คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7 Holy Night คืนศักดิ์สิทธิ์
Chapter 7 Holy Night คืนศักดิ์สิทธิ์
ณ ตำหนักเทพเงา ภายในห้องโถงพิธีหลัก ซึ่งใช้สำหรับสักการะ องค์เทพเงา เซร่า
แต่ตอนนี้มิใช่เวลาของพิธีการแต่อย่างใด มอร์กาน่า คือค้างคาวนางเดียวีท่อยู่ในห้องตอนนี้
ที่จริงแล้วทั้งตำหนักก็แทบจะไม่มีใครเหลือเลย เพราะยกกันออกไปปฏิบัติภาระกิจ
ตามแผนการณ์ของ โลกิ
“ 3….2…..1 ” เสียงกระซิบอันแผ่วเบานั้น ลอดเข้ามาในหัวของนาง มันเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคย
มอการ์น่า ลุกขึ้นยีนแล้วกวาดสายตามองไปรอบห้อง เพื่อความหาตัวเจ้าของเสียง
ปุ้ง~~~~
ไอควันมากมายพวยพุ่งตลบอบอวลไปทั้งห้อง จนนางต้องยกมือขึ้นปิดจมูกไม่ให้สำลักควันเหล่านั้น
เมื่อควันจางไปหมดแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นในกองควันเหล่านั้น ได้สร้างความประหลาดใจ
ให้แก่นาง ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้วที่จะชอบสร้างความประหลาดใจ สำหรับ ชายผู้ยืนฉีกยิ้ม
อยู่บนกองร่างของเหล่าสมาชิกลัทธิเงา ที่นอนซ้อนพะเนินเป็นกองภูเขา พวกนี้คือกลุ่มที่
เขาได้ช่วยเอาไว้จากการร่วงหล่นลงไปในเหว ตอนที่สู้กับ เซเวอร์
“ คามิโอ!! ” มอการ์น่า เรียกด้วยน้ำเสียงอึกอึง นามของบุรุษอีกา ผู้ย่ำอยู่บนกองภูเขาลัทธิเงา
ร่างผอมโกร่ง นั้นกระโดดลงมาจากยอด แล้วเดินเข้ามาพูดกับนางด้วยเสียงชื่นมื่น
“ คร้าบ~ คร้าบ~ คามิโอ ขนส่งรวดเร็วทันใจมาส่งพัสดุแล้วขอร้าบ~~ สมาชิกลัทธิเงาทั้ง30 ตัว
กรุณาเซ็นรับด้วยนะคร้าบบบบ~~~~ ว่าไปนั่น ก๊าก ฮ่าๆๆๆ ”
บุรุษอีกา ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ห้องโถงทว่า มอการ์น่า ไม่เล่นด้วยจากบรรดาสมาชิกที่
กองเป็นภูเขานั้น นางไม่พบตัว โลกิ เลยและนั่นคือคำถามที่นางจะเอาเรื่องกับเขา
“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นแล้วแผนการณ์ล่ะ? ไม่สิ โลกิ ล่ะ โลกิ ไปไหน?! ”
บรุษอีกา ดึงปีกหมวกอันแสนภูมิใจของตนลงมาบังดวงตาของเขาเอาไว้ ก่อนจะตอบเสียงเครียด
“ ล้มเหลวขอรับ แล้วก็ท่าน โลกิ ถูกจับตัวไปแล้วจะขึ้นศาล ในบ่ายนี้ เพราะงั้นกระผมเองก็จะไปเข้าศาลด้วยในฐานะผู้ตรวจสอบคดี จะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้ก็แล้วกันนะขรับ! ”
สิ้นคำร่างของ บุรุษอีกา ก็อันตรธานหายไปในบัลดล ทิ้งให้นางค้างคาว ใจเสียด้วยความวิตกอยู่อย่างนั้น
……………………………………………
……………………………………………………………………..
“ ฉันพูดจริงๆนะ นายจะตกจากสะพานแล้วก็ขาหัก เพราะฉะนั้นวันนี้อย่าปเล่นที่สะพานเลย ”
คำเตือนไร้เดียงสา ลิงน้อยผู้ไม่ประสีประสาได้บอกเล่าเหตุการณ์แห่งอนาคตให้กับผองเพื่อนของเขา
ทว่าคำพูดของเขากลับได้รับค่าตอบแทนเป็นเสียงหัวเราะและเยาะเย้ย พวกนั้นไม่ฟังเขา
แล้วไปเล่นที่สะพาน จนตกจากสะพานเพราะ สภาพของสะพานที่ผุพัง เนื่องจากไม่ได้รับการซ่อมแซม
แล้วหลังจากนั้น ทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จนเมื่อเริ่มประสีประสา โลกิ ถึงได้เข้าใจว่า
ทุกคนหวาดกลัวพลังของเขา พลังในการหยั่งรู้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ความโดดเดี่ยวกลายเป็นเรื่องชาชินสำหรับเขาไปแล้ว
“ เฮ้วันนี้วันหยุดนะ จะเอาแต่นั่งอ่านหนังสือไปถึงเมื่อไหร่น่ะ? ออกไปเล่นกันเถอะ
ฉันอยากเล่นกับโลกินะ ”
อย่างไรก็ตามความโดดเดี่ยวไม่เคยกัดกินจิตใจของเขา นั่นเพราะหัวใจของเขาไม่เคยโดดเดี่ยวอย่าง
แท้จริง พี่ชาย ต่างสายเลือด คือหนึ่งเดียวที่คอยอยู่ข้างเขาเสมอมา คอยปกป้องและรับฟังเขา
ตลอดเวลา
……………
บัดนี้ภายในห้องขังศาลาว่าการกลางของนครแห่งแสง ทั้งทึบแสงและอับชื้น ห้องแคบๆปิดล้อมไว้ด้วยผนังปูน สามด้าน ด้านหนึ่งมีบานหน้าต่างติดลูกกรง และ ด้านที่สี่คือกรงเหล็งที่ขวางระหว่างทางซึ่งเชื่อมออกไป
สู่อาคารว่าการ
ลิงหนุ่ม นามโลกิ เขาต้องข้อหามากมาย ทั้งกบฏ ก่อการร้าย และเป็นบุตรของซาตาน แต่ก็หาได้สนใจกับมัน
ดวงตาสีบุษราคัม มันเอาแต่จ้องมอง อนาคตที่บิดเบี้ยวไปด้วยความทุกข์ ความเวทนา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้
ว่าวันๆนี้จักต้องมาถึง แต่แทนที่จะมัวกลัดกลุ้มอยู่กับมัน เขาใช้อดีตคอยค้ำจุนตนเองเอาไว้
ในอดีตที่พี่ชายแสนดี คอยดูแลปกป้องมาตลอด และ บัดนี้อนาคตอันน่ารังเกียจนั่นกำลัง
ท้าทายต่อเขา ผู้ไม่เคยหวั่นกลัวอนาคต มันกำลังจะกลืนกินพี่ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขา
ต้องมาอยู่ในคุกนี่ ลิงหนุ่มหลับตาลงแล้วภาพอนาคตนั้นก็ฉายซ้ำขึ้นมาอีกครา ร่างของเขาซึ่ง
หมาป่าดำสวมกอดเอาไว้ ท่ามกลางศรเพลิงนับร้อยในอากาศซึ่งกำลังมุ่งลงมายังลานประหาร
โลกิ หยุดภาพนั้นไว้เพื่อไม่ให้ปฏิธานเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตต้องดับไป ภาพของอดีตแทรก
ขึ้นมา ตัวเขาในวัยเด็กเล่นซนกับพี่ชายหมาป่า ความสุขเล็กที่ช่วยเยียวยาและจุนเจือมาตลอด
“ คราวนี้ผม…จะเป็นฝ่ายปกป้องบ้าง…. ” คำพูดอันหนักแน่น ลอยออกจากปากหลังจากนั้นไม่นาน
ทหารเสือดำก็เข้ามากุมตัว โลกิ ขึ้นไปยังชั้นศาล
………………………………………..
………………………………………………………
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ปูพื้นด้วยพรม และมีเก้าอี้ไม้แบบอัฒจันทร์เตี้ยๆ สองตัววางอยู่คนละฝั่งของมุมห้อง
ที่ตรงกลางเป็นทางเดิน สู่โต๊ะผู้พิพากษา และก่อนถึงก็จะเป็น เก้าอี้สำหรับ พยาน กับ จำเลย และ
ผู้ตรวจสอบ
การประชุมในชั้นศาลวันนี้ ประกอบด้วย
ผู้พิพากษา สองท่านได้แก่
หมาป่าขาว เซอร์ โอดิน ดิ วูฟ(Sir. Odin the Wolf) อาร์คไนท์แห่งกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม
สังฆราชสิงโตทะเล เรกกุ ดิ ซีไลออน(Archbishop Reggu the Sea lion) อาร์คบิชอปแห่งศาสนจักร
พยาน คือ ยุวราชแห่งแสง กษัตริยา ดิ ชีฟ (King of Light, Kshatriya the Sheep) ดำรงตำแหน่ง
ผู้นำกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม และ ผู้ตรวจสอบคดี เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป ดิ โครว (Si. Camio Ginnumgagap the Crow)
ปึงๆๆๆ เสียงทุบค้อนจากโต๊ะผู้พิพากษา เรกกุ ดังขึ้นแล้วทั้งห้องก็อยู่ในความสงบ เสียงอึกทึก
ที่เมื่อครู่ดังสนั่นห้องไปหมดจากบรรดาคณะลูกขุน ได้เงียบสนิท
“ จะขอเริ่มการไต่สวนในวันนี้ เบิกตัวจำเลย โลกิ ดิ มังกี้(Loki the Monkey) ”
ผู้พิพากษาสิงโตทะเล ประกาศก้องแล้วประตูศาลก็เปิดออก พร้อมกับ เสือดำสองนายลากตัวผู้ต้องหา
ลิงขนสีแดง โลกิ เข้ามานั่งประจำที่ในชั้นศาล โดยมี แม่ทัพเหยี่ยว อิทารุส ตามมาเป็นผู้ควบคุมด้วย
“ เซอร์ คามิโอ ช่วยเรียบเรียงสำนวนคดีของจำเลยทีซิ! ”
เรกกุ สั่งแล้วเอกสารกองหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาเปิดหาบนโต๊ะของ บรุษอีกา ใช้เวลาอยู่ครู่เศษ
กว่าจะค้นเอกสารคดีเจอ แล้วเขาจึงเริ่มว่าความโดยกระแอ่มไอเพื่อปรับเสียงก่อน
“ อะแฮ่ม! จำเลยคือ โลกิ ดิ มังกี้ บุตรบุญธรรมของ เซอร์ โอดิน ดิ วูฟ ต้องข้อหาเป็นกบฏ ประกอบพิธีกรรม
