คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #161 : Logout 158: The Coffee Break
Logout 158:
The Coffee Break
มันเป็นเรื่องเมื่อเนิ่นนานมากแล้ว
นานเสียจนเคยลืมไปหนหนึ่ง
แต่แล้วก็จำมันขึ้นมาได้
ความทรงจำตอนที่ยังอยู่บนอีเด็นกับไฮโดรเจน
สถานที่คือบนเนินทุ่งหญ้าเขียวขจีซึ่งได้รับการบอกเล่ามาว่าครั้งหนึ่งบนที่แห่งนี้ซึ่งเขาเหยียบยืนอยู่เคยมีมนุษย์ต่างดาวตนแรกอดาเมียมยืนเคียงข้างเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ออร์ฟิอูคูมันนาร์
“เหมือนกับอดาเมียมงั้นเหรอฉันเนี่ยนะ”
ซีเซียมชี้มาที่ตัวเองขณะที่พูด
เขาทำหน้าตกใจเล็กน้อย
เสื้อผ้าที่สวมตอนอยู่บนสวนแห่งนี้ก็เหมือนเครื่องแต่งกายตามปกติ
ชุดไปรเวศ เสื้อยืดคอกลมสีฟ้ากับกางเกงยีนส์
แล้วตอนนี้ออร์ฟิอูคูมันนาร์หรือไฮโดรเจนผู้ดำรงตำแหน่งราชครูลำดับที่หนึ่งก็ยืนอยู่เคียงข้าง
พวกเขาหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ยามรุ่งสาง
“ใช่แล้วล่ะ
เธอคล้ายกับเขามากจนผมเองยังตกใจเลย”
ไฮโดรเจนตอบคำถามเมื่อครู่ให้
พวกเรากำลังคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ
ของไฮโดรเจน
เรื่องก่อนที่จะกลายเป็นผู้ดูแลพวกเราเหล่าบุตรแห่งแสงผู้ถือกำเนิดขึ้นโดยแอดมินิสเทรเตอร์โซลาริส
แม้แสงแดดตกกระทบลงบนร่างก็ไม่เกิดเงาขึ้นบนสวนแห่งนี้
ที่จริงเพิ่งจะรู้จักเงาก็ตอนที่ลงไปยังสวนแห่งที่สองในช่วงเวลาหลังจากนี้ไปอีกนานแสนนาน
“แค่หน้าคล้ายงั้นเหรอ
ถ้างั้นให้ฉันเป็นอดาเมียมก็คงได้สิ”
“แต่มันจะดีเหรอเธอคงไม่ชอบใจหรอกมั้งถ้าจะโดนทำเหมือนเป็นคนอื่นน่ะ”
“ก็ไม่ได้จะเป็นแทนซักหน่อยแค่จะทำแทนในส่วนของเขา
จะเป็นเพื่อนให้ไฮโดรเจนไง”
พอพูดออกไปแบบนั้นไฮโดรเจนก็ทำหน้าตกใจแล้วพูดว่า
“เธอนี่นะ
กับราชครูลำดับสูงกว่ายังกล้าพูดว่าจะเป็นเพื่อนอีก เหมือนกันกระทั่งตรงนี้เลยนะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยก็ไฮโดรเจนใจดีออก
รู้สึกเหมือนได้พี่ชายเลยล่ะ”
“พี่ชายเหรอ…นี่ๆ
ผมเป็นครูของเธอนะเป็นคนที่สอนเรื่องต่างๆ ให้ระดับต้องสูงกว่าพี่ชายสิ”
“อะไรเล่าแบบนั้นมันห่างเหินออกจะตายเป็นพี่ก็สอนน้องได้เหมือนกันแหละน่าฉันยังสอนแบเรียมอยู่บ่อยๆ
เลย”
ซีเซียมพูดแล้วเชิดหน้าพร้อมกับกอดอกไปด้วย
ท่าทางแบบนั้นทำให้ไฮโดรเจนกลั้นขำ
“ขอบใจนะแต่ว่าคงให้เป็นแทนไม่ได้หรอก”
ซีเซียมหันควับกลับมาทันทีแถมมีสีหน้าเป็นกังวล
“ทำไมล่ะ”
“…”
“เอ่อ
ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
เหมือนไฮโดรเจนจะชั่งใจอยู่พักหนึ่งแล้วก็คงคิดว่าควรจะต้องพูด
เพราะไม่อย่างนั้นอาจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก
ความผิดพลาดซึ่งอดาเมียมเคยทำไว้ในอดีต
ไฮโดรเจนพูด
