คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #279 : Extra Log 275: พลังที่สืบทอด 2
Extra
Log 275: พลังที่สืบทอด 2
หลังจากคำสั่งของแฟรนเซียมที่สั่งการแทนอิงศรซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่
พวกเขาก็แบ่งออกกันเป็นสองกลุ่ม
มิ่งขวัญ
กวินทร์ เมษา พลอย ฟู มิกซ์ แยกไปจัดการสัตว์เทวะที่หนีออกไป คนที่เหลือ มีนา
นรินทร์ เน็กส์ นิว ร่วมมือกับแฟรนเซียมหาทางปิดประตูดินแดนแห่งความตาย
แฟรนเซียมถามนรินทร์
”ใช้แอพวิเคราะห์ประตูหาจุดที่ค่าบิดผันของมิติน้อยที่สุดได้ไหม”
“ไม่รู้ว่าอยู่ในสภาพแบบนี้จะยังใช้เดม่อนแอพได้ไหมนะครับ”
นรินทร์ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก
เด็กหนุ่มยกไม้เท้าที่เปลี่ยนไปเพราะการ ไฮพีเรียลไรซ์ ขึ้นมาแตะดู
ได้แต่หวังให้หน้าจอระบบสำหรับจัดการเดม่อนแอพปรากฏขึ้นมา
แต่มันกลับไม่มีอะไรออกมาเลย
“สงสัยจะไม่ได้…”
ตอนที่คิดตัดใจว่าคงไม่มีทางเรียกใช้เดม่อนแอพในสภาพเช่นรี้ได้อยู่นั่นเอง
‘ฟังชันก์เสริมทั้งหมดถูกย้ายไปที่เมนูส่วนบุคคลแล้ว’
“เอ๋?”
นรินทร์หลุดปากด้วยความตกใจ
จู่ๆ
เสียงของออร์ทิเกสซาร์เครื่องทำสวนที่ทำการทดสอบเขาก็ดังขึ้นมา
นรินทร์ลองทำตามเสียงที่ว่าเขาเรียกหน้าจอระบบโดยทำท่าแตะลงไปบนอากาศอันว่างเปล่าตรงหน้าแทน
หน้าจอส่วนตัวเปิดขึ้นและมีรายละเอียดที่แปลกตาไปพอสมควร
มีเมนูใหม่ๆ ที่ไม่รู้จักอย่าง
[Zodiac Skill]
[Cyber Eye Unit]
แล้วก็เมนูที่เขากำลังมองหาอยู่ซึ่งถูกเพิ่มขึ้นมาใหม่เหมือนกัน
[Demon App]
นรินทร์กดลงบนเมนูที่ว่า
แต่มันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกอยู่ดี อันที่จริงปุ่มของ [Demon App] เองก็เป็นสีเทาเหมือนอยู่ในสภาพที่ไม่เปิดให้ใช้งานอยู่ด้วย
‘ปีศาจของเจ้าเป็นแบบวิเคราะห์ข้อมูลสินะ
ถ้าอย่างนั้นมันคงถูกดึงไปรวมกับไซเบอร์อายยูนิทแล้วล่ะ’
เสียงของออร์ทิเกสซาร์บอกมาอย่างนั้น
“ไซเบอร์อายยูนิทเหรอ
มันคืออะไรน่ะครับ”
‘เป็นฟังชันก์ที่มีเฉพาะข้ากับ
ดีเซมแมร์ เซปทรูสตาร์ เอกาพิลุซซาร์ แล้วก็ เอพบูรอาร์เป็นความสามารถของยูนิทที่สวมไว้ตรงหูของพวกเจ้าน่ะ’
นรินทร์ลองคลำแถวบริเวณหูตัวเอง
“หมายถึงหูฟังสีดำนี่น่ะเหรอ”
แล้วสอดส่ายสายตามองหาคนที่รับการทดสอบกับเครื่องทำสวนที่ออร์ทิเกสซาร์บอกซึ่งก็จะมี
อิงศร เน็กส์ มิกซ์ แล้วก็ มีนา รวมเขาด้วยก็จะเป็นห้าคนที่มีไซเบอร์อายยูนิท
‘ไซเบอร์อายยูนิทคือดวงตาที่ความสามารถวิเคราะห์
มองทะลุ เล็งเป้า และควบคุมยูนิทอื่นๆ อย่างของเจ้า ก็จะใช้ควบคุม