ด้วยศาสตร์ต้องห้ามตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติพิธีกรรมที่ได้รับการลงทะเบียน
มาตรา ที่ 17 วรรคที่ 8 และ ก่อการร้ายโดยการใช้เวทมนต์นอกรีต ละเมิดตาม พรบ.เดียวกัน
ในมาตราที่ 9 และ ครอบครองพลังการหยั่งรู้อนาคตเป็นบุคคลต้องระวังภายใต้การกำกับตาม ข้อตกลง
เมื่อ 15 ปีก่อน ปัจจุบันได้ถูกระงับข้อตกลงแล้วและระบุว่าเป็นสิ่งอันตราย เป็น บุตรแห่งซาตาน
ขอรับใต้เท้า~~~~ ”
ทันทีที่ข้อกล่าวหาทั้งหมดถูกอ่านจบ เสียงซุบซิบปรึกษาของบรรดาคณะลูกขุนที่อัฒจันทร์
ทั้งสองฝั่งก็ดังเซ่งแซ่ไม่หยุด จน เรกกุ ต้องทุบค้อนแล้วสั่งเงียบเสียงอีกครั้ง
ก่อนจะเริ่มไต่สวนต่อ
“ ขอถามพยาน ท่านกษัตริยา ท่านได้รับรู้และเป็นพยานถึงการก่อการร้ายของ จำเลยจริงหรือไม่ ”
“ ข้าพเจ้าขอรับรองว่าทุกอย่างเป็นจริงตามที่กล่าวเฉพาะที่อยู่ในขอบเขตพยานของข้าพเจ้า จำเลย
ได้สร้างข่ายเวทมนต์สะกดทั้งนคร และ ทำร้ายร่างกาย หมาป่าไปอีกสองตัว ”
กษัตริยา ยืนยันตามที่นางได้เห็นจากเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจากการรายงานของพยานเป็นที่ยืนยัน
แล้ว ผู้พิพากษาสิงโตทะเล ก็แทบจะไม่รีรอเริ่มอ่านคำตัดสินทันที
“ ถ้าอย่างนั้นจะขอประกาศคำตัดสิน… ”
“ ช้าก่อนใต้เท้า~ ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ตรวจสอบ~ ” บุรุษอีกา แย้งขึ้นก่อนที่ เรกกุ
จะทันทุบค้อนปิดคดีแบบมัดมือชก
“ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่หนึ่ง คดีความในวันนั้น พวกเราได้กระทำการตัดสินกันโดยมีแต่วินิจฉัย
จากปากคำของพยานแต่ขาดวินิจฉัย จากปากจำเลย กระผมจึงอยากให้ใต้เท้าได้ทำการรับพิจารณา
ไต่สวนคดีนี้ใหม่อีกครั้ง ขอรับ ”
เรกกุ แสดงสายตาขุ่นเคืองและมอง คามิโอ ด้วยความเคลือบแคลงใจ แต่ด้วยกฏของศาล
จึงต้องทำการไต่สวนตามหน้าที่
“ ถ้างั้นขอให้จำเลย กล่าวตามความเป็นจริงด้วย จำเลยได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมต้องห้ามนั้นจริงหรือไม่? ”
ลิงหนุ่ม ซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่ง นี่คือโอกาสของเขาที่จะได้เล่าความจริงเมื่อครึ่งปีก่อน
ต่อหน้าคณะศาลโดยตรง ต้องขอบคุณ คามิโอ ที่ราวกับจะรู้เห็นเป็นใจให้เขา
“ ข้าพเจ้าขอกล่าวด้วยความสัตย์จริง ข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการประกอบพิธีกรรม
ในวันนั้นเลย….. ”
ปึง!!!! ค้อนทุบลงบนโต๊ะด้วยแรงโทสะจากมือเล็กๆของ สิงโตทะเล
“ บังอาจ!! กล้าดียังไงจำเลยถึงกล่าวความเท็จต่อหน้าศาล จะบอกว่าศาลพิจารณาคดีไม่เป็นธรรมรึไง!! ”
“ จุ๊ๆๆ ช้าก่อนใต้เท้า จำเลยยังพูดไม่จบเลยท่านน่าจะฟังก่อน ”
คามิโอ แทรกขึ้นมา เพื่อให้ดูเป็นธรรม เรกกุ จึงยอมสงบลงแล้ว โลกิ จึงเริ่มเล่าต่อ
“ ในวันนั้นข้าพเจ้า ไปที่โบถส์เพราะมีความสงสัยบางอย่างว่ามีการประกอบพิธีกรรมที่โบถส์
นั่นเป็นเหตุการที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้รับรู้ว่ามีผู้เป็นกบฏในภาคี และที่ข้าพเจ้าสงสัยก็คือ
ทั้งที่ข้าพเจ้าพึ่งจะรู้แต่ทำไมทางศาสนจักรถึงส่งกำลังมาจับกุมได้รวดเร็วนัก หรือ ถ้ารู้อยู่ก่อนแล้วทำไมถึงไม่ได้มีการแจ้งมา แล้วยังสั่งคว่ำบาตรทั้งภาคีโดยไม่สอบถามข้าพเจ้าอีกด้วย……… ”
ปึงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ สามหาว!! เจ้าจะบอกว่าศาสนจักรให้พวกเจ้าเป็นแพะรับบาปงั้นรึ… ”
เรกกุ ลั่นวาจาด้วยโทสะ ราวกับว่าตนกำลังถูกลูบคม
“ เอ๋~~ ใต้เท้าที่เคารพขอรับ ยังไม่มีท่านใดพูดเลยว่า ศาสนจักรจับแพะเลยนะขอร้าบ~~~ ”
เซอร์ คามิโอ ช่วยไล่ต้อนอีกแรงดูเหมือนว่าเกมคดีกำลังตกมาทางฝั่งพวกเขา หากเป็นไปได้ด้วยดี
อาจจะชนะคดีแล้วพ้นโทษเลยก็เป็นได้ เสียงซุบซิบของบรรดาคณะลูกขุน
ดังขึ้นไม่ขาดปาก ความสงสัยทั้งห้องกำลังเล็งไปที่ ผู้พิพากษาสิงโตทะเล จน
หมาป่าขาวซึ่งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาร่วมในวันนี้ต้องเป็นคนทุบค้อน แล้วสั่งเงียบ
ก่อนจะเริ่มพูด
“ จำเลยมีหลักฐานหรือพยานรู้เห็นในเรื่องที่พูดหรือไม่ ถ้ามีก็จงแสดงออกมา ”
รอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้าของลิงหนุ่ม แม้แต่ผู้ตัดสินคดีตอนนี้ก็เปลี่ยนมือมาที่พ่อของเขาแล้ว
พยานจะหาเป็นใครอื่นไม่ ก็ตัว โอดิน เองนั่นแหละที่จะให้ปากคำในเรื่องนี้ได้
“ ท่านผู้พิพากษา…ก็ท่านเองนั่นแหละที่จะยืนยันได้ว่าข้าพเจ้ามิได้ให้การเท็จ ”
“ เจ้าหมายความว่า เราสามารถยืนยันความถูกต้องในคำพูดจากทางวินัยของเจ้าเนื่องจากเราเป็น
บิดางั้นรึ? ”
“ ถูกต้องแล้วท่านผู้พิพากษา ”
ขณะที่ โลกิ กำลังเปรมปรีกับชัยชนะในการสู้คดีนี้เอง ลำกล้องปืนก็ได้จ่อเข้ามาที่ขมับของเขา
ปืนประจำตัวของ แม่ทัพเหยี่ยว เซอร์ อิทารุส ที่ทำหน้าที่ผู้ควบคุม
“ เอาล่ะชั้นศาลเลิกทำเป็นเล่นกันได้แล้ว ที่วันนี้ข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมนั้นมีความหมายว่า
อย่างไรพวกท่านน่าจะทราบอยู่แล้ว ”
แม่ทัพเหยี่ยว กล่าวเสียงเรียบ ด้วยความสงสัย โลกิ จึงถามออกไป
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน การไต่สวนก็ต้องให้สิทธิจำเลยได้แสดงข้อเท็จจริงด้วยสิ ”
แม่ทัพเหยี่ยว พ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ ก็หมายความว่า การไต่สวนนี่จัดขึ้นเพื่อทำตามกฏไปงั้นๆไงล่ะ โทษของเจ้าน่ะมันถูกกำหนด
เอาไว้แล้วไม่ว่า เจ้าจะผิดจริงหรือไม่ตามข้อกล่าวหากบฏหรือก่อการร้าย แต่การที่เจ้าเป็นบุตรแห่งซาตาน
นั่นก็เพียงพอสำหรับการประหารแล้วเพราะเจ้านั้นถือเป็นศัตรู โดยแท้จริงกับศาสนจักร อาณาจักร
และ ท่านอาคาเซียด้วย! ”
ดวงตาของ ลิงหนุ่ม เบิกกว้างลมพายุแห่งความตระหนกพัดเข้ามาเคาะประตูแห่งจิตใจ
ดวงตาสีบุษราคัมนั้น ช้อนขึ้นไปมองผู้เป็นพ่อ ด้วยความหวังสุดท้ายที่จะเห็นแสงสว่าง
ทว่าบนแท่นที่ผู้เป็นพ่อยืนอยู่นั้น เขาแลเห็นแต่เงาดำทะมึน เงาดำที่มีชื่อว่าอำนาจ
กำลังกดหัว บิดาของตนอยู่
ไม่มีทางเลือกเลยสำหรับผู้เป็นพ่อ หากตอบว่าจริงแล้วพลิกคดี ปืนในมือของแม่ทัพเหยี่ยวจะลั่นไก
เป่าสมองของลูกชายให้เป็นจุลในทันที
“ ศาล……ขอตัดสิน……โทษประหาร ผู้ต้องหามีความผิดจริงฐานเป็นวัตถุอันตราย กำหนดลงอาญา
คือในคืนวันพรุ่งนี้ เลิกได้! ”
ปึงงง!!!
หนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะบังช่วยรักษาชีวิตลูกชายให้ได้ยืดยาวออกไปอีกเล็กน้อย
มันหาใช่ทั้งความเจ็บปวดหรือความคับแค้นแต่อย่างใด สิ่งที่กระแทกประตูแห่งจิตใจเข้ามาคือความช็อก
เกินคณานับเกินกว่าที่หัวใจจะรับไว้ได้ เพียงชั่วแวบหนึ่ง ที่ได้ลิ้มรสชาติกับความหอมหวานของชัยชนะ
ราวกับถูกตบหน้าด้วยความผิดหวัง สีหน้าของ โลกิ แสดงออกมาเช่นนั้น แววตาไร้ชีวิตชีวา
และใบหน้าที่ซีดเผือดจากอาการช็อค คำพูดต่างๆจุกอยู่ในลำคอ
มัน ไม่อาจโต้ ไม่อาจแย้ง ไม่อาจเถียง อะไรได้เมื่อผู้ตัดสินโทษประหารคือพ่อของเขาเสียเอง
ร่างสีแดงถูกนำตัวลงจากแท่นผู้ต้องหาแล้วนำส่งกลับไปยังคุก ก่อนที่คณะศาลทั้งหมดจะพากัน
แยกย้ายออกจากห้องโดยแบกรับเอาความรู้สึกอันหลากหลายของการตัดสินในครั้งนี้ไว้
…………………………………………
………………………………………………………….