“ผมไม่อยากจะสูญเสียความถูกต้องของตัวเองไปอีกแล้วน่ะ”
“…”
ซีเซียมทำหน้าไม่เข้าใจ
ไฮโดรเจนจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งยังคงเป็นรุ่งสาง
“ผมเคยคิดว่าที่อดัมทำลงไปมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดผมซึ่งเป็นเครื่องมือเพื่อรักษากฎระเบียบแต่กลับนึกสงสัยในกฎระเบียบนั้นถึงได้ถูกโยกย้ายออกมาต้องขอบคุณท่านลูนาริสที่ยอมให้ผมได้มีโอกาสแก้ตัวดังนั้นไม่อยากให้ต้องผิดหวังน่ะ”
“งั้นตอนนี้นายก็เกลียดอดาเมียมอย่างนั้นเหรอ”
“…”
“ไม่รู้สิ
แต่ว่าจนถึงตอนนี้ผมก็ยังมีสัญญาที่ต้องรักษา บางทีนะซีเซียม”
แล้วหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“ทำไมเหรอ”
“การที่เธอได้เกิดมาก็หมายความว่ามีมนุษย์ที่เหมือนกับอดัมถือกำเนิดขึ้นมาบนสวนข้างล่างนั่นด้วยบางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าเวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้วก็ได้
ผมจะต้องปกป้องลูกหลานของเขา”
นั่นเป็นคำบอกลาล่วงหน้า
อีกไม่นานไฮโดรเจนก็จะต้องจากที่แห่งนี้ไปเมื่อการสั่งสอนจบบริบูรณ์แล้วพวกเขาเหล่าบุตรแห่งแสงก็จะกลายเป็นผู้รับใช้ของแอดมินิสเทรเตอร์
ส่วนไฮโดรเจนก็จะลงไปเฝ้าจบตามองมนุษย์
พอคิดแบบนั้นก็ทำให้รู้สึกใจหายขึ้นมา
ซีเซียมพยายามสลัดความคิดนั่นทิ้งแล้วพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“ถ้างั้นเมื่อถึงตอนนั้นก็ขอให้ฉันได้ช่วยนายด้วยเถอะ”
เพราะแบบนั้นในหัวถึงได้มีแต่เรื่องของเฟือง
เรื่องของอิงศรที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง
เพราะว่าสัญญากับไฮโดรเจนเอาไว้แล้วแต่ว่า…
บนเกาะซึ่งเป็นจุดนัดพบกับแฟรนเซียม
เขาได้ใช้สกิล ‘ฮีโร่เวิร์ส’ สร้างพื้นที่พิเศษขึ้นมา
บ้านจำลองสูงแค่เอวและอาคารจำลองสูงเสมอไหล่พากันผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินสร้างเมืองซึ่งเป้นเวทีให้พวกเขาได้เฉิดฉาย
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
แฟรนเซียมถามหลังจากโดนจ่อปืนใส่หน้า
“ยังจะมาตีหน้าเซ่ออยู่อีกนะไอ้คนทรยศ”
เขาตอบแล้วลั่นไกปืนแต่แฟรนเซียมโยกตัวหลบได้ทันแล้วกระโดดถอยไปตั้งหลักห่างออกไปสามเมตร
“พูดเรื่องอะไรน่ะ“
ซีเซียมถามกลับมา อีกฝ่ายชักดาบออกมาแล้ว
เป็นดาบโลหะที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นปีศาจไม่ใช่อสุรากลิ่นอายมันฟ้องมาแบบนั้น ส่วนรูบิเดียมยังดูเชิงอยู่คงยังไม่หายช็อก
“ไม่ต้องมาโกหกแฟรนเซียม
เพราะโดนแกล้างสมองนั่นแหละความทรงจำของฉันถึงได้กระจัดกระจายไปหมด”
“งั้นแกจำอะไรได้กันล่ะ”
สิ่งที่จำได้อย่างนั้นน่ะเหรอ
นั่นสิจู่ๆ ก็จำขึ้นมาได้ทั้งหมดเลย
พอได้อ่านเมล์ที่ส่งมาหลังจากที่หนีออกมาจากรังของอารย-สนธยา