แมทเทเรียลแฟงส์ยูนิท (Material Fangs Unit) ที่อยู่บนหลังอีกที’
ที่ออร์ทิเกสซาร์พูดน่าจะหมายถึงปีกจักรกลที่อยู่บนหลังของเขา
ถึงจะบอกว่าเป็นปีกแต่มันคืออุปกรณ์รูปทรงเรียวยาวเป็นแท่งทำด้วยโลหะ
ลักษณะคบ้ายกับเขี้ยวสัตว์จำนวนแปดอันมาประกบกันจนดูคล้ายกับปีก
’ไซเบอร์อายยูนิทจะดึงเอาความสามารถในกราวิเคราะห์ที่ตัวเจ้ามีไปรวมไว้ด้วยดังนั้นปีศาจของเจ้าตอนนี้เลยไปอยู่ที่นั่น
ทางลัดในการเรียกใช้แค่บอกให้ไซเบอร์อายยูนิทแอคทิเวทก็พอแล้ว’
”เข้าใจล่ะ
งั้นก็ ไซเบอร์อายยูนิทแอคทิเวท”
พอลองพูดไปแบบนั้นก็มีเสียงดังกริ๊กเหมือนล็อกถูกปลดออก
หูฟังเริ่มขยับไปเองมันขยับเปิดฝาครอบบางส่วนเผยเซ็นเซอร์ออกมา
แสงสีฟ้าก็พุ่งจากเซ็นเซอร์หูฟังตัวหนึ่งไปยังเซ็นเซอร์ที่หูฟังอีกข้าง
สภาพเหมือนกับสวมแว่นตา จากนั้นรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ
ก็เริ่มปรากฎขึ้นบนแว่นแสงนั่น
ประตูมิติที่เขากำลังมองถูกร่างขึ้นมาเป็นแผนภาพสี่เหลี่ยมโพลีกอน
รายละเอียดทั้งความลึก ความกว้าง อุณหภูมิ พลังงาน
และค่าผันผวนถูกแสดงออกมาจากแผนภาพนั่น
นรินทร์หันหน้าไปทางอื่นๆ
เพื่อให้เซ็นเซอร์ที่หูฟังเก็บรายละเอียดมาเพิ่ม
แผนภาพจึงยิ่งชัดมากขึ้นจนกระทั่งมองเห็นจุดที่มีเส้นคสามผันผวนน้อยที่สุดในระแวกนี้
กระนั้นมันก็ยังใล้ไม่ได้
“ไซเบอร์อายมองเห็นค่าความผันผวนของมิติได้ก็จริงแต่ว่าประตูมันกว้างมาก
ถ้าไม่สำรวจดูทั้งหมดก็คงจะไม่รู้ว่าตรงไหนน้อยที่สุด”
ตอนนั้นเองมีนาที่อยู่ด้วยก็อาสาตัวเอง
“ถ้างั้นฉันจะช่วยหาอีกแรงค่ะ
คุณเอพบูรอาร์อธิบายเรื่องไซเบอร์อายยูนิทมาให้แล้วรู้สึกว่าจะเชื่อมข้อมูลเข้ากับของคนอื่นเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ได้ด้วยนะคะ”
“ผมก็จะช่วยด้วยอีกแรงฮะ”
เน็กส์ก็เสนอตัวด้วย
“ถ้างั้นทั้งสองคนแยกกันไปที่มุมฝั่งนั้น
แสกนพื้นที่แล้วส่งข้อมูลกลับมาทีนะ”
นรินทร์พูด
เมื่อทั้งสองคนแยกกันออกไปแสกนพื้นที่ของประตูมิติมุมอื่นและได้ข้อมูลของพื้นที่ทั้งประตูแล้ว
นรินทร์จึงสรุปให้แฟรนเซียมฟัง
“มีจุดผันผวนน้อยที่สุดสี่จุดด้วยกันแล้วต้องทำยังไงต่อ”
แฟรนเซียมพยักหน้า
“ต้องส่งพลังงานที่รุนแรงพอจะฉีกกระชากมิติได้เข้าไปที่จุดพวกนั้น
เราจะสร้างคลื่นผันผวนที่รบกวนสมดุลของทั้งประตูถ้ามีสี่จุดก็ต้องทำทุกจุดเลยไม่อย่างนั้นพลังงานจะถ่ายออกไปนอกพื้นที่แล้วเราก็จะล้มเหลว”
คำพูดของแฟรนเซียมหากจะพูดให้เข้าใจแบบง่ายๆ
แล้วก็เปรียบประตูมิติเป็นถาดทำน้ำแข็งที่น้ำยังไม่เต็มในบางช่อง