“ พ่อครับ! ผลการตัดสินล่ะ!? ”
ทอล ซึ่งวิ่งขึ้นมาที่หน้าห้องศาล ถามกับ โอดิน ผู้เป็นพ่อด้วยอาการหอบหายใจ อย่างเอาเป็นเอาตาย
“โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ว่า การประหารจะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้หรือก็คือ คริสต์มาสอีฟ ขรับ ”
เสียงระลื่นของ บุรุษอีกา แทรกเข้ามาตอบพร้อมกันกับ ที่บรรดาพวกพ้องของ ทอล
ประกอบด้วย ซาจิทาเรียส คอย์น แชร์คาน และ เซเวอร์ ตามมาได้ยินพอดี
หมาป่าดำถึงกับหน้าถอดสี เข่าอ่อนในทันที เขาหันไปมองพ่อด้วยต้องการคำอธิบาย
ว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้นในห้องศาล ทว่าการตัดสินผลในชั้นศาลดังกล่าวนั้น
ถูกสั่งให้คณะศาลทั้งหมดปิดเป็นความลับ เพื่อมิให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่ศาสนจักร
ว่าได้หวาดกลัวต่อ สัตว์หางอายุไม่กี่ปี จนถึงกับต้องประหาร
โอดิน ไม่ได้ตอบอะไรแก่ ทอล หรือคนอื่นๆแต่ตบเท้าเดินจากออกไปอย่างเงียบๆ
แทน จนพวกเขาพากันสงสัยแล้วเริ่มพูดคุยไปต่างๆนานา
ด้านเซเวอร์ ซึ่งได้พบกับ คามิโอ อีกครั้ง ก็ถลึงตาใส่ด้วยความตกตะลึงไม่แพ้กัน
มันชวนให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจาก คามิโอ หนีไปแล้วเขาก็ไม่สามารถใช้
ตรีวิกรมเพื่อข้ามไปหา เรจิ ได้จึงต้องเดินไปเอง จนถึงเช้า แล้วก็พบว่าโลกิ ถูกจับตัวแล้ว
ทอล และ เรจิ ถูกนำส่งตัวไปทำแผล เรจิ มีเพียงแผลถลอกกับไฟไหม้เพียงเล็กน้อย
จึงใช้เวลารักษาไม่นาน แต่เพราะความง่วงที่อดนอนมาทั้งคืน จึงได้ปล่อยให้นอนอยู่ที่สถานพยาบาล
ส่วน ทอล นั้นแม้จะเพิ่งดามกระดูกใหม่แต่ก็ฝืนวิ่งมาจนถึงสถานทำการ จนพวกเขาต้องตามมา
พากลับไปพักนี่เอง
แม้จะอยากตีแผ่ความจริงเรื่องที่ คามิโอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเมื่อคืนก็ตามที
แต่ด้วยสถานะ แล้ว เด็กหนุ่มคิดว่าคงไม่มีสัตว์หางตัวใดเชื่อเขาหรอก อีกฝ่ายเป็นถึงอัศวินชั้นสูง
ส่วนตัวเขาเป็นแค่แขกจากภายนอก มันแตกต่างกันเกินไป เขาจึงยังไม่รีบร้อนในเรื่องนี้
“ เซอร์ คามิโอ ครับทำไมถึงลงอาญาเร็วแบบนี้ล่ะ? ”
ซาจิทาเรียส ถามขึ้น บุรุษอีกาไหวตัวเล็กน้อยกับคำถามนี้ก่อนจะปรับเสียงตอบได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ได้กำหนดเอาไว้นานแล้วล่ะขรับยังไงซะผู้ที่เก่ยวข้องกับภาคีอัศวินพิธีกรรม
จะต้องถูกเก็บกวาดทั้งหมด ”
คำตอบของ บุรุษอีกา ทำให้เด็กๆไม่อาจโต้แย้งได้อีก ก่อนที่คณะและตัวเขาจะบอกลา
“ ถ้ายังไงพวกกระผมขอตัวก่อนนะขรับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเคลีย บ๊ายบาย ”
บุรุษอีกาโบกมือแล้วเดินจากไปทว่าเมื่อกำลังจะเดินผ่าน ทอล ไปนั้น เขาได้กระซิบด้วยเสียง
อันเบาที่มีแต่หมาป่าดำจะได้ยิน “ ถ้าเธอ อยากจะช่วยน้องชายล่ะก็ คืนนี้มาหากระผมที่คฤหาสน์ได้นะขรับ ”
………………………………
……………………………………………………..
“ รวมร่าง โคค่อน แคร่อน เปปอน ออกมาเลย!! นิวเทรียนอายอัลติเมทเวจเจเทเบิล(Nutrient Eye
-Ultimate Vegetable) พลังโจมตี 4500!! ”
“ ขอใช้การ์ดกับดักระเบิดวงแหวนแล้วก็คอมโบกับการ์ดโล่ป้องกันเอฟเฟค นิโค่
เสียไลฟ์ 4500 เย้ชนะแบ้ว~~~ ”
“ หวา~~~~คอมโบนี้อีกแล้วพี่ เรจิ โกงอ่า~~ ”
หมาป่าแดงกับลูกแมวน้อยกำลังเล่นไพ่กันและส่งเสียงโหวกเหวกเจื้อยแจ้ว อยู่ใน
สวนสาธารณะแห่งนครแสงหรือที่ชาวเมืองเรียกว่าสวนแสง ซึ่งเป็นสวนในเขตพระราชวัง
แห่งแสงนั่นเอง
ใกล้ๆกันนั้น กลุ่มของ ทอล ซึ่งประกอบด้วย ซาจิ คอย์น และ แชร์คาน รวมไปถึงป๋ายหู่
แพนด้าจืดจางเพื่อนร่วมรุ่นว่าที่ผู้กล้า เช่นเดียวกับพวกเขาก็อยู่ด้วยเช่นกัน โดยที่ป๋ายหู่
พึ่งจะทราบเรื่องราวจากปากของ ซาจิทาเรียส
“ อ้าว พึ่งจะมาเอาป่านนี้~สมเป็นยัยเฉื่อยฟา แบร่ๆ ”
เสียงหยอกของลูกแมวน้อย ซึ่งกำลังแลบลิ้นปริ้นตาใส่ ลูกแกะที่พึ่งมาถึงจนเธอหน้าบูดบึ้ง
แต่แล้ว ลูกแมวน้อยก็ถูกเขกกระโหลกโดย พี่แมวหนุ่ม ซึ่งก็คือ คอย์น นั่นเอง
“ นี่แน่ะ….เป็นผู้ชายไปแกล้งผู้หญิงแบบนั้นได้ไง นายนี่หัดอ่อนโยนกับเธอหน่อยสิ ”
“ แง มันเจ็บนะพี่คอย์น ก็ผมพูดจริงอ่ะ ฟา น่ะทำอะไรก็ช้าจะตายไป ”
ระหว่างที่สองเหมียวกำลังเถียงกันคอเป็นเอ็นอยู่นั่นเอง ลูกแกะ ก็วิ่งเข้าไปหาทอล
แล้วโค้งให้กับเขาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“ ขอบคุณเรื่องเมื่อวานด้วยนะคะเพราะพี่ทอลช่วยไล่พวกเงาไปให้ ทีนี้หนูจะได้นอนหลับเต็มอิ่มซักที ”
“อา…ไม่เป็นไร ” หมาป่าดำรับคำโดยที่ไม่แม้แต่จะก้มลงมาสบตากับเธอเลย ยังคง
เอาแต่เหม่อมองไปข้างหน้าแบบไร้จุดหมาย หางที่เป็นห่วงกับอาการของเขามากที่สุดตอนนี้ ก็ไม่พ้นใคร
อื่น ซาจิทาเรียส พยายามคะยั้นคะยอให้เขากลับไปพักรักษาตัวที่สถานพยาบาล เพราะกระดูกพึ่งจะดาม
มาแม้จะใช้เวทมนต์ช่วยรักษาแต่ถ้าไม่พักผ่อนร่างกายก็จะฟื้นตัวได้ช้า กระนั้นตัวเขาเองก็หาได้จะมี
อารมณ์มานอนพักไม่สิแม้แต่จะสุขภาพร่างกายตัวเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจด้วยซ้ำ
หลังจากรอปฏิกิริยาของ ทอล อยู่นาน แกะน้อยจึงตัดใจที่จะรอ แล้วไปรวมกลุ่มกับ นิโค่
ก่อนจะพูดคุยกันตามปกติ จนกระทั่ง
“ อยากให้ถึงคริสต์มาส เร็วๆจัง!~ ” เสียงเริงร่าของ นิโค่ ทำเอาทั้งกลุ่มว่าที่ผู้กล้าสะดุ้งตัวลอย
ซาจิทาเรียส รีบเข้ามากระซิบกับพวกเด็กๆทันที
“ ชี่~~~ขอล่ะพวกเธออย่าคุยเรื่องคริสต์มาสตอน ทอล อยู่เลยเถอะนะ ”
“ โทษที…ฉันคงไม่สมควรจะอยู่ตรงนี้สินะ ” หมาป่าดำแทรกเสียงเรียบก่อนจะเป็นฝ่าย
เดินออกจากกลุ่มไปเสียเอง จนพวกเด็กๆพากัน มองด้วยความฉงนและสงสัยกับ
ท่าทีแปลกๆของกลุ่มผู้กล้าในวันนี้
“ นี่ๆ นิโค่ คริสต์มาส คืออะไรอ่ะ กินได้ป่าว? ” เรจิ ถามพร้อมกับมองแมวน้อยด้วยสายตาขี้สงสัย
“ ก็เป็นวันที่เด็กดีจะได้ของขวัญแล้วก็มีเค้กอร่อยๆกับสเต็กเนื้อจานโตๆด้วย~~~ ”
นิโค่ ทำมือวาดเป็นรูปจานสเต็กพร้อมใส่เสียงท่าทางให้ดูน่าตื่นเต้น ดวงตาของ
หมาป่าแดงเปล่งประกายทันทีเมื่อพูดถึงสเต็กเนื้อ
“ เรจิ อยากกินเนื้อ! ” สิ้นคำหมาป่าแดงก็อ้าปากงับมือของ นิโค่ ไปเต็มปากเต็มคำ
“ อ่ะ หวา อย่าดิพี่ เรจิ มือผมไม่ใช่สเต็กน้า~~ ” ลูกแมวน้อยรีบ ชักมือ ออกจาก
ปากทันทีก่อนที่เขี้ยวจะประกบงับแขนเล็กๆของเขา
“ พี่ทอลเป็นอะไรไปเหรอคะดูไม่ร่าเริงเลย ” ลูกแกะฟา ถามด้วยความสงสัย ทั้งกลุ่มผู้กล้า
พากันนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าอธิบายสาเหตุให้กับเด็กตัวแค่นี้ฟังอย่างแน่นอน
“ จะอะไรซะอีกเล่าก็น้องชายสุดหวงแหน จะถูกประหารคืนคริสต์มาสอีฟน่ะสิ ก็เลยดูเอ๋อๆ
ไปหน่อยคงจะช็อก~~ ” คอย์น พูดเสียงเรียบสีหน้าของแมวหนุ่มไม่ได้แสดงความเกรงอกเกรงใจ
ออกมาแต่อย่างใด ที่จริงแล้วเขาพูดราวกับมันเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเล่น
หมุนเหรียญเสี่ยงดวงของตัวเองต่อไป
“ คอมมี่ นายไม่เห็นใจทอมมี่ บ้างเลยรึไง!? ” กิ้งก่าเหลือง ถามเสียงขุ่น เมื่อ คอย์นพูด
เรื่องแบบนั้นแล้วยังท่าทีของเขาที่ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นห่วงเพื่อนเลย มันทำให้
เขารู้สึกหงุดหงิด
“ แล้วยังไง…นายนั่นแหละซาจิ ยึดติดอะไรกับเจ้า ทอล นักหนา กับ โลกิ นายก็ไม่ได้เป็นญาติ
อะไรกับหมอนั่นซักหน่อย อยู่เฉยๆไปน่ะแหละดีแล้วเด๋วจบเรื่อง มันก็หายไปเองนั่นแล… ”
ผัวะ!
ยังไม่ทันที่ แมวหนุ่มจะพูดจบประโยคดี กำปั้นของ กิ้งก่า ก็เหวี่ยงเข้ามาสัมผัสกับใบหน้าของ
เขาจนล้มลงไปกอง
“ แกพูดแบบนั้นแล้วยังเรียกตัวเองเป็นเพื่อนของ ทอมมี่ ได้อีกงั้นเหรอ! ” ซาจิทาเรียส ตะคอกใส่
แมวหนุ่มปาดคราบน้ำลายออกจากริมฝีปากหากเมื่อครู่เขากัดฟันไม่ทัน คงเผลอกัดลิ้นตัวเองจนเลือด
ออกไปแล้ว “ ที่อยากจะถามน่ะมันทางนี้ต่างหาก ทำบ้าอะไรแกฟระ! ไอกะปอมแดดเดียว! ”
“ ก็เผื่อว่าปากแกจะดีขึ้นบ้างไง …..ทำไมอยู่ๆแกถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้ ”
“ ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปซักกะหน่อยคนที่เปลี่ยนไปน่ะแกตังหาก จู่ๆเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ! ”
“ ว่าแล้วเชียว…คนอย่างแกจะมารู้อะไร…คนที่ไม่เคยสูญเสียอะไรให้กับศาสนจักรอย่างแกน่ะ ”
“ เออ ก็ไม่รู้ซีวะ! แต่ที่รู้ตอนนี้ขอซัดคืนก่อนเหอะ! ”
การปะทะฝีปากของทั้งคู่เริ่มจะลามปามกลายเป็นการทะเลาะวิวาท ทั้งสองต่างใช้วาจารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่ง คอย์น เริ่มเป็นฝ่ายเอาคืน ทั้งคู่ลงไปนัวเนียกันอยู่บนพื้น การวิวาทเริ่มรุนแรงขึ้นทุกขณะ
“ เรจิ ฝากพาพวกเด็กๆไปเล่นตรงนู้นทีนะ เด๋วขอแยกไอสองตัวนี้ก่อน ”
นางแมวแชร์คาน เปรยเสียงเรียบพร้อมกับไล่พวกเด็กๆไป ก่อนจะกระชับมีดขึ้นมาไว้ในมือ
แล้วเปิดโหมดสะพรึงเข้าไปจัดการกับ คู่แมวก่าที่กำลังวิวาทกันอยู่ทันที
“ ประหารคืออะไรหยอ มันเหมือนกับ อาหารป่าว? ”
เรจิ หันมาถาม เด็กน้อยทั้งสองด้วยสีหน้าฉงน กระทั่งนิโค่ เหมียวน้อยแสนซนยังต้องเอามือก่ายหน้า
ผากกับความไร้เดียงสาของ เขา ก่อนจะอธิบายไปพลางเดินนำกลุ่มออกไปพลางให้ห่างภาพบาดตา
จากการล่าเหยื่อของแชร์คาน ที่ราวกับพยัคฆ์ร้ายหลุดมาจากนวนิยาย เมาคลี เลยทีเดียว
“ ประหารก็คือทำให้ตายน่ะสิ พี่เรจิ โว้ เรื่องแค่นี้ก็หม่ายรู้ พี่นี่เด็กจริงๆเลย ”
“ อะไรคือตายหยอ? ”
โครม!!