เมล์ของไฮโดรเจนที่บอกเล่าความจริงเกี่ยวกับแฟรนเซียมทั้งหมดแล้วเขากับพวกพ้องตรงนี้ก็เพิ่งจะไปพบกับความจริงจึงรีบบึ่งมาที่นี่ทันที
“แกคิดจะหักหลังไฮโดรเจนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
“ไปโดนใครทำอะไรมารึเปล่าซีเซียม
จำไม่ได้รึไงว่าไฮโดรเจนเป็นคนยกให้ฉันจัดการ…”
“ไฮโดรเจนบอกฉันหมดแล้วทางเมล์นี่ไงล่ะเรื่องที่แกกำลังคิดจะทำน่ะ”
ซีเซียมเปิดเมล์ที่ว่าให้ดู
เมล์ซึ่งบอกเล่าว่าแฟรนเซียมเป็นใครและกำลังจะทำอะไร
แฟรนเซียมที่เห็นเมล์เข้าก็เดาะลิ้นแล้วหันไปทางลิเธียมกับโซเดียมทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง
“เชื่อจริงๆ
เหรอว่านั่นคือเมล์จากไฮโดรเจนที่หายสาบสูญไปแล้วน่ะ”
“ก็ได้ไปเห็นมาแล้วไงล่ะทั้งเมอร์คาบาห์ทั้งเฟืองที่อยู่กับเจ้าพวกนั้นที่แกใช้อีกโฉมหน้ารวบรวมเอาไว้แล้วก็เครื่องทำสวนที่อยู่ใต้ดินของเมตไตรยนั่นด้วย”
แม้จะได้ยินที่เขาพูดแล้วแต่แฟรนเซียมก็ยังรักษาสีหน้าอันเรียบนิ่งเอาไว้
“งั้นก็จะบอกว่าจำได้ทั้งหมดแล้วจริงๆ
สินะพวกแกน่ะ”
“เออสิ
เพราะงั้นถึงมาฆ่าแกไง”
ตอนนั้นเองลิเธียมก็เดินอ้อมขึ้นมาแล้วพยายามกล่อมอีกฝ่าย
“ท่านลำดับที่หนึ่งถึงจะมีพลังมากแค่ไหนแต่ถ้าพวกเราทั้งหมดรู้เรื่องนี้ก็จะต้องต่อต้านอย่างแน่นอนถึงตอนนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็สูญเปล่าแล้วรีบยอมจำนนเถอะครับ”
โซเดียมเองก็ทำแบบเดียวกัน
“ช…ใช่แล้วค่ะอย่าให้มีการสูญเสียกันไปมากกว่านี้เลย”
แต่แฟรนเซียมหัวเราะให้กับความพยายามของทั้งคู่
ซีเซียมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันเสียเปล่าอีกฝ่ายทำเรื่องไปตั้งขนาดนี้แล้วคงจะยอมรามือง่ายๆ
หรอก แต่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีไฮโดรเจนที่อยู่กับรากเหง้าของตัวเองคอยจัดการอยู่ดีถึงตอนนั้นเหล่าบุตรแห่งแสงทั้งหมดก็จะกลายเป็นศัตรูกับแฟรนเซียม
ดังนั้นถ้าพวกเขาสามารถจัดการกับแฟรนเซียมลงที่นี่ได้ก่อนก็จะรักษากำลังส่วนมากเอาไว้ได้เพื่อให้สามารถสนับสนุนไฮโดรเจนได้นี่ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
แฟรนเซียมพูด
“แล้วไง”
“หือ?”
“แล้วจากนั้นล่ะ
ฆ่าฉันไปแล้วพวกแกจะทำอย่างไงต่อคงรู้สินะถ้าฉันถามแบบนี้คำตอบก็คือฉันจะไม่ยอมจำนนน่ะ”
เมื่อแฟรนเซียมพูดรูบิเดียมก็เอาผลึกคริสตัลออกมาแล้วเดินไปสมทบกับแฟรนเซียม
อีกฝ่ายตั้งใจจะสู้ตายอย่างนั้นสินะ
“ก็เอาสิไว้ฆ่าแกได้ฉันจะไปช่วยไฮโดรเจนร่วมมือกันปกป้องมนุษย์
ปกป้องลูกลานของอดาเมียม”
“งั้นเรอะ....หึ
ฮะฮะฮะ”
แฟรนเซียมลั่นเสียงหัวเราะทั้งที่สีหน้าตายด้าน
“มีอะไรน่าขำกัน”
“จำได้ทั้งหมดอะไรกันนี่แกคิดว่านั่นเป็นความทรงจำจริงๆ
ของแกงั้นเรอะไม่มีอะไรจะตลกไปกว่านี้แล้ว”
“หา?”
“จะบอกอะไรดีๆ ให้ก็ได้ฉันกับรูบิเดียมที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนน่ะนะ…”
“ไอ้เรื่องนั้นน่ะรู้อยู่แล้วเพราะงั้นถึงได้มาฆ่าคนทรยศอย่างแกไง”
แต่แฟรนเซียมกลับพูดมาว่า
“ใช่
งั้นรู้ด้วยรึเปล่าล่ะว่าพวกฉันนี่แหละที่สร้างพวกแกขึ้นมา”
“หา? อย่ามาพูดเพ้อเจ้อน่าผู้สร้างพวกเราน่ะคือ…”
“ไม่ใช่โซลาริสอยู่แล้วพวกแกคนก่อนๆ
น่ะตายไปหมดแล้วถูกเทวทูตฆ่าตายหมดยังไงล่ะ”
แวบหนึ่งที่สีหน้าของซีเซียมและพวกพ้องข้างหลังแสดงความตกใจขึ้นมาพร้อมกัน
“อึก ว่าไงนะ”
แน่นอนว่านี่ต้องเป็นเรื่องแต่งอยู่แล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้อีกฝ่ายกำลังเข้าตาจนถึงได้สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำให้พวกหวั่นไหว
เรื่องแต่งของแฟรนเซียมยังคงดำเนินต่อไป
“ยังไม่เข้าใจอีกรึไงเห็นกรณีของโซเดียมพวกแกก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่
ทำไมโซเดียมคนใหม่ถึงได้มีหน้าตาเหมือนกับคนก่อนพวกแกไม่เคยสงสัยเรื่องพวกนั้นเลยนี่
แล้วตอนนอนไปทำอะไรบ้างพอหลับแล้วถูกทำอะไรบ้าง”
แต่น่าแปลก ทั้งที่เป็นคำถามพื้นๆ
ผสมมาเพื่อให้เรื่องแต่งดูน่าเชื่อถือแต่มันกลับ
“…”
พวกเขากลับตอบไม่ได้เลยซักอย่างทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องที่ตอบได้แท้ๆ
แต่กลับนึกเรื่องพวกนั้นไม่ออกเลยแถมยังไม่เคยสงสัยเลยด้วย
แล้วแฟรนเซียมก็เฉลยคำตอบนั้นให้ฟัง
“คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียวพวกแกที่อยู่ในปัจจุบันนี้ทั้งหมดเป็นแค่แอคทิไนด์เหมือนกับพวกชั้นศิษย์ยังไงล่ะถูกควบคุมความทรงจำอย่างสมบูรณ์ตอนที่นอนหลับก็จะปรับปรุงความทรงจำใหม่อยู่เสมอเพราะว่าฉันกับรูบิเดียมสร้างพวกแกขึ้นมาให้เป็นแบบนั้น”
“บ้าน่า!
เรื่องแบบนั้นมันไม่น่าจะเป็น…”
แต่ตอนนี้ภายในสมองเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้นั่นขึ้นมาบ้างแล้ว
ทำไมถึงเริ่มเอะใจเรื่องโซเดียมตอนที่มันพูดขึ้นมา
ทำไมถึงนึกเรื่องตอนที่นอนอยู่ทุกวันไม่ออก
จู่ๆ
ก็เริ่มปวดหัวขึ้นมา ซีเซียมกุมขมับตัวเองพลางจิกปาก
ความทรงจำในหัวเริ่มจะสับสนแล้วก็ไม่ใช่แค่เขา
กระทั่งลิเธียม
โซเดียม แบเรียม รีเนียม ออสเมียม ทุกคนต่างก็พากันกุมขมับ
“เป็นไปได้อยู่แล้วเพราะคนที่ขอร้องให้ทำแบบนี้ก็คือเจ้านั่นเจ้าไฮโดรเจนที่แกรักนักหนานั่นไงล่ะมันเสียใจที่ปกป้องพวกแกไม่ได้เพราะงั้นถึงได้ขอให้ฉันช่วย
เพราะมันเข้าใจว่าฉันคือคนที่ได้รับเลือกต้องขอบใจพวกแกที่ช่วยเป็นเหตุผลให้หมอนั่นมาติดต่อกับฉันล่ะนะเพราะแบบนั้นถึงได้มีพลังพอจะทำลายพวกเทวทูตนั่นแถมยังได้หนทางแก้ไขความเน่าเฟะของโลกใบนี้มาด้วย”
ซีเซียมพยายามจะแย้ง
“เรื่องเพ้อเจ้อพรรค์นั้น…”
แต่ก็ชะงักคำพูดตัวเองไปเพราะไม่รู้จะแย้งกลับไปตรงไหนดี
“น่าเสียดายนะถ้าแกทำเป็นไม่รู้ต่อไปแล้วทำตามฉันเหมือนเดิมก็ดีไปแล้วแท้ๆ
เพราะแบบนั้นฉันจะพาพวกแกไปดูโลกใหม่ที่จะสร้างขึ้นด้วยแต่ในเมื่อความแตกแล้วก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะจะปรับความทรงจำใหม่ก็คงไม่มีเวลาขนาดนั้นงั้นก็...รูบิเดียม!”
“เตรียมตัวเสร็จนานแล้วล่ะน่า”
ตอนนั้นเองที่พอรู้สึกตัวอีกทีบรรยากาศรอบๆ
ก็โดนถมไปด้วยยูนิทแสงจำนวนมหาศาลขนาดที่กลบท้องฟ้าของเมืองจำลองจากสกิลฮีโร่เวิร์สจนมิด
ตัวเมืองเองก็ถูกเคลือบไว้ด้วยผลึกใส
“ฟิลด์นี่มันไดม่อนรีม”
โซเดียมพูด
“ชิ”
ซีเซียมเดาะลิ้น ระหว่างที่พวกเขากำลังสับสนรูบิเดียมก็อาศัยจังหวะนั้นกางอาณาเขตของอาวุธออกมา
ดินแดนผลึกซึ่งเป็นเงื่อนไขสำหรับกลยุทธ์รุกด้วยสกิลท่าไม้ตายล้วนๆ ‘ฮาร์ดอัลติเมทแท็คติก’
ยูนิทแสงล่องลอยออกมาจากตัวหมากรุกราชินีที่รูบิเดียมสร้างขึ้นด้วยผลึกคริสตัลอันเป็นอาวุธติดตั้งอสุรา
‘คริสตัลเอ็กซีดฮาร์วาทาท’
ก่อนที่รูบิเดียมจะเริ่มเปิดฉากยิงถล่มด้วยท่าไม้ตายนั่นเอง
“มองเห็นช่องว่างแล้ว”
ซีเซียมกล่าวแบบนั้นแล้วลั่นไกปืนยิงโดยไม่ดูทิศทาง
ปากกระบอกหันไปคนละทางกับจุดที่หล่อนยืนแต่ว่าลูกกระสุนเข้าเป้า
“กรี้ด!!”
รูบิเดียมกรีดร้องลูกกระสุนเข้าโจมตีจุดตายแล้วตัวลอยกระเด็นไปกระแทกบ้านเรือนจำลองจนพังพินาศแบบที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะนั่นคือสกิลของฮีโร่
สกิลที่มีไว้เพื่อวีระบุรุษให้มาปราบเหล่าอธรรม
“เชอะ เรื่องความจริงของพวกฉันจะเป็นยังไงก็ช่างแต่ต้องหยุดแกรู้แค่นั้นก็เกินพอแล้ว”
ซีเซียมพูด
คำประกาศของเขาดึงให้สติของทุกคนกลับคืนมาจากนั้นก็ชักอาวุธเตรียมพร้อมสู้รบเต็มอัตรา
“ชิ”
แฟรนเซียมทำเสียงจิกจักในปาก
มองเห็นใบหน้าอันเรียบเฉยนั่นเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง
แค่แวบเดียวเท่านั้นที่อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์
บางทีเรื่องที่ดูเหมือนความจริงพวกนั้นอาจจะแค่แต่งขึ้นมาหลอกเฉยๆ ก็ได้
อย่างไรก็ตาม...
“พวกผู้ร้ายอย่างแกมิตรแห่งความเที่ยงธรรมจะกำจัดให้เอง”
แล้วเขากับพวกพ้องก็เฮโลกันเข้าไปรุมแฟรนเซียม
ศึกนี้ถูกชี้ขาดเป็นที่เรียบร้อย
@
@
@
“ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละมนุษย์ต่างดาวตัวจริงตายไปหมดแล้วพวกผมก็แค่ก็อปปี้เท่านั้น”
โพแทสเซียมเล่าเรื่องน่าตกใจออกมาได้หน้าตาเฉยชาเป็นอย่างมาก
ทั้งที่เพิ่งจะบอกว่าตัวเองเป็นเพียงของที่โดนสิงห์สร้างขึ้นมาเป็นหมากเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้ง
แต่หมอนี่ก็ไม่ได้ทำหน้ายิ้มแย้มตอนที่พูดเลยแถมไม่ได้หัวเราะกลั้วไปด้วยจะบอกว่านั่นคือท่าทีของคนที่แสร้งทำเป็นไม่เศร้ากับความเป็นจริงหรือแค่ทำเป็นว่าเป็นเรื่องไกลตัวไปก็เท่านั้นกันดีล่ะ
“…”
อิงศรคิดว่า ‘เสียเวลาเปล่า’ ยังไงเขาก็ไม่มีทางเข้าใจหมอนี่ได้หรอก
จึงหันไปพูดกับซีลอร์ด
“ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
ซีลอร์ดตอบมาว่า
“ก็หลายอย่างนะเรื่องนี้ถ้าเล่าแล้วมันยาวไว้ขึ้นเครื่องแล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
“ขอสรุปย่อก่อนได้ไหมนายพูดว่าเรื่องมันยาวทีไรล่ะฉันกลัวฟังไม่รู้เรื่องทุกทีจะได้ไปหาข้อมูลศาสนาหรืออะไรมาเพิ่มก่อนไม่งั้นฟังนายพูดไปได้งงแน่”
“ถ้าจะเอาอย่างนั้นล่ะก็ผมจะช่วยเล็คเชอร์ให้เธอกับทุกคนบนเครื่องน่าจะดีกว่านะเพราะฟังแล้วคงหลับสนิทแน่แบบนั้นจะได้พักด้วยไงล่ะพวกเธอน่ะยังไม่ได้นอนกันเลยไม่ใช่เหรอ”
ซีลอร์ดพูดแล้วชี้ไปที่พวกพ้องที่อยู่ข้างหลังซึ่งแต่ละคนก็เริ่มจะสะลึมสะลือกันบ้างแล้ว
“ถ้าได้กาแฟซักถ้วยก็คงดี”
เขาลองพึมพำสิ่งที่ตัวเองปรารถนาในตอนนี้ออกมาดูขณะที่มองพวกพ้องเหล่านั้น
ในกลุ่มนั้นเองมิ่งขวัญเป็นคนเดียวที่ทำหน้าหงุดหงิดแล้วก็พยายามจับคอเสื้อเกราะขยับไปมาตั้งแต่เมื่อกี้
กวินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
เห็นเข้าก็ยื่นมือไปปลดสายรัดชุดเกราะที่อยู่ด้านหลังผ่อนมันให้หลวมลงเล็กน้อย
“มันรัดแน่นไปสินะ”
กวินทร์พูด
จากนั้นมิ่งขวัญก็ขอบคุณกลับ
“ขอบใจ”
คำพูดนั้นเรียกสายตาของพวกพ้องคนอื่นมา
“…”
มิ่งขวัญเลิกคิ้วสูงเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์
กวินทร์จ้องมิ่งขวัญอยู่แล้วก็ยิ้ม
“ได้รับคำขอบคุณจากขวัญด้วยแหะ”
มิ่งขวัญหน้าแดงขึ้นแล้วถามตะคอกเสียงเล็กน้อย
แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา
“ท...ทำไมเล่า”
แต่ฟูก็พูดขัด
“เหวยๆ เจ้าขวัญปากหนักขอบใจคนอื่นเป็นด้วย”
แล้วมิกซ์ก็ฟาดหลังมือแปะลงไปที่หัวของฟูเบาๆ
พลางต่อว่า
“ฟูนายน่ะไม่ต้องไปว่าเขาเลย”
จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะเลยกลายเป็นฟูที่หน้าแดงเพราะถูกล้อไปแทน
ช่วงที่หันไปสังเกตทุกคนนั้นแค่ไม่กี่วินาทีอิงศรก็หันเหสายตากลับไปที่ซีลอร์ด
เขาแอบอมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่มิ่งขวัญพูดกับกวินทร์หลังจากนั้น
“ก็ก่อนหน้านี้ได้นายช่วยเอาไว้...เพราะนายบอกให้สู้ไปด้วยกันไม่ต้องแบกรับไว้คนเดียวเพราะแบบนั้นตอนนี้ถึงได้กลับมาอยู่กับทุกคนอีกครั้งน่ะ”
น้องชายคนนั้นเติบโตขึ้นมานิดหน่อยตอนนี้รู้จักเข้าหาคนอื่นแล้วทั้งที่คิดว่าพอกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วจะทำให้ยิ่งเก็บตัวหนักกว่าเก่า
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินซีลอร์ดพึมพำว่า
“คาอินกับอาเบลสนิทกันแล้วสินะ”
ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ดูเหมือนซีลอร์ดจะไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเขาจ้องอยู่
จากนั้นโพแทสเซียมก็ปรบมือเสียงดังแล้วพูดเรียกความสนใจ
“ถ้าอย่างนั้นทุกท่านพร้อมจะออกเดินทางรึยังล่ะ”
อิงศรจ้องเขม็งไปที่มนุษย์ต่างดาวแล้วคิดว่า
‘ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี’
“กวินทร์นายขับเฮลิคอปเตอร์เป็นรึเปล่า”
เขาลองถามลอยๆ
โดยที่ไม่หันหน้าไป ซึ่งกวินทร์คงจะไม่รู้ว่าเขาถามจริงจังถึงได้ตอบกลับมาแบบทีเล่นทีจริง
“แหม พี่ศรครับสี่ปีก่อนผมยังแค่สิบเอ็ดขวบเองคงไม่มีใครสอนให้เด็กขับเฮลิคอปเตอร์หรอกครับ”
แต่สิบเอ็ดขวบก็ไม่มีเด็กที่ไหนขับรถเป็นเหมือนกันนั่นแหละน่า
โพแทสเซียมที่ยืนฟังอยู่ก็พยักหน้าเอาเหมือนเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“สบายใจได้น่าซุงอิงตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้วน้า~~”
ได้ยินแบบนั้นเข้าอิงศรก็ถอนหายใจแล้วหันหลังกลับไปหาพวกพ้อง
“ช่วยฟังหน่อยนะ จากนี้ไปฉันจะไปช่วยมีนาพวกพ้องคนสำคัญออกมากวินทร์กับเมษายังไงก็คงจะติดตามไปด้วยอยู่แล้วแต่ว่าขวัญแล้วก็พวกนาย”
เขาหยุดโดยจ้องมองไปที่กลุ่มของพวกเด็กกำพร้าแล้วค่อยพูดต่อ
“ที่ๆ พวกฉันจะไปคือสนามรบที่กองทัพของมนุษย์กับเอเลี่ยนกำลังทำสงครามกันมันเป็นที่อันตรายมากแล้วฉันก็รับประกันชีวิตให้ไม่ได้เพราะงั้นถ้าไม่อยากไปด้วยก็...”
แต่นรินทร์ก็พูดขัด
“นี่ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของทีมอิงศรแล้วเหรอ”
“แต่ว่ามีนาน่ะเป็นธุวดารกะนะแล้วนาย...”
นรินทร์ซึ่งมีปมในอดีตกับครอบครัวทางฝั่งของกวินทร์รวมถึงพวกธุวดารกะด้วยแล้วจึงคิดว่าน่าจะตัดออกไปก่อนยังไงก็ไม่อยากให้ฝืนใจเกินไปแต่หมอนั่นกลับพูดว่า
“ไม่เกี่ยวกับมีนาแล้วก็ไม่เกี่ยวกับทุกคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยอดีตของผมน่ะมันจบไปแล้วจากนี้ไปผมจะก้าวเดินไปในทางที่ถูกต้องแล้วเส้นทางนั้นก็คือการไปช่วยพวกพ้อง
อิงศรเป็นคนบอกผมเองนะว่าให้มีชีวิตอยู่เพื่อนายถ้างั้นผมจะตามไปก็คงไม่ขัดนะ”
จากนั้นมิกซ์ก็เป็นตัวแทนให้พวกเด็กกำพร้าก็พูดมาว่า
“พวกเราน่ะเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นพวกพ้องกันใช่ไหมล่ะครับถ้างั้นพวกพ้องของพี่ศรก็คือพวกพ้องของเราด้วยเหมือนกัน”
ตามด้วยมิ่งขวัญ
“บอกตามตรงตอนนี้งงไปหมดแล้วล่ะว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูกันแน่แต่ถ้าศรคิดว่าดีขวัญก้จะตามไปด้วยไปในทางที่ถูกต้องใช่มะ”
น้องชายพูดจบก็ยิ้มแฉ่งเหมือนสมัยเด็กๆ
อิงศรเห็นแบบนั้นเข้าก็หัวเราะ
“นึกแล้วว่าต้องพูดแบบนั้นกัน งั้นถ้าช่วยมีนาได้โดยปลอดภัยกันทุกคนแล้วเราไปฉลองด้วยกาแฟให้สร่างง่วงกันดีไหม”
พอพูดไปแบบนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะกับมุกฝืดๆ
แค่นั้นก็ช่วยให้ตาสว่างกันขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้ว
ซีลอร์ดใช้แส้ใบมีดยกร่างของวิเชียรมาศที่ยังสลบอยู่ขึ้นจากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นเฮลิคอปเตอร์
พอขึ้นเครื่องกันหมดแล้วโพแทสเซียมที่อยู่ในห้องบังคับก็ส่งเสียงจากไมค์มาว่า
‘งั้นจะออกเดินทางแล้วทุกท่านโปรดรัดเข็มขัดให้แน่นด้วยนะคร้าบ~’
แล้วใบพัดเฮลิคอปเตอร์ก็เริ่มหมุนส่งเสียงดังพั่บๆ
ค่อยๆ
ลอยขึ้นจนพ้นเพดานของพระเจดีย์
มุ่งหน้าสู่สนามรบที่ซึ่งจะตัดสินชะตากรรม
สู่อนาคตที่มนุษย์จะได้มียุคสมัยเป็นของตัวเอง
เพียงแต่ว่า...
บททดสอบข้างหน้านั้นยากยิ่งกว่า
แม้เสียงระฆังแห่งความพินาศจะดังกึกก้อง
แม้สายลมแห่งยุคสมัยใหม่จะพัดผ่าน
สีขาวของนมและสีดำของเมล็ดกาแฟที่ผสมปนเปจนกลายเป็นรสชาติอันหอมหวานนั่น
…จะกลายเป็นเรื่องราวที่ขมขื่นซักเพียงใดกันนะ
โซลาริส
ลูนาริส
และ...
รสชาติของความหวังและความสิ้นหวังที่ผสมปนเปนั่นจะกลายเป็น
‘กาแฟ’
รสชาติของการเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่จะถูกทำลายล้าง
รสชาติที่กลั่นจากการดิ้นรนของ
มนุษย์ เอเลี่ยน ปีศาจ อสุรา และสัตว์เทวะ
***END PATCH***
Next to : Apocalypse
Online [ROOT BREAK]
***ก็จบกันไปแล้วสำหรับภาคสองครับ เลทไปวันหนึ่งอย่างที่คาดจริงๆ ต้องขออภัยด้วยครับแต่เอาล่ะเท่านี้ภาคหน้าก็จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว น่าเสียดายที่เป็นตอนจบภาคแท้ๆ แต่ดันนึกเรื่องจะพูดไม่ออกเลยคงเพราะงานท่วมหลังอยู่บาน(ฮา) งั้นขอประกาศวันลงภาคสามตอนแรกอย่างเป้นทางการเลยก็แล้วกันนะครับ วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม ครับและจะขอเปลี่ยนตารางการลงกลับไปเป็นแบบเดิมคือสลับอาทิตย์ จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ อังคาร พฤหัส นั่นเองครับแล้วพบกันใหม่เน่อ***
ความคิดเห็น