การอัดพลังที่ว่าก็คือการเติมน้ำลงไปให้ตรงช่องที่ยังไม่มีน้ำเพราะถ้าไปเติมใส่จุดอื่นที่น้ำเต็มแล้วน้ำก็อาจจะล้นออกนอกถาดก่อนที่จะไหลไปยังช่องที่น้ำน้อยทำให้เกิดการเสียเปล่า
ซึ่งก็หมายความว่าพลังงานที่พวกเขาส่งเข้าไปทำลายสมดุลจะเข้าไปไม่เต็มที่นั่นเอง
“ถ้างั้นใช้สกิลท่าไม้ตายอัดลงไปน่าจะพอทำให้มิติฉีกกระชากได้สินะ
งั้นจะบอกมีนา กับเน็กส์”…”
ทว่า
แฟรนเซียมก็พูดขัดเอาไว้ก่อน
“แค่นั้นยังไม่พอหรอก
จังหวะมันต้องตรงกันด้วย”
“งั้นแค่นับสัญญาณพร้อมกันก็ดได้นี่”
“ไม่ได้
ถ้าคลาดเคลื่อนไปแค่มิลลิวินาทีก็ใช้ไม่ได้แล้ว
อีกอย่างจังหวะการปล่อยพลังของแต่ละคนไม่เท่ากันถ้าไม่ใช้วิธีปล่อยพลังออกไปแล้วหน่วงไว้ให้ปล่อยออกไปได้พร้อมกันเป๊ะๆ
ก็ล้มเหลวแน่นอน”
นรินทร์จ้องมองแฟรนเซียมด้วยสายตาใคร่รู้
แต่ไม่ใช่เรื่องวิธีการแก้ปัญหาแต่เป็นความรู้ของแฟรนเซียมต่างหาก
“ทำไมถึงรู้ถึงขนาดนั้นล่ะครับ”
แฟรนเซียมตอบอย่างง่ายดายด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย
“ฉันคือคนที่ใช้ดาบมังกรมารอาซีดาฮากามาก่อน
การใช้พลังที่เล่นสนุกกับมิติได้แบบนั้นก็ไม่แปลกที่จะมีความรู้ความเข้าใจมากใช่ไหมล่ะ”
ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีกูรูเรื่องประตูมิติอยู่กับพวกเขาแล้ว
นรินทร์ที่หมดข้อสงสัยสุดหัวใจก็ถามว่า
“งั้นเราจะทำยังไงถึงจะปล่อยออกไปได้พร้อมกันล่ะ”
ตอนนั้นเอง
นิวก็เสนอตัวขึ้นมา
“พี่รินหนูช่วยได้นะ”
นรินทร์ก้มหน้ามองเด็กผู้หญิงตัวเล็ก
เธอสูงเท่าเอวแฟรนเซียมเท่านั้นและที่ผ่านมาก็เป็นคนขี้อายที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
ส่วนมากแล้วเน็กส์ที่อยู่กับเธอจะเป็นคนที่ช่วยพูดเรื่องของเธอให้
แต่นิวในตอนนี้แตกต่างออกไป
เธอมีแววตาที่เปล่งประกายกว่าแต่ก่อนและใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น
ดังนั้นน่าจะเชื่อใจคำพูดอาสาตัวเองนั่นได้
นรินทร์เริ่มนึกถึงอาขีพของนิว
เหตุผลที่เธอบอกว่าช่วยพวกเขาได้
“นั่นสิ
ถ้าเป็นนิวที่มีบิลด์คลาสเป็นมาริโอเน็ตต้าก็จะใช้สกิลควบคุมพวกเราให้ปล่อยการโจมตีออกไปพร้อมๆ
กันได้”
นรินทร์เงยหน้าขึ้นมองแฟรนเซียน
“แผนนี้น่าจะใช้ได้”
ทั้งที่แฟรนเซียมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยแล้วแต่ก็ยังพูดขัดแย้งมาอีก
“แต่ภาระการตัดสินใจจะมาตกอยู่กับเด็กคนนี้
ถ้าไม่แม่นยำจริงๆ มันก็ยังเสี่ยง”
“ถ้ามีคนที่แม่นยำเรื่องเวลากับจังหวะแล้วก็คำนวณเก่งๆ
ก็ดีสิ”
นรินทร์ตัดพ้ออย่างสิ้นหวัง
ตอนนั้นเอง....