เหมียวน้อยสะดุดล้มหน้าคะมำพื้นในทันที ราวกับตกใจอะไรบางอย่างซึ่งก็มิใช่อะไรเลย
มันคือความไร้เดียงสาที่มากเกินจนกลายเป้นความบื้อของ หมาป่าแดง ที่ทำเอาเขาแทบจะเหลือ
อดแล้ว แมวน้อยลุกพรวดขึ้นมาตะคอกใส่
“ พี่เรจิ!!!! ผมยังเรียกพี่ว่าพี่ได้อยู่ไหมเนี่ย!!!!!!!!!!!!!! ตายน่ะก็คือ….เอ่อคือ…คืออะไรหว่า? ”
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายว่าตายคืออะไร
“ ตายก็คือการที่เราจะไม่ได้เจอกับคนๆนั้นแล้วไงล่ะ ” ฟา เป็นคนที่ตอบคำถามให้กับสองหนุ่ม
เรจิ นิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ฟังคำตอบของเธอก่อนจะพูดขึ้น
“ แบบนั้นก็แย่สิ ” เขาพูดมันออกมาโดยแฝงความคิดบางอย่างเอาไว้
………………………………………………….
…………………………………
ข้ามมายังอีกฝั่งของทะเลสาป ทอลซึ่งปลีกตัว ออกมาทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในหัวนั้นโล่งไปหมด
แม้แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่น้องของตนเป็นผู้ฝากเอาไว้ ก็ยังไม่ได้เท่ากับเสี้ยวหนึ่งของ
ความปวดร้าวในอกเลย หัวใจที่แหลกเป็นเสี่ยงๆนั้นสร้างความว่างเปล่าขึ้นมากัดกิน
จนมองไม่เห็นหนทางใดๆ แม้กระทั่ง ร่างของ แพนด้าน้อยที่แอบตามเขามา
“ อา ตอน อั๊วะไม่รู้หรอกน่อว่า ใจของลื้อมังเจ็บปวกแค่หนาย เพียงแต่อั๊วพูกไล่แค่ว่าเวลาของลื้อ
มังไม่มีเลี้ยว จงตัดสินใจให้แน่วแน่ทำให้เด็กขาก ก่องจาต้องมาเสียใจทีหลังดีกว่าน่อ ”
(ทอล ข้าไม่รู้หรอกนะว่าใจของเจ้าเจ็บปวดแค่ไหน เพียงแต่ข้าพูดได้แค่ว่าเวลาของเจ้ามัน
ไม่มีแล้ว จงตัดสินใจให้แน่วแน่ทำให้เด็ดขาด ก่อนจะต้องมาเสียใจทีหลังดีกว่านะ)
แม้จะรับฟังได้ยินและเข้าใจ แต่มันก็หาได้ซึมซับลงไป คำพูดของ ป๋ายหู่ ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย
ท้ายที่สุดแล้ว แพนด้าน้อยก็ยอมแพ้แล้วเดินจากไปทิ้งให้ หมาป่าดำ นั่งเหม่ออยู่เพียงลำพัง
…………………..
เวลาได้ล่วงเลยไปจนตะวันเกือบจะคล้อยดิน ท้องฟ้ากลายเป็นสีแสดอมม่วง ลมเริ่มพัดแรงจัด
โบกพัดเอาเมฆดำเข้าปกคลุมเมือง อากาศหนาวขึ้นอย่างกระทันหัน อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ
จนในที่สุด ผลึกเกล็ดสีขาวใส ก็ได้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
ภายในห้องพักของพระราชวังแห่งแสง ห้องนี้มีเฟอนิเจอร์ไม่มากนัก แต่ก็มีของที่จำเป็นอยู่ครบครัน
ร่างสีดำของหมาป่า ทอดกายนิทราอย่างสงบ อยู่บนเตียงปูด้วยผ้ากำมะหยี่อย่างดี
ชุดเกราะของเขาถูกถอด วางทิ้งไว้บนพื้นใกล้ๆกับเตียงที่นอนอยู่ ความอบอุ่นของห้อง
ช่วยปลุกให้ฟื้นขึ้นจากนิทรา เขาทอดสายตาไปรอบๆอย่างฉงนสนเท่ห์ ก่อนจะหยุดสายตาลง
ที่บานหน้าต่างข้างนอกฟ้ามืดแล้วและยังมีหิมะตกอีกด้วย
ความทรงจำล่าสุดในหัวของเขาคือ นั่งคิดอะไรอยู่ใต้ต้นไม้ของสวนแห่งแสงจนเผลอหลับไป
โดยไม่รู้ตัว และ ตอนนี้เขาก็มาโผล่อยู่ที่ห้องของใครก็ไม่รู้
“ โฮก~~~ ” เสียงคำรานโทนต่ำฟังดูคุ้นหู เรียกให้เขาหันไปทางทิศประตูของห้อง
ไบซันขนสีส้ม ตัวหนึ่งกำลังลุกจากโซฟาเข้ามาหาเขา
“ โฮก~~~ ” ไบซันคำรามเบาๆ หมาป่าดำพยายามจะจับใจความจนสามารถตีความจากการ
คำรามเพียงแค่ประโยคเดียวออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ ข้าไปเจอเจ้าหลับอยู่ที่ต้นไม้ริมทาง ตอนที่หิมะเริ่มตกแล้ว เลยพามาที่นี่เพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นหวัด ”
หมาป่าดำ แปลออกมาเป็นคำพูด ซึ่งไบซัน ก็พยักหน้ารับว่าเขาเข้าใจถูกแล้ว
ทอล ก้มหัวแสดงการขอบคุณให้แล้วพูดว่า
“ ขอบคุณท่านเอนกิดู ขอโทษด้วยที่ต้องมารบกวนท่านเช่นนี้ ”
เอนกิดู ส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงว่าไม่ต้องเกรงใจ เมื่อทอล มองดูเวลาที่นาฬิกาบน ฝาผนัง
เขาก็นึกขึ้นได้ถึงนัดสำคัญที่ เซอร์ คามิโอ นัดไว้กับเขา นอกจากนี้แล้วยังมีอีกที่ที่เข้ารอจะไปตอนช่วงเย็น
ทำให้เมื่อตอนบ่ายเอาแต่นั่งรอจนเผลอหลับ ตอนนี้เวลาของเขากระชั้นชิดไปหมดแล้ว
หมาป่าดำ ลุกจากเตียงแล้วคว้าเอาเสื้อเกราะขึ้นมาประกอบใส่กับร่าง
ก่อนจะกล่าวลาอย่างรีบๆ
“ ผมต้องไปแล้ว!! เอ่อขอบคุณอีกครั้งนะครับสำหรับความช่วยเหลือ ไปก่อนนะครับ!!! ”
สิ้นคำ หมาป่าดำก็วิ่งออกจากห้องไปด้วยอาการรีบเร่ง
“ เขาไปแล้วเหรอ? ” เสียงดังขึ้นมาจากหลังบานประตูห้อง พร้อมกับ ยุวราชแห่งแสงที่
เดินเข้ามา เอนกิดู พยักหน้ารับก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ แบบนี้แล้วรึสหาย เจ้าเองก็ไม่ชอบใจกับเรื่องราวในครั้งนี้ซักเท่าไหร่นี่ ”
“ ไม่ใช่ว่าข้ารับมันได้หรอกนะ ในชั้นศาลนั่นตอนที่คดีเกือบจะพลิกผันนั้น ในใจของข้าเอง
ก็เผลอ เอาใจช่วยมันไปแวบหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายเสมอ…. ”
เอนกิดู มองสหายของเขาที่กำลังพูดตอบโดยมีสีหน้าเศร้าหมอง ความเศร้านี้หาใช่
เพราะเห็นใจสองพี่น้อง แต่เป็นความเศร้าอันเกิดจากความอัปยศ ที่มีให้กับศาสนจักร
แต่นางคือราชา มีหน้าที่ปกครองบ้านเมืองและเป็นแบบอย่างของ ประชาชนหากนาง
ฝ่าฝืนกฏเพื่อช่วยเหลือตามคุณธรรมของนาง นั่นเท่ากับผิดต่อราชธรรม ที่นางได้ปฏิญาณเอาไว้
กฏย่อมเป็นกฏ ไม่มีความหมายหรือความคุ้มค่าใดๆที่จะฝ่าฝืนมัน
……………………………………………………
…………………………..
ในค่ำคืนที่ท้องถนน คราคร่ำไปด้วยสัตว์หางมากมาย กำลังเสพสุขกับการจัดเตรียมงานเลี้ยงที่จะมีขึ้นในคืนคริสต์มาสอีฟและวันคริสต์มาส ทุกบ้านประดับประดาด้วยของตกแต่ง ประจำเทศกาลกระดาษสีและสายรุ้ง
แม้แต่ในคืนนี้ร้านค้าหลายแห่งก็มีการวางขายสินค้า เพื่อดึงดูดลูกค้า รวมไปถึงงานหลักประจำปีอย่าง
การจับสลากของรางวัลที่จัดภายในอาคารโรงประมูล
บางที่ก็มีการซ้อมร้องเพลงเฉลิมฉลองกันแล้ว เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความผาสุข ท่ามกลางฝูงชนที่
กำลังดื่มดำไปกับงานเทศกาลหนึ่งชีวิตกำลังดิ้นรน เพื่อไม่ให้ต้องเสียสิ่งสำคัญของเขาไป
อาคารว่าการกลางของนครแห่งแสง คือสถานที่ซึ่ง ทอล มุ่งหน้าไปโดยวิ่งผ่านฝูงชน
ที่แออัด จากถนนหลักจนมาถึงถนนใจกลางตัวเมือง ภายในอาคารแทบจะไม่มีใครอยู่
ประจำการแล้ว ทอลเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ซึ่งที่นั่นมีห้องทำงานของ โอดิน ตั้งอยู่
เมื่อมาถึงหน้าประตูแล้วและเคาะมันลงไป ก็มีเสียงตอบรับดังมาจากข้างใน
“ เชิญเข้ามา! ” ทอล ใช้มือบิดลูกประตูแล้วเปิดเข้าไปอย่างช้าๆ บานประตูที่เก่าแก่ส่งเสียงเอี้ยดอ้าด
สะท้อนทางเดินจนก้องไปหมด ร่างสีดำแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาแล้วปิดมันลง
ก่อนจะพูดด้วยเสียงกึ่งหอบหายใจ
“ พ่อ…ครับ.. ”
หมาป่าขาว ผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนั่งไขว่ห้างตรวจดูเอกสารที่กองบนโต๊ะทำงาน
เสียงเรียกของลูกชาย ดึงให้เขาเงยหน้าขึ้นมาจาก กองงานเหล่านั้น
“ ทอล? ลูกมาที่นี่ทำไม…. ”
“ ผม…มีเรื่องที่จะ…ที่จะต้องคุยด้วย ”
หมาป่าดำ แสดงความจริงจังของเขาออกทางสีหน้าแม้จะยังหอบหายใจอยู่จากความเหนื่อยล้า
ที่วิ่งจากวังแสงมาจนถึงสถานที่ทำการ
หมาป่า ส่ายหน้าเบาๆพลางทำมือเป็นสัญญาณบางอย่างที่ เขาเข้าใจได้ทันที
/มีคนจับตาดูอยู่…./ นั่นคือข้อความที่ โอดิน ส่งถึงเขา ทั้งสองเงียบเสียงลงในทันที
เหตุการณ์ในตอนนี้ชวนให้ ทอล หวนนึกถึง วันแห่งค่ำคืนกบฏกองอัศวินพิธีกรรม
ในวันนั้นหลังจากที่แยกกับ โลกิ ที่กระท่อมบ้านพัก และกลับเข้ามาในเมือง
เพื่อจะแจ้งเรื่องให้กับพ่อของเขา…………..
……………………………………………………………….
ชั้นล่างของอาคารว่าการกลาง แม่ทัพโบลดาส กับ เซอร์ โอดิน ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกัน
เรื่องคำสั่งคว่ำบาตรภาคีอัศวินพิธีกรรม ที่ทางศาสนจักรพึ่งจะประกาศมา
ทอล วิ่งเข้ามาหาพวกเขาแล้วเรียกพ่อของเขาให้ออกไปคุยด้วยกัน
“ โทษทีนะ ข้าขอตัวก่อนล่ะ ” โอดิน กล่าวก่อนจะแยกจากโบลดาส
แล้วตาม ลูกชายหมาป่าของตน ออกไปยังด้านหลังอาคารว่าการกลาง แล้วหมาป่าดำก็
เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นพ่อฟัง ทั้งเรื่องที่ โลกิ สงสัยรวมไปถึงสถานที่ๆตอนนี้โลกิ พักอยู่ที่กระท่อม
“ ….ตอนนี้ โลกิ รออยู่ที่บ้านแล้ว….อุบ ”
ฝ่ามืออันใหญ่โตของพ่อ เลื่อนขึ้นมาปิดปากเจื้อยแจ้วของเขา เมื่อเสียงเงียบลง หูหมาป่าทั้งสอง
จึงได้ยินเสียงของฝีเท้าอันแผ่วเบาที่กำลัง วิ่งออกไป
“ บ้าจริง! โลกิ ตกอยู่ในอันตรายแล้ว! ”
หมาป่าขาว สบถเสียงเครียด ในขณะที่ ทอล ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อพ่อของเขา เอามือ ออกจากปาก จึงรีบถามด้วยความสงสัย “ เกิดไรขึ้นอ่ะพ่อ?~ ”
“ เมื่อกี้มีคนแอบตามเจ้ามา มันดักฟังคำพูดของลูกไปหมดแล้ว! ”
คำตอบของพ่อทำเอาเขาช็อกจนแทบจะเข่าอ่อน สองพ่อลูกตัดสินใจจะตัดหน้าไปที่กระท่อม
เพื่อพาตัว โลกิ ไปซ่อนก่อน ทว่าเมื่อไปถึงยังกระท่อมนั้น พวกเขาก็สายเกินไปเสียแล้ว
กองทหารกำลังล้อมกระท่อมเอาไว้ และ ทหารเสือดำกำลังลากร่าง ของ น้องชายออกมา
จากกระท่อม
“ อย่าโวยวายอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ทุกคำพูดของเธอจะกลายเป็นหลักฐานที่สำคัญ
ถ้าเรื่องที่ลูกพูดมาเป็นความจริง เรายังพอมีโอกาสที่จะสู้คดีในชั้นศาลได้ ”
โอดิน กล่าวเช่นนั้นแล้ววิ่งเข้าไป เพื่อพูดคุยกับ ผู้ที่นำกำลังเข้ามาจับกุมซึ่งก็
สังฆราชสิงโตทะเล เรกกุ
ในตอนแรก โอดิน ตั้งใจจะให้ โลกิ ขึ้นศาลเพื่อสู้คดีทว่า เพราะมอการ์น่า ที่มาช่วยเหลือการหลบหนี
ของโลกิ ทำให้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้วยังส่งผลถึง ข้อสัญญาบางอย่างที่โอดิน เคยให้ไว้กับศาสนจักร
มันคือข้อสัญญาที่เป็นที่มาของข้อหาที่สามของโลกิ ข้อหาในการเป็นบุตรแห่งซาตาน
……………………………………………
พ่อลูกหมาป่า ยังคงปิดปากเงียบมาจนถึงบัดนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะเริ่มยังไง แม้ว่าศาสนจักรจะได้
ตัวโลกิ ไปแล้วแต่นั่นยิ่งทำให้การเฝ้าจับตาสองพ่อลูก ต้องเพิ่มความเข้มงวดยิ่งขึ้น หลังจากคดี ครั้งนั้น
ไม่ว่าไปที่ไหนแห่งหนใด จะมีหน่วยข่าวของศาสนจักร คอยติดตามและเฝ้าจับตาดูเขาเอาไว้ตลอดเวลา
แม้จะไม่เคยพบหรือเห็นหน้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาซึ่งกำลังจดจ้องมาที่พวกเขา
ท่ามกลางความเงียบนั้นเอง ระหว่างสองพ่อลูกบังเกิด รอยกระเพื่อนขึ้นในอากาศมันคือ
การบิดเบี้ยวของมิติแล้วบางสิ่งก็ได้ก้าวออกมาจากรอยบิดเบี้ยวนั้น
“ वामन ” (Vamana) คำเปรยที่ฟังดูเหมือนคาถาอาคม ดังขึ้นจากปากของเด็กหนุ่มผมสีทองที่ดูคุ้นตา
มันคือชื่อของหนึ่งในอวตารแห่งอค์วิษณุ เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ
โดยทรงขยายร่างให้ใหญ่เท่าจักรวาล แล้วย่างก้าวแรกเหยียบหมดทั้งผืนโลก ก้าวที่สองย่าง
เหยียบสวรรค์ และก้าวที่สามนั้นคือการเหยียบลงไปยังบาดาลจนเป็นที่มาของ ตรีวิกรม หรือ
ย่างสามขุม อันเป็นขุมพลังแห่งการก้าวสามจังหวะไปได้สุดขอบฟ้า
ของเด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า เซเวอร์นั่นเอง
ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นห้อง เด็กหนุ่มก็ได้ลั่นวาจาขึ้นอีกครั้ง
“ कुर्म ”(Kurma)
สิ้นคำก็บังเกิดกำแพงโปร่งใสแผ่ขยายออกมาจากรอบกายของเด็กหนุ่ม กำแพงแผ่ออกไปขนาบติดกับ
ผนังห้อง จนทั้งห้องถูกเคลือบไว้ด้วยกำแพงโปร่ง จากทุกด้านไม่เว้นแม้แต่พื้นกับเพดาน
“ เกราะนี้มีคุณสมบัติทนทานมันหนาแน่นเสียจนเสียงก็ยังเล็ดลอดออกไปไม่ได้
คุยกันตามสบายเถอะเพราะหลังจากพวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วข้าเองก็มีธุระกับเจ้าเช่นกัน โอดิน… ”
เซเวอร์ หันหน้าไปทาว หมาป่าขาว ทั้งคู่มองตากันอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนจะชั่งใจว่าควรเชื่อแล้วทำตามรึไม่
สุดท้ายแล้ว ทอล จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบสงัดนี้เสีย
“ พ่อ! ทำไมถึงไม่ช่วย โลกิ…..ที่ศาลนั่นพ่อก็อยู่ไม่ใช่หรือ แล้ววันนั้นเมื่อครึ่งปีก่อนพ่อก็บอกให้
ผมเงียบมาตลลอด ให้ผมปิดบังศาสนจักรเอาไว้ พ่อบอกว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะช่วยโลกิ
เอาไว้ได้ไม่ใช่รึไง!? ”
หมาป่าดำ ยิงคำถามมากมายที่เขาเก็บกดอัดอั้นเอาไว้มานาน นับตั้งแต่วันนั้น ที่ต้องพรากจากกับโลกิ
เขาได้ตระหนักว่าศาสนจักรนั้นอันตราย จึงพยายามปกปิดมาโดยตลอด ทั้งการแสดงออกที่เคร่งครัด
และซื่อสัตย์กับศาสนจักร ทั้ง คำพูดที่เห็นชอบเห็นงามกับศาสนจักร ทุกอย่างนั่นก็เพื่อปกป้อง
น้องชายของเขา แต่บัดนี้การกระทำพวกนั้นมันไม่มีความหมายอันใดอีกแล้ว
ที่เขาต้องการมากที่สุดยิ่งกว่าอะไรในตอนนี้คือคำตอบจากปากของผู้เป็นพ่อ
หมาป่าขาวมีสีหน้าวิตกอย่างชัดเจน เขาจะบอกได้อย่างไรว่าการตัดสินโทษประหารไม่ได้เกี่ยวพรรค์
กับเรื่องการเป็นกบฏเลย แต่เป็นเหตุผลของทางศาสนจักร เองต่างหากและนั่นจะรวมไปถึง
อีกเรื่องนึงที่เขาปกปิดไว้ไม่บอกกับ พวกลูกๆ ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความสำนึกในฐานะ
ของพ่อที่ล้มเหลว เขาจึงได้พูดออกไป
“ โลกิ น่ะเป็นเด็กที่พิเศษกว่าแก…… ”
“ หมายถึงพลังมองเห็นอนาคตน่ะเหรอ? แต่นั่นมันก็แค่เดาถูกเองนี่!? ”
“ ไม่ใช่….มันคือพลังของโลกิ พลังในฐานะ เดมิก็อด(Demigod) ”
ดวงตาของหมาป่าดำฉายแววแห่งความตะลึงออกมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินอะไรแบบนี้
เดมิก็อด คือเผ่าพันธุ์ที่มีพลังใกล้เคียงกับเทพเจ้า เป็นตัวตนของพลังอันยิ่งใหญ่
แล้วตัวตนที่ว่านั่นก็คือน้องชายต่างสายเลือดของเขางั้นรึ
“ ตอนที่รับเลี้ยงโลกิ พ่อได้ให้ข้อตกลงกับศาสนจักรไว้ จะต้องเลี้ยงดูให้เติบโตและภักดีกับศาสนจักร
ต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งและมอบความมั่นคงให้กับศาสนจักรได้ ….
แต่ว่าเพราะโลกิ หนีไปก่อนจะเข้ารับการไต่สวนคดี ก็เลยถูกลงความเห็นว่าเป็นอันตราย
เพราะงั้นไม่ว่าจะแก้ คดีอื่นได้ยังไงก็ตาม พวกเขาก็จะกำจัด โลกิ ทิ้งอยู่ดี ”
คำพูดของ โอดิน เสียดแทงเข้าไปในใจบัดนี้หมาป่าหนุ่มรู้สึกไม่มั่นคงเขาไม่อาจไว้ใจใครได้เลย
แม้แต่พ่อของตัวเองหรือจะเป็นเขาเพียงคนเดียวที่ยังคิดจะช่วย โลกิ ในขณะที่ทุกคนตัดใจกันหมดแล้ว
ความสิ้นหวังคืบคลานเข้ามากัดเซาะหัวใจของเขาอีกครา คำพูดทั้งหมดถูกกลืนลงไปสู่ความมืดมิดของจิตใจ
เขาลืมมันหมดสิ้น ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย
ขณะเดียวกันที่หน้าประตูห้อง แชร์คาน กำลังเอาหูแนบประตูเพื่อดักฟังการสนทนาของสองพ่อลูก
แต่เธอก็ไม่ได้ยินอะไรมาซักพักแล้ว มันเงียบจนผิดสังเกตุ ลึกๆในใจ เธออยากที่จะพังประตู
เข้าไปดูด้วยซ้ำ แต่เพราะการเฝ้าจับตาดูคืองานของเธอที่ได้รับมอบหมายมา จึงทำแบบนั้นไม่ได้
ระหว่างที่การดักฟังเป็นไปอย่างเนิ่นนาน นั้นเอง ความคันได้บังเกิดขึ้น ที่ใบหูอีกข้างซึ่งไม่ได้เอา
ไปแนนบประตูไว้ นางแมวทนไม่ไหว จึงหันกลับไปมองด้วยความสงสัย แล้วก็ช่างพอเหมาะพอเจาะ
เสียเหลือเกิน อย่างที่โบราณว่าไว้ ความซวยไม่เคยเข้าใครออกใครเพราะเมื่อถึงคราวซวย
ต่อให้เฮงแค่ไหนก็ซวยด้ายยยยย~~~~~ รู้ตัวอีกทีเธอก็หันหน้าเอาริมฝีปากตัวเองไปสัมผัส
กับความนุ่มนวลบนริมฝีปากของร่างสีแดงเพลิงที่ใช้จมูกดมหูเพื่อเรียกให้เธอรู้ตัวจนถึงเมื่อครู่
ม๊วบ~~
…………………………………
“ กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!! ”
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นสร้างความตระหนกให้กับทั้งสามที่อยุ่ในข่ายป้องกัน ด้วยความสงสัยเซเวอร์
จึงปลดข่ายป้องกันแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยตนเองทันที สองร่างกลิ้งหลุนๆเข้ามาแล้วล้มแปะอยู่กลางห้อง
ท่ามกลางสายตาฉงนงง งวย ของทั้งสามที่ได้เห็น แชร์คาน และ เรจิ มาทำลับๆล่อๆอยู่แถวนี้
“ คนที่ทางศาสนจักรส่งมาให้คอยจับตาดูคือเจ้าสินะ? ”
เซเวอร์ เดาและมันถูกเผงเลยทีเดียว ในใจก็นึกแค้น หมาป่าแดงที่ทำให้เธอเสียงานแต่อีกใจ
ก็นึกสงสัยว่า ทำไมนักลอบสังหารผู้เชี่ยวประสบการณ์อย่างเธอถึงถูกย่องเข้ามาข้างหลังได้โดย
ไม่รู้ตัว /หรือว่าจริงๆแล้วหมาป่าตัวนี้จะไม่ธรรมดา/ ความคิดอันน่าตระหนกเข้าคุกคามนางในทันที
“ ทอล ฟังนะโลกนี้ภาษาไม่ได้มีแค่1เดียว เพราะทุกคนไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันได้ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
หัวใจต้องแสดงมันออกมา ถึงจะสื่อใจกันได้ ”
โอดิน เริ่มพูดต่อทว่าบัดนี้ บุตรชายที่อยู่ตรงหน้าไม่อาจจะรับได้กับคำสอนนี้ จิตใจของเขานั้น
อัดเต็มไว้ด้วยความสิ้นหวัง หากแต่ยังเหลือปลายเชือกเส้นสุดท้ายที่ยังพอจะเป็นความหวังได้
“ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ… ” ทอล พูดเสียงขุ่นพร้อมกับเหลือบมอง นางแมวด้วยหางตา
ราวกับโกรธอยู่ ก่อนจะตบเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
“ เด็กผู้ชายกำลังอยู่ในวัยต่อต้านก็แบบนี้แหละ เหนื่อยหน่อยนะ ”
เซเวอร์ เปรยพร้อมกับปลดอาณาเขตทั้งหมดที่คลุมห้องเอาไว้ พวกเขาแน่ใจแล้วว่า
การที่ศาสนจักรส่งเด็กผู้หญิงมาเฝ้าจับตาดูเพียงลำพัง ก็เท่ากับว่าไม่สนการเคลื่อนไหว
ของพวกเขาแล้ว ทุกสายงานกำลังจับจ้องแต่ โลกิ
“ แชร์คาน เธอมาจับตาดูใครงั้นรึ ฉันรึว่าลูกของฉัน? ” โอดิน ถามน้ำเสียงสุภาพกับนางพลางเข้าไปจูง
ให้นางลุกขึ้นมา พร้อมๆกับ เรจิ ที่กลิ้งเข้ามาด้วยกันกับนาง
“ ค….คือว่าหนู…หนูเอ่อได้รับคำสั่งให้ติดตาม ทอล เอาไว้น่ะค่ะ ”(= >_< =)
แมวสาว พูดแก้มของนางแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เหตุผลพิเศษแต่อย่างใด
เพียงแค่การสารภาพว่า คอยติดตามชายหนุ่มต่อหน้าประชาชีแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึก
เหมือนเป็นพวกโรคจิตที่คอยตามคนที่ชอบยังไงอย่างนั้น
“ งั้นก็รีบตามไปสิ! ” หมาป่าขาว วางเสียงสั่งอย่างเคร่งขรึม จนดึงนางจากกลับมาจากภาวะจิตหลุด
แชร์คาน รับคำก่อนจะรีบวิ่งตามออกไปทันที เมื่อไล่ตัวเกะกะไปได้แล้ว
ทั้งเด็กหนุ่ม หมาป่าแดง และ หมาป่าขาวก็มองหน้ากันราวกับรู้ใจ
“ ขอบใจเธอมากนะ เรจิ ที่ช่วยไล่ไปให้ทั้งสองตัวเลย ” หมาป่าขาว พูด
“ ไม่เป็นไรของแบบนี้ เรจิ ชินแล้ว~~ ” หมาป่าแดงตอบด้วยอาการเริงร่า จนเมื่อเด็กหนุ่ม
ยกมือขึ้นปรามให้เขาหยุดก่อนแล้วจึงหันไปพูดกับ โอดิน ด้วยเสียงที่แฝงความนัยเอาไว้
“ งั้นบอกฉันมาทีสิ อดีต12ผู้กล้า โอดิน เซเวอร์ของครั้งก่อน คือใคร ”
………………………………………..
………………………………………………………………………
บัดนี้เชือกที่จะช่วยนำเขาออกไปจากความสิ้นหวังได้ก็เหลือเพียงเส้นสุดท้าย
และนั่นก็คือเหตุผลที่ ทอล เดินฝ่าหิมะมาสู่ คฤหาสน์ของ เซอร์ คามิโอ
ทันทีที่มาถึงคฤหาสน์ทรงยุโรปเก่าหลังเบ้อเริ่ม พ่อบ้านเสือขาว ซึ่งออกมารอต้อนรับเขา
ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ด้วยสภาพจิตใจในตอนนี้ ทอล ไม่มีอารมณ์จะมาสนสภาพของคฤหาสน์ว่าจะงดงาม
หรือโออ่าเพียงใด เขาต้องการพบกับ คามิโอ ให้เร็วที่สุด รู้สึกตัวอีกครั้ง
เขาก็โผล่มาอยู่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งจัดไว้อย่างเลิศหรูอลังการทั้งผ้าปูโต๊ะสีขาวนวลถักจากใยฝ้ายอย่างดี
เชิงเทียนประดับทำจากเงิน และแจกันวางดอกไม้ซึ่งจัดไว้กลางโต๊ะอย่างงดงาม
ที่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะนั้น บุรุษอีกา กำลังจ้องมาที่เขา
“ แหมๆกะแล้วเชียวว่าเธอต้องมา แต่เพราะกระผมนัดกระทันหันไปหน่อย เธอเลยไม่มีเวลาเตรียมชุดอย่างนั้นสินะ เพราะงั้นกระผมจะบริการให้เป็นพิเศษก็แล้วกันนะขรับ 3….2…..1 ”
บุรุษอีกา พูดด้วยน้ำเสียงชื่นมื่นอย่างทุกครั้ง พลางดีดนิ้วเป็นจังหวะสามครั้ง แล้วบันดาล
อัศจรรย์ แก่ชุดเกราะ ที่หมาป่าดำสวมใส่ให้กลายเป็นชุดสูทพิธีการสีดำรวมไปถึง
ทรงผมก็ถูกหวีแต่งให้อย่างเรียบร้อย จนดูเปลี่ยนไปราวกับ คนละคน
“ เอาล่ะทีนี้ก็ค่อยสมเกรียติหน่อย ยังไม่ได้ทานอะไรมาเลยสินะเพราะงั้นวันนี้กระผมจะจัดเมนูพิเศษให้
ด้วย ยุ่งยุ่งรสต้มยำกุ้งน้ำข้นละกันนะคร้าบ~~~~ 3….2….1 ”
สิ้นคำ และเสียงนิ้วดีดเป็นจังหวะที่สาม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะอย่างน่าอัศจรรย์
แต่ยังไงก็ตามตอนนี้ ทอล ไม่สนด้วยซ้ำว่า เขาจะเสริฟอาหารไม่เข้ากับพิธีการหรือจัดโต๊ะหรู
เว่อร์เกินกว่าจะเสริฟบะหมี่ถ้วยแบบนี้ เขามาที่นี่เพราะคำพูดของ คามิโอ ที่ได้พูดไว้
“ เรื่องที่บอกว่าหนทางช่วย โลกิ น่ะ….. ”
มือของบุรุษอีกา ยกขึ้นมาปรามให้เขาหยุดพล่ามแล้วพูดด้วยน้ำเสียงลอยชาย
“ อ๊ะๆๆ ผมรู้อยู่แล้วล่ะขอร้าบ~~ว่าคุณอยากจะพูดเรื่องอะไรเพราะงั้นขอให้ฟังผมพูดก่อนยังไงซะเราก็มีเวลาเหลือเฟือตั้ง 5 นาทีสำหรับการรอให้บะหมี่สุก ”
ดังนั้น ทอล จึงหยุดแล้วนั่งลงกับโต๊ะอย่างสงบๆแต่โดยดี ร่างผอมโกร่งฉีกยิ้มร่า ดวงตาสีเทา
คู่นั้นกำลังจ้องลึกลงไปในจิตใจของเขา
“ ก่อนอื่นผมจะขออธิบายก่อนว่าสิ่งที่น้องชายของคุณจะต้องพบนั้นมีอะไรบ้าง การตัดสินโทษประหาร
ตกลงกันแล้วว่าจะใช้วิธีการที่เลวร้ายที่สุด การเผาแม่มดขอรับ ในวันนั้น น้องชายของคุณจะถูกมัดติดกับ
เสาไม้กางเขน บนลานประหารยกสูงจากพื้น 4 เมตรครึ่ง พลธนูจะยิงธนูขึ้นไปจุดเชื้อเพลิงบนลานประหาร ควันไฟจะค่อยๆทำให้สำลักจนขาดใจแล้วจากนั้นไฟก็ย่างสดน้องชายของคุณจนกลายเป็น
ลิงแดดเดียวนั่นเองขอร้าบบบ~~~ ”
เสียงระรื่นของบุรุษอีกา หวังจะได้เห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวของหมาป่าดำ แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น
ทอล ยังคงมีสายตาที่จ้องมองไปแต่ข้างหน้า ความจริงแล้วน่าจะพูดได้ว่า จิตใจของเขา
มันมืดบอดไปแล้วตั้งแต่ถูกหักหลังมานับครั้งไม่ถ้วนในวันนี้ ทั้งพ่อ ที่ไม่ยอมช่วยเหลือ
หรือแม้แต่เพื่อนๆเองก็ยังคอยขัดขวาง ซึ่งเขาพึ่งจะประจักษ์ไปเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากได้รู้ว่า คนที่คอยติดตามจับตาดูเขามาตลอดคือแชร์คาน ตอนนี้ไม่มีที่ใดให้เขา
พึ่งอีกแล้ว แม้แต่ตัวเซอร์คามิโอ เองเขาก็ไม่ได้หวังอะไรไว้มาก
“ แหมๆ อย่าทำหน้าซังกะตายแบบนั้นซี่~~เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อ้อแล้วก็ไม่ต้องห่วงนะขอรับ
การพูดคุยของเราจะไม่มีใครรู้อย่างแน่นอนคฤหาสน์หลังนี้มีอาคมป้องไว้หนาแน่น และมีกลไกอีกมากมาย
ที่จะป้องกันผู้บุกรุก รับรองว่าไม่มีใครมาคอยจับตาดูอย่างแน่นอน ”
ทอลยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเคยไม่มีการตอบรับใดๆ แม้จะได้อวดสรรพคุณคฤหาสน์ของตนออกไป
นั่นทำให้บุรุษอีกาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะ เสกเอากระดิ่งผูกคอ ขึ้นมาส่งข้ามโต๊ะ
ทอล รับไว้ได้พอดีมือในทันทีก่อนจะมองกระดิ่งด้วยความสงสัย
“ ในวันนั้นรอบลานประหารจะมีอาคมป้องกันไม่ให้บุกรุกเข้าไปได้ กระดิ่งนั่นจะช่วยลบล้างอาคมนั้นได้
ตอนนี้ทางเลือกของคุณมีอยู่สองทาง ทางเลือกที่หนึ่งคือ…. ”
นิ้วชี้เรียวๆของบุรุษอีกา ชูตรงขึ้นมา
“ ตัดใจซะแล้วปล่อยให้น้องชายตายไป หรือสอง…. ” คามิโอพูดพร้อมกับชูนิ้วนางเพิ่มขึ้นมาเป็นสองนิ้ว
“ ฝ่าเข้าไปช่วยน้องชายด้วยพลังแห่งความรัก อ๊า~~~ช่างหอมหวานหยดย้อยเหมือนกับการ์ตูนเด็ก
ผู้ชายเลยใช่ไหมล่ะครับ แต่ว่านะความเป็นจริงมันโหดร้าย วันนั้นตั้งแต่ระดับอัศวินชั้นรองไปจนถึง
อาร์คไนท์ จะต้องไปเป็นพยาน ในพิธีมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ อัศวินชั้นกลางอย่างคุณจะฝ่ากองทัพสัตว์ประหลาดพวกนั้นไปได้ …… ”
แม้จะพูดจบแล้วแต่หมาป่าดำก็ยังคงนิ่งเงียบ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขามีสายตาครุ่นคิด ราวกับกำลังตัดสินใจ
อะไรบางอย่าง
/จงตักสิงจายห้ายแน่วแน่…./คำพูดของป๋ายหู่
/ซื่อสัตย์กับตัวเองให้มากกว่านี้ซะไม่งั้นเจ้าจักต้องเสียใจในภายหลัง…/ คำพูดของเซเวอร์
/แค่พูดน่ะใครๆก็พูดได้….อย่าคิดว่าฉันจะเปลี่ยนใจนะ!/ คำพูดของโลกิ
/โลกนี้ภาษาไม่ได้มีแค่1เดียว เพราะทุกคนไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันได้ …….
