คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #306 : Epilogue : ส่งท้าย Apocalypse Online Forever
Epilogue
: ส่งท้าย Apocalypse Online Forever
…บางทียุคสมัยแห่งความสงบคงจะมายืนมนุษยชาติแล้ว
หลังจากนั้นเวลาก็ผันผ่านไป…
“คิดรึว่านี่มันจบลงแล้วน่ะตอนจบที่แท้จริงน่ะมันไม่มีวันมาถึงหรอกไฮพีเรี่ยนอิมแพค!”
เสียงต่อต้านชัยชนะที่อิงศรและพวกพ้องได้ร่วมกันฟันฝ่ามาดังก้องกังวาน
“แฮ่!!”
เจ้าของคำพูดนั่นกำลังยกมือทำท่าขู่พลางคำรามเสียงน่ารัก
ในช่วงบ่าย
บนระเบียงทางเดินของอาคารเรียนที่วันนี้คงจะไม่มีใครเดินผ่านมาอีกแล้วเพราะวันนี้คือวันสอบปลายภาควันสุดท้ายและการlอบก็จบลงไปได้ซักพักแล้ว นักเรียนคนอื่นจึงกลับกันไปหมด
“ทำอะไรของเธอน่ะ”
แต่ยัยมีนาก็ยังอยู่ที่นี่แล้วก็ทำท่าติงต๊องกับพูดเลียนแบบราหู
จนกระทั่งถึงตอนนี้
อิงศรยังคงนอนหลังแนบติดกับที่นั่งติดระเบียงที่ทอดยาวไปจนสุดขอบระเบียงแต่ละด้าน และยังไม่ได้เปิดเปลือกตาออกมาดูว่าใครที่มาทำเสียงรบกวนเวลางีบของเขา
แต่แค่ได้ยินก็รู้ทันทีว่านั่นคือ มีนา ธุวดารกะ
“มาแอบงีบอยู่ตรงนี้จริงๆ
ด้วย”
หล่อนพูด
“…”
และแล้ว
เด็กหนุ่มก็ปรือตา
“….”
เด็กสาวในเครื่องแบบนักเรียนต่างโรงเรียนกำลังก้มหน้ามองลงมาที่เขา
“มีอะไรล่ะ”
“คำพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไงกันคะนั่น”
เด็กสาวแก้มป่องด้วยความโกรธ
รู้สึกหล่อนจะเริ่มหงุดหงิดง่ายขึ้นในพักหลังเฉพาะเวลาอยู่กับเขาเท่านั้น
“…”
อิงศรชันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันเหสายตามองออกไปด้านนอกระเบียง
“อะไรอีกเล่า”
“……”
เมื่อเธอไม่ตอบเขาจึงเหลือบสายตามา
แต่ก็เพราะได้ยินเสียงสะอื้นเล็กน้อยเลยต้องหันมาทั้งตัว
หยาดน้ำใสเอ่อล้นจากดวงตาที่เกือบจะหยีกันของมีนา
“โธ่ๆๆ
เพิ่งคบเป็นแฟนกันได้ปีเดียวเขาก็กระด้างกระเดื่องกับฉันซะแล้ว”
อิงศรจ้องมองหล่อน
“…”
มองเด็กสาวน่ารักผู้ที่ตอนนี้คบหากับเขามาได้เกือบจะหนึ่งปีเต็มและเก่งการแสดงขนาดที่ว่ารีดน้ำตาออกมาได้สมจริงตามที่ต้องการ…
อันที่จริงเขาแอบเห็นขวดสำหรับหยอดตาซ่อนอยู่หลังมือเธอด้วยบางทีคงใช้ไอ้นั่นเพื่อสร้างน้ำตาเรียกร้องความสนใจมากกว่า
“คร้าบๆๆ
อยากให้ทำอะไรล่ะ”
เขาพูดแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ก็พอจะรู้อยู่แล้ว
สาเหตุที่มีนามาหาเขาแล้วก็ทำท่าขู่เลียนแบบราหูก่อนหน้านี้คงตั้งใจมาพูดเรื่องนั้นสินะ
“ก็มาด้วยเรื่องนั้นน่ะแหละค่ะ”
เรื่องที่ว่าก็คือเรื่องเกมโลกาวินาศนั่นเอง
ถึงพวกเขาจะเอาชนะราหูในเซิฟเวอร์มาได้และออกมาอยู่อาศัยในความเป็นจริงอย่างสงบสุขมาได้สี่ปีกว่าๆ
แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความจริงอีกเรื่องที่ว่าผู้รุกรานอาจจะมาเยือนได้ทุกเมื่อ
อิงศรพูด
“โดนสิงห์ใช้มางั้นสิ”
“ก็จะใครซะอีกล่ะคะ”
“ว่าแต่เธอเข้ามาได้ไงน่ะ”
หล่อนแต่งเครื่องแบบนักเรียนต่างโรงเรียนแถมที่นี่ยังเป็นโรงเรียนชายล้วน
“แค่บอกว่ามารับน้องชายเขาก็ให้เข้ามาแล้วล่ะค่ะ”
เมษาโดนใช้เป็นเครื่องมือสินะ
จากนั้นหล่อนก็เริ่มบทสนทนาใหม่
“จะว่าไปคุณนรินทร์ก็ติดต่อมาว่าคุณฟูกับคุณมิกซ์เพิ่งได้เดบิวเป็นนักเขียนอย่างเป็นทางการแล้วด้วยนะคะ”
“อ๋อ
การ์ตูนที่ใช้เกมโลกาวินาศเป็นพื้นเรื่องนั่นสินะ”
“นั่นแหละค่ะ
คุณนรินทร์เขาบอกว่าโล่งอกที่สองคนนั้นเป็นฝั่งเป็นฝากันซักที”
“ก็นะตัวป่วนของบ้านทางนั้นเลยนี่”
ฟูถึงจะค่อนข้างซื่อบื้อไปหน่อยแต่ก็ยังมีเรื่องที่ถนัดอย่างวาดรูปแล้วมิกซ์ที่เป็นเพื่อนก็แต่งเรื่องเก่งขึ้นมาจากตอนที่พยายามช่วยฟูเปิดตัวในฐานะนักเขียนการ์ตูนพอเลยตามเลยกันไปก็กลายเป็นว่าทั้งสองคนเป็นคู่หูที่ทำงานด้วยกันไปจนแยกจากันไม่ได้ไปแล้ว
“เห็นว่าปีหน้าคุณนรินทร์จะไปต่อมหาลัยที่เมืองนอกด้วยเห็นว่าจะไปเข้าคณะวิจัยปีศาจรู้สึกว่าคุณซากิริจะช่วยสนับสนุนอยู่น่ะค่ะ”
พอมีนาพูดจบก็มีลมแรงพัดกรรโชกเข้ามาในระเบียง
“ว้าย!!”
“อึก
เจ้าพวกนั้น”
อิงศรยกมือขึ้นป้องดวงตาจากสายลมแล้วยื่นตัวเลยออกไปนอกระเบียงครึ่งตัวเพื่อให้ส่งเสียงไปถึงกลางสนามของโรงเรียนได้
“เฮ้ย
มันอันตรายนะคิดว่าอยู่ในโรงเรียนเวทมนตร์รึไง!”
เขาต่อว่าใส่พวกนักเรียนที่เตะบอลรับปิดเทอมกันอยู่ที่สนามซึ่งลมที่พัดเข้ามาเมื่อครู่เกิดจากเดม่อนแอพพลิเคชั่นที่เจ้าพวกนั้นใช้เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นลงไปด้วย
พอต่อว่าไปแล้วก็ได้รับคำขอโทษกลับมา
เจ้าพวกนั้นคงแค่อยากลองใช้แอพตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดให้ดาวน์โหลดเมื่อวานล่ะมั้ง
นับจากสี่ปีที่แล้ววิทยาการก็ก้าวหน้าไปมากเพราะว่าทุกคนรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในอาคาชิกเรกคอร์ดนั่นทำให้โลกในตอนนี้มนุษย์อยู่ร่วมกับปีศาจ
มนุษย์ต่างดาวรวมถึงสัตว์เทวะ
ทั้งหมดเกื้อกูลกันอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับกันเพื่อว่าซักวันหนึ่ง
วันที่อาจจะต้องต่อกรกับผู้รุกรานจะมาถึง
“แล้ว”
อิงศรหันกลับไปเริ่มบทสนทนาต่อจากที่ค้างเอาไว้
”ไอ้การที่เธอมานั่งพูดเรื่องทางเดินในอนาคตของคนอื่นให้ฉันฟังเนี่ยจะพูดเรื่องนั้นสินะ”
“ก็นั่นแหละค่ะแล้วคุณอิงศรว่ายังล่ะคะจะไปตามคำเชิญของพี่สิงห์ไหม”
“เน็กซ์เป็นไงบ้าง”
เน็กซ์ก็ถูกสิงห์ทาบทามไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเกมโลกาวินาศที่ตอนนี้กลายเป็นระบบสำหรับปกป้องโลกใหม่ใบนี้
เมื่อถึงเวลาที่ผู้รุกรานบุกมา เกมจะกลายเป็นขุมพลังให้กับพวกเขา
“…”
อิงศรที่ไม่ตอบคำถามแต่กลับถามเรื่องคนอื่น
นั่นทำให้มีนาเอียงคอด้วยความงวยงง
แต่หล่อนก็ยอมพูดเรื่องเดียวกับเขาโดยไม่ปริปากถาม
“ตั้งใจเรียนน่าดูเลยล่ะค่ะ
พี่สิงห์เนี่ยสายตาคมกริบไม่เปลี่ยนจริงๆ มองแววของเด็กคนนั้นออกได้”
“ก็นะ
เน็กซ์น่ะเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วหมอนั่นก็แค่ต้องรอเวลาที่จะกล้าแสดงออกกับโอกาสเท่านั้นเอง”
ภายในโลกที่ล่มสลายนั่นเขาเองก็ได้เน็กซ์ช่วยไว้หลายครั้ง
พอมานึกย้อนถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนที่โลกใบนี้ได้ถือกำเนิดและดำรงอยู่
พวกเขาเองก็ต่อสู้ฟันฝ่ามามากแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พบกับความสงบสุขที่แท้จริงซักเท่าไหร่
ศัตรูยังคงมีตัวตนอยู่และไม่รู้ว่าพวกมันจะเล็งเป้ามาที่นี่ตอนไหน
อาจจะเห็นสัปดาห์หน้า หรือวันมะรืน ไม่ก็อาจจะมาหลังจากนี้ในอีกไม่กี่นาที
ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาใหม่นี้จะถูกตรวจจับและเป็นที่รับรู้จากเหล่าผู้อยู่อาศัยในความเป็นจริงเมื่อไหร่
เพราะอย่างนั้นสิงห์
หรือ แฟรนเซียม
ถึงอยากจะได้ตัวเขาไปช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อที่จะทำให้ปราการสำหรับป้องกันโลกใบนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ในเร็ววัน
“แล้วถ้าฉันไม่ตอบตกลงเน็กซ์ก็จะไม่ได้ไปต่องั้นเหรอ”
“ไม่ค่ะ
ทุนส่วนของเด็กคนนั้นไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจของคุณอิงศรหรอกค่ะ”
“เหรอ”
อิงศรแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ทอดสายตามองไกลออกไปราวกับจะควานหาอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกโหยหาและหวนคิดคำนึงถึงคำสัญญาที่ต่างให้กันไว้
แล้วจะได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน…คำสัญญานั่นจะทำให้เป็นจริงได้ไหม
อิงศรกำลังถามตัวเองว่าอย่างนั้น
“งั้นฉันเองก็ลองก้าวไปข้างหน้าดูอีกซักครั้งดีไหมนะ”
เขาพูด
มีนายิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น
“อยากจะพบอีกไม่ใช่เหรอคะ”
“อืม
ฉันอยากเจอหมอนั่นอีก
เพื่อนที่ได้ให้คำสัญญาว่าจะกลับมาพบกันอีกครั้ง
””....ออร์ฟี่”
หมอนั่นเลือกที่จะอยู่ที่อาคาชิกเรคคอร์ดต่อเพื่อหาหนทางช่วยอดัมที่ไม่สามารถเดินเครื่องขึ้นมาได้อีกหลังจากราหูถูกกำจัดไปอย่างถาวร
แล้วมีนาก็พูดแย้งความปรารถนาของเขา
“แต่ว่าในยุคสมัยของพวกเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตามหาที่ตั้งของเซิฟเวอร์นั่นเจอหรือเปล่าเลยนะคะ”
เธอไม่ได้ตั้งใจจะตัดทอนกำลังใจเขาหรอก
แต่มันเป็นความจริงที่ว่าออร์ฟี่นั้นยอ่ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมไปถึงได้ด้วยพลังในตอนนี้
อิงศรดีดตัวลุกจากที่นั่งแล้วพูด
“ถึงเส้นทางนี้มันจะยาวจนไม่น่าเป็นไปได้
ถึงทางเลือกมันจะริบหรี่ก็เถอะ อย่างน้อยฉันก็อยากจะทำมัน ฉันคิดแบบนั้นแหละ”
“คุณอิงศร...”
“ก็คนมันว่างนี่...เนอะ”
อิงศรพูดแล้วยิ้มแห้งๆ
ด้วยความเซ็ง
“อะไรกันล่ะคะนั่นจะหาเรื่องฆ่าเวลาเล่นหรือคะพ่ออัจฉริยะ”
มีนาพูดพลางกระทุ้งศอกมาที่หน้าอกเขาเบาๆ
“ก็นะคนมันเก่งซะจนไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรแล้วถ้าเรียนจบก็คงไปหางานทำใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ดี”
“เมื่อกี้แซวเล่นค่ะไม่ต้องยอมรับก็ได้”
“แต่ฉันเอาจริงนะ”
“ถ้างั้นก็จะตอบรับคำเชิญของพี่สิงห์สินะคะ”
“เออ ถ้ามันจะทำให้ฉันเข้าใกล้ออร์ฟี่ได้บ้างล่ะนะ”
“ค่ะ”
หล่อนตอบรับด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับจะบอกว่า
ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าจะเป็นแบบนี้…
อวดดีชะมัดเลยแม่คนนี้
อิงศรเหยียดยิ้มขณะมองมีนา
“งั้น
วันนี้ก็ว่างสินะ”
“เห~ นี่ชวนเดทอยู่หรือคะ”
“ได้สิแต่จ่ายเองนะ”
“เอ๋ เวลาแบบนี้ฝ่ายชายเขาต้องเลี้ยงสิคะ”
“ถ้าจะให้เลี้ยงงั้นต้องไปร้านที่ฉันเลือกเอง”
“แล้วจะไปไหนล่ะคะ”
“ร้านขนมพันโท”
“จะไปให้คุณข้าวหลามเลี้ยงอีกแล้วสินะคะเนี่ย”
“จะไปกันยัง”
“ค่า~~~”
@@@@
... 2 ปีต่อมา
บนทางเดินภายในตัวโรงเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนที่เดินเท้ากันกลับบ้านตั้งแต่ช่วงสายของวันและมีแต่เด็กม.ปลายปีสามเท่านั้นที่มาโรงเรียนในวันนี้เนื่องจากเป็นพิธีจบการศึกษา
มิ่งขวัญและกวินทร์
เรียนจบจากชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว
“นี่ขวัญเดี๋ยวไปไหนกันต่อปะ”
เขาถูกกวินทร์ถามเช่นนั้น
“…...”
แต่ก็ยังไม่ได้ตอบไปทันที
ในตอนนี้มีเรื่องที่ชวนให้ครุ่นคิดมากกว่าเรื่องไปเที่ยวฉลองในวันจบการศึกษากับเพื่อน
เป็นเรื่องของพี่ชาย...
ซักหนึ่งปีก่อนพี่ชายก็ออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
เขาบอกว่าจะเป็นนักวิจัยวิทยาศาสตร์เหนือธรรมชาติแล้วก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย
ไม่แม้แต่ในวันหยุดก็ตาม
หรือแม้แต่ในวันจบการศึกษาของน้องชายอย่างเขาก็ตาม
“ขวัญ”
“…..”
“ขวัญ”
“อะไรเล่า”
“อะไรน่ะก็ฟังอยู่ไม่ใช่เหรอเรื่องที่จะไปฉลองกันวันนี้ไงพวกที่ห้องเขาบอกทางไปร้านมาแล้วจะไปด้วยใช่ป่ะ”
มิ่งขวัญหันเหสายตาที่เหม่อลอยจนถึงเมื่อครู่ไปทางเพื่อนสนิท
“กึ๋ย”
แค่เห็นสีหน้ากวินทร์ก็เดาอารมณ์ออกได้ในทันที
“ที่รมบ่จอยแบบนี้เนี่ยเพราะพี่ศรใช่ไหมน่ะ”
“เปล่าซักหน่อย”
“คิดถึงอ่ะดิ
ขวัญเนี่ยติดพี่เอาเรื่องตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นา”
“…..”
“เอ๋ อะไรง่ะ”
“…..”
“เฮ้ย
เดี๋ยวดินี่งอนกันเลยเหรอแค่หยอกเล่นๆ เองนะ!”
“พรืด”
พอเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของกวินทร์แล้วก็หลุดขำออกไปจนได้
“อะไรว้า~~ แกล้งกันแรงไปป่ะเนี่ยนึกว่าโกรธจริงๆ ซะอีก”
“ก็นายเอาแต่พูดน่ารำคาญนี่แล้วก็ที่กังวลน่ะไม่ใช่เรื่องศรอย่างเดียวหรอก”
“ถ้างั้นแล้วเรื่องไรอ่ะ”
พอกวินทร์ถามมาแบบนั้น
“มาโน่นแล้ว”
ตัวการของเรื่องกังวลใจก็โผล่มาอยู่ที่หน้าประตูทางออกโรงเรียนที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป
“อ้าว นั่นพี่ฟ้านี่”
ตัวปัญหาที่ว่าก็คือยัยนั่นน่ะแหละ
“….”
กวินทร์เหลือบสายตามองมาทางนี้และคงเห็นสีหน้าของเขาไปแล้ว
ก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองทำสีหน้าแบบไหนอยู่แต่เรื่องที่เขาเริ่มคบหากับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของกวินทร์เป็นรู้กันมาได้ครึ่งปีแล้ว
“อ๋อ”
จู่ๆ
กวินทร์ก็ตีสีหน้าเหมือนกับอ่านทุกอย่างออกแล้วเขยิบตัวเขามาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหูว่า
“หรือไอ้เรื่องหนักใจที่ว่าเนี่ยจะหมายถึงซือเจ๊ของกระผมเหรอครับ”
สีหน้าของมิ่งขวัญซีดลงจนกวินทร์เองยังสังเกตเห็นและอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ไปกันไม่ค่อยได้เหรอ”
“เปล่า
ที่จริงมันก็โอเคน่ะนะจนกระทั่งหลังจากเดทเมื่อเดือนที่แล้วจู่ๆ
ก็มาชวนอย่างว่าน่ะสิ”
“แล้วได้ทำไปยังอ่ะ”
สายตาของกวินทร์ฉายแววอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันควัน
แต่กลับกันสีหน้าจของมิ่งขวัญยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม
“จะทำได้ไงเล่าพอบอกไปว่าทางนี้ยังเด็กอยู่เลยนะก็โดนถามมาว่าเดือนหน้าจะจบการศึกษาแล้วใช่ไหมน่ะสิ”
“ที่ถามเรื่องวันจบการศึกษาเนี่ยหรือว่าเพราะวันนี้พวกเราจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เลย....”
ไม่รู้ว่าทำไมหมอนี่ถึงได้เชียร์ออกนอกหน้ากันขนาดนี้
ถึงเขาจะชอบพี่สาวของหมอนี่ก็จริงแล้วก็ไม่ได้เก็บเรื่องสมัยที่หล่อนยังเป็นมนุษย์ต่างดาวชื่อไทเทเนียมมาคิดอะไรด้วยแล้วก็ตาม
แต่นี่มันก็เป็นเรื่องชวนลำบากใจอยู่ไม่น้อยเลย
“แล้วเอาไงต่อ”
กวินทร์ถาม
น้ำเสียงดูจริงจังมาก บางทีคงเป็นเพราะนั่นคือพี่สาวลูกพี่ลูกน้องก็เลยอยากเข้มงวดกับเพื่อนสนิทคนนี้ที่คบหาดูใจกับเธออยู่
แต่สีหน้ายิ้มแก้มปริจนฟันแทบจะลอยออกมานอกหน้านั่นก็ทำให้รู้ว่าที่กำลังจริงจังคือเรื่องแกล้งให้เขาลำบากใจมากกว่า
มิ่งขวัญสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออก
ทำให้หัวเย็นลงจนสติเริ่มจะกลับมา
“ก่อนอื่นคงต้องไปคุยแหละว่าวันนี้ยังไม่ได้”
“เอ๋
ไม่ใช่วันนี้เหรอ”
“ถ้ากระสันนักนายไม่ไปทำเองเลยล่ะเฟ้ย!”
“ได้ไงเล่านั่นแฟนขวัญนี่รับผิดชอบด้วยสิแล้วก็เป็นพี่สาวฉันด้วย”
ดูเหมือนว่าพูดอะไรไปก็จะถูกกวินทร์ย้อนคืนมาเสียหมด
“.....”
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วดีกว่าทำตามที่คิดเอาไว้นี่แหละวันนี้ต้องคุยให้ชัดเจนกันไปก่อน
เมื่อตัดสินใจได้มิง่ขวัญจึงก้าวเท้านำออกไปก่อน
โดยมีกวินทร์ที่รีบร้อนตามมา
“รอด้วย!”
กวินทร์รีบวิ่งจนมาเดินข้างๆ
แล้วก็เริ่มพูดเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ต่อ
“ที่พี่ศรไปต่อนอกเนี่ยเพราะว่าอยากจะหาเซิฟเวอร์นั่นให้เจอด้วยใช่ป่าว”
“ก็คงงั้น”
“พี่เขายังเป็นคนจริงจังเหมือนเคยเลยนะถ้าเป็นฉันคงถอดใจไปแล้วแต่เพราะแบบนี้แหละถึงนับถือพี่ศรเขาล่ะ”
“อืม ก็นั่นพี่ฉันนี่นา”
มิ่งขวัญตอบรับด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
ทุกคนต่างก็เริ่มออกเดินทางไปตามทางของตัวเอง
“ไม่มีใครที่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะทั้งพวกเราแล้วก็ผู้คนบนโลกใบนี้”
กวินทร์พูด
“นั่นสิ
ทุกคนเข้าใจแล้วว่าการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเป็นยังไงแล้วก็เริ่มต้นใหม่กันแล้ว”
@@@@@@@
...การเตรียมการพิเศษที่เริ่มตั้งแต่วันที่ได้โลกที่แท้จริงมาเพื่อรับมือกับการมาของผู้รุกรานในซักวันหนึ่ง
และแล้ว
วันนั้นก็มาถึง....
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
อิงศรหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
ร่างกายอิดโรยเพราะอ่อนล้าจากการต่อสู้มาอย่างยาวนาน
ท่ามกลางโลกที่พังทลาย
เมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง
ไร้วี่แววผู้อยู่อาศัย
ที่นี่คือภายในโลกเสมือนที่เขียนทับลงบนความเป็นจริงเพื่อปกป้องโลกจริงๆ
เอาไว้และเป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับผู้รุกราน
เทิร์นบริงเกอร์ของจริงมาที่โลกใบนี้แล้ว
ท้องฟ้าแตกแยกออกเป็นรูโพรงกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ
ผู้รุกรานโบยบินลงมาจากรูโพรงเหล่านั้น
“อะไรกันล่ะเนี่ยทำไมผู้อาศัยของจักรวาลนี้มันถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตากันนักนะ”
ผู้นำของกองกำลังผู้รุกรานพูด
เทพมารกายสีดำปีกสีทองสองคู่และปีกดำสนิทอีกหนึ่งคู่
เทพมารที่คุ้นตาพวกเขาและเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจมาก่อน
“ไนท์แมร์โซดิแอก”
แต่นั่นมันก็แค่ข้อมูลตัวจริงที่อยู่ตรงหน้านี้คือต้นฉบับ
คือของจริงที่เลวร้ายกว่าราหูที่พวกเขาเคยสู้ด้วยตั้งไม่รู้กี่เท่า
ถึงพวกเขาจะใช้ร่างไฮพีเรี่ยนที่ดึงข้อมูลมาจากตอนนั้นแทบทั้งหมดแล้วก็ยังเปรียบพลังกับผู้รุรกานของจริงที่ไม่ใช่ข้อมูลแทบไม่ได้
ไนท์แมร์โซดิแอกพูดตอบโต้คำพูดของเขาเมื่อครู่
“ไหงรู้จักข้าด้วยล่ะเนี่ย”
แล้วยกกรงเล็บของมันขึ้นชี้มาทางนี้
เตรียมจะสังหารพวกเขาที่หมดหนทาง
“อึก...บ้าเอ้ย”
อิงศรคำราม
พลางนึกเสียใจ
นึกเสียใจที่จะต้องมาจบอยู่แค่นี้
การเตรียมใจของพวกเขายังไม่พอสำหรับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ
พลังขั้นสูงสุดที่พวกเขาเคยมียังไม่เพียงพอจะต่อกรกับความเป็นจริงได้
ไหนยังจะมีคำสัญญาที่ยังไม่ถูกเติมเต็มอยู่อีก
“ยังไม่ได้เจอหมอนั่นเลยนะ”
ความเศร้าเสียใจต่อวาระสุดท้าย
เมื่อไนท์แมร์โซดิแอกดำเนินคำพูดของมันและทำให้เปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ภายในอุ้งมือ
”แต่เอาเถอะเดี๋ยวพวกแกก็จะถูกลบ...”
ไฟจะถูกปล่อยลงมาและแผดเผาพวกเขาตรงนี้ไปทั้งหมด
แต่ทว่า
“อาคานาร์อาร์ค!”
กลับมีลำแสงหลากสีพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
“อะไรกัน!”
แขนของไนท์แมร์ถูกลำแสงแผดเผาและสลายหายไปในเสาแห่งแสง
“ข...แขนข้า!”
มันดึงแขนที่ยังเหลือกลับไปทันทีแล้วแหงนหน้ามองหาผู้ที่จู่โจมมา
“ใครน่ะ ใครกัน!”
อิงศรก็สงสัยเช่นกัน
แต่ว่า...
“เสียงเมื่อกี้มัน”
เสียงร่ายสกิลเมื่อครู่นั้นมันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
แล้วเมื่อเขาแหงนเงยหน้าขึ้นไป
“อ....อา”
ปากก็เผยอขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ความหวังอันแรงกล้าราวกับจะไหลบ่าเทบ่าลงมาจากฟากฟ้าแห่งนั้น
ใบหน้าที่โหยหา
ความรู้สึกที่เรียกร้องอยากเจอ
ความปรารถนาที่หมุนเวียนอยู่ภายในตัวเหมือนกับจะระเบิดออกมา
“ออร์ฟี่!”
จากบนท้องฟ้าออร์ฟี่กำลังบินตรงมาที่นี่พร้อมกันกับอดัม
ทั้งสองลงจอดตรงหน้าอิงศรเอาตัวเข้าบังเขาและพวกพ้องจากไนท์แมร์โซดิแอกกับกองทัพของพวกมัน
“เชอะ
ยังมีพวกสวะเหลืออยู่อีกเรอะบังอาจทำกับแขนของข้าได้นะ”
ไนท์แมร์โซดิแอกพูด
“นี่คือร่างต้นของอดีตเหนือหัวเหรอรู้สึกแตกต่างออกไปเลยนะ”
อดัมพูด
นอกจากนี้ชุดที่เขาสวมก็เป็นชุดรัดรูปของพวกผู้รุกรานนั่นทำให้ไนท์แมร์เกิดความสงสัยขึ้นมา
“ว่ายังไงนะแล้วแกน่ะชุดแบบนั้นมันพวกเดียวกันไม่ใช่เรอะทำไมถึงหักหลัง....”
แต่ยังไม่ทันพูดจนจบกองทัพที่อยู่ด้านหลังของมันก็ถูกระเบิดเป่าจนพากันหายไปหมดในคราเดียว
“อะไรกัน!”
ไนท์แมร์หันกลับไปมองกองทัพที่เคยเกรียงไกรของมันด้วยความสับสน
มองดูซากของกองทัพที่ตอนนี้จมอยู่ในกองเพลิงที่ไม่รู้ที่มา
“ออร์ฟี่นี่มัน”
อิงศรพูด
“ไม่เจอกันนานเลยนะอิงศร”
ออร์ฟี่หันมาพูดกับเขา
“ไม่ใช่เรื่องนั้น
แต่ไอ้เมื่อกี้น่ะ”
เขาพูดพลางชี้ไปที่ทะเลเพลิงที่เผากองทัพผู้รุกราน
ออร์ฟี่ที่ทำหน้าเหมือนกับรู้ทุกอย่างพูดตอบ
“อ๋อ
ที่มาน่ะไม่ใช่แค่พวกเราหรอกนะ”
แล้วทันใดนั้นเอง
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะท่านผู้สร้าง”
ก็มีร่างสีขาวโรยตัวลงมาที่เบื้องหน้าพวกออร์ฟี่อีกที
“หา...ผู้สร้างอะไร”
ไนท์แมร์ถาม
ดูเหมือนมันจะไม่รู้ว่าผู้ที่ทำลายกองทัพของมันและลงมายืนอยู่เบื้องหน้าก็คือหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของมันเอง
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่
“เมอร์คาบาห์ซรูวาน
มาที่นี่ได้เหรอแล้วเซิฟเวอร์อาคาชิกเรคคอร์ดล่ะ?”
อิงศรพูด
กรณีของออร์ฟี่กับอดัมถึงจะออกมายังฝั่งโลกแห่งความเป็นจริงได้ก็ไม่น่าแปลกแต่สำหรับซรูวานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเซิฟเวอร์แล้วไม่น่าจะเป็นไปได้
“เฮ้ๆ
การพบกันอันน่าซาบซึ้งน่ะพอแค่นั้นก่อนดีกว่าพวกเรายังต้องสู้กับเจ้าตัวร้ายกาจนั่นอยู่นะ”
มีเสียงดังมาจากทางด้านบนอีก
จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มสองคนลงมาจากท้องฟ้าเหมือนกับพวกออร์ฟี่
คนหนึ่งในนั้นที่พูดคำพูดเมื่อครู่ก็คือตัวเขาเอง
คืออิงศรในวัยสิบเจ็ดปีและสวมเครื่องแบบทหารสีเขียวของเมตไตรย
“นี่นาย...”
อิงศรพูด
เขาจำได้ว่าเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
ตอนนั้นเองเหล่าพวกพ้องที่เห็นว่าเขามีสองคนก็เริ่มจะโวยวาย
“พี่ศรมีสองคน...”
กวินทร์พูด
“ไงเจอกันอีกแล้วนะจินตนาการเป็นพลังให้แล้วใช่ไหมล่ะ”
อิงศรคนนั้นพูดกับอิงศรตัวจริง
บรรยากาศเป็นกันเองและคำพูดที่ว่า ‘จินตนาการจะเป็นพลังให้’ นั่นทำให้นึกขึ้นมาได้
ในช่วงเวลาที่ติดอยู่ในเซิฟเวอร์นั่น
ในบรรดาโลกคู่ขนานที่เคยไปเยือนนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้เจอตัวเองอีกคนที่เป็นแบบนี้อยู่
“นี่นายหรือว่า...”
พูดยังไม่ทันจบอีกคนที่มาด้วยกันกับตัวเขาเองก็พูดขัดขึ้นมา
“เฮ้ย เฮ้ย
อิงศรนั่นมันบทพูดฉันนะเว้ย ไหงมาแย่งกันเฉยเลย”
เด็กหนุ่มคนนั้นสวมชุดสีขาวแดง
ชุดของฟิคชั่นไมสเตอร์ที่ ราหูเคยพูดถึง
“นายคือ....”
อิงศรถาม
ตัวเขาอีกคนที่มาด้วยกันกับเด็กหนุ่มชุดขาวแดงจึงตอบให้
“เจ้านี่คือหมาขี้แพ้ที่ฉันเคยพูดถึงไปไง”
“โธ่
ไปบอกแบบนั้นเดี๋ยวก็เข้าใจผิดกันหมดพอดี”
เด็กหนุ่มชุดขาวพูดแล้วจึงหันมาทางพวกเขาพลางยกมือชี้นิ้วหัวแม่โป้งเข้าหาตัวเองเหมือนจะแนะนำตัว
“ฉัน เกร
กีก้าสเลฟ เป็นฟิคชั่นไมสเตอร์ เรื่องของฉันถ้าไปอ่าน เทลอาโพคาลิปส์ในลิสต์ข้างล่างนี่ก็จะเข้าใจเองแหละ”
‘ถึงจะขี้เกียจแนะนำตัวยังไงก็ไม่ควรจะไปพูดแบบนั้นนะครับ’
จู่ๆ
ก็มีเสียงที่ไม่รู้ที่มาที่ไปดังขึ้นมาแบบนั้น
“เอ๋
เมื่อกี้มีเสียงอะไรด้วยอ่ะ”
เมษาพูด
“ฉันก็ได้ยินไม่ได้หูฝาดแหงๆ”
มีนาพูด
“นั่นเสียงผู้บรรยายน่ะ”
เกร
อธิบายให้พวกพ้องของเขาไปแบบนั้น แน่นอนว่าไม่มทีใครเข้าใจความหมายของมัน
อันที่จริงแม้ตตัวเขาเองที่เคยไปพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้วที่โลกแห่งนั้นก็ยังรับมือไม่ค่อยถูกเลย
“ผู้บรรยาย
มันคืออะไรล่ะนั่น”
นรินทร์ถาม
แต่ยังไม่ทันที่จะอธิบายก็เกิดระเบิดขึ้นเสียก่อน
ระเบิดจากการที่อดัมสร้างกำแพงป้องกันขึ้นมาต้านการโจมตีจากไนท์แมร์โซดิแอก
”ให้ตายสิทำเมินกันหน้าตาเฉยเลยนะเจ้าพวกผู้อาศัยของโลกนี้ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้จักข้าแล้วก็แกฟิคชั่นไมสเตอร์”
คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อเกรจ้องตาไนท์แมร์โซดิแอก
ดูเหมือนว่าระหว่างสองคนนั้นจะมีเรื่องกันมาก่อน
ไนท์แมร์โซดิแอกพูด
“เวิร์สของพวกแกถูกรุกรานไปเรียบร้อยแล้วยังไม่ยอมจบไปอีกเรอะ”
คำพูดนั่นน่าจะหมายถึงตัวของเด็กหนุ่ม
และอาจหมายถึงโลกของเกรนั้นได้ถูกพวกผู้รุกรานโจมตีจนแตกพ่ายไปแล้วหรือเปล่านะ
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีทีท่าต่อคำพูดยั่วยุของอีกฝ่ายและพูดกลับไปว่า
“เฮอะ
แกคิดว่าพวกเราน่ะเป็นใครกัน”
พลางชกกำปั้นเข้ากับมือตัวเอง
จากนั้นอิงศรที่มากับทางนั้นก็หันมาพูดกับอิงศร
“ถึงสถานการณ์จะเข้าใจได้ยากไปหน่อยแต่อยากให้ช่วยทีฉันกับหมอนี่เพิ่งจะไปปล่อยซรูวานกับออร์ฟี่มาจากเวิร์สที่นั่นแล้วก็ไล่ตามเจ้านี่มา”
ถึงที่พูดมาจะเข้าใจได้ยากแต่ก็พอจะรู้แล้วว่าที่ออร์ฟี่กับอดัม
และรวมไปถึงซรูวานมาอยู่ตรงนี้กันได้ก็เป็นฝีมือของสองคนนี้
“พูดแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจ สองคนนี้เป็นใครกันอิงศร”
สิงห์ถาม
แต่ทว่า
มิ่งขวัญกลับแทรกขึ้นมา
“ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหนเลย”
แล้วชนกำปั้นกับมือเหมือนที่เกรทำ
“แค่ร่วมมือกันอัดเจ้านั่นให้หมอบก็โอเคแล้วใช่ไหมล่ะ”
พลางส่งสายตามาที่เขาราวกับจะขอแนวร่วม
พอเห็นแบบนั้นเข้าอิงศรที่โลกนั้นก็มองมาทางนี้แล้วยิ้มให้
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
พลางพูดมาแบบนั้น
ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ว่า
“ยังไงก็มีแต่ต้องเลือกหนทางแล้วก้าวต่อไปข้างหน้านี่เนอะ”
@
@
@
เธอน่ะชอบเล่นเกมหรือเปล่า
[ใช่]
[ไม่]
***และแล้วก็จบจริงใสซิงไม่มีหักแล้วเน่อ เรื่องนี้ได้เดินทางมาถึงตอนจบอย่างบริบูรณ์แล้ว
ขอขอบคุณรีดทุกท่านที่ตามกันมาจนถึงตอนสุดท้ายนี้นะครับ
ผลงานเรื่องใหม่คงจะยังไม่มีในเร็วๆ นี้เพราะไรท์เองชีวิตก็เริ่มวุ่นวายจากที่ช่วงหลังมาแทบจะปั่นต้นฉบับไม่ได้เลยก็หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในผลงานถัดไป(ถ้ามี)นะครับ
ที่จริงเรื่องถัดไปก็คิดว่าจะหยิบฟิคชั่นไมสเตอร์มาเขียนซักทีนี่ล่ะแต่ยังไม่มีเวลานี่สิ
โอเมก้า 555+***
ความคิดเห็น