“เฮ้ สิงห์!”
พันโทข้าวหลามตะโกนมาจากจุดที่ความมืดของประตูยังแผ่ไปไม่ถึง
วิเชียรมาศเองก้อยู่กับเขาด้วย
แฟรนเซียมพูด
“อ้อ
มีอยู่คนหนึ่งนี่นะ”
หรือว่าจะหมายถึงพันโทข้าวหลามกันนะ
“พันโทเขาคำนวณเก่งเหรอครับ”
นรินทร์ถามขณะที่คิดตามหลักเหตุผลไปด้วย
ซึ่งมันก็พอจะมีเค้าอยู่บ้าง
พันโทข้าวหลามเป็นนักแม่นปืนฝีมือเยี่ยมของกิลด์เซเวียร์
บางทีฝีมือเล็งยิงนั่นอาจจะมีส่วนมาจากความแม่นยำและคำนวณเก่ง...
“ตรงกันข้ามเลยต่างหาก
หลามมันนิ่งแค่เรื่องปืนเท่านั้นแค่มาประชุมให้ตรงเวลามันยังไม่เคยมาทันซักครั้งเลย”
“เอ๋
ถ้างั้น....”
“ที่ฉันพูดน่ะหมายถึงวิเชียรมาศต่างหากเธอมีบิลด์คลาสแมทจิกเชี่ยน
ที่เป็นจอมเวทย์คณิตศาสรตร์อยู่ไงล่ะ”
นรินทร์ทุบมือดังปึก
“จริงสิ
แมทจิกเชี่ยนมีสกิลเกี่ยวกับการทำจังหวะแล้วก็ควบคุมเรื่องของเวลาได้แถมถ้าเป้นคุณวิเชียรมาศล่ะก็ทำงานเอกสารบ่อยๆ
ความแม่นยำก็น่าจะสูงด้วย”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วแฟรนเซียมก็เปิดหน้าจอสื่อสารติดต่อไปหาวิเชียรมาศ
“วิเชียรมาศเดี๋ยวจะให้เธอช่วยหน่อยแล้วก็หลาม”
‘เออ ว่าไง’
พันโทตอบรับโดยแทรกใบหน้าเข้ามาในจอของคุณวิเชียรมาศ
แฟรนเซียมพูด
“แกไปดูพวกที่ฝึกกองทัพแล้วควบคุมสถานการณ์อย่าให้เกิดความวุ่นวายถ้าพวกสัตว์เทวะไปถึงที่นั่นก็ให้หลบหนีไป
พวกของอิงศรจะเก็บกวาดพวกมันเอง”
‘เข้าใจล่ะ’
พอตอบรับแล้วพันโทก็ย้ายหน้าออกจากจอ
ที่จุดที่พวกเขามองเห้นทั้งสองคนปลายสายนั่นพันโทก็วิ่งออกไปแล้วด้วย
เหลือแค่คุณวิเชียรมาศ
‘แล้วจะให้ดิฉันทำอะไรหรือคะ’
วิเชียรมาศถาม
@@@@@
....ขณะเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง....
พวกมิ่งขวัญที่แยกออกไปยับยั้งสัตว์เทวะก็กำลังตึงมืออยู่เช่นกัน
“รอยัลเซเบอร์”
มิ่งขวัญไถลมือไปบนตัวดาบ
ทำให้แสงห้อมล้อมมันแล้วแทงดาบออกไปข้างหน้า
“บริโอแน็กส์”
แสงสว่างบนตัวดาบพุ่งทะยานออกไป
มิ่งขวัญแทงดาบแสงที่ยืดยาวนั่นใส่คอของสัตว์เทวะเสือขาว
เสือขาวยักษ์คำรามลั่นก่อนจะล้มตึงแล้วสิ้นใจลงตรงนั้น
“ขวัญข้างบน!”
เสียงของกวินทร์ดังมา
มิ่งขวัญจึงแงหนหน้าขึ้นมอง
สัตว์เทวะหงส์ตัวใหญ่เท่าเครื่องบินและมีร่างลุกโชนไปด้วยไฟกำลังดิ่งลงมา
มันคิดจะชนเขาแล้วเผาให้ตายด้วยไฟบนร่างของมันสินะ
จังหวะมันฉุกละหุกเกินไป
มิ่งขวัญยังถูกการหน่วงเวลาของสกิลหลังจากปล่อยท่าไปแล้วดึงเอาไว้ทำให้ขยับร่างกายทันทีไม่ได้
“หลบไม่ทันแน่”
เด็กหนุ่มสบถ
‘ใช้มิราจสิ’
เสียงของจูเนอร์มินาร์คนพี่สาวดังมาจากดาบในมือ
ตัวดาบสีแดงดั่งไฟ ใบดาบแยกเป็นสองแง่ง
โกร่งดาบก็เป็นแง่งเหมือนกัน ตราสัญลักษณ์ตรงโกร่งดาบดูคล้ายกับนกกำลังยกปีก
ด้วยรูปแบบเช่นนั้นทำให้ดาบเล่มนี้เหมือนเป็นดั่งนกเพลิงอีกตัว
แล้วก็ยังมีโล่สีแดงอีกอัน
โล่ทรงดาวสี่แฉกที่เข้าคู่กันกับดาบที่ต่างก็เปลี่ยนมาจากของดั้งเดิมก่อนจะติดตั้งไพ่
ออริจินอาคานาร์ เข้าไป
เวลาผ่านไปวินาทีหนึ่ง
มิ่งขวัญพอจะขยับแขนได้บ้างแล้วแต่สัตว์เทวะก็เข้ามาใกล้จนถอยหนีตอนนี้ไม่ทัน
“มิราจ...ไอ้นั่นสินะ”
มิ่งขวัญตัดสินใจทำตามที่จูเนอร์มินาร์แนะนำ
ก่อนหน้านี้เขาได้รับการบอกเล่ารายละเอียดพลังของร่างไฮพีเรี่ยนที่ใช้อยู่ในตอนนี้มาแล้ว
มิ่งขวัญตั้งโล่ที่ติดกับแขนซ้ายขึ้นไปข้างบน
“โซเดียมิราจ!!”
ทันใดนั้นโล่ก็เปล่งแสง
แสงสว่างสีเงินยวงแผ่ออกจากอัญมณีตรงกลางปกคลุมโล่
พื้นผิวที่แสงสีเงินปกคลุมเอาไว้จะสะท้อนภาพได้ราวกับกระจก
แต่ภาพที่สะท้อนบนโล่ไม่ใช่ภาพของสัตว์เทวะที่กำลังดิ่งลงมา
หากแต่เป็นภาพของมิ่งขวัญ
มีมิ่งขวัญสองคนยืนอยู่ในเงาสะท้อนของโล่
มิ่งขวัญคนหนึ่งมีใบหน้าสงบมีปีกสีขาวราวกับเทวทูต และอีกคนท่าทางดุร้ายราวกับสัตว์ป่า
ใบหูก็เรียวแหลมกว่าของเขานิดหน่อยและมีปีกสีดำดั่งปีศาจ
วินาทีถัดมาภาพสะท้อนก็มีชีวิตขึ้นมา
มิ่งขวัญที่แตกต่างออกไปทั้งสองคนนั้นพุ่งออกจากโล่กระจก
มิ่งขวัญทั้งสองบินทะยานจู่โจมสัตว์เทวะ
ตัดปีกของมันขาดสะบั้นทั้งสองปีกทำให้มันเสียหลักและเบี่ยงออกไป มิ่งขวัญตัวจริงเลยรอดมาได้
จุดที่สัตว์เทวะตกลงไปมีกวินทร์ยืนคอยท่าอยู่แล้ว
พร้อมกับดาบคู่สีแดงที่มีเปลวไฟ สายฟ้า
น้ำแข็ง และเศษหิน หมุนวนรอบใบดาบ
ดูเหมือนจะเป็นการเสริมพลังอาวุธที่เหนือขึ้นไปกว่าปกติ
มิ่งขวัญเองก็เป็นเอลเมนทัลเอนแชนเตอร์เหมือนกันจึงมองออก
ว่าพลังของธาตุที่อยู่บนตัวดาบทั้งสองเล่มนั้นเป็นการเสริมพลังโดยไม่ได้แบ่งกันเสริมสองธาตุต่อเล่มเหมือนที่เคยทำ
แต่เป็นสี่ธาตุทั้งสองเล่มเลย
กวินทร์ตวัดดาบทั้งสองเล่มนั้นพร้อมกับตะโกนร่ายสกิล
“ท่าฟันแปดธาตุ
ไฟนอลแสลช!”
พริบตานั้นเอง
ตุทั้งสี่ที่วนอยู่รอบใบดาบก็ควบรวมกันเป็นแสงสว่างสีทองฉาบลงไปบนดาบ กวินทร์ตวัดดาบเร็วไปหน่อย
เพราะสัตว์เทวะยังเข้าไม่ถึงระยะฟัน
กระนั้นสัตว์เทวะก็ถูกฟันร่างขาดเป็นสี่ส่วนอยู่ดี
เพราะแสงที่ฉาบใบดาบพุ่งออกมาทำการโจมตีแทน
ร่างมหึมาของสัตว์เทวะสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก
กวินทร์โบกมือให้แล้วตะโกนมา
“จัดการเรียบร้อยแล้ว”
มิ่งขวัญพยักหน้าตอบกลับไป
ก่อนจะจัดการสลายร่างแยกของเขาที่สร้างขึ้นจากโล่ แล้วค่อยเดินไปรวมกับกวินทร์
ทว่า...
“ระวัง!!”
มีเสียงตะโกนดังแว่วมา
จากนั้นฟูกับพลอยก็ปรากฏตัวขึ้นห่างออกจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ไม่ไกลนัก
ทั้งฟูและพลอยช่วยกันปัดทำลายฉลามน้ำ
ที่สัตว์เทวะเต่าสีดำปล่อยออกมา มันเป็นสัตว์เทวะจ่าฝูงกลุ่มเดียวกับเสือขาวและหงส์ไฟที่เพิ่งกำจัดไป
พลอยหันมาถาม
“ทั้งสองคนไม่เป็นไรนะ”
“ครับ
มาช่วยได้ทันเวลาพอดีเลย”
กวินทร์ตอบไปอย่างสุภาพ
จากนั้นฟูก็พูดบ่นโดยที่ยังเหวี่ยงค้อนปัดฉลามอยู่
“พลังที่ได้มาใหม่มันก็สุดยอดอยู่หรอก
แต่ว่านะ...”
จำนวนของฉลามเพิ่มมากขึ้นทำให้ฟูต้องหยุดพูดกะทันหันแล้วทุ่มสมาธิกับการป้องกัน
มิ่งขวัญเลยพูดต่อให้
“อืม
ถ้าประตูยังไม่ปิดแบบนี้กำจัดเท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก”
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่มิ่งขวัญกังวลอยู่เหมือนกัน
พวกเขาสู้ต่อเนื่องมาได้ซักพักแล้วแต่จำนวนของสัตว์เทวะกลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย
แล้วตอนนั้นเอง...
เสียงปืนดังขึ้น
ไม่ใช่แค่นัดหรือสองนัด
แต่ดังรัวหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แถมยังดังกระหึ่มราวกับขนปืนใหญ่มาเป็นกองทัพ
มิ่งขวัญและอีกสามคนมองไปทางนั้น
สัตว์เทวะเต่ายักษ์หยุดโจมตีพวกเขาเพราะมันกำลังถูกปืนของมิกซ์ไล่ต้อน
มิกซ์ที่ไฮพีเรียลไรซ์แล้วสามารถโผบินกลางอากาศได้อย่างอิสระด้วยปีกที่เหมือนกับเศษโลหะแต่กลับบินได้สูงเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ความเร็วจะไม่หวือหวาแต่ความสูงเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุด
มิกซ์บินขึ้นไปจนแทบจะสัมผัสกับท้องฟ้าที่เป็นทะเลข้อมูล
แล้วกราดยิงด้วยปืนคู่ในมือกับปืนเรลกัน
(ปืนแม่เหล็กไฟฟ้า)
อีกสองกระบอกที่ห้อยมาจากปีกที่หลังทำการยิงต่อเนื่องไม่ให้สัตว์เทวะได้หยุดพัก
แต่ตัวการที่ทำเสียงระเบิดดังกระหึ่มเหมือนปืนใหญ่กลับไม่ใช่มิกซ์
แต่เป็นเมษา
เมษาได้สนับมือปืนกลมาคู่หนึ่งกับตู้คอนเทนเนอร์สีขาวใบใหญ่ที่มีสายไฟต่อระโยงรยางค์ไปที่แบ็กแพ็คบนหลัง
กำลังรัวสนับปืนกลยิงใส่สัตว์เทวะ จากข้างล่าง
ในที่สุดพลังชีวิตของสัตว์เทวะก็ลดลงหมด
โดยที่มีกระสุนฝังเจาะจนร่างแทบจะพรุนเป็นรังผึ้ง ร่างของมันจึงสลายไป
มิกซ์บินลงมาทางนี้
“นี่ดูนั่นสิ”
พร้อมกับชี้ไปยังทางที่ประตูมิติเปิดให้วัตว์เทวะผุดขึ้นมา
“นั่นมันอะไรน่ะ”
มิ่งขวัญพูดด้วยความตกใจ
“ฝั่งพี่นรินทร์คงหาทางอะไรได้แล้วล่ะมั้ง”
กวินทร์เดาเอา
ท่ามกลางความมืดมิดที่แผ่กว้างไพศาลอยู่บนพื้นมีจุดที่ส่องแสงสว่างอยู่สี่จุด
เหมือนกับว่ามีการระเบิดที่รุนแรงเกิดขึ้นตรงจุดพวกนั้น
“เฮ้ ดูสิความมืดมัน”
ฟูสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้เป็นคนแรก
จากนั้นคนอื่น ก็เริ่มเห็นว่าความมืดกำลังหดตัวลงไปหาจุดที่มีแสงสว่างส่องออกมา
“หายไปแล้ว”
พลอยพูด
ความมืดกำลังจะหายไปหมด
ไม่มีสัตว์เทวะผุดขึ้นมาจากที่นั่นอีกต่อไป
“สำเร็จแล้วสินะครับ
ทีนี้ก็ไม่มีสัตว์เทวะออกมาเพิ่มอีกแล้ว”
กวินทร์พูด
“ดีล่ะงั้นที่เหลือก็แค่เก็บกวาดเจ้าพวกนี้”
มิ่งขวัญยิ้มออกพลางกระชับดาบในมือแล้วหันไปเตรียมจะออกตัวไปจัดการสัตว์เทวะที่เหลืออยู่
“ฉันจัดการเอง”
แต่เมษาที่ไม่รู้ว่ามาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ออกมาขวางไม่ให้มิ่งขวัญออกไป
กวินทร์ถาม
“พี่เมษาคนเดียวเลยเหรอครับ”
“เออ
ฉันเองนี่แหละพวกนายหลบไปก่อนเดี๋ยวโดนลูกหลงเอา”
ถึงพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมหลบให้เมษาได้ทำตามที่ต้องการ
ซึ่งที่จริงแล้วเพราะอุปกรณ์ของเมษาที่ใหญ่เทอะทะมันเกะกะจนขวางทางไปหมดนั่นเอง
เมษาพูด
”โดโรธีเมื่อกี้บอกว่าสกิลอันติมันกลายเป็นโซเดียอิมแพคแล้วใช่มะแล้วยังไงต่อ”
‘เล็งโซเดียลิเบอเรเตอร์แทงค์บนหลังของเจ้าไปที่เป้าหมายแล้วพูดว่าโซเดียอิมแพคลิเบอเรชั่นบลาส’
เสียงของโดโกบาร์ดังออกมาจากหูฟังไร้สายที่ได้มาจากการไฮพีเรียลไรซ์เหมือนกัน
“ไม่ต้องใช้ยูนิท
ไม่ต้องมีเงื่อนไขร่ายเพิ่มด้วยสินะ โอเค”
เมษากางขาออกเต็มที่แล้วหันลำตัวไปทางที่พวกสัตว์เทวะกระจุกตัวกันอยู่
เพราะตลอดเวลาที่สู้อยู่ที่นี่พวกเขาต้อนพวกมันให้ไปรวมกันจะได้ไม่มีตัวไหนหลุดรอดไปได้
“โซเดียอิมแพค
ลิเบอเรชั่นบลาส!!”
เมษาตะโกน
แผงตู้คอนเทนเนอร์ที่ลอยตัวอยู่ด้านหลังเมษาก็ทยอยเปิดฝาพับที่ปิดออก
ภายในนั้นเป็นปากกระบอกปืนใหญ่จำนวนมากบรรจุอยู่หลายกระบอก
หนึ่งในนั้นเริ่มส่งเสียงกัมปนาทแล้วพ่นไฟออกมา
จากนั้นกระบอกอื่นๆ
ก็เริ่มยิงบ้าง โดยที่มีทั้ง หัวรบมิสไซล์ ลำแสง กระสุนไฟ
ไม่ซ้ำกันเลยซักแบบถูกยิงออกมาจากคอนเทนเนอร์
ทั้งหมดพุ่งออกไปเป็นเส้นตรงมุ่งไปหาสัตว์เทวะแล้วแตกกระจายออกหรือไม่ก็เบี่ยงวิถีไล่ตามตัวที่หนี
เสียงระเบิดกัมปนาทดังอย่างต่อเนื่อง
แถบพลังชีวิตที่เห็นเป็นเส้นสีแดงลอยอยู่เหนือหัวพวกมันหดหายวับไปราวกับเล่นกล
กวินทร์มองภาพเช่นนั้นแล้วก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายๆ
กันขึ้นมา
ครั้งหนึ่งที่มนุษย์อย่างพวกเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับพวกสัตว์เทวะนั่น
ตอนที่อิงศรขึ้นบังคับเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก
พลังของดีเซมแมร์ทำให้องค์กรรแสนยิ่งใหญ่อย่างเมตไตรยกลายเป็นแค่รังปลวกแล้วพวกเขาก็ถูกฆ่าตายอย่างง่ายๆ
ไม่ต่างกับมดปลวกเลยทีเดียว
แล้วตอนนี้พลังอันยิ่งใหญ่แบบตอนนั้นก็มาอยู่ในมือของพวกเขาแทน
ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงปืนก็สงบลง
คอนเทนเนอร์ของเมษาหยุดยิงแล้วฝาพับก็ปิดตัวลง
พวกสัตว์เทวะที่เคยอยู่กันมืดฟ้ามัวดินพากันอันตรธานหายไปหมด
“สุดยอด”
มิ่งขวัญพูด
“แจ๋วไปเลยครับพี่เมษา!!”
กวินทร์ออกปากชมอย่างอดเสียมิได้
แต่ท่วา...
แม้จำนวนจะลดลงไปมากแต่ก็ยังมีสัตว์เทวะที่เหลือรอดอยู่บ้างเหมือนกัน
ฟูพูด
“แต่กลายเป็นว่ามีพวกมันที่รอดกระจัดกระจายกันไปคนละทิศหมดเลยนะแบบนี้ก็ต้องลำบากตามไปเก็บอีกสิ”
“กึ๋ย”
เมษาสะดุ้งตัวลอยไปกับคำพูดแทงใจดำนั่น
แต่กวินทร์ก็รีบออกตัวเสนอให้ทุกคนรีบไปจัดการ
“งั้นรีบตามไปจัดการเหอะครับ”
“เดี๋ยวก่อนสิ
นี่พวกมันหนีไปทางพี่ศรอยู่ไม่ใช่เหรอ”
พลอยพูด
มิ่งขวัญหันไปมองทางนั้น
สัตว์เทวะที่คิดว่าจะกระจัดกระจายกันไปคนละทางกลับกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน
พวกมันคิดจะไปรวมตัวกันที่นั่น
ที่ๆ
อิงศรกับเมอร์คาบาห์กำลังต่อสู้กันอยู่
“ศร!”
ความคิดเห็น