หัวใจต้องแสดงมันออกมา ถึงจะสื่อใจกันได้/ และคำพูดของพ่อ
ทุกสิ่งที่เขาได้รับฟังมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ บัดนี้มันกลับมาดังก้องกังวานอยู่ในหัว
สมองทึบๆอย่างเขาพยายามขบคิดหาคำตอบ แต่ที่สุดแล้ว ทอล ก็ได้พบว่ามันไม่มีความหมายใดๆเลย
ต่อให้คิดจนหัวระเบิดก็ไม่ได้ช่วยอะไร เขาไม่เก่งเรื่องใช้สมองเท่า โลกิ ถ้ามันจะมีหนทางป่านนี้
น้องชายอัจฉริยะ คงทำไปนานแล้วที่เขาต้องทำตอนนี้คือทำในสิ่งที่พี่ชายทำได้
แววตาของหมาป่าดำเปลี่ยนไป มันไม่ได้จ้องไปยังอนาคตที่ไร้คำตอบอีกแล้ว เพราะบัดนี้
คำตอบของเขามันก้องอยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจ
“ ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือก…..เพราะคำตอบน่ะมีแค่หนึ่งเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว ”
หมาป่าหนุ่ม พูดหนนี้ไม่มีความลังเลหรือกลัดกลุ้มใดๆแฝงมากับน้ำเสียงแล้ว บุรุษอีกา
ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าระรื่น ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่เขาต้องการพึ่งจะสำเร็จผลไป
เมื่อตอนที่ ทอล เอยประโยคต่อไปกับเขา
“ สองมือนี้…..ดวงตานี้……จะไขว่คว้าเพียงสิ่งเดียว….. ”
…………………………….
หลังจากส่งตัว ทอล กลับไปแล้ว คามิโอ จึงปล่อยตัวนั่งเอกเขนก อยู่บนเก้าอี้พลางให้ความคิดแสน
เจ้าเล่ห์ แล่นไปบนสมองอันล้ำลึก บนโต๊ะมีวางกระดานมากรุกเอาไว้ หมากแต่ละตัวบนกระดาน
ถูกวาง อย่างไม่เป็นไปตามกติกา หมากดำสองตัว อยู่กลางกระดานรายล้อมไปด้วยหมากขาว
บนตัวของหมากดำ มีเขียนชื่อของ สองพี่น้อง ทอล และ โลกิ เอาไว้
“ ทีนี้ตัวละครก็ครบเสียที อีกเดี๋ยวก็จะเริ่มโหมโรงกันแล้ว เมสสิยาห์(Messiah) วันประสูติของ
ผู้กอบกู้แห่งเหล่าสัตว์หาง(Saver of Tails) ”
……………………………………………………….
……………………………..
…………………..
เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งของวันใหม่แล้ว ร่างสีดำพึ่งจะเดินตัวลอยกลับมา ที่กระท่อมนอกเมือง
เมื่อประตูได้เปิดออก สายตาช่างสงสัยก็สบเข้ากับ หมาป่าแดง ที่กำลังตั้งอกตั้งใจห่อข้าวห่อของ
ลงในย่ามผ้าสีขาว ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันคงไม่ใช่ของที่มีอยู่ในกระท่อม สิ่งของที่ถูกห่อ
ลงไปเป็นของแปลกๆอย่างลูกไม้ป่า กรวดหินกลมจำนวนหนึ่ง
“ กำลังทำอะไรอยุ่น่ะ? ” ทอล ถาม ร่างสีแดงสะดุ้งไหวตัวเล็กน้อย แล้วหันมามองด้วยสีหน้าหวาดๆ
เหมือนจะปิดบังอะไรไว้ “ ต…เตรียมกลับบ้านอ่ะ..เรจิ จะกลับไปหาป๊ะป๋า~~~ ”
“ หรอ…. ” ทอลรับคำห้วนๆ แล้วเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วความคิดหนึ่งก็พลันแวบเข้ามาในหัว
เรจิ คือหมาป่าที่ไม่ธรรมดาเลยด้วยสายตาของเขาเป็นพยานในการต่อสู้กับ กษัตริยา
ถึงจะไม่สามารถเอาชนะได้ทั้งศาสนจักรแต่ถ้าแค่ดึงความสนใจเอาไว้ระหว่างที่เข้าไปพาตัว
โลกิ หนีจากลานประหาร
/เรจิ จะกลับไปหาป๊ะป๋า~~/ เสียงของ เรจิ ที่เขาได้ยินเมื่อครู่ ดังก้องขึ้นมาในหัวมันมาจากจิตใต้สำนึก
ซึ่งกำลังเตือนให้เขารู้ตัวว่ากำลังตกอยุ่ในกลลวงของจิตใจฝ่ายต่ำ นี่เขาจมอยุ่ในความสิ้นหวังจนถึง
กับยอมขายเพื่อนผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาจาก สกายบัค เลยเชียวหรือ
ร่างสีดำ ก้มหน้าด้วยความละอาย แล้วเมื่อได้ลองทบทวนดูเขาก็พบว่าไม่มีความจำเป็นอันใดที่
จะทำให้เขาขอร้องหมาป่าตัวนี้ได้เลย ไหนจะ โลกิ ที่ทำอะไรไว้จนน่าจะขยาดไปแล้ว
ไหนจะเรื่องที่หมาป่าตัวนี้เองก็มีครอบครัว ถ้าเขาลากให้มาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย
ครอบครัวของ เรจิ จะเป็นยังไงต่อ จิตสำนึกของความถูกต้องกำลัง ติเตียนตัวเอง
ให้ล้มเลิกความคิดที่ใช้ไม่ได้เช่นนั้น
“ จะไปเมื่อไหร่เหรอ? ” ทอล ถาม
“ พรุ่งนี้เช้าอ่ะงิ ” เรจิ ตอบเสียงใสหลังจากมัดปากห่อผ้าเสร็จ จึงมุดตัวลงไปนอน
ใต้ห่มบนฟูกประจำตัว
“ หรอ…ฝากทักทายคุณพ่อด้วยล่ะ ฝันดีนะ ”
“ อืม~~ฝันดีงิ ”(zZzZ)
แล้วดวงไฟของกระท่อมก็ดับลง ภายในค่ำคืนอันเงียบสงัดด้วยอุณหภูมิที่กำลังลดลงเรื่อยๆ
เมื่อถึงตอนเช้าทุกอย่างก็จะกลายเป็นสีขาวโพลนและเต็มไปด้วยหิมะ
………………………………………………………….
………………………………………….
…………………………
ในเช้าสายของวันต่อมา ร่างสีแดงเพลิงของหมาป่าเรจิ กำลังตะกุยสี่เท้าไปบนพื้นหิมะอันแสน
จะเย็นยเยือก ด้วยขนสีแดงที่ห่อหุ้มทั้งตัวไว้ช่วยปกป้องจากอากาศหนาว อุณหภูมิในร่างกาย
ของเขาจึงไม่ลดต่ำลงไปแต่อย่างใด เรจิ ควบวิ่งมาจนถึงหน้าทางเข้าสู่ป่าทางเหนือ ซึ่งต้นไม้ในป่าผลัดใบ
ร่วงโรยหมดทุกต้น จนมีสภาพเป็นป่าหัวโกร๋น
ก่อนที่ หมาป่าแดงจะทันพุ่งเข้าไปในป่า ก็มีเงาหนึ่ง เดินสวนออกมาจาก เงาของป่า
“ ลูกพี่คิดจะไปไหนกัน… ” ร่างซึ่งปรากฏขึ้นยามต้องแสงแดด คือแมวหนุ่มขนสีเทา คอย์น
ชักเอามีดที่เหน็บเอวขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแมวหนุ่มขี้เล่นตีสีหน้าจริงจังมีดของเขาเป็นมีดยาวส่วน
ของใบมีดนั้นไร้คมแต่มีความแหลมมันมีลักษณะเหมือนกับหินงอก หินย้อย สะท้อนแสง
สีเขียว แมวหนุ่มถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพูดขึ้น
“ ……ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเพื่อผมลูกพี่ช่วยหยุดแค่นี้ทีเถอะนะสองพี่น้องนั่นถ้าเป็นไปได้
ผมก็อยากให้หายไปด้วยซะทั้งคู่เลย ”
หมาป่าแดง เข้าใจความหมายของมัน และนั่นคือเหตุผลที่ เขาแยกเขีย้วใส่ แมวหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ
สถานการณ์ดูจะบีบคั้นเสียเหลือเกิน นับตั้งแต่ที่เรื่องของ โลกิ แดงขึ้นมาทุกอย่างก็ดูเหมือนจะบ้า
ไปกันหมด ราวกับที่ผ่านมาตัวตนของพวกพ้องเหล่านี้เป็นแค่การเสแสร้ง หรือว่า เป็นเพราะโลกิ
กันแน่ที่นำพาความวิปริตพวกนี้มาสู่ใจของพวกเขา
ทันใดนั้นเอง ร่างของเด็กหนุ่ม โผล่ออกมาจากรอยบิดเบี้ยวของมิติที่กึ่งกลางระหว่าง
ทั้งสองพอดิบพอดี ในมือของเด็กหนุ่ม เตรียมดาบสั้นอัญมณีฟ้าฟื้นไว้พร้อมราวกับตั้งใจจะมา
สู้รบแต่ต้น เซเวอร์ หันคมดาบใส่ คอย์น อย่างไม่ลังเล
“ ไปก่อนเลย เรจิ ที่นี่ฉันจะจัดการเอง ”
เซเวอร์พูด แล้วร่างสีแดงก็ทะยานตรงเข้าสู่ป่าทันที คอย์น พยายามสะกัดแต่ก่อนที่จะไหวตัว
มือของเด็กหนุ่มก็คว้าตัวเขาไว้เสียก่อน จนเรจิ หลุดมือวิ่งหายเข้าไปในป่า
“ เรามีเรื่องต้องคุยกัน คอย์น ไม่สิอดีตเซเวอร์! ทำไมเจ้าถึงได้ละทิ้งภารกิจ…. ”
แมวหนุ่มตวัดสายตากลับมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยอาการตกตะลึง
“ โอดิน เป็นคนบอกงั้นรึ? ” คอย์น ย้อนห้วนๆ พลางสะบัดมือของ เซเวอร์ออก
…………………………………………………..
…………………………….
………………….
ราตรีกาลได้มาเยือนอีกครั้ง คืนนี้เป็นคืนที่ โรจนคร สว่างไสวกว่าทุกคืน ภายในเมือง
ครึกครื้นไปด้วยสัตว์หาง และงานเทศกาล ร้านรวงต่างๆเปิดขายสินค้าจนดึกดื่น
พวกเขาเฉลิมฉลองให้กับค่ำคืนศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องเล่าขานว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่
เหล่าเทพทั้ง 6 ได้ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วยังเป็นวันประสูติของ สัตว์หางตัวแรกที่ได้กลายมาเป็นศาสดา
ก่อตั้งศาสนจักร อย่างเฟิสเทล(First Tail) อีกด้วย
มันคือวันที่ทุกครอบครัวจะได้เฉลิมฉลองพร้อมหน้ากันอย่างสุขสันต์ ภายใต้ร่มเงาของความผาสุข
ปีศาจและคนบาปจักต้องมอดไหม้
และนั่นคือเหตุผลของการดำเนินพิธี ประหารในค่ำคืนนี้ พวกเขาต้องการให้ ลูกหลานของมารร้าย
วอดวายเพื่อเป็นของขวัญเฉลิมฉลองวันประสูติของ องค์ศาสดาและเหล่าเทพเจ้า
ลานทรายอันกว้างขวางนอกตัวเมือง บัดนี้กลายเป็นสีขาวโพลนปูพื้นด้วยหิมะเย็นยเยือก
จนไม่อาจนึกภาพของคราบเลือดที่เกรอะกรังอยุ่ใต้หิมะนี้ ลานแห่งนี้คือสถานที่สำหรับประหาร
สัตว์หางที่กระทำผิดร้ายแรง บนลานกว้างแห่งนี้ยังมีพื้นซึ่งยกเป็นฐานขั้นบันไดสูงสี่ชั้น
ความสูงชั้นละ 1 เมตร ชั้นบนสุดของฐานแห่งนี้ คือพื้นที่สำหรับการประหารเพื่อประจาน
ในวันนี้มันจะถูกใช้เพื่อสังหารบุตรแห่งซาตาน และได้ตระเตรียมสิ่งของสำหรับพิธี
ดังต่อไปนี้ ชั้นบนสุดของลานตั้งเสาไม้กางเขนสำหรับตรึงนักโทษ ไว้หนึ่งต้น
พื้นที่ของชั้นที่เหลือ จะกองรั้วไม้ที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ และไว้ด้วยน้ำมัน
พื้นที่รอบฐานที่ชั้นล่างสุดซึ่งติดกับพื้น จะถูกวาดข่ายอาคมเอาไว้ สำหรับป้องกันการบุกรุก
เมื่อเริ่มพิธี
เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งของวันแล้ว ลานพิธีเนืองแน่นไปด้วย เหล่าทหารและอัศวินทั้งของ อาณาจักร
และศาสนจักร ต่างมารวมตัวกันในวันีน้เพื่อเป็นสักขีพยาน
ร่างเล็กใต้ขนสีแดงเพลิง ตามร่างกายถูกเขียนไว้ด้วยลายอักขระอาคมสำหรับผนึกกการใช้เวทย์
เสือดำสองนายเป็นผู้คุมตัวเขา เดินผ่านเหล่าผู้เกี่ยวข้อง ไปยังลานประหาร
ที่ชั้นฐานของลาน หมาป่าขาว ผู้เป็นพ่อกำลังยืนรอเขา สายตาของพ่อต่างไปจากทุกครั้ง
เขาไม่สามารถบอกได้ว่าพ่อ ของเขากำลังคิดอะไรอยู่ สองเสือดำนำตัวเขามาหยุดต่อหน้าพ่อ
“ มีอะไรที่อยากจะสั่งเสียก่อนรึไม่? ” ร่างสีขาวพูดเสียงกระด้าง และไม่แม้แต่จะสบตากับ
ลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย โลกิ ทำใจเอาไว้แล้ว ว่าบัดนี้ไม่มีอะไรที่จักต้องเสียใจอีก
ชีวิตของเขามันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของ ศาสนจักร
ที่สามารถล้มล้างได้แม้แต่บุตรแห่งซาตาน ห่วงสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่คือ อนาคต
ที่บอกเล่าจากดวงตาปีศาจของเขา
“ พ่อครับ….ผมขอโทษ…ฝากดูแลพี่ด้วย…. ” ลิงหนุ่มพูดขอร้องเป็นหนสุดท้ายก่อนจะถูกนำตัวขึ้น
ไปสู่บันไดมรณะ
“ ข้าขอรับปาก….. ” คำพูดสุดท้ายของพ่อ ช่วยให้ผ่อนคลายจิตใจที่หนักอึ้งของเขา
บัดนี้ไม่มีห่วงใดจะมาเหนี่ยวรั้งไว้อีกแล้ว ขาคู่นั้นก้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างองอาจ
โลกิถูกนำตัวขึ้นไปสู่ชั้นบนสุดของฐานประหาร มัดข้อมือทั้งสอง
ติดกับท่อนไม้แนวนอนของส่วนกางเขน แล้วจับรวมข้อเท้าทั้งสองข้างมัดติดกับ
ฐานเสาไม้กางเขน แล้วทหารเสือดำทั้งสองนาย ก็วิ่งกลับลงไปด้วยอาการรีบเร่ง
เข็มเวลาเข้าใกล้เที่ยงคืนไปทุกขณะ การเตรียมพิธีเป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้การกำกับ
ของสังฆราชสิงโตทะเล เรกกุ
“ ด้วยความเร็วขนาดนี้พิธีคงเสร็จสิ้นทันก่อนพ้นคืนศักดิ์สิทธิ์นี้ไป แล้วเราจะได้จัดฉลอง
กันเสียเลย ท่านคิดว่ายังไงล่ะ เซอร์ อิทาลุส? ”
เรกกุ ถามขณะทอดสายตามองกองพลธนู ที่จะทำหน้าที่ยิงศรเพลิงเพื่อจุดไฟประหาร
กำลังเข้าแถวเป็นตอนเรียงรอบฐานประหาร
“ …………. ” ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆจาก แม่ทัพเหยี่ยว สายตาแข็งกร้าวแห่งนักรบ
ของเขามุ่งมั่นเพียงแค่การกำจัดตัวอันตรายที่ขึ้นชื่อว่า จะเป็นภัยต่อ เทพีแห่งแสงอัลคาเซีย
ที่เขาเคารพรัก ยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง เบื้องหลังของแม่ทัพ
บรรดา อัศวินชั้นรองและชั้นสูงมากมายหลายร้อยนาย กำลังจัดแถวตอนเรียงภายใต้การกำกับของ
แม่ทัพไลเกอร์โบลดาส อยู่นั่นเอง
“ จงระวังอย่าให้ผู้ใดเข้ามาขัดขวางพิธีได้!! ”
แม่ทัพไลเกอร์ สั่งด้วยเสียงอันดังกึกก้องเหมือนทุกครั้งก่อนจะตวัดสายตา
มองไปที่ ลานประหาร ด้วยสังหรณ์แห่งสัญชาตญาณนักรบ จิตใจของโบลดาส
ถูกคุกคามด้วย ความกังวลที่มีต่อพิธีในวันนี้ บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นและเขา
คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ
“ หน้าเครียดเชียวนะ โบลดาส เจ้ากังวลอะไรอยู่งั้นรึ ” เสียงนั้นดึงให้แม่ทัพไลเกอร์
หลุดจากภวังค์แล้วหันไปยังทิศของเสียง ยุวราชแห่งแสง และสหายไบซัน
กำลังรอคำตอบเขาอยู่
“ สังหรณ์ข้ามันรวนๆ วันนี้ข้าร็สึกได้ว่าเหล่าวิญญาณบนดินแห่งนี้ระสับระส่าย
บางทีข้าคงจะคิดมากเกินไป ”
แม่ทัพไลเกอร์ ตอบตามความเข้าใจของตน ยุวราชแห่งแสง ชะเง้อคอขึ้นมองตาของร่างสูงเบื้องหน้า
แล้วกล่าวตอบ “ ข้าว่าบางทีข้าอาจจะป่วยเป็นโรคเดียวกับเจ้าก็ได้….เพราะใจข้ามันไม่สงบเอาเสียเลย ”
กษัตริยา มีสีหน้าเคร่งเครียด นางรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นเหมือนกับ
เมื่อครั้งที่นางได้ประดาบกับ เรจิ
“ เจ้าจำได้รึปล่าว? ตอนนั้นที่เจ้าเข้ามาห้ามการต่อาสู้ของข้า กับ หมาป่าสีแดงตัวนั้น บรรยากาศในตอนนั้น
มันช่างคล้ายกับตอนนี้มาก ” กษัตริยา ตรัสถาม
“ ที่แท้ความรู้สึกนี้ข้าก็เคยประสบมาแล้วนี่เอง บางทีข้าว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้วล่ะ
ค่ำคืนนี้อาจจะกลายเป็นค่ำคืนแห่งการนองเลือดก็เป็นได้…. ”
โบลดาส ตอบ แล้วทั่งคู่ก็มองดูความเป็นไปของพิธี โดยที่เก็บเอาความกลัดกลุ้มไว้กับตัว
หิมะสีขาวเริ่มโปรยปรายสายลมหนาวพัดโหม ความหนาวเหน็บกำลังกัดกร่อนเรี่ยงแรง
ของ ลิงหนุ่ม ด้วยเสื้อนักโทษที่เขามีสวมใส่อยู่ตอนนี้มันไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นเลย
ลมหายใจของเขากลายเป็นไอ ท่ามกลางความมืดมิดเมื่อมองจากลานประหารลงไปเบื้องล่าง
คือพื้นสีขาวที่ มีดวงไฟสีแดงขึ้นป็นจุดหย่อมๆ
“ โยนมูหราดลงไป!!!!!!!!!!!!!!!! ” เสียงตะโกนลอยขึ้นมาตามลม และแล้วฐานรอบ
ลานประหารก็ปรากฏแสงสีแดงตีวงล้อมรอบฐาน มันขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุด เขาก็เห็น มันเป็น
เพลิงสีแดงฉานกำลังลุกโชนขึ้นมา มันคือไฟเวทย์ ที่จุดขึ้นเพื่อเป็นกำแพงป้องกันการบุกรุก
ระยะที่ไฟลุกโชนขึ้นมายังอยู่ไกลเกินกว่า จะให้ความอบอุ่นแก่ร่างซึ่งสั่นเทิ้มไปด้วยหนาวเหน็บ
ที่เบื้องล่างนั้น สังฆราชสิงโตทะเล กำลังบริกรรมคาถา เพิ่มพลังไฟให้กับ ก้อนสินแร่สีแดงขนาด
เท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ ซึ่งถูกจุดให้ลุกด้วยไฟ เปลวไฟจักปกคลุมก้อนสินแร่นั้น และไม่ดับมอด
แม้ว่าสายลมจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม สินแร่ทั้งสี่ก้อน ถูกวางไว้ยังหัวมุมสี่เหลี่ยม
ของลานประหาร มันคือสินแร่ที่กักเก็บพลังของเทพแห่งไฟ พวกเขาเรียกมันว่าแร่
มูหราด(Murad)
ครั้นเมื่อ สินแร่อัคคีถูกโยนลงไปในยังมุมทั้งสี่ ไฟซึ่งลุกโชนอยู่บนก้อนแร่ก็ได้ขยายตัว
จนกลายเป็นกำแพงอัคคี ล้อมรอบลานประหารไปจนถึงชั้นที่ สอง
บนท้องฟ้าเหนือลานพิธี ที่นั่งสุดแสนