนั้นไหลล้นทะลัก ออกจากเครื่องนองพื้นห้องจนกลายเป็นทะเลเลือด
โซ่ที่ตรึงร่างกายของ ทอล ทั้งหกเส้นมีพลังเทียบเท่าเทพเจ้าทั้งหกรวมกัน
เมื่อสัมผัสถูกเลือดที่มีคุณสมบัติทำลายเทพเจ้าได้ ก็ผุกร่อนและขาดสะบั้น หมาป่าดำเป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวงแล้ว
บุรุษอีกา เห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ฮี่ๆๆ ทำลายได้แม้แต่โซ่ไกรพ์นิล (Gleipnir) ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อล่ามเฟนริลในตำนานได้เชียวรึขอรับ” คามิโอหมายถึงโซ่ทั้ง 6เส้นที่ใช้ตรึงทอลเอาไว้
“นี่คือหลักฐานยืนยันต่อกระผมสินะขอรับว่าคุณคือหมาป่าที่จะกลืนกินพระเจ้าน่ะทอลคุง ไม่สิ เฟนเรอร์ ไรซิ่ง ลำดับแรกแห่งสรรพสิ่ง(Fenrir Rising the First of All)”
แม่น้ำเลือดในห้องไหลมารวมกันที่ร่างของหมาป่าดำขนทุกเส้นดูดซึมเลือดเอาไว้แล้วเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
บัดนี้ร่างของทอล เปลี่ยนไปคล้ายกับร่างที่ใช้ ลูน่าอีคริปส์(Luna Eclipse) เพียงแต่แทนที่ร่างจะห่อหุ้มด้วยน้ำหมึกมานาสีดำกลับกลายเป็นห่อหุ้มด้วยเลือดของตนแทน ยิ่งไปกว่านั้น เลือดพวกนี้ไม่ใช่แค่เคลือบร่างกายของเขาแต่มันกลายเป็นชุดเกราะซึ่งมีหนามตะปุ่มตะป่ำยื่นออกมาจากบริเวณเกราะไหล่ และยังกลายสภาพเป็นดาบรูปทรงคล้ายกับขวานอีกสองเล่ม
ทุกคนได้แต่ยืนมองด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์ที่เหลือกันแค่สองคนแล้ว
เป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจมาพาตัวไป ดันกลายเป็นอสูรร้ายที่สามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายๆเหมือนบี้มด
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ หัวหน้าทีมจึงออกคำสั่งกับลูกน้องที่เหลือเป็นคนสุดท้าย
“บีทรี(B3) ถอยกลับไปซะ”
“แต่..หัวหน้า!” ลูกน้องทำท่าจะแย้ง เขาไม่อยากได้ชื่อว่าทิ้งหัวหน้าแล้วหนีเอาตัวรอด
“ไม่มีแต่นี่เป็นคำสั่งรีบไปซะ” เมื่อหัวหน้าออกคำสั่งย้ำอีกครั้ง ลูกน้องจึงยอมวิ่งหนีไปโดยดี
พริบตานั้นเองที่ร่างของอสูรร้ายสีดำได้หายไปจากตรงหน้าและมาปรากฏตัวที่ด้านข้างของลูกน้องที่กำลังจะวิ่งหนีกลับไปที่หลุมดำซึ่งเป็นประตูที่พวกตนใช้เดินทางมา
“ฟีรัลแอสซอลท์” ทอลคำรามเบาๆและโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่การวิ่งผ่านของทอล ในพริบตานั้น ร่างของลูกน้องก็แยกเป็นสองท่อนก่อนจะระเบิดเป็นจุลตามคนอื่นๆไป
==========Feral Assault==========
“หนอย!! แก!!!” หัวหน้าทีมร้องตะโกนด้วยโทสะ ควงกระบองทอนฟาพุ่งเข้าไปหา ทอล ทันที
หมาป่าดำยกดาบเลือดขึ้นรับกระบองของหัวหน้าทีมได้อย่างสบายๆ ก่อนจะตวัดดาบฟันเป็นแนว
กา กบาทบนลำตัวของหัวหน้าทีม “ครอสเบรก”
ตูม!!
เสียงระเบิดดังสนั่น จุดที่ทอลฟันลงไปเกิดการระเบิดขึ้นลำแสงแผ่พุ่งออกจากดาบเลือด
ลำแสงแยกเป็นสี่แฉก เฉกเช่นท่าครอสเบรกที่ใช้บ่อยๆทว่าไฟของครอสเบรกนั้นไม่ใช่สีขาวอีกแล้วแต่กลายเป็นสีดำสนิท แรงผลักของครอสเบรก ส่งร่างของหัวหน้าทีมลอยกระแทกประตูข้ามออกไปนอกห้อง
มนุษย์คนสุดท้ายลุกขึ้นสำลักอาเจียนเลือดออกมากองใหญ่ ชุดเกราะที่แสนภาคภูมิใจในความแข็งแกร่ง
อันเป็นที่สุดนั้นขาดสะพายแร่งไม่มีชิ้นดี และยังเต็มไปด้วยรอยไหม้ไฟ กับคราบเลือดสีดำที่กระเด็นมาเกาะตอนถูกฟันด้วยดาบเลือด
“แกรนครอส…” ทอล กล่าวแล้วเลือดทั้งหมดในห้องรวมถึงทั้งหมดที่กลายเป็นดาบกับชุดเกราะได้ละลาย
รวมกันเป็นสายน้ำไหลบ่าออกจากห้องไปท่วมใส่ร่างของหัวหน้าทีมมนุษย์ เลือดดำร้อนส่งเสียงฉู่ฉ่าราวกับน้ำมันเดือด เทลวกใส่บาดแผลจนต้องกรีดร้องอย่างทรมานแต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เลือดดำยังคงเพิ่มอุณหภูมิ ขึ้นไปอีกจนลุกไหม้กลายเป็นไฟสีดำ ร่างของมนุษย์ถูกพัดลอยขึ้นไปชนกับเพดาน ไฟทั้งหมดก็พุ่งทะลวงเพดานชั้นใต้ดินขึ้นไปจนถึงพื้นถนนแล้วพุ่งทะยานสูงขึ้นไปถึงท้องฟ้าและยังสูงขึ้นไปอีก
“อันลิมิเต็ด ครอส!!! ” ยามเมื่อ ทอล ร้องสุดเสียงที่มี ไฟจากเลือดยิ่งสุมกองสูงขึ้นไปอีก
กลายเป็นเสาเพลิงทมิฬแทงยอดทะลุชั้นบรรยากาศโลกและสูงไปจนถึงพื้นผิวดวงจันทร์แล้วจึงแยกแฉกออกเป็นสามสาย กลายเป็นเสากางเขนที่เชื่อมระหว่างโลกกับดวงจันทร์เอาไว้ด้วยกัน
ร่างของมนุษย์ผู้ถูกแผดเผาอยู่ในเสากางเขนเพลิงมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า กลายเป็นเพียงอนุภาคละเอียดล่องลอยอยู่ในอวกาศไปชั่วกัปชั่วกัลป์
=========Unlimited Cross===========
ที่ชั้นใต้ดินเสาเพลิงยังคงอยู่อีกซักครู่ใหญ่และดับสลายลงเมื่อเลือดดำของทอล ที่เป็นเชื้อเพลิงระเหยหมด เหลือเพียงสายลมแรงพัดกรรโชกขึ้นไปยังรูโหว่ขนาดใหญ่บนเพดานที่เสาเพลิงทิ้งไว้
อุณหภูมิร่างกายของหมาป่าดำลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจนเนื้อตัวเย็นยะเยือก และล้มพับหน้าคะมำพื้นในที่สุดเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ พากันตัวแข็งทื่อตะลึงงึนงันจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกแทบจะลืมหายใจ
“ทอล ! แค่ก” กษัตริยา ร้องเรียกพลางสำลักและอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนจะลากสังขารตัวเองคลานเข้าไปหาร่างของหมาป่าดำที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เมื่อเข้าไปถึงแล้วราชาแกะ จึงจับพลิกร่างของหมาป่าดำ
ให้นอนหงาย แทบใจหายเมื่อจับถูกเนื้อตัวที่เย็นเฉียบราวกับคนตาย กษัตริยา แนบหูลงกับอกซ้ายของทอล
เพื่อฟังเสียงหัวใจ ซึ่งดังไม่เป็นจังหวะ เดี๋ยวเต้นเดี๋ยวหยุด
“กะ…กษัตริยา….” ทอล กล่าวเท่าที่ร่างกายจะอำนวยหลังจากใช้พลังทั้งหมดทุ่มไปกับการโจมตีครั้งสุดท้ายตอนนี้แค่พูดเฉยๆก็ทำเอารู้สึกเหนื่อยจนแทบขาดใจตาย กษัตริยา ยกหูออกแล้วหันมาสบตากับเขา โดยที่น้ำตายังคลอเบ้าอยู่ “ทอล…” ยุวราชแห่งแสง กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันที่สุดในชีวิตของเธอ
……………………………………………………………..
.........................................................
...................................
***************** DREAM CHAPTER *****************
ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเมื่อไหร่ อดีต หรือปัจจุบัน หรือว่าอนาคต ในช่วงเย็นของวันนั้น
และอากาศอบอุ่น ท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงจากแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ซึ่งจวนจะคล้อยดิน
ทิวทัศน์ยามเย็นซึ่งถูกย้อมเป็นสีส้มของเมืองติดริมชายฝั่ง มีโรงพยาบาลเล็กๆตั้งอยู่บนชะง่อนผายื่นเข้าไปในทะเล ภายในห้องพักผู้ป่วย แสงสีแส ดสา ดส่องผ่านหน้าต่าง เด็กชายวัย 14 ปี มีผมสีทอง
ปอยผมด้านหน้าปัดให้แยกออกซ้ายและขวาเท่าๆกัน สวมใส่ชุดคนไข้เป็นผ้าเนื้อนิ่มสีเขียวโดยใส่แบบผูกเชือกทัดหลังเพื่อยึดไว้ให้เสื้อหลุดออก เด็กชายนั่งบนรถเข็นดวงตาสีแดงมองดูทิวทัศน์ของทะเลยามเย็น
ผ่านทางหน้าต่างห้อง
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น2ครั้ง รอยยิ้มเผยอขึ้นบนใบหน้าของเด็กชาย เมื่อประตูห้องเปิดออก
ผู้ที่เข้ามาในห้องคือเด็กสาวชุดนักเรียนสีขาวไว้ผมสั้นสีทอง และมีดวงตาสีแดงแบบเดียวกับเขา
เด็กชายรีบจับรถเข็นที่นั่งอยู่หันกลับไปเพื่อมองเด็กสาว เธอยิ้มให้เขาและกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“เป็นยังไงบ้างคะพี่คุณหมอว่ายังไงบ้าง”
“เขาบอกว่าพรุ่งนี้ก็กลับได้แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มตอบพลางหมุนล้อรถเข็นเพื่อเข้าไปหาน้องสาว
“อยู่โรงพยาบาลมา 3 วันแล้วพี่คงเบื่อแย่เลยลงไปเดินเล่นที่ชายหาดไหม?”
เด็กสาวถามพร้อมกับโยนกระเป๋านักเรียนทิ้งลงบนโซฟาโดยไม่ต้องรอฟังคำตอบของพี่ชาย
“อืม เอาสิ” เด็กหนุ่มตอบรับทันที ก่อนที่เด็กสาวจะเดินไปเข็นรถพาเขาออกจากห้อง
………………………………………..
บนชายหาดใต้ชะง่อนผาที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ เด็กสาวเข็นรถเข็นของพี่ชายเดินลัดเลาะไปตามริมหาด ไร้ซึ่งผู้คนความเงียบสงบของหาดนั้นมีเพียงเสียงพัดโบกของสายลมปนมากับเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่ง และเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของสองพี่น้อง
“แล้วจากนั้นนะ เชอรี่ก็บอกว่าลืมเอากรรไกรมา ชิออนก็เลยบอกว่างั้นก็เอาฟันเธอกัดแทนสิยังไงมันก็คมหยั่งกะมีดโกนหลังจากนั้น เชอรี่ก็วิ่งไล่งับชิออนทั้งวันเลยล่ะ ฮะๆๆ”
เด็กสาว เล่าเรื่องไปพลางหัวเราะไปพลาง เช่นเดียวกันพี่ชายเธอก็ฟังไปขำไปด้วย
“พี่ชักอยากจะเห็นฟันของ เชอรี่ซะแล้วสิ ฮะๆ เธอคงไม่มีปัญหาเลยถ้าฉีกถุงขนมไม่ขาดน่ะนะ ฮะๆ”
“แล้วไว้คราวหน้าหนูจะเอารูปมาให้ดูนะ” เด็กสาวกล่าวทั้งสองยังคงคุยกันต่อไปโดยที่เนื้อหานั้นจะมี
แต่เรื่องของเด็กสาวเสียอย่างเดียว แม้ว่าเธอจะพยายามชวนคุยเรื่องของพี่ชายเธอบ้างแต่เขาก็ตอบแค่สั้นๆ
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเด็กชายนั้นป่วยเป็นโรคร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิดทำให้ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ถึงจะใช้แขนและขยับตัวได้บ้างแต่ก็จะเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติและมีอาการแทรกซ้อนอีก
ดังนั้นเด็กชายจึงไม่ค่อยได้ออกไปไหนแม้แต่โรงเรียนก็ไม่เคยไป เขาไม่รู้จักกับใครเลยนอกจาก
ครอบครัวที่เหลือเพียงน้องสาวคนเดี่ยว กับผู้ปกครองที่รับพวกเขามาอุปการะเลี้ยงดู
สองพี่น้องยังคงพูดคุยกันต่อไปอีกซักพักใหญ่จนเมื่อน้องสาวหยุดเข็นรถเข็น
“ถ้าพี่มีเพื่อนบ้างก็คงจะดีนะ” เด็กสาวกล่าวใบหน้าของเธอหมองลงไปถนัดตา เด็กหนุ่มรีบตอบทันควัน”ไม่เป็นไรแค่มี เวกะ(Vega) อยู่ถึงไม่มีเพื่อนพี่ก็อยู่ได้”
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทั้งสองคนต่างก็ทราบดีว่าคำพูดของน้องสาวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
“พี่อัลแตร์(Altair)คะสัญญากับหนูอย่างหนึ่งสิ” หางคิ้วของเด็กชาย ยกขึ้นด้วยความสงสัยในท่าทีของน้องสาวที่ดูจะแปลกออกไปจากทุกวัน “เป็นอะไรรึเปล่าอยู่ๆก็…”
“ถ้าเกิดว่าซักวันหนึ่งหนูไม่ได้อยู่ข้างพี่อีกต่อไปแล้วพี่จะต้องมีเพื่อนให้ได้สัญญาแล้วนะ”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นคำขอของเวกะล่ะก็พี่สัญญาให้ก็ได้……..”
เสียงของเซเวอร์ดังขึ้น เด็กหนุ่มพึ่งจะลืมตาตื่นจากความฝัน ในกลางดึกบนหาดทรายของเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่งเนื่องจากไม่อาจทนข่มตาหลับอยู่ในน้ำที่นครใต้ทะเลได้ จึงใช้พลังก้าวพริบตา वामन(Vamana)
หนีขึ้นมานอนบนเกาะแทน เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางทบทวนความฝันที่เขาได้เห็นอีกครั้ง เด็กชายที่นั่งรถเข็นนั้นช่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับเขา ส่วนเด็กสาวก็ชวนให้เขารู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ภาพทิวทัศน์ของสถานที่ในความฝันรวมถึงคำพูดของสองพี่น้องนั้นจะชวนให้รู้สึกนึกถึงและคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่ามันเป็นเหตุการณ์เมื่อไหร่เกิดขึ้นตอนไหน สมมติฐานหนึ่งผุดขึ้นในหัว
“หรือว่านั่นจะเป็นอดีตของเรากันนะ?”
ระหว่างที่ปล่อยใจลอยไปกับความนึกคิดก็มีสิ่งหนึ่งตัดผ่านขึ้นมาบนภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว สิ่งนั้นดึงเซเวอร์กลับมาจากห้วงความคิด เขาไม่เคยเห็นอะไรแปลกประหลาดอย่างนี้มาก่อน
ลำแสงสีดำวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วยังลากยาวไปถึงดวงจันทร์จนเห็นเป็นจุดคล้ายกับกา กบาทสีดำ
ติดอยู่บนพื้นผิวสีขาวนวลของดวงจันทร์ เด็กหนุ่มพยายามเพ่งสายตามองว่ามันมาจกาที่ใด
“ทิศนั้นมัน เมืองแสงนี่…”
……………………………………………………………..
…………………………………………….
………………………………
****************** A Successor of Time Controller ******************
กลางดึกของวันเดียวกัน ที่นครใต้ทะเล โลกิ ยืนอยู่หน้าประตูห้องภายในพระวิหารหลักของนครใต้ทะเล
และบานประตูข้างหน้าเมื่อก็คือประตูห้องทำงานของ เฟิสเทล สันตะปาปากระรอกยังคงทำงานอยู่ในห้อง
และ โลกิ มาที่นี่เพราะมีคำถามที่สงสัยใคร่รู้ ซึ่งไม่สามารถถามต่อหน้าเพื่อนผู้กล้าด้วยกันได้จึง
มาถามเอายามวิกาลเช่นนี้ แต่ก็เกิดความลังเลขึ้นมา ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องทึ่พูดคุยกับเซเวอร์
หลังเสร็จสิ้นการประชุมในตอนบ่ายของวัน
“ข้าว่าเราไม่ควรที่จะไว้ใจเฟิสเทลและข้ามีแผนที่จะไปช่วยทอลออกมา พวกจ้าจะว่ายังไง”
เซเวอร์ เสนอแผนการ คนที่เห็นด้วยทันทีคือ เรจิ กับ ซาจิทาเรียส
“จะไปช่วยทอลใช่ป่ะงิ งั้นเรจิ ไปด้วย!!”
“โอ้ส! ถ้าทำเพื่อช่วยทอมมี่ล่ะก็ ฉันไม่เกี่ยงอยู่แล้ว!”
“ข้าก็เห็นด้วยอยู่หรอกนะเรื่องช่วย สหายทอล แต่ที่เจ้าพูดว่าไม่ควรไว้ใจองค์สันตะปาปา มันออกจะขัดจิตขัดใจข้าเหลือเกิน” ผู้กล้าเผ่าวาฬไพซิสและยังเป็นโอเชี่ยนเทมพลาที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับอาร์คไนท์ ของเมืองแสงแย้งขึ้นมา
“เรื่องที่อยากช่วยสหายทอล ก็เป็นเรื่องที่เราสนใจและอยากช่วยสนับสนุนแต่ด้วยฐานะของเราการร่วมแผนการกับพวกเจ้าอาจทำให้ถูกสงสัยได้เร็วขึ้น เช่นนั้นข้าจะขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยก็แล้วกัน”
ความเห็นของไพซิส คือการไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับแผนของเซเวอร์ ซึ่งผู้กล้าคนอื่นๆนอกจาก เรจิ กับ ซาจิทาเรียสแล้ว ต่างก็ยังไม่ไว้ใจเซเวอร์ ด้วยเหตุนี้คนที่จะเข้าร่วมแผนการช่วยทอล จึงมีเพียงสี่คน คือ เซเวอร์ เรจิ ซาจิทาเรียส และ โลกิ
ลิงหนุ่มพยามยามทบทวนว่าเหตุใดเขาจึงตอบตกลงกับเซเวอร์ไป ตัวเขาเองก็ไม่ได้ไว้ใจเซเวอร์ เมื่อลอง
ขบคิดดูดีๆแล้วก็ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลยที่ เซเวอร์ ซึ่งถูกทำร้ายด้วยเลือดของพี่ชายจะต้องเสี่ยงไปช่วยเองให้โดนแบบเดิมซ้ำสองอีกทำไมกัน และจากปากคำของเฟิสเทล ก็บอกว่า ทอลพี่ชายหมาป่าของเขาคือศัตรูของเซเวอร์ ไหนยังจะตอนที่มาขัดขวางการประหารตอนนั้นก็ทำไปเพราะช่วย เรจิ ด้วยซ้ำและตลอดมา
ตั้งแต่ที่ โลกิ ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองแสงก็ไม่เคยสังเกตเลยว่าเซเวอร์ จะมีสัมพันธ์อะไรกับพี่ชายของตน
ถึงขนาดจะมาตามช่วยเหลือกันแบบนี้
“ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ” โลกิ ยกมือขึ้นมาก่ายใบหน้าอันเคร่งเครียด แล้วประตูก็เปิดออก
สตรีกระรอกจ้องมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มและสีหน้าที่เหมือนกับรู้ว่าเขาจะมาหา “เข้ามาสิ”
เฟิสเทล เชิญเขาเข้ามาในห้องก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกัน โลกิ เจ้ามาที่นี่เพราะอยากจะถามเราถึงความเป็นมาของตัวเองใช่ไหม”
ลิงหนุ่มแสดงอาการตกใจทันที นางรู้ว่าเขามาด้วยเรื่องใด องค์สันตะปาปาหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก้าวเท้าเดินตัดผ่านหน้าเขาเพื่อไปเปิดผ้าม่านออกภาพที่ฉายผ่านหน้าต่างไม่ใช่วิวทิวทัศน์ใต้ทะเลอย่างที่ควรจะเป็นแต่เป็นภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนที่รายล้อมไปด้วยดวงดาวมากมายแทน
“สวยใช่ไหมล่ะจริงสิลืมไปเลยเจ้าเป็นคนที่มาจากบนบกนี่นะของแบบนี้คงจะเห็นจนเบื่อแล้วสินะ เราชินซะแล้วล่ะกับคำพูดต้อนรับแขกที่มาหาเราในยามวิกาลแบบนี้”
คิ้วโลกิกระตุกทันทีที่ได้ยินว่าต้อนรับแขกในยามวิกาล สุดจะสงสัยเสียจริงว่าธุระอะไรที่ต้องมาหาเอาตอนค่ำดึกๆดื่นๆแบบนี้
“กระจกบานนี้น่ะทำพิเศษเพื่อฉายภาพทิวทัศน์ของที่ไหนที่เราอยากจะเห็นก็ได้”
เมื่อองค์สันตะปาปาเริ่มต้นบรรยายสรรพคุณกระจก ลิงหนุ่มก็รีบแย้งทันทีเพราะรู้ว่าหากปล่อยไปทั้งอย่างนี้
อาจจะต้องคุยกันจนถึงเช้า “เดี๋ยวก่อนท่านเหฟิสเทล เรื่องที่ผมจะมาคุยด้วยน่ะ”
สตรีกระรอก จึงหยุดพูดและรอฟังเขาอย่างตั้งใจ
“ท่านเคยบอกใช่ไหมว่า เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป เป็นผู้ใช้มนอสูรเหมือนกหับผม แล้วก็ยังมีความสามารถที่เกี่ยวพันกับกาลเวลาอีกด้วย ผมถึงคิดขึ้นมาได้ว่าความสามารถมองเห็นอนาคตนี่ ขนาดกษัตริยาที่เป็นผู้สืบทอดของท่านอัลเคเซีย ยังไม่มีการที่ผมมีพลังนี้แปลว่าผมจะต้องมีความสัมพันธ์กับใครบางคนที่สามารถในเรื่องเกี่ยวกับเวลาได้” เฟิสเทล พยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไป
“ใช่แล้วถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน กี่ครั้งแล้วนะที่ไหวพริบของเจ้าทำให้เราตกใจแบบนี้ ที่จริงตอนนี้เราก็ได้คืนความสามารถที่จะมองดูอนาคตพร้อมทั้งบอกวิธีใช้งานไปแล้วด้วยทำไมถึงไม่ใช้พลังนั้นหาคำตอบแต่กลับมาเราเสียล่ะ”
“ผม.....ผมยังไม่กล้าพอ.. .” โลกิพร้อมกับยักไหล่ไปพลาง สตรีกระรอกกลั้นขำเบา
“หึๆๆ กลัวงั้นรึเอาเถอะ ไอพลังมองเห็นอนาคตกับพลังในการควบคุมเวลาเนี่ยมันก็ไม่ได้ต่างกันซักเท่าไหร่หรอกจะรู้ช้ารึเร็วมันก็เป็นเรื่องของเวลาทั้งนั้น ดังนั้นเราจะบอกให้ตรงนี้เลย อย่างที่เจ้าสังหรณ์นั่นแหละ
คามิโอ กินนัมกาแกป คือผู้ที่สร้างเจ้าขึ้นมาหรือก็คือ พ่อของเจ้า…”
ดวงตาของลิงหนุ่มเบิกกว้าง พร้อมๆกับภาพท้องฟ้าที่ฉายบนกระจกหน้าต่าง ปรากฏเส้นแสงสีดำทะยาน
ขึ้นไปจนถึงดวงจันทร์ องค์สันตะปาปา หันไปมองดูลำแสงนั้นพร้อมกับถอนลมหายใจเบาๆ
“ใกล้จะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ หมาป่าผู้ที่จะกลืนกินพระเจ้า...”
************************โปรดติดตามตอนต่อไป**********************
ความคิดเห็น