ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    12Tails: Tails Apocalypse Ⓣ (Turn Bringer Invasion)

    ลำดับตอนที่ #34 : Chapter : 29 มนุษย์รุกคืบ GM Attack

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 123
      0
      31 ธ.ค. 56

    Chapter : 29 มนุษย์รุกคืบ GM Attack 

     

    ระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นภายในวิหารของนครใต้ทะเลการประชุม เป็นไปอย่างออกรสออกชาติ

    เมื่อเฟิสเทลผู้ดำรงตำแหน่งสันตะ ปาปาผู้ปกครองแห่งศาสนจักรได้เปิดเผยความจริงเบื้องหลัง

    ความผิดของโลกิและ เรื่องที่เกิดขึ ้นในคืนแห่งกบฏกองอัศวินพิธีกรรมรวมถึงที่มาของ เรจิ ซึ่งเกิดจากพิธีรังสรรค์ในคืนเดียวกัน การประชุมดำเนินมาจนถึงหัวข้อสุดท้าย และแล้ว ประตูห้องก็เปิดออก

    โดยเซเวอร์ที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วและอยู่ในอารมณ์โกรธกริ้ว

     

    เจ้ากระรอกปลิ้นปล้อนคืนสร้อยนั่นมาให้ข้าซะ” สีหน้าของเซเวอร์แผ่รังสีแห่งความโกรธออกมาให้ได้รับรู้โดยทั่วกัน ในยามนี้เพียงแค่ตะคอกเสียงดังๆก็ข่มขวัญได้แม้แต่ แม่ทัพไลเกอร์อย่างโบลดาสยังหงอ

     

    เสียมารยาท ถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน เซเวอร์เราไม่เคยโกหกใครหรือหลอกลวงใครเลยนะ แล้วไฉน

    เราถึงกลายเป็นคนปลิ้นปล้อนไปในสายตาของเจ้าเล่า

    องค์สันตะปาปา สวนกลับไปด้วยอาการสงบนิ่งไม่มีความเกรงกลัวต่อเซเวอร์แม้แต่น้อย

    เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ แต่เพียงครู่เดียว สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลง

    และเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ก่อนจะพูดตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น

     

    ก็ได้ข้าอาจจะพูดผิดไปแต่ขอร้องช่วยคืนสร้อยนั่นให้ข้าที

     

    เหล่าผู้กล้าและโบลดาสแทบไม่เชื่อสายตา แม้จะเคยช็อกที่เห็นเซเวอร์ขอโทษ ทอลมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เซเวอร์ทำด้วยความสมัครใจ แต่กับ เฟิสเทลนั้นไม่เหมือนกัน  พวกเขารู้สึกได้ว่า อิริยาบถที่

    เปลี่ยนไปของเซเวอร์นั้นมาจากความกังวลต่ออะไรซักอย่างสีหน้าของเขา ฟ้องออกมาเช่นนั้น

     

    ถือซะว่าเรา…”

    ไม่! เซ เวอร์แย้งก่อนที่เฟิสเทลจะพูดจบ ข้าขอร้องอย่าให้มันยืดยาวเลยเพราะถ้าเจ้าเริ่มพูดเจ้าจะพูดวนไปวนมาสุดท้ายข้าคงเป็นบ้าตายก่อนจะได้ของคืนแน่

     

    บัดนี้ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าทำไมเซเวอร์ถึงได้มีท่าทางแปลกไปจากเดิม พวกเขาเองก็ได้เผชิญมาแล้วความน่ากลัวแบบเดียวกับที่เซ เวอร์กำลังหวาดหวั่น มันคือ ถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน-คำพูดติดปากของ เฟิสเทลที่ทำให้ การประชุมซึ่งมีแค่สามหัวข้อสั้นๆยืดยาวมาได้เป็นชั่วโมงๆแบบนี้

     

    องค์สันตะปาปา แกล้งกระแอ่มไอ เพื่อให้สมาธิของผู้เข้าประชุมกลับมา แต่ครั้นเมื่อนางอ้าปากและเกือบจะออกเสียง ถือซะ- ออกมาสายตาของทุกคนก็เพ่งเขม็งมาที่นาง จนต้องแกล้งกระแอ่มไออีกครั้งแล้วเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่

    เอาเป็นว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกันนะ แต่ทำไมเจ้าถึงอยากจะได้สร้อยนี่คืนมากขนาดนั้นล่ะ?”

     

    เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เพราะคำตอบที่เขาเตรียมไว้ในใจมันน่าอายมากหากจะพูดออกมาต่อหน้าคน

    เยอะแยะแบบนี้ แต่เมื่อได้ลองไตร่ตรองอย่างดีแล้ว หากเขาโกหกไป เฟิสเทลก็ต้องจับโกหกได้แน่ๆ

    แล้วนางก็จะยืดเรื่องคุยถวงเวลาจนเขาต้องพูดความจริงออกไปอยู่ดี เรื่องพวกนี้เด็กหนุ่มเข้าใจเป็นอย่างดี

    เพราะก่อนที่เขากับเรจิ จะเดินทางไปเมืองแสง ก็มีช่วงเวลาที่เขาต้องทนอยู่กับ เฟิสเทลด้วยเช่นกัน

     

    มันเป็นของที่ได้รับจากครอบครัว

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงเข้มเหมือนลูกมะเขือเทศ และร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย แต่ทุกคนที่ได้ฟัง

    นั้นไม่มีใครคิดวามันเป็นเรื่องน่าอาย กลับรู้สึกทึ่งเสียมากกว่า ที่เซเวอร์เองก็มีด้านแบบนี้อยู่ด้วย

    องค์สันตะปาปา ฉีกยิ้มแป้นแต่แค่ชั่วพริบตารอยยิ้มนั้นก็จางหายไป

     

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกันเราคาดไม่ถึงจริงๆกับคำตอบของเจ้า เราขอคืนให้

    พูดจบองค์สันตะปาปาเฟิสเทล ก็ใช้มือช้อนเอาสร้อยเครื่องรางขึ้นมาจากโต๊ะแล้วขว้างไปให้เซเวอร์ที่

    ยื่นมือรอรับ อยู่เมื่อได้สร้อยคืนเด็กหนุ่มก็เอามาดูและคอยทะนุถนอมมันอย่างดี 

    ระหว่างนั้น องค์สันตะปาปาก็พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบา

    จนไม่มีใครได้ยินอาจจะพอใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้….”

    แต่เมื่อมีคนหันมาเพราะคิดว่าได้ยินเสียงที่พึมพำอยู่ เฟิสเทลก็ปิดปากสนิททันทีแล้วเปลี่ยนอิริยา บถใหม่ก่อนจะเริ่มพูดเสียงดังอีกครั้ง

     

    ถือซะว่าเราไมได้พูดก็แล้วกันแต่ทีแรกเราไม่ตั้งใจจะคืนให้เจ้าหรอกนะ รู้ไว้ซะด้วยว่าตอนนี้เจ้ายังขยับตัวได้อยู่โดยที่ไม่ถูกพิษเลือดของทอลกัดกินเป็นเพราะได้สร้อยคอเส้นนั้นช่วยเอาไว้

    เด็กหนุ่มละสายตาจากสร้อยแล้วเงยหน้าขึ้น หมายความว่ายังไง

     

    ในตอนที่เจ้ากำลังจะถูกเผาด้วยไฟแห่งหยาจื้อมันสัมผ ัสได้ถึงเสี้ยวพลังของทอลใน

    หยดเลือดที่อยู่ในสร้อยนั่นถึงได้หยุดทำร้ายเจ้าและทำให้บาดเจ็บแค่ภายนอก

    ไม่ต้องถามนะว่าเรารู้ได้อย่างไร เพราะเราได้สอบถามมาหมดแล้วว่าใคร

    เป็นคนทำสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาจากตัวลูกชายของเราเอง

    องค์สันตะปาปา พูดพร้อมกับผายมือไปยัง เรจิ ซึ่งนั่งเก้าอี้ตัวถัดไปจากเขาเมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนในห้องเล็งมาที่ตน หมาป่าแดงก็ตอบด้วยท่าทางภูมิใจ  อื้ม เรจิเล่าให้ ปะป๊าฟังเองล่ะงิ

     

    ระหว่างนี้เอง เซเวอร์ก็นึกขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนถูกไฟสีดำครอก ในตอนนั้นก่อนที่จะหมดสติไปเขามองเห็นเงาร่างของ ทอลที่เขาคิดว่าคงเป็นภาพหลอนที่คิดไปเอง แต่พอลองผนวกเข้ากับสิ่งที่

    เฟิสเทลพูดมา ทำให้เซเวอร์เปลี่ยนความคิดว่า บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่ภาพหลอนแต่เป็นพลังของ ทอลที่

    มาจากหยดเลือดในสร้อยเส้นนี้ ออกมาช่วยปกป้องเขาเอาไว้ เขาตกเป็นหนี้ชีวิตทอลเสียแล้ว

     

    บอกตามตรงนะเราไม่ควรจะคืนมันให้เจ้าเลย หากว่าการที่เจ้าขอมันคืนจากเราคือมีเจตนาจะใช้มันสำหรับป้องกันตัวในการต่อสู้กับทอลแล้วล่ะก็ สร้อยนั่นจะกลายเป็นกุญแจตัดสินความเป็นอยู่ของโลก

    แต่คำตอบของเจ้าก็ทำให้เราเปลี่ยนใจ

    องค์สันตะปาปา กล่าวถึงเหตุผลที่ยอมคืนสร้อยให้แก่ เด็กหนุ่มโดยดี

     

    แล้วทำไมข้าจะต้องไปสู้กับทอลด้วยเด็กหนุ่ม ถาม

    ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกรึไง คนที่จะต้องสู้กับเจ้าในฐานะเทลอาโพคาลิปส์ น่ะไม่ใช่เรจิ แต่เป็นทอล

     

    ข้าเคยพูดไปแล้วไงว่าข้าจะเลือกเอง และข้าเลือกเรจิ!ข้าพูดเช่นนั้นกับเจ้าเป็นคนแรกก่อนจะไปบอกพวกเทพเจ้าด้วยซ้ำ !

    เซเวอร์พูดและเปลี่ยนเป็นตะคอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ใครมาบงการทางเลือก

    ของเขาเด็ดขาด เฟิสเทล ส่ายหน้า สีหน้าขององค์สันตะปาปาแสดงความเหนื่อยหน่ายออกมา

    ถือซะว่าเราไมได้พูดก็แล้วกัน เซเวอร์ทั้งเราและเทพเจ้าต่างก็ไม่ได้กำหนดคู่ต่อสู้ให้เจ้ารวมถึงคามิโอก็ไม่ใช่เหมือนกัน สิ่งที่กำหนดคู่ต่อสู้ให้เจ้าก็คือชะตาชีวิตของเจ้า

     

    ในระหว่างที่องค์สันตะปาปาตอบคำถาม เรจิ ก็ได้แทรกขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตนเองจะไม่ได้เป็นเทลอาโพคาลิปส์

    ปะป๊า เรจิ….”

    เรจิ เราคุยกันแล้วไม่ใช่รึไง ยอมรับซะเถอะว่าตอนนี้เจ้าน่ะเป็นแค่ส่วนเกิน

    เฟิสเทลแย้งองค์สั นตะปาปา ทราบดีถึงสิ่งที่หมาป่าแดงซึ่งตนอุปโล กน์เป็นลูกชายจะพูดคือเรื่องใดและ พวกเขาก็ได้คุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

     

    เมื่อผู้เป็นเสมือนบิดาของตนกล่าวเช่นนี้ หมาป่าแดงก็ไม่อาจคัดค้านอะไรอีก โลกิซึ่งนั่งอยู่อีกฟาก

    อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความเห็นใจ เพราะสถานภาพของ เรจิ กับตัวเขาเองก็ไม่ต่างกันนัก

    ในตอนที่เขาช่วยลบอาคมสะกดความทรงจำให้ทอลและเมื่อความทรงจำทั้ง หมดกลับคืนมา

    ทอลได้พูดกับเขาว่า โทษทีนะโลกิฉันเป็นพี่ชายให้นายไม่ได้แล้วล่ะ ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไงแต่ผ่านมาสองวัน ที่ศาสนจักรสายน้ำแห่งนี้เขาได้ใช้เวลาทบทวนสิ่งที่เห็นจากความทรงจำของทอล รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ทะเลทราย เขาก็พอจะคาดเดาได้ลางๆแล้วว่าโอดิน และ ทอล

    เป็นพ่อลูกกันจริงๆ และมีแต่เขาที่เป็นคนนอกคนที่เป็นลูกบุญธรรมจริงๆแล้วมีแค่เขา

     

     “ถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน คำถามสุดท้ายของการประชุมเหล่าผู้กล้าเอ๋ย พวกเจ้าต่อสู้ไปเพื่ออะไร

    เฟิสเทลพูดเปิดการประชุมหัวข้อสุดท้ายที่ค้างไว้หลังจากเซ เวอร์บุกเข้ามา คำถามนี้นำความโกลาหลมายังโต๊ะประชุม บรรดาผู้กล้าอย่าง ซาจิทาเรียส แชร์คาน เริ่มยิงคำถามกับประเด็นนี้ทันที

     

    พวกเราต่อสู้เพื่ออะไร คำถามบ้าบออะไรกันเนี่ย?”ซาจิ ทาเรียสพูด

    ที่พวกเรามาเป็นผู้กล้าก็เพื่อ ศาสนจักรมันก็กำหนดชัดเจนในจุดปร ะสงค์ของการ

    ก่อตั้งคณะผู้กล้าอยู่แล้วนี่แชร์คาน อ้างถึงข้อความในสัญญาผู้กล้าที่เคยลงนามเอาไว้ก่อนจะรับตำแหน่ง

     

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกันแต่ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เดิมทีพวกเจ้าทั้งหมดถูกก่อตั้งเป็นผู้กล้าของเทพแสงหรือท่านอัลเคเซียแต่ตอนนี้ก็เสด็จสวรรคตไปแล้ว พูดกันตามหลักการคนที่พวกเจ้าจะต้องรับใช้ต่อไปคือกษัตริยาและเป้าหมายของนางก็คือการปลดแอกสัตว์หาง

    เฟิสเทลตอบ และทำให้ความโกลาหลหยุดลงทันทีคำถามถัดมาเริ่มขึ้นจากคำตอบที่

    องค์สันตะปาปาตอบมา

     

    ปลดแอกสัตว์หางเหรอ หมายความว่ายังไงซาจิ ทาเรียสถาม

    กษัตริยาต้องการที่จะโค่นล้มเทพเจ้าทั้งหมดเพื่อให้สัตว์หางได้ปกครองกันเองนั่นก็คือเป้าหมาย

    หลังจากตอบคำถามนี้แล้วที่ประชุมก็เงียบเสียงลง ไม่มีใครถามอะไรอีก องค์สันตะปาปา จึงถามคำถามของหัวข้อประชุมอีกครั้ง

     

    ถือว่าเราไมได้พูดเองก็แล้วกันเพราะฉะนั้นจะขอถามอีกครั้งพวกเจ้าในตอนนี้ต่อสู้ไปเพื่ออะไร

     

    ระหว่างนั้น คอยน์แมวหนุ่มนักพนันผู้ชอบเสเพลซึ่งตลอดการประชุมเขาก็เงียบมาตลอด แต่ตอนนี้เขา

    แย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    เฮ้ๆท่านสันตะปาปา คิดอะไรของท่านอยู่กันแน่ถ้าว่ากันตามที่พูดมาแล้วก็เท่ากับว่าตอนนี้เราคือเชลยที่ถูกจับตัว มาน่ะสิ

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน ไม่ได้ผิดไปจากที่เจ้าพูดเลยคอยน์

    ผู้กล้าเอ๋ยพวกเจ้าน่ะเป็นเชลยศึก

     

    สีหน้าของแมวหนุ่มฉายแววความวิตกขึ้นมาทันทีเขาเองก็ฟังการสนทนาตลอดการประชุมและวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ตลอด ด้วยความที่ชอบการพนันทำให้ต้องเข้าบ่อนหรือไปสุงสิงกับด้านมืด

    ของเมืองอยู่บ่อยๆ คอยน์จึงมีนิสัยชอบอ่านสถานการณ์โดยรอบและระวังตัวตลอด และเพื่อที่จะยืนยันสถานการณ์ ทำให้เขาถามคำถามเมื่อครู่กับเฟิสเทล หนแรกเขาคิดว่า องค์สันตะปาปา จะตอบอ้อมค้อมกว่านี้ เพราะคิดว่าพวกตนเหล่าผู้กล้ายังพอจะมีความสำคัญอะไรอยู่บ้างถึงได้พาหลบหนีมาที่นี่

    แต่เมื่อเจอกับการตอบแบบขวานผ่าซากไม่หวั่นเกรงต่ออะไรของ เฟิสเทลเข้าไป แมวหนุ่มก็แทบจะไปต่อไม่ถูกหรือเขาจะอ่านสถานการณ์ผิดไปกันแน่

     

    เมื่อเห็นคอยน์ที่ขึ้นลือชากันนักหนาว่าเป็นผู้กล้าที่ลอบจัดที่สุดตีสีหน้าหวาดวิตกและหัวปั่น

    กับคำพูดของตน ดวงตาขององค์สันตะปาปาก็ฉายแววยิ้มขำออกมา

     

    ตอนนี้สถานการณ์ยังคงคลุมเครือเราไม่รู้หรอกว่ากษัตริยาจะทำการใดบ้างแต่การต่อสู้หลังจากนี้ไปเราก็คงเลี่ยงไมได้ที่จะต้องปะทะกันเองระหว่างศาสนจักรด้วยกันดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการชี้ชัดว่าใครอยู่พวกไหน

    องค์สันตะปาปา พูดอธิบายควาหมายของคำถามหัวข้อประชุมให้ฟังแต่นั่นก็ไมได้ทำให้ เหล่าผู้กล้าคลายความกังวลลงไปเลย

    เอาเถอะยังไม่ต้องรีบตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ ใครมีคำถามอะไรอีกไหมเมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครพร้อมให้คำตอบ

    จึงขอเลื่อนออกไปแทน และถามย้ำข้อสงสัยเหมือนหัวข้อประชุมข้ออื่นๆก่อนจะจบหัวข้อ

    โลกิยกมือขึ้น เฟิสเทลเชิญให้เขาถามได้ทันที

     

    ก่อนอื่นเลยคุณเป็นสัตว์หางในตำนาน และตำนานนั่นก็เล่าขานกันมาตั้งเป็นร้อยๆปีแล้วแต่ทำไมคุณถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ แถมยังไม่แก่ลงไปเลยซักนิด

    คำถามของ โลกิเป็นที่จับตามองของวงประชุม ทุกคนเองราวกับพึ่งจะนึกขึ้นมาได้  ว่ากันตามหลักการแล้ว

    พวกเขาเองก็ไม่เคยรู้ตัวจริงขององค์สันตะปาปาผู้นำศาสนจักรคนปัจจุบันเพราะมันถูกเก็บเป็นความลับ

    มีแต่หน่วยที่ขึ้นตรงต่อองค์สันตะปาปา และเหล่าอาร์คไนท์เท่านั้นที่รู้ความลับนี้ วันที่พวกเขาผู้กล้า

    ล่วงรู้ความลับนี้ก็เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายอย่างพวกเขามีคำถามมากมายล้นสมองจนลืมคิดถึง

    เรื่องนี้ไปเลย ใบหน้าและสีขนของเฟิสเทลนั้นถูกต้องตามที่อยู่ในแบบเรียน จะมีก็แค่นิสัยกับวิธี

    พูดประหลาดๆเท่านั้นที่ได้รู้จากากรพูดคุยกับตัวจริงแบบนี้

     

    องค์สันตะปาปา เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

    จากนี้ไปเราจะพูดด้วยตัวเองตั้งใจฟังให้ดีล่ะ เราไม่ใช่เฟิสเทลอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจแต่ก็ยังเป็นเฟิสเทลอยู่

    แม้ว่าทุกคนในที่ประชุมจะตั้งใจฟังและจับใจความอย่างเต็มที่แต่สิ่งที่ เฟิสเทลพูดมาก็ไม่สามารถเข้าใจได้

    ทันทีพวกเขาจึงรอให้พูดต่อจนจบ

    ตัวเราในตอนนี้คือ มาก้า(Maka)จิตวิญญาณสูงสุดแห่งธรรมชาติที่มารับสืบทอดเจตนารมณ์ของเฟิสเทลเอาไว้เพื่อดูแลความเป็นไปของโลกใบนี้ รายละเอียดที่เหลือเราขอไม่พูดดีกว่าไม่อย่างนั้นคงจะต้องเล่ากันอีกยาวเลยหรือว่าอยากจะฟังล่ะ

     

    หลังจากอธิบายจบและปิดท้ายด้วยคำขู่เชิงหยอก ขององค์สันตะปาปารอยยิ้มกรุ่มกริ่มรอที่จะได้เล่าความยาวสาวความยืดอีกนานๆก็ชวนให้ผู้กล้าขนลุกซู่ด้วยความสยองและพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

    ไม่เป็นไรแค่นี้ก็มากพอแล้ว!!

    รอยยิ้มขององค์สันตะปาปาหุบหายไปในทันที ความผิดหวังฉายอยู่บนใบหน้าก่อนจะเลือนหาย

    ไปอย่างรวดเร็ว

     

     “ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกัน จากนี้ไปจะขอสรุปผลการประชุม ผู้กล้าเอ๋ยพวกเจ้าจงกลับไปคิดให้ดี

    ว่าอยากจะทำอะไรต่อไป แล้วนำคำตอบมาตอบให้แก่เราในการประชุมข้างหน้าในอีก 2วันด้วย และเนื่องจากการที่พวกเจ้ายังเป็นผู้กล้าอยู่ ทำให้พลังของพวกเจ้าถูกลิดรอนมาอยู่ที่เราส่วนหนึ่ง หากพวกจ้ายังเป็นผู้กล้าอยู่ก็จะไม่มีวันตายจากการต่อสู้อย่างแน่นอนแต่ว่าพลังที่เหลือจากการ ลิดรอนของระบบผู้กล้า ก็จะทำให้ต่อสู้ได้ไม่เต็มที่ เมื่อได้ลองไตร่ตรองดูแล้วหากจากนี้ไปพวกเจ้ายังตัดสินใจที่จะร่วมต่อสู้ต่อไม่ว่ากับฝ่ายใดก็ตาม การมีอยู่ของระบบผู้กล้าล้วนนำความยากลำบากมาให้

     

    ระหว่างที่เฟิสเทลพูดเหล่าอัศวินที่อยู่ด้านหลัง ก็ออกมาเตรียมการโดยยกม้วนเอาผ้าใบสีขาวผืนใหญ่ออก

    มากางไว้บนผนังห้อง เมื่อแผ่นผ้าใบกางเสร็จเรียบร้อยเหล่าอัศวินจึงย้อนกลับไปประจำที่ตามเดิม

    เฟิสเทลจึงยกไม้เท้าขึ้นแล้วหันส่วนโค้งของหัวไม้เท้ารูปพระจันทร์ ไปยังผ้าใบพร้อมกับร่าย

    มนต์ด้วยเสียงแผ่วเบา แสงสว่างพุ่งจากหัวไม้เท้าสร้างภาพฉายขึ้นบนผืนผ้าใบ บนภาพคือ

    สัญลักษณ์วงกลมที่ข้างในมีเงารูปเฟิสเทลวางอยู่ใจกลางของภาพและมีตราสัญลักษณ์ผู้กล้า

    ที่จะปรากฏออกมาเมื่อผู้กล้าสาบานตนต่อหน้าเสาเฟิสเทลวางล้อมรอบ โดยมีตราของ หมาป่า2 รูป แมว

    2 รูป ลิง กิ้งก่า กระต่าย แพนด้า และ วาฬ  อย่างละ 1รูป รวมทั้งหมด 9 ตราด้วยกัน

     

    ฝั่งกษัตริยาคามิโอ คงจับถอนออกจากระบบผู้กล้าไปหมดแล้วรวมถึงทอลด้วย

    ส่วนผู้กล้าเพนกวิ้น เบลเทแชสซาร์ (Belteshazzar) เราได้จับถอนออกจากกลุ่มผู้กล้าไปก่อนหน้านี้แล้ว

     สรุปแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่พวกเธอที่อยู่ตรงนี้เท่านั้นสินะ

    เฟิสเทลกล่าว เมื่อได้เห็นจำนวนของตราสัญลักษณ์ผู้กล้ามีไม่ตรงกับจำนวนที่ผู้กล้าที่เหลืออยู่ ไนติงเกลจึงลุกขึ้นโต้แย้งทันที เดี๋ยวก่อนนะ พร้อมกับลุกขึ้นไล่นับผู้กล้าไล่ไปทีละคนจนครบทั้งโต๊ะ พวกเราที่อยู่ตรงนี้น่ะ ไพซิส โลกิ คอยน์ แชร์คาน ซาจิ เรจิ ป๋ายหวู่รวมฉันด้วยก็มีแค่ 8 คนเท่านั้นถ้าไม่นับเพนกวิ้นคนนั้น รวมทั้งหมดก็จะมี9คนแล้วคนที่ 9 ล่ะ

     

    เราสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใครจากตราสัญลักษณ์แต่ล่ะอัน คนที่ 9 ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็คือ

     คากามิ ผู้กล้าหมาป่าที่ไม่ได้กลับมาเกิดที่จุดเซฟ ส่วนสาเหตุนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

     

    ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคากามิ ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ไนติงเกล ถามขึ้นแววตาของเธอส่องประกายอย่างมีความหวัง

     

    ไม่รู้สิถือซะว่าเราไม่ได้พูดก็แล้วกัน อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เดิมทีเขาเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของทอล บางทีอาจจะเป็นความสามารถของเก้าบุตรตัวใดตัวหนึ่งที่ทำให้เขาไม่กลับมาที่จุดเซฟ แต่เราก็ไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ เพราะคนที่มีข้อมูลของเก้าบุตรทั้งหมดก็คือคามิโอ ถ้าอยากรู้คงต้องไปถามจากมัน

     

    แม้เฟิสเทล จะพูดตัดกำลังใจและเหวังให้เธอเตรียมทำใจเผื่อไว้บ้าง แต่กระต่ายสาวก็หาได้เป็นอย่างที่องค์สันตะปาปาคาดหวังเลย เธอยังคงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยมว่าคากามิ จะยังมีชีวิตอยู่

    แต่ก็แปลว่ายังพอจะมีหวังใช่ไหมล่ะ ไนติงเกล สรุปเอาดื้อๆ ทั้งอย่างนั้น เฟิสเทลไม่อยากเสียเวลาเถียงกับเธอจึงปล่อยให้คิดแบบนั้นไป ระหว่างนี้ คอยน์ก็แทรกขึ้นมา

     

    ถ้าเป็นอย่างที่ท่านพูดแปลว่าถ้าเราเลือกอยู่ข้างเดียวกับท่านพลังของเราที่ถูกระบบนั่นกดเอาไว้ก็

    จะทำให้พวกเราเป็นตัวถ่วงหรือกลับกันถ้าเราไม่ยอมอยู่ข้างเดียวกับท่าน ก็จะได้กำจัดทิ้งได้ใช่ไหมล่ะหรือพูดแบบเข้าใจง่ายหน่อยก็ ตั้งใจจะปลดพวกเราออกจากผู้กล้าอยู่ดีสินะ

     

    ก็ประมาณนั้น แต่เราก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดจะให้ตัวเลือกพวกเจ้าแค่ข้อสองข้อหรอกนะเราจะพิจารณาจากคำตอบของพวกเจ้า แต่สรุปแล้วยังเราก็อยากจะให้พวกเจ้าเลิกเป็นผู้กล้าก่อนอยู่ดี คงเข้าใจความหมายใช่ไหมหลังจากนี้ไปหากพวกเจ้าตายในการต่อสู้ก็คือตายจริงๆ ไม่มีการย้อนกลับมาแล้วนะ

    พูดจบ เฟิสเทล ก็รอให้เหล่าผู้กล้าได้มีเวลาคิดไตร่ตรอง โดยระหว่างนี้ก็ให้สัญญาณมือกับเหล่าอัศวิน

    ครู่ต่อมา กระดาษทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่เกินฝ่ามือและเข็มเย็บผ้าอีกหนึ่งเล่มก็ถูกแจกจ่ายให้กับ

    เหล่าผู้กล้า

     

    ขอให้ป้ายเลือดของตัวเองบนกระดาษอาคมที่แจกให้แล้ววางกระดาษลงบนโต๊ะตามเดิม

     

    ผู้กล้าทุกคนหยิบเข็มขึ้นมาเจาะใส่นิ้วนางมือซ้ายให้เลือดไหลย้อยออกมาแล้วประทับนิ้วลงบนกระดาษ บัดนี้กระดาษอาคมทุกแผ่นได้ป้ายเลือดของผู้กล้าแต่ละคนเอาไว้

    อัศวินวาฬกงซุนเช่อ จึงออกมาเก็บกระดาษเหล่านั้นไปคืนให้กับเฟิสเทล

     

    เช่นนั้นเราขอประกาศยุบคณะผู้กล้า และขอปิดการประชุม แล้วเราจะรอฟังคำตอบของพวกเจ้าในอีกสองวันข้างหน้านะ เฟิสเทลกล่าวพร้อมกับเสกลูกไฟ

    ขึ้นมาในอุ้งมือแล้วเอากระดาษเลือดทั้งหมดเผาไฟทันที ตราสัญลักษณ์ผู้กล้าที่ฉายบนผืนผ้าใบ

    ทยอยหายไปทีละรูปในที่สุดจึงเหลือเพียงรูปของเฟิสเทลกับหมาป่าอีกรูปเท่านั้น

     

    เมื่อภาพฉายบนผืนผ้าใบดับลง การประชุมก็จบลงเช่นกัน ทุกคนจึงพากันลุกจากเก้าอีและเดินออกจากห้องไปอย่างสงบโดยเก็บเอาความสับสนและวิตกกังวลกลับไปด้วย

     

     

    เดี๋ยว โลกิ  เซเวอร์ ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้าต่ออีกซักหน่อย เฟิสเทลพูดก่อนที่ โลกิ  กับเซเวอร์

     จะทันก้าวออกจากห้อง เมื่อทุกคนรวมถึงเหล่าอัศวินออกไปกันหมด และเหลือเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้น

    องค์สันตะปาปา จึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกันที่เราเคยพูดตอนที่พาพวกเจ้ามาที่นี่ว่าจะไม่ยอมยก

    เหล่าผู้กล้าให้กับ กษัตริยา รวมถึงการประชุมเมื่อกี้เราก็ดูจะให้ความสำคัญกับเหล่าผู้กล้าทั้งหมดใช่ไหม

    คงจะคิดอยู่ล่ะสินะว่า เหล่าผู้กล้ายังจำเป็นต่อการต่อสู้หลังจากนี้ไปแต่นั่นน่ะเป็นเรื่องโกหก

    ที่เราต้องการก็มีแค่เจ้าเท่านั้นโลกิ เจ้านั่นแหละกุญแจแห่งชัยชนะเพียงหนึ่งเดียวที่เราต้องการ

     

    สีหน้าของ เซเวอร์ ฉายแววของความลำบากใจขึ้นมาพลางคิดไปว่ากระรอกตัวนี้ช่างคิดช่างทำ

    อะไรอ้อมค้อมสุดกุ่ ในขณะที่ โลกิ ซึ่งควรจะเป็นคนที่สะทกสะท้าน

    กับคำพูดนี้มากที่สุด กลับนิ่งเฉยและไม่มีอาการตกอกตกใจกับเรื่องนี้

     

    ก็พอจะเดาได้อยู่หรอก ถ้าหากว่ามีความจำเป็นต้องใช้ตัวผู้กล้าทุกคนจริงๆคงไม่เสนอทางเลือกแบบนั้นให้ท่านตั้งใจแต่แรกแล้วสินะว่านอกจากผมก็จะปลดทุกคนออกแล้วปล่อยไปตามยถากรรม ที่พาทุกคนมาด้วยก็เพื่อตบตา คามิโอ ไม่ให้รู้ว่าท่านเล็งใช้ประโยชน์จากผมอยู่ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นผมด้วย

    ลิงหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ

     

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกันตัวเราน่ะมีพลังที่มากกว่าเทพเจ้าทั้งหกหรือทั้งหมดเลยรวมกันเสียอีก

    พูดตามตรงหากเราจะลงมือด้วยตัวเองล่ะก็จะฆ่ากษัตริยาเสียตอนนี้เลยก็ได้ แต่เราก็ยังไม่ทำแบบนั้น

    รู้ไหมว่าเพราะอะไร

     

    ท่านที่เป็นถึงจิตวิญญาณสูงสุดแห่งธรรมชาติมีพลังมากมายถึงขนาดยืดอายุให้กับเฟิสเทลมาได้เป็นร้อยๆปีจนถึงบัดนี้ ถ้าจะมีอะไรที่ขัดขวางท่านอยู่ก็คงจะเป็นข้อจำกัดของตัวท่านเอง

     

    เฟิสเทล เลิ่กคิ้วขึ้นนางรู้สึกทึ่งกับความหลักแหลมของลิงหนุ่มอยู่ไม่น้อยเพราะหากเขาตอบผิดหรือตอบว่าไม่รู้ นางจะแกล้งเขาด้วยการสาวความยืดยาวเสียแต่ก็ไม่ได้ทำ ในเมื่อโลกิ ทำให้นางประทับใจได้การตอบอย่างไม่อ้อมค้อมคือสิ่งที่นางจะทำ

     

    รู้ถึงขนาดนี้เชียวรึ เรารู้สึกประทับใจในตัวเจ้าจริงๆโลกิ จริงอยู่ที่ว่าเรานั้นคือผู้ที่ยืนอยู่

    บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ แต่การที่เราเป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติการทำเรื่องฝืนธรรมชาติอย่างการทำให้ร่างนี้อยู่รอดมาได้เป็นร้อยๆปี มันก็คือพลังทั้งหมดที่เราในตอนนี้จะใช้ได้ เราน่ะไม่ได้คงอยู่เพื่อ

     เฟิสเทลเพียงคนเดียวแต่โลกทั้งใบต้องการเรา หากไม่มีพลังของเราแล้ว โลกนี้ก็ถึงจุดจบ การมีอยู่ของเรา

    คือการมีอยู่ของมานา และมานาคือสิ่งที่ทำให้ชนเผ่าไร้หางกลายเป็นสัตว์หาง

     

    มานาทำให้ชนเผ่าไร้หางกลายเป็นสัตว์หาง หมายความยังไงน่ะ โลกิ ถามเขารุ้สึกสะกิดใจกับเรื่องนี้ขึ้นมา

    รวมไปถึงเซเวอร์ ที่สะดุ้งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่า มานาทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์หาง สันนิษฐานนี้ถูก

    ยัดเยียดให้กับเขาโดยบุคคลชื่อ เกร กีก้าสเลฟ ที่เจอกันในอาโพคาลิปส์

     

    =========Grea Gigaslave========

     

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกัน เจ้ารู้จักรูปร่างของชนเผ่าไร้หางไหมล่ะ ถ้าไม่รู้

    ก็จงดูที่เซเวอร์ เพราะเขาคือชนเผ่าไร้หางหรือที่เรียกว่ามนุษย์

    คำพูดของเฟิสเทล ทำให้โลกิ หันไปมองเซเวอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อได้เห็นความสนใจของโลกิ องค์สันตะปาปา ก็ยิ้มไม่หุบและเริ่มเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติ

     

    ตัวเรามาก้านั้นถือกำเนิดขึ้นมาได้เกือบจะครบพันปีแล้ว แต่มนุษย์นั้นอยู่มาก่อนหน้าเราจะเกิดเสียอีก

    ตัวเราก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในตอนที่พวกเขาทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์กันเอง เพื่อที่จะรักษาชีวิตของโลกใบนี้ไว้เราจึงทำให้มนุษย์ทั้งหมดวิวัฒนาการข้ามสายพันธุ์ของพวกเขากลายเป็นเดียรัจฉาน 12 ประเภท

    เดียรัจฉาน 9 ประเภทจากทั้งหมดได้วิวัฒนาการต่อเป็นสัตว์ป่า  ส่วนอีก 3 ประเภทกลายเป็น แมลง(Bug) พืชมีชีวิต(Plant) และเอเลเมนท์(Element)พวกสัตว์ป่าที่วิวัฒนาการมาจากเดียรัจฉาน 9 ประเภท ลูกหลานของพวกเขาได้วิวัฒนาการต่อเป็นสัตว์หาง หลังจากนั้นตำนานเฟิสเทลก็ถือกำเนิดและรวบรวมสัตว์หางทั้งหมดมาก่อตั้งอารยธรรมตามที่พวกเจ้าเรียนมาในห้องเรียน

     

    แปลว่าพวกเราสัตว์หางแท้จริงแล้วคือชนเผ่าไร้หางที่วิวัฒนาการแล้วงั้นเหรอ

    โลกิ สรุปจากที่ฟังและทำท่าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ เฟิสเทลพูด ทว่าจู่ๆเซเวอร์ก็โวยวายขึ้น

     

    เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเจ้าไม่เห็นเคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลย! แล้วที่เจ้าบอกว่าทำไปเพื่อรักษาโลกนี้ไว้

    เจ้าทำยังไงของเจ้ากัน เด็กหนุ่มจ้อง องค์สันตะปาปาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน เขาไม่เคยรู้เห็น

    เรื่องนี้มาก่อนเลยแต่คนอื่นกลับรู้เรื่องของเขามากกว่าตัวเองเสียอีก

     

    เรื่องที่จะบังคับให้เกิดการวิวัฒนาการน่ะเราทำไมได้หรอก เราเองก็มารู้ว่าการเอาตัวรอดด้วย

    การปรับสภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตเรียกว่าการวิวัฒนาการก็มาจากความรู้ที่สั่งสมมาของเหล่าสัตว์หางนี่แหละสิ่งที่เราทำในตอนนั้นก็คือการทำให้ มานา กลายเป็นคำสาปที่จะเผาผลาญร่างของมนุษย์ให้กลายเถ้าธุลีในทันที

     

    ดวงตาของเซเวอร์เบิกกว้างสิ่งที่ เฟิสเทลพูดมานั้นตรงกับที่เขาได้ยินมาจาก เกร ไม่มีผิด

     

    หึๆๆ พูดตามตรงนะเราคิดว่าวิธีนี้จะล้างเผ่าพันธุ์ที่น่ารังเกียจพวกนั้นให้หมดไปจากโลกได้แล้วเสียอีก

    แต่เจ้าพวกนั้นก็เปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเองจนกลายเป็นเดีนรัจฉาน12 ประเภทอย่างที่เราเล่าไป

    นั่นแหละและพวกมันก็ทนต่อพลังทำลายของมานาได้ เราจึงตัดสินใจเฝ้าดูต่อไปซักระยะโดยสร้าง

    บาเบร็อก ขึ้นมาเพื่อให้โลกมีพื้นดินสำหรับกดทับหินหลอมเหลวที่ไหลท่วมโลกในตอนนั้น

    และ ซันซัน เพื่อให้มีสายลมเย็นพัดโกรกลดอุณหภูมิทีร้อนระอุของโลก

    ให้เย็นลงแล้วก็บังเกิดสายฝนเกิดเป็นทะเลจากนั้นจึงสร้างอนีโมเน่ ขึ้นมาเพื่อให้มีวัฏจักรแห่งน้ำ

    และสามารถกระจายน้ำไปถึงทุกแห่งในโลกได้ แล้วก็ สร้างมูราดินขึ้นมาเพื่อช่วยบาเบร็อก

     กดพลังไฟของหินหลอมเหลวไม่ให้ปะทุขึ้นมาจากใต้ดินและทำให้เกิดฤดูกาลในที่สุด เมื่อสภาพของโลกฟื้นตัวกลับมาเหมือนในอดีต เหล่าเดียรัจฉานก็วิวัฒนาการ ตามลำดับที่เราบอกไป และเมื่อเราเห็นว่าจะต้องควบคุมไม่ให้เกิดเผ่าพันธุ์เห็นแก่ตัวเช่นมนุษย์ขึ้นมาบนโลกอีกเราจึง สร้างอัลเคเซียและเซร่า เพื่อกำหนดอารมณ์ความรู้สึกและความดีงามกับความชั่วช้า ให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหรือก็คือเราได้สร้างจิตใจขึ้นมาให้กับพวกเจ้ายังไงล่ะ

    เฟิสเทล พูดอย่างเร็วโดยแทบจะไม่หยุดหายใจเลย และไม่มีอาการเหนื่อยล้าหลังพูดจบแสดงออกมา

    แม้แต่นิด

     

    พูดจาวางท่าเป็นพระเจ้าเชียวนะ นี่หมายความว่าหน้าที่ในฐานะเซเวอร์ของข้าคือการทำลายล้างลูกหลานของมนุษย์เพื่อเอาเผ่าพันธุ์ที่เจ้าครหาว่าเห็นแก่ตัวกลับคืนมายังงั้นรึ

    เซเวอร์ แย้งเสียงแข็งเขาไม่อาจยอมรับกับเรื่องนี้ได้ไม่ว่าจะสิ่งที่ เฟิสเทลพูดหรือกระทั่งสิ่งที่ เกร กีก้าสเลฟ

    ได้บอกแก่เขา มันจะสั่นคลอนความเชื่อเดิมในฐานะเซเวอร์

     

    ไม่ได้ผิดไปจากที่เจ้าพูดเลยเซเวอร์ การมีอยู่ของเจ้าสำหรับเราแล้วก็เป็นเหมือนภัยพิบัติที่เลวร้ายสุดๆ

    ไม่แปลกใช่ไหมที่เราจะร่วมมือกับคามิโอ เพื่อกำจัดเจ้าน่ะ

    เฟิสเทลหยุดพูดแล้วรอดูอาการของ โลกิ กับ เซเวอร์ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมานางจึงพูดต่อไป

     

    แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เข้าเรื่องต่อนะการที่จะต่อกรกับคามิโอ จำเป็นที่จะต้องได้ไพ่ที่สำคัญพอๆกันมาถือเอาไว้ และไพ่ตายของเราก็คือความรักยังไงล่ะ

     

    ความรัก ?” ทั้งโลกิ ทั้งเซเวอร์ พูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน พวกเขามองเฟิสเทลราวกับนางกำลังพูดเรื่องประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจได้ออกมา

     

    ถูกต้อง ความรักคือพลังที่ทำให้ผู้คนละทิ้งเหตุผลหรือแม้แต่ขีดจำกัดของตนเองได้ ข้าเชื่อว่าหากเป็นความรักแล้วล่ะก็มันจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลที่สุด และ โลกิ เจ้าคือกุญแจแห่งชัยชนะของเรา คนที่สามารถเปิดใจทอลได้มากที่สุดในตอนนี้ นอกจากาคากามิ แล้วก็มีแต่เจ้าเท่านั้น

    เฟิสเทล พูดกับโลกิเสร็จก็หันไปทางเซวเอร์และพูดอย่างเร็วปร๋อ

    เช่นกันเซเวอร์ เราไม่ได้หวังว่าจะมีหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะตัดสินการต่อสู้แห่งอาโพคาลิปส์ได้

    ที่เรายอมคืนสร้อยนั่นให้กับเจ้าเพราะว่าตัวเจ้านั้นได้เรียนรู้ถึงความรักแล้วยังไงล่ะ

     

    เรียนรู้ถึงความรัก ตัวข้าเนี่ยนะ เด็กหนุ่มทวนคำพูดเพราะเริ่มจะตามเกมองค์สันตะปาปาไม่ทัน

     

    คงไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเจ้าไม่ได้กำลังเป็นห่วงทอล การที่เจ้าทวงถามถึงสร้อยคอที่ทอลมอบให้เจ้า

    นั่นคือการแสดงออกของสัญชาตญาณที่อยากจะปกป้องสัญลักษณ์ของความรักที่เพื่อนมีให้กันหรือเรียกว่ามิตรภาพจะเข้าใจง่ายกว่าล่ะ

    เฟิสเทล พูดพลางสังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจของนาง สีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมา

    เพียงแวบเดียวนั้นยืนยันแน่ชัดแล้วว่า ลึกๆในใจของเซเวอร์ได้ยอมรับทอลไปแล้ว

     

    แปดปีก่อนตอนที่สร้างอังคราเมนยูขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธสังหารเจ้า แต่เพราะเกิดความผิดพลาดเราจึง

    ต้องการจะทำลายอังคราเมนยูเพื่อสร้างใหม่แต่ผลลัพธ์นั้นเราก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเราจะได้เรจิ

    มาแทน ซึ่งนั่นไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำออกมาตามนั้น แต่โอดิน ก็เข้ามาเสนอตัวว่าจะช่วยอังคราเมนยู เรามองเห็นถึงความรักที่เขามีให้กับนางและเราก็ลองเสี่ยงเดิมพันธ์กับมัน

    และเกิดเป็น ทอล ผู้ที่สืบทอดสายเลือดของ 9 เดียรัจฉานที่วิวัฒนาการเป็นสัตว์หางขึ้นมาหรือก็คือเก้าบุตรนั่นเอง

    เฟิสเทลพูดจาฉะฉานโดยแกล้งทำเป็นไม่เห็นกับดวงตาที่เบิกกว้างกับคิ้วที่เลิกสูงของเซเวอร์ เมื่อได้ยินว่า

    นางสร้างเรจิมาเป็นอาวุธฆ่าตัวเขาเอง

     

    ท่านเฟิสเทล ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีทำไมสายเลือดของบรรพบุรุษต้นกำเนิดสัตว์หางถึงมีพลังเอาชนะเซเวอร์ได้ล่ะ

    โลกิ ถามข้อสงสัยชักจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อ เฟิสเทลพูดนางจะต้องทิ้งข้อสงสัยเอาไว้เสมอแต่เขาก็ยินดีจะ

    ถามมันต่อให้นางจะเล่าเป็นวันก็ตามหากมันเป็เรื่องที่เกียวกับพี่ชายของตน

     

    อ้าวเราไม่ได้บอกหรอกรึว่าคนที่เกลี้ยกล่อมเราจนตัดสินใจจะเฝ้าดูเดียรัจฉานทั้งหมดแทนที่จะทำลายล้างมัน และทำให้เดียรัจฉาน 9 ประเภท วิวัฒนาการเป็นสัตว์หางคือฟิคชั่นไมสเตอร์(Fiction Meister) ที่ชื่อว่าเกร กีก้าสเลฟ ซึ่งเป็นคนที่สร้างอาโพคาลิปส์ขึ้นมาน่ะ

     

    โลกิ ได้แต่มองนางด้วยความละเหี่ยใจและคิดไปพลางว่าคนๆนี้คงหมดหวังที่จะเยียวยาให้ปรับปรุงการพูดการจาเสียแล้ว เพราะดูเหมือนนึกอะไรได้ก็พูดถ้าลืมหรือตกหล่นไปก็จะบอกทีหลังทำให้คนฟังต้องย้อนตามไปปะติดปะต่อเรื่องเอาเองอีก จนเขาต้องถามคำถามที่รู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

    นี่ท่านตั้งใจจะไซโคพวกเราหรือเปล่า รู้สึกท่านจะลืมพูดรายละเอียดสำคัญเยอะเกินไปแล้วนะ

     

    องค์สันตะปาปา หัวเราะคิกคักชอบใจก่อนจะตอบกลับน้ำเสียงใส

    หึๆๆ ขอโทษก็แล้วกันที่เราทำให้เจ้าระแวงขึ้นมาซะได้แต่เราขอรับรองว่าทั้งหมดที่ว่าไปเป็นเรื่องจริงขอเข้าเรื่องต่อก็แล้วกันนะ ที่เดียรัจฉานทั้ง 9 วิวัฒนาการเป็นสัตว์หางเพราะได้รับการแบ่งเลือดจาก

    เกร กีก้าสเลฟ ทำให้พวกมันได้รับความสามารถ 9 รูปแบบที่แตกต่างกันไปและสืบทอดต่อมาในรุ่นลูกหลาน ความสามารถทั้ง 9 แบบนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าเก้าบุตรแต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้มันเอาชนะเซเวอร์ได้น่ะไม่ใช่ทั้ง 9 อย่างนั่นหรอกแต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า DNA ต่างหากล่ะเลือดของทอล มีความสมบูรณ์ของDNA ที่เหมือนกับเกร กีก้าสเลฟราวกับเป็นลูกเป็นหลานของเขา

    เซเวอร์น่ะอยู่ภายใต้การกำกับของอาโพคาลิปส์อีกที แบบนี้คงพอจะเข้าใจใช่ไหมว่า

    ทอล น่ะถูกอาโพคาลิปส์ วิเคราะห์ว่าเป็นผู้ที่สร้างตนขึ้นมาจึงไม่สามารถฆ่าผู้สร้างได้รวมถึงเซเวอร์ที่อยู่ใต้อาโพคาลิปส์ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าทอล

     

    โลกิ พอจะเข้าใจเรื่องที่ ทอล กลายเป็นคนสำคัญที่สองฝ่ายต่างแย่งชิงกันขึ้นมาบ้างแล้ว

    แต่ก็มีคำถามใหม่เกิดขึ้นอีก

    เพราะแบบนี้พี่ก็เลยเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับเซเวอร์งั้นสิ แต่ก็ยังมีอีกเรื่องท่านเคยบอกตอนที่ประชุมว่า คามิโอ ใช้เลือดของพี่สังหารท่านอัลเคเซีย ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เล่ามา

    ทำไมเลือดของพี่ถึงใช้ทำร้ายเทพเจ้าได้ หรือจะเกี่ยวกับความสามารถ 9 บุตรพวกนั้น

     

    “ 9 บุตรน่ะเป็นแค่ความสามารถพื้นฐานที่สืบทอดให้แก่ลูกหลานของเดียรัจฉาน 9 ประเภทหรือสัตว์หางอย่างพวกเจ้าเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่นความสามารถที่จะฟื้นตัวและรักษาผู้อื่นอย่างพลังของชนเผ่าแกะ ก็เป็นของเก้าบุตรที่เรียกว่ากงฟู่ พลังที่จะสร้างเสน่ห์เย้ายวนของหางค้างคาวก็เป็นของฉิวหนิว พลังในการต่อสู้การใช้อาวุธก็คือหยาจื้อ สัญชาตญาณดิบที่จะใช้ในการต่อสู้ของพวก หมาป่า ไบซัน เสือ และพวกสัตว์หางประเภทกินเนื้อก็มาจากเทาเที่ย ทั้งหมดที่พูดไปก็เป็นส่วนหนึ่งจาก เก้าบุตรแต่โดยรวมทั้งหมดคือความสามารถในการเอาชีวิตรอดที่พวกเจ้าสืบทอดจากบรรพบุรุษมา….”

    ก่อนที่ เฟิสเทล จะลากเรื่องออกอ่าวอันดามัน ก็ถูกโลกิ เบรกเสียก่อน

    ขอแค่ใจความได้ไหมครับท่านเฟิสเทล

     

    องค์สันตะปาปาแกล้งกระแอ่มไอปรับน้ำเสียงให้มั่นคงเสียใหม่ก่อนจะพูด

     

    สรุปคือ 9 บุตรไม่ได้ทำให้เลือดของทอลเป็นภัยต่อเทพเจ้าหรอก แต่เป็นเพราะ DNA ของ

    เจ้าเกร กีก้าสเลฟ อีกนั่นแหละเรารู้สึกได้ว่าเจ้านั่นมันไม่ใช่คนที่อยู่ในจักรวาลนี้ แต่มาจากมิติไหนหรือโลกไหนเราก็ไม่รู้หรอก ตอนที่มันมาเกลี้ยกล่อมเราให้เลิกคิดทำลายเดียรัจฉานทั้งหมด เราได้ต่อสู้กับมันและก็แพ้เพราะเลือดของมันนี่ล่ะ เท่าที่ล้วงความลับจากมันมาได้รู้สึกว่าในอดีตก่อนที่เราจะถือกำเนิดขึ้นมา

    เคยมีตัวตนที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าเราอีกมากมาย บางทีคงเป็นเทพเจ้าของพวกมนุษย์ แต่พวกนั้น

    ก็ถูกเจ้าเกร กีก้าสเลฟ ทำลายจนหมดสิ้น บอกตามตรงนะสำหรับเราแล้วเจ้านั่นมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว

    เป็นยิ่งกว่าเทพหรือปีศาจ จากที่ไหนก็ไม่รู้มากกว่า

    หนนี้ เฟิสเทล พูดไฟแลบกึ่งจะเป็นการบ่นอย่างไม่พอใจด้วยซ้ำ

     

    ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่โลกิ จะตีความคำพูดกึ่งบ่นของเฟิสเทล ได้ทั้งหมดและสรุปออกมาสั้นๆ

    สรุปก็คือเลือดของ เกร กีก้าสเลฟ มีพลังที่จะทำร้ายเทพเจ้าได้รวมถึง มาก้าที่อยู่ในตัวท่านเฟิสเทลด้วยใช่ไหม

    ตามนั้นเลย เฟิสเทล กล่าว

     

    ถ้าอย่างนั้นผมขอถามเกี่ยวกับแผนการที่ท่านเตรียมเอาไว้ได้ไหม ในเมื่อท่านวางแผนถึงขนาดที่ชิงตัวผมมาก็น่าจะคิดแผนเอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ

     

    หลังจากฟังคำถามของโลกิ  ดวงตาของเฟิสเทล  หรี่แคบลงเหมือนกับจะเพ่งมองไปที่ไหนซักแห่งในห้อง

    เอาไว้อีกสองวันข้างหน้าเราจะบอกในที่ประชุมก็แล้วกัน เราขอตัวก่อนล่ะ หึๆๆ

    องค์สันตะปาปา ท้องท้ายคำพูดด้วยเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะตบเท้าเดินออกจากห้องไป

     

    โลกิ หันหน้าไปหาผนังห้องฝั่งหนึ่งแล้วพูดขึ้น พวกนายออกมากันได้แล้วล่ะ  สิ้นคำที่บริเวณ

    พื้นผิวของผนังเกิดรอยกระเพื่อมเหมือนมีวัตถุโปร่งแสงเคลื่อนไหวอยู่ ไม่นานนักตัวจริงของมันก็ปรากฏ

    ซึ่งก็คือเหล่าผู้กล้าที่เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วได้ย้อนกลับมาโดยใช้พลังพรางตัวของ มือธนูกิ้งก่าซาจิทาเรียส

     

    ===========Mass Invisibirity============

     

    เกือบจะล้วงความลับได้แล้วเชียวสีหน้าของซาจิทาเรียส ฉายแววความเสียดายออกมา เช่นเดียว

    กับคนอื่นๆ นับตั้งแต่ที่ได้ยินเฟิสเทล รั้งตัวโลกิ กับเซเวอร์ เอาไว้ในห้องก่อน พวกเขาก็ส่งสัญญาณมือให้กันว่าจะใช้แผนนี้ เพื่อที่จะได้รู้ถึงสิ่งที่เฟิสเทลต้องการปิดพวกเขาไว้

     

    ฉันว่าเขาคงรู้อยู่แล้วล่ะมั้งว่าพวกนายก็อยู่ด้วยน่ะ โลกิ พูดจากการสังเกตท่าทีของเหิสเทล

    ตลอดการสนทนาที่ผ่านมา เขาเห็นเฟิสเทล ละสายตาจากเขาและหันไปมองทิศที่พวกซาจิทาเรียส

    ซ่อนตัวอยู่บ่อยๆ

     

    แปลว่าเรื่องที่พูดมาเมื่อกี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเราต้องรู้อยู่ดีสินะ คอยน์ สรุปก่อนจะพูดตัดพ้อว่าเอาเถอะ อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเจ้าสันตะปาปา มีเป้าหมายอยู่ที่ทอลชัดเจนล่ะนะ

     

    พวกเจ้าช่วยฟังสิ่งที่ข้าจะพูดที เซเวอร์พูดขึ้นจนทำให้เหล่าผู้กล้าแปลกใจอยู่ไม่น้อยดังนั้นทุกคนจึงตั้งใจฟังด้วยความใคร่รู้ว่า เซเวอร์ อยากจะพูดอะไรกับพวกเขา

     

    ข้าว่าเราไม่ควรไว้ใจเฟิสเทลและข้ามีแผนจะไปช่วยทอลออกมาพวกเจ้าจะว่ายังไง

     

    …………………………………………………………….

    …………………………………………………………………………….

    ยุคสมัยแห่งความสงบกำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า การปรากฏตัวขึ้นของเผ่าพันธุ์ที่สามถัดจาก

     มนุษย์ สัตว์หาง ก็คือ เทพเจ้าการปรากฏตัวนี้คือการปรากฏตัวขึ้นบนเวทีอำนาจ หาก กษัตริยา คือผู้ที่ต่อสู้เพื่อสัตว์หางแล้ว เฟิสเทลหรือมาก้า ก็คือผู้ที่ยืนหยัดเพื่อเทพเจ้า การศึกของทั้งสองฝ่ายเริ่มเดินให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม เซเวอร์ ผู้ที่กุมหัวใจสำคัญในการกอบกุ้มนุษยชาติ เราอาจจะคิดกันแบบนั้น แต่พวกเราต่างก็รู้ดีว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้หรือในอนาคตอีก หลายพันปีข้างหน้ามนุษย์ก็ไม่เคยยอมที่จะหยุดรอให้ประวัติศาสตร์นำพาไปและบัดนี้ หมากกระดานแรกที่หยุดเดินกำลังจะเริ่มเดินหมากอีกครั้ง

     

    ……………………………………………………………………………

     

    วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นเวลาเพียงสองวันที่ ทอล ถูกจับตัวมาขังไว้ในฐานลับใต้ดินนครแสง

    แต่เหตุการณ์มากมายที่ถาโถมเข้าใส่นั้นทำให้รู้สึกยาวนานราวกับใช้ชีวิตข้ามผ่านเวลามาหลายสิบปี

    เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทอล พึ่งจะได้ความทรงจำเมื่อแปดปีก่อนสมัยที่เขาพึ่งอายุได้ 9 ขวบ

    กลับมา ความเป็นจริงที่ขัดแย้งกับความทรงจำ สร้างความสับสนอย่างแสนสาหัส

     

    เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น  กษัตริยา ก็ตรัสว่าอยากจะพัก ซึ่งคามิโอ ก็เห็นดีเห็นงามด้วยทั้งหมดจึงพากันออกไปพร้อมกับเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ ตอนนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงทอล ที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง

    ข้างๆตัวเขา มีรถเข็นเสริฟอาหารจอดทิ้งไว้ บนรถเข็นมีอาหารที่เตรียมไว้ให้เขา แต่ในเวลาแบบนี้

    ทอลทำใจกินมันไม่ลงแม้ว่าท้องไส้ของเขาจะปั่นป่วน ด้วยความหิวโหยก็ตามที เขาไม่ได้กินอะไรมา

    ตั้งแต่ออกจากพีรามิดแล้วแม้แต่น้ำซักหยดเดียวก็ไม่ได้จิบอีกเลย แต่ร่างกายก็ไม่ได้ซูบผอมลงไปแม้แต่น้อยและยังแข็งแรงดี ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพลังเก้าบุตรที่ชื่อว่า กงฟู่() มันช่วยฟื้นฟูเลือดและพลังกายรักษาอาการบาดเจ็บหรือสึกกร่อนของร่างกาย นั่นรวมไปถึงการขาดสารอาหารหรือขาดน้ำด้วย

    สำหรับทอลแล้ว ตอนนี้การกินดื่มก็เป็นแค่กิริยาอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสนองปากท้องไปเท่านั้นถึงเขา

    ไม่กินอะไรเลยก็ยังอยู่ได้

     

    ตอนนี้พวกโลกิ จะเป็นยังไงมั่งนะ ทอล เปรยพลางทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วทอดสายตามองไปรอบๆห้อง

    โซ่ที่ตรึงแขน ขา ทั้งสองข้าง รวมถึงลำตัวกับที่คอ รวมทั้งหมด 6 เส้นมีความยาวมากพอที่เขาจะเดินไปมา

    อยู่ในรัศมี 5 เมตร รอบชิ้นส่วนเทพโบราณเอนราเจีย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหนีออกไปได้

    แม้จะลองใช้ ครอสเบรก กับ แกรนครอส แต่ภายในรัศมีที่ชิ้นส่วนเอนราเจียทำงาน

    เขาไม่สามารถรวบรวมมานามาใช้ท่าไม้ตายเหล่านั้นได้ ส่วนพลังเก้าบุตรหลังจากได้ความทรงจำในวัยเด็กคืนมา เขาก็พอจะรู้วิธีใช้พวกมันอยู่บ้างแต่ เครื่องสูบเลือดซึ่งตั้งโ)รแกรมไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาใช้พลัง

    ทั้งสิบเครื่องจะสูบเลือดออกขากร่างกายเขาจนแห้งเหือด ทันทีดังนั้นแม้แต่พลังเก้าบุตรเขาก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน

     

    หาวววว~~~~~~~~~~~~

     

    ทอลอ้าปากหาวออกมาหวอดใหญ่ดวงตาสลึมสลือปลิ่มจะปิดสนิท การได้อยู่เพียงลำพังในตอนนี้ทำให้

    จิตใจรู้สึกผ่อนคลายและความเหนื่อยหล้าก็เข้าจู่โจม ทอล คิดจะงีบซักพักจึงล้มตัวลงแนบพื้นแล้วผลอยหลับไป

     

     

    เมื่อเวลาผ่านเลยไปจากช่วงเวลาพลบค่ำ ราตรีกาลได้มาเยือน ภายในห้องที่ขังทอลไว้

    ได้เกิดปรากฏการประหลาดขึ้น เสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้นพร้อมกับอากาศในห้องไหลมารวมกันอยู่ข้างหน้า ทอล เกิดหลุมสีดำในอากาศขยายวงของมันออกมาจนกว้างขนาดไบซันสามตัวลอดผ่านได้

    ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นก่อนที่ผู้มาเยือนใหม่ 6 คนจะก้าวออกมาจากหลุมอากาศ

    ทั้ง 6 คนแต่งตัวเหมือนกันด้วยชุดที่ทำจากยางปิดมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ศรีษะมีส่วนที่เป็น

    กรอบสี่เหลี่ยมและใสเหมือนกระจก แต่เมื่อมองจากข้างนอกจะเห็นเพียงสีดำที่ว่างเปล่าอยู่

    ข้างในมันเป็นกรอบหน้ากากที่ติดฟิมล์กันแสงเอาไว้ คนเหล่านี้จะมองออกจากชุดผ่านกรอบหน้ากากนี้

    สรีระทางร่างกายของพวกเขา ไม่เหมือนกับสัตว์หางแต่คล้ายกับเซเวอร์ ยืนด้วยสองขาหลังตั้งตรงมีแขนและขาอย่างละสองข้างนิ้วมือแยกออกเป็น5นิ้วและไม่มีหางยื่นออกมา พวกเขาคือสิ่งที่น่าจะหายสาปสูญไปจากโลกนี้แล้ว ชนเผ่าไร้หางหรือมนุษย์นั่นเอง

     

    คนหนึ่งในกลุ่มมนุษย์ ก้าวออกมาด้านหน้าศีรษะก้มลงมองดู ทอลที่ยังคงหลับสนิท ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมากดที่บริเวณหูซ้าย มือของเขากดผ้ายางที่คลุมทั้งศีรษะแนบเข้าไปติดกับอุปกรณ์บางอย่าง

    จนเห็นเป็นรูปร่างคล้ายกับหูฟังโป่งออกมา

    บราโว่เอและบี (Bravo Aและ B) รายงานพบ ทาร์เก็ต(Target) แล้วจะดำเนินตามแผนการต่อไป

    เสียงของคนผู้นั้นดังออกมา หูของ ทอล กระดิกทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น คนทั้งหกพากันตกใจและก้าวถอย

    หลังไปก้าวหนึ่งโดยทันที

     

    อะไรกันนักกันหนาเนี่ยคนจะนอน….” ทอล เปรยด้วยความงัวเงียพลางใช้มือขวาขยี้ตาให้สลัดความง่วงออกไป เมื่อดวงตาเปิดเต็มที่ มันก็เบิกกว้างออกด้วยความตกตะลึง ระหว่างที่เขาหลับไปมีตัวประหลาด

    สีขาว6 ตัวบุกเข้ามาอย่างนั้นหรือ พวกมันหันรีหันขวางกันอย่างร้อนรน และปรึกษากันอย่างตื่นตระหนก

    พวกมันพูดคุยกหันด้วยภาษาที่เขาฟังไม่ออก แต่ในที่สุด สามคนในกลุ่มก็ตรงรี่มาที่เขา สองคนเข้ามาสอดแขนใต้รักแร้แล้วหิ้วปีกทอลให้ลุกขึ้นยืน ส่วนอีกคนยกอาวุธหน้าตาประหลาดคล้ายกับปืนที่เขา

    เห็นไนติงเกลใช้อยู่บ่อย ขึ้นมาจ่อที่ขมับศีรษะ

     

    อย่าขยับเชียวนะไม่งั้นฉันจะยิง ผู้ที่จ่อปืนมายังขมับศีรษะกล่าวน้ำเสียงของเธอนุ่มนวลเหมือนจะ

    เป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าเขาจะฟังสิ่งที่เธอพูดไม่รู้เรื่องก็ตามเพราะเธอพูดออกมาด้วยภาษาแปลกๆแต่ก็พอเข้าใจได้จากการปฏิบัติในตอนนี้ว่า คนเหล่านี้ต้องการจับตัวเขาไปและคงเป็นเพราะพลังเก้าบุตรอะไรนั่นในตัวเขาอีกล่ะสิ

     

    ราชาผู้หลับไหลในศิลาหิน ผู้ผูกพันด้วยสัญญา ข้าขอน้อมรับชัยชนะตามคำสัตย์ของท่าน

    ==========Divinity Sword==========

     

    เสียงร่ายคาถาดังขึ้นพร้อมกับ ดาบทองคำเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาปัดปืนที่จ่อขมับทอล กระเด็นออกไป

    ก่อนที่ดาบจะสลายไปเพราะเข้าไปในรัศมีที่เอนราเจียทำงานทำให้พลังงากมานาสลายหายไป

    คนทั้งหกหันไปยังทิศต้นเสียง และพวกเขาก็ได้พบกับ กษัตริยา และเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ ซึ่งรู้จากสัญญาณเตือนว่าฐานใต้ดินถูกบุกรุกจึงลงมาที่นี่ทันที

     

    หัวหน้าครับ!” คนหนึ่งในกลุ่มเรียกให้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆหันมา ตรวจพบ เอจีเอท(AG-8) จาก Tail พวกนี้ด้วยครับ คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าของกลุ่มถึงกับสะดุ้งหลังจากได้ยินรายงานของลูกน้องและหลุดปากออกมาทันที เอจีเอทงั้นรึมีกี่ชิ้นและอะไรบ้าง

    ห้าชิ้นครับ 06 อาร์ไมม่อนแห่งปฐพี( 06 Armaimon of Earth) 04พาซุสแห่งลม(04 Pazuzu of Wind)

    03เบลเซบับแห่งแมลง(03 Bellzebub) 02ซามาเอลแห่งกาล(02 Samael of Time) และ 01 ลูซิเฟอร์แห่งแสง(01 Lucifer of Light) ครับ

    เอจีเอทมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ถึง 5 ชิ้นแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว

     

    กลุ่มคนทั้งหกออกอาการอย่างชัดเจนว่ากำลังตื่นตระหนก แต่เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาที่คนเหล่านั้นพูดกัน กษัตริยาจึงไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังพูดถึงศาสตรามารสัจจะแห่งเกเฮน่าที่นางและเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ถือครองกันอยู่  คามิโอ ซึ่งมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกับอมยิ้มไปด้วย ได้ก้าวเดินออกจากกลุ่ม

    มาเผชิญหน้าแล้วพูดด้วยภาษาเดียวกับคนทั้งหก

     

    อาราร้า คิดถึงจริงๆนะขอรับภาษาของมนุษย์เนี่ย พวกคุณคงเป็นคนที่ชาวอาณานิคมที่เกเฮน่าส่งมาสินะขอรับ แล้วมีเป้าหมายที่ทอลคุงเหมือนกันงั้นรึขอรับแสดงว่าสงครามครั้งนี้ไม่ได้มีมหาอำนาจแค่สามแต่มีถึงสี่เลยสินะขอรับ

     

    คำพูดของคามิโอ สร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น คนที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มจึงออกมา

    พูดโต้ตอบด้วยทันที

     

    “tail อย่างแกรู้จักภาษาของพวกเราได้ยังไงกัน หรือว่าตัวการที่ทำให้เอจีเอท 5 ชิ้นมาอยู่ที่นี่จะเป็นแกน่ะ


    คามิโอ ดึงปีกหมวกลงมาบังสายตาพลางฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบเป็นภาษาของมนุษย์ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

    ถ้าใช่แล้วจะทำไมรึขอรับ

     

    หัวหน้ากลุ่ม ยกมือซ้ายขึ้นมากดที่ข้างหูอีกครั้งเพื่อกล่าวรายงานที่จะส่งกลับไปยังฐานปฏิบัติการของพวกเขา

    นี่ บราโว่เอและบี พบ tail ที่เป็นอันตรายขอคำสั่งด้วย แล้วก็ได้ยินที่มันพูดแล้วใช่ไหม

    มีเสียงตอบกลับดังอออกมาจากหูฟัง ก่อนที่หัวหน้าของกลุ่มจะวางสายด้วยการยกมือที่กดหูฟังออก

    แล้วสั่งการลูกน้องทั้งหมดอย่างแข็งขัน บราโว่เอและบี ทุกนายเปลี่ยนแผนการอนุมัติให้ใช้ เกียร์เมตริกซ์แอ็กเคาน์(Gear Matrix Account)

     

    รับทราบ!” ทุกคนขานรับขึ้นพร้อมกันเสียงดังก่อนจะหยิบเอาอุปกรณ์รูปทรงลูกบอลซึ่งแต่ละลูกจะมีรูตรงกลาง ทุกคนสอดมือเข้าไปในลูกบอลนั้น แล้วกล่าวขึ้นพร้อมกัน

    จีเอ็มล็อกอิน!! (GM Login)”

    ============ GM Login ==========

     

    ลูกบอลทั้งหกลูกเรืองแสงเจิดจ้าก่อนจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ละชิ้นเปลี่ยนรูปร่างของมัน

    เป็นชิ้นส่วนชุดเกราะและย้ายไปสวมให้กับเจ้าของโดยอัตโนมัติ เมื่อแสงสว่างเลือนหายไป

    ร่างของบุคคลทั้งหกก็สวมชุดเกราะที่แตกต่างกันสองชุดโดยแบ่งเป็นชุดละสามคน

     

    ชุดหนึ่งรูปร่างเพรียวบางมีครอบศีรษะเป็นทรงกรวยด้านหลังติดตั้งอุปกรณ์ไอพ่นและปีกทำให้สามารถบินด้วยความเร็วสูงได้ที่แขนขวามีติดตั้งปืนประทับแขนแบบรีโหลดกระสุนอัตโนมัติ

     

    ==============GM Shadow============

     

    ส่วนอีกชุดรูปร่างหนาเทอะทะส่วนครอบศีรษะรูปทรงเหมือนกับหมาใน แขนทั้งสองข้างติดตั้งมือจับ

    ทรงพลังมีเลข 0-3 เขียนประทับไว้บริเวณส้นเท้าติดตั้งล้อรถสำหรับขับเคลื่อน ในแนวราบกับพื้นดิน

     

    =============== GM Soul=============

     

    ดวงตาของกษัตริยาและเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ เบิกกว้างพวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต

    มนุษย์ในชุดยางสีขาวกลายร่างเป็นชุดเกราะที่สำคัญคนที่สวมเกราะรูปแบบเพรียวบางมีหางหมาป่ายื่นออกมาจากก้นด้วย ราวกับว่าพวกเขาเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์หาง

     

    นี่มันอะไรกันคามิโอ เจ้ารู้จักมันดีใช่ไหม!?” กษัตริยา สบถทถามเมื่อนางเห็นว่าบุรุษอีกาไม่ได้แสดง

    สีหน้าตกอกตกใจเหมือนคนอื่น ก็แสดงว่าเขาจะต้องรู้จักสิ่งีท่คนพวกนี้ทำลงไป

     

    แหมไอกระผมเองก็ไม่นึกว่ามันจะเสร็จเร็วแบบนี้หรอกนะขอรับ จีเอ็มซีรี่ย์ ตัวที่เพรียวบางแล้วก็มีปีกไอพ่นนั่นคือ จีเอ็มชาโดว์ หน่วยรบจู่โจมภาคอากาศ ส่วนตัวที่หนาเทอะทะนั่นก็คือ จีเอ็มโซล หน่วยรบจู่โจมภาคพื้นดินที่ทรงพลังแต่ส่วนมากเอาไว้ใช้ในภารกิจทลายป้อมปราการมากกว่าน่ะขอรับ

    คามิโอ สาธยายให้ฟังอย่างละเอียด ก่อนที่ตัวเขาจะเดินข้ามห้องไปพร้อมกับหยุดเวลาของโลก

    ให้ทั้งทุกคนหยุดนิ่งไป และทำให้เวลากลับมาเดินอีกครั้งเมื่อเขามาถึงมุมห้องอีกฝั่ง

    ทุกคนจึงเห็นเขาหายตัวจากเบื้องหน้าของพวกเขาไปยังอีกฝั่งของห้องในพริบตาแทน

     

    ท่านกษัตริยาขอรับ การที่บุคคลเหล่านี้บุกมาถึงที่นี่ได้แปลว่าเรากำลังตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะขอรับ พิธีอภิเษกสมรส คงต้องเลื่อนให้มาเร็วขึ้นไปอีกขั้นแล้วล่ะขอรับ โปรดเข้าใจด้วยนะขอรับว่าระหว่างที่กระหม่อมเตรียมการกระหม่อมคงจะช่วยพระองค์ต่อสู้กับคนเหล่านี้ไม่ได้

    หลังจาก ฟังคามิโอ พูดยุวราชแห่งแสงก็สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้ทันที

    นางหันไปให้ความสนใจกับชุดเกราะทั้งหก แล้วสั่งโจมตีโดยไม่ลังเล

    เข้าใจแล้ว เหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ ลุย!!”

     

    กลุ่มเดโมนิกครูเซเดอร์ อันประกอบไปด้วย โอดิน อาร์ไมม่อน อิทารุส เรกกุ นอกจากนี้ก็มี

    สัตว์หางเผ่าปูทะเล ปูม่อนผู้นำแห่งกลุ่มโจรสลัดและเป็นผู้ที่นำกองทัพผีดิบสัตว์ทะเลมาปิดล้อมเมืองแสงก่อนหน้านี้

     

    ========Captain Crab======

     

    และ บาบูนเฒ่าโมสโซลี่ ที่พวกโลกิสงสัยว่าเป็นเกี่ยวข้องกับคดีกบฏกองอัศวินพิธีกรรม ซึ่งเขาก็แสดงท่าทางให้เป็นที่น่าสงสัยตั้งแต่ตอนที่เจอกันในคดีที่ อาร์ไมม่อนและมาโอห์ ก่อจลาจลซอมบี้กลางเมือง

    บัดนี้ตัวจริงของเขาคือแอกเกรเซอร์แห่งเกเฮน่า สาวกผู้ถือครองศาสตรามารสัจจะแห่งแมลงเบลเซบับ

    (Beelzebub)

    [

    =========Mosoly Baboon========

     

    เมื่อฝ่ายกษัตริยาบุกเข้ามา หัวหน้าของฝ่ายมนุษย์จึงไม่รอช้าออกคำสั่งให้ลูกน้องทุกคนเตรียมรับมือ

     

      บราโว เอและบี ใช้ฟอร์เมชั่นอัลฟ่า(Formation Alpha) ทีมบี ให้ทำการปลดผนึกทาร์เก็ต ส่วน เอทวู(A2) กับ เอทรี(A3) ตามผมมา!”

     

    สิ้นคำทีมบีซึ่งสวมชุดเกราะจีเอ็มโซลที่ชุดเกราะหนาเทอะทะ ทั้งสามนายก็แยกออกจากกลุ่มไปล้อมตัวทอล ส่วนหัวหน้ากลุ่มซึ่งอยู่ทีมเอ สวมใส่ชุดเกราะเพรียวบางชุดเกราะจีเอ็มชาโดว์ ก็สั่งให้ไอพ่นเจ็ทที่แบกอยู่ปะทุแล้วบินทะยานขึ้นไปในอากาศก่อนที่อีกสองนายที่ใส่ชุดเกราะแบบเดียวกันจะตามออกไปต่อสู้กับ ทีมของกษัตริยาโดยพลัน

     

    หน่วยบี ที่มาล้อมตัวทอล เริ่มการลงมือโดยใช้มือกลอันทรงพลังจับโซ่ที่ตรึงร่างของทอลขึ้นมาแล้วออกแรงฉีก แรงฉีกนี้สามารถฉีกอาคารหรือป้อมปราการได้เหมือนฉีกกระดาษแต่มันกลับทำให้โซ่ที่ขึงทอล

    เกิดรอยปริร้าวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     

    ด้านทีมเอ ที่เข้าไปปะทะกับทีมของ กษัตริยาที่มีคนมากกว่าสองเท่าตัวก็ตกที่นั่งลำบากไม่แพ้กัน

    เอทวู บินขึ้นไปกลางห้องแล้วกราดยิงกระสุนด้วยปืนที่แขนขวากระสุนพุ่งลงมาข้างล่างเป็นสายแต่ทั้งหมดก็ถูก อิทารุส ยิงสกัดเอาไว้ได้

     

    เอทวู อย่าโจมตีไกลมากปืนที่tail รูปแบเหยี่ยวตัวนั่นใช้ยิงคือ เอจีเอท พาซุสสัจจะแห่งสายลมที่เพิ่มความแม่นยำให้ในระดับเหนือเมฆ เราต้องเข้าไปคลุกวงในกับมัน

    เอทรี พูดพร้อมกับดับเครื่องชน อิทารุส ไปติดกำแพงห้อง  แม่ทัพเหยี่ยวเกิดจุกขึ้นมาเพราะถูกครอบศีรษะทรงกรวยของเอทรี อัดใส่ท้องแล้วลากยาวมาจนชนกำแพงห้อง ตอนนี้เขาขยับตัวไม่ได้ และ เอทรีก็เตรียมจะใช้ ปืนยิงเพื่อจบชีวิตของ แม่ทัพเหยี่ยว ในตอนนั้น โอดินพาลาดินหมาป่าขาว ก็ได้แทรกเข้ามา

    แล้วเอื้อมมือไปแตะปืนที่แขนของ เอทรี

     

    ไฟนอลมูฟ เอ็กซีคิวชั่น!!” สิ้นเสียง กระบอกปืนและชิ้นส่วนชุดเกราะแขนที่ติดกับกระบอกปืนก็บังเกิดรอยปริร้าวและแตกออกเป็นเศษชิ้นส่วน เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างแล้วจึงกางออกเป็นสี่แฉก

    กลายเป็นดาบแห่งแสงสามสิบเล่ม ลอยเคว้งในอากาศ

     

    ===============================================

      EXECUTION

    ===============================================

     

    เหวอ!!!!”  เอทรี กรีดร้องเสียงหลงพลางถอยหลังออกจากวงโดยพลัน

    แขนที่ส่วนชุดเกราะหายไปเผยแขนส่วนที่เป็นเนื้อหนังมนุษย์ใต้ชุเกราะออกมา และเมื่อมันสัมผัส

    ถูกมานาที่อยู่อากาศ ผิวหนังของเขาก็ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีเขียว เอทรี กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

    พร้อมกับลงไปนอนชักดิ้นชักงอบนพื้น

     

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตระหนกให้กับทั้งสองฝ่าย หัวหน้ากลุ่มมนุษย์ ได้สติก่อนใครและ

    บินโฉบลงไปคว้าตัวลูกน้องพาเข้ามาอยุ่ในรัศมีที่ เอนราเจียทำงาน ไฟที่แขนจึงดับลงทันที

     

    แขนส่วนที่ถูกไฟไหม้นั้น หายไปไม่เหลือแม้แต่กระดูกทิ้งไว้เพียงรอยไหม้ที่สร้างความเจ็บปวดสุดแสนสาหัส

    ให้กับ เอทรี เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนอยุ่ในสายตาของ คามิโอ เขาฉีกยิ้มกว้างแล้วพูดออกมาด้วยภาษามนุษย์

    ดูเหมือนว่าพวกคุณยังไม่ได้คิดหาทางรับมือกับมานาที่เป็นพิษต่อมนุษย์เลยนี่ครับแล้วแบบนี้คิดจะบุกโจมตีโลกไปทำไมกันรอให้เซเวอร์ปฏิรูปมันก่อนดีกว่าไหม หึๆๆ

    กลุ่มมนุษย์ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของบุรุษอีกา  และทำหน้าที่ของตนต่อไป

     

    เอทวู พากลับเอทรีถอยกลับไปก่อน หัวหน้ากลุ่มมนุษย์สั่ง

    รับทราบ!” เอทวูขานรับพร้อมกับบินลงมาจอดใกล้กับ เอทรี แล้วจึงพยุงร่างของเขาขึ้นมาก่อนจะเดิน

    ไปที่หลุมอากาศที่ยังเปิดทิ้งไว้ ระหว่างนี้เอง โอดิน ก็สั่งให้ดาบแสงพุ่งเข้าไปหมายจะจัดการ

    คนเจ็บและคนที่มาช่วยไปพร้อมๆกันทว่า เมื่อดาบแสงทั้งหมดเข้าไปในเขตที่เอนราเจียทำงาน

    ดาบทุกเล่มก็สลายหายไปราวอากาศธาตุ เอทวูและเอทรี จึงหนีกลับไปได้สำเร็จ

     

    บ้าชะมัดเลย คามิโอ เอนราเจีย อะไรของแกน่ะมันขัดขวางการต่อสู้นะ

    เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กษัตริยา จึงหันไปพูดกับ บุรุษอีกา

     

    แหมๆงั้นกระผมปิดให้ก็ได้ขอรับเพราดูเหมือนว่า ฝ่ายนั้นจะได้เปรียบถ้าเปิดมันไว้ล่ะนะ อ้อแล้วก็ทอลคุงระหว่างนี้ช่วยอย่าพึ่งอาละวาดนะขอรับ ถือว่าเห็นแก่แฟนสาวของตัวเองไว้ก็แล้วกัน อบาลคาดาบร้าอลาคาซัม!”

    คามิโอ กล่าวพร้อมกับร่ายคาถาให้ ชิ้นส่วนจักรกลเอนราเจียหยุดการทำงาน เครื่องจักรที่กลางห้องหยุดส่งเสียงกระหึ่มของมันเป็นสัญญาณว่าได้หยุดการทำงานลงแล้ว

     

    อาร์ไมม่อน ! ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยของนายจัดการที!”

    กษัตริยาหันไปสั่งการตัวตุ่นอาร์ไมม่อน ครับผมอาร์ไมม่อนจะลุยละน่ะคร้าบ!”

    อาร์ไมม่อน รับคำและออกมายืนข้างหน้าพร้อมกับถือรีโมทที่มีปุ่มสีแดงอยู่เพียงปุ่มเดียวบนรีโมท

    เขากดปุ่มนั้นลงไป เพียงชั่วอึดใจบริเวณพื้นห้อง ผนัง ไม่เว้นแม้แต่เพดาน ก็ปรากฏประตูกลขึ้นมากมาย

    ประตูกลเปิดออกโดยพร้อมกันและส่งป้อมปืนกลทำด้วยไม้ขึ้นมา

     

     + 

    ===========Auto Gyro Gun +  Hidden Turrets=========

     

    ยิงเลย!!” อาร์ไมม่อนตะโกนสุดเสียง ป้อมปืนทั้งหมดหันปากกระบอกไปยัง

    เหล่าคนสวมชุดเกราะ ดวงตาที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะของทุกคนเบิกกว้าง เสี้ยววินาทีที่กำลังจะกลืนน้ำลาย

    เพื่อลบความรู้สึกประหม่า กระสุนฝูงใหญ่ก็พุ่งมาจากทุกทิศทางแล้ว

     

    ทุกนายใช้ ไดเร็กชั่นโหมด!!(Direction Mode)”

    หัวหน้าของกลุ่มสั่งการ ด้วยเสียงตะโกนลูกน้องทีมบีทั้งสามคนที่กำลังฉีกกระชากโซ่อยู่จึงวางมือแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวหน้าของตนด้วย  จีเอ็มไดเร็ก! (Gm Direct)

     

     

    ============ GM Direct ==========

     

    สิ้นเสียง ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่กระสุนกำลังจะพุ่งเข้ามา สลักที่ยึดชุดเกราะของทุกคน

    ปลดออกพร้อมกันทุกชุดออกทำให้ชิ้นส่วนเกราะบางส่วนคลายตัวออกหลวม แรงดันไฟฟ้าไหล

    ลงมาจากส่วนศีรษะจรดปลายเท้า และดันชิ้นส่วนเกราะที่คลายตัวพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืน

    ชิ้นส่วนเกราะที่พุ่งออกไปอย่างรุนแรงฉีกอากาศโดยรอบจนเกิดเป็นคลื่นสุญญากาศแผ่พุ่งออกมา

    และหอบเอากระสุนปืนที่ป้อมปืนกลของอาร์ไมม่อนยิงมา ปลิวกระเด็นกลับมา

     

    กษัตริยาเห็นดังนั้น จึงกล่าวร่ายคาถาเพื่อเรียกหาโล่วงแหวนแห่งสวรรค์ให้มาคุ้มครองนางจาก กระสุนและชิ้นส่วนเกราะที่กำลังพุ่งกลับออกมา

    “ ข้าได้ภาวนาและกล่าวอย่างนอบน้อมต่อ มหาวงแหวนทั้งเจ็ดแห่งสรวงสวรรค์  โรห์ เอียส สามในเจ็ดของ

    เจ้าจงมาปกปักพิทักษ์ข้า

     ==============Repel==============

     

    ขณะเดียวกัน เดโมนิกครูเซเดอร์ คนอื่นๆก็ใช่ความสามารถในการป้องกันเท่าที่มีออกมาต้านยันเอาไว้จนสามารถรอดมาได้ สภาพห้องภายหลังการสะท้อนกลับของกลุ่มมนุษย์ นั้นเละเทะโดยสิ้นเชิง

    ปืนกลของอาร์ไมม่อนทุกกระบอกถูกสวนกลับจนแหลกเป็นเศษซากกระจายเกลื่อนรอบห้อง

    เหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ ทุกคนรวมกษัตริยารอดมาได้ และได้เห็นสิ่งที่น่าตกใจหลังการสวนกลับ

    ของเหล่ามนุษย์ ชุดเกราะที่ดีดส่วนเกินออกจากร่างกำลังประกอบชิ้นส่วนที่เหลือใหม่

     

    ชุดเกราะจีเอ็มชาโดว์ ที่เพรียวบางดีดแพ็กไอพ่นเจ็ทที่ส่วนหลังทิ้งไปและครอบศีรษะรูปทรงกรวยสูงได้เลื่อนตำแหน่งลงมาวางแนวราบ ส่วนที่เป็นกรวยยื่นนั้นแท้จริงแล้วคือหมวกเกราะที่มีลักษณะเป็นหัวหมาป่า

    ปืนประทับแขนที่เคยติดอยุ่ก็ถูกดีดทิ้งออกไป อาวุธของจีเอ็มชาโดว จะเปลี่ยนไปใช้กระบองทอนฟา

    ทั้งสองอันที่เหน็บอยู่ตรงหัวไหล่แทน

     

    ==============GM Shadow Direct Form=========

     

     

    ชุดเกราะจีเอ็มโซลที่เคยหนาเทอะทะ แต่หลังจาการดีดส่วนเกินของชุดเกราะทิ้งไปมันจึงมีรูปร่างเพรียวบางเช่นเดียวกับ จีเอ็มชาโดว์ ส่วนของแขนกลพลังช้างสารถูกดีดออกและ กรงเล็บความร้อนที่พับเก็บอยู่ข้างใน

    จึงกางออกมาแทนที่ ล้อรถยนต์ที่เคยใช้เคลื่อนที่แนวราบถูกดีดทิ้งไปพร้อมกับเกราะขาสิงที่อยู่ข้างใน

    อุปกรณ์สร้างลำแสงเชื่อมระหว่างหัวเข่ากับปลายเท้าสามารถใช้เป็นลูกเตะเลเซอร์ เพื่อตัดศัตรูให้เป็นชิ้นๆได้

     

    ==============GM Soul Direct Form=========

     

    ส่วนสำคัญที่สุดของการ จีเอ็มไดเร็กนั้นไม่ใช่รูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนไปอย่างเดียว แต่เป็นรูปร่างของ

    บุคคลผู้สวมใส่ภายในที่ผิวหนังมนุษย์ซึ่งโผล่พ้นออกมาจากชุดเกราะได้ถูกปกคลุมไว้ด้วยขนสัตว์

    แบบเดียวกับสัตว์หาง มนุษย์ในชุดเกราะที่เหลืออยู่สี่คน ได้กลายเป็นสัตว์หางไปแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับผล

    กระทบจากมานาอีกต่อไป

     

    บุรุษอีกานิ่งค้างไปพักใหญ่กับสิ่งที่เขาวิเคาระห์ได้จากการเห็น จีเอ็มไดเร็ก คำพูดที่ของเขาที่ว่า

    มนุษย์ยังไมได้หาทางรับมือกับมานาที่เป็นพิษต่อตนเองต้องเก็บคืนไปเสียแล้ว เพราะพวกเขาได้คิดค้นวิธี

    ที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์หางโดยไม่ต้องอาศัยการวิวัฒนาการแบบชนรุ่นก่อนในสมัยที่มาก้า รักษาสภาพแวดล้อมของโลก

     

    ท่านกษัตริยาขอรับ คามิโอ พูดพร้อมกับรอให้นางหันมาหาเขา กระหม่อมว่าพระองค์ควรเตรียม

    ใช้ไฟนอลมูฟไว้จะดีกว่านะพะย่ะค่ะ น้ำสียงของบุรุษอีกานั้นจริงจัง และแวตาของเขาจริงจังยิ่งกว่าความเครียดกับสถานการณ์ใตอนนี้ฉายอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน

     

     

    ตอนนี้ฝ่ายมนุษย์เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้กลับแล้ว

    เปลี่ยนไปใช้ฟอร์เมชั่นเบต้า(Formation Beta) โจมตีด้วยโอเวอร์สกิล!!” หัวหน้ากลุ่มในชุดเกราะจีเอ็มชาโดว์สั่ง  และแล้วพกเขาทั้งหมดก็เตรียมพร้อมที่จะประจัญบานด้วยทุกอย่างที่มี

     

    จีเอ็มโอเวอร์สกิล! (GM Over Skill)”

    ============ GM Over Skill ==========

     

    การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างมนุษย์ที่กลายเป็นสัวต์หางดว้ยวิทยาการกับสัตว์หางแท้ กำลังจะเริ่มขึ้นเป้นครั้งแรก

     

    +++++++++++++++++++โปรดติดตามตอนต่อไป++++++++++++++

     

     

    Tails Apocalypse Q แถมท้าย

     

    ทอล : นี่ฉันสงสัยมาตั้งนานแล้วนะ

    ซาจิทาเรียส : สงสัยอะไรเหรอทอมมี่

    ทอล : ก็เจ้าคนเขียนของเราน่ะสิ หมอนั่นทำวางก้ามว่าเก่งกว่าพวกเราแล้วชี้นิ้วสั่งเราทำโน่นทำนี่เนี่ย

    ฉันก็เลยสงสัยขึ้นมาว่าแล้วทำไมเราจะต้องไปทำตามที่หมอนี่มันสั่งด้วย

    ซาจิทาเรียส : จะว่าไปก็จริงนะ บางทีคงเพราะว่าคนเขียนเก่งกว่าพวกเราล่ะมั้ง

    คามิโอ : โนว โนว โน่ว ผิดแล้วล่ะขอรับเจ้าคนเขียนน่ะสเตตัสมีแค่นี้เองนะขอรับ

     

    Writer Status

    Atk :1        Vit : 10

    Def :1         Agi : 100

    Tal :1         Int: 10

    Cha : 1        Lck : -100

     

     ทอล : กระจอกชะมัดเลยแหะ

    ซาจิทาเรียส : ไอ Lck ติดลบ 100 นี่มันอะไรกันหว่า =w=

    คอยน์ : ก็แปลว่าดวงกุดสุดๆเลยน่ะสิ

    โลกิ : แต่สเตตัสแค่นี้ยังอยู่รอดมาได้ขนาดนี้แสดงว่าต้องมีสกิลอะไรดีๆแน่เลยล่ะ

    ทอล : งั้นเราไปทดลองกันไหม

    โลกิ : (จ้องทอลอย่างทึ่งๆ) บ้างครั้งพี่ก็พูดอะไรได้สนใจดีแหะ

    ทอล : =_=’ ทำไมต้องมองฉันแบบนั้นด้วยฟระ

    ซาจิทาเรียส: ดีล่ะงั้นตอนต่อไป เรามาทดสอบความแข้งแกร่งของคนเขียนกันเถอะ

     

    ที่ห้องนอนคนเขียนในขณะนั้น

    Writer : บรึ๋ยทำไมอยู่ๆก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาล่ะเนี่ย >w< อีะถึงตาเราแล้วเหรอเนี่ย สวัสดีวันสิ้นปีคร้าบ วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของปีนี้แล้ว ขอให้สนุกกันนะงับ ^w^
    บทเป็นการเกริ่นถึงฝ่ายในุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่  พวกเขามาจากไหนและมีเป้าหมายอะไรต้องติดตามกันต่อไป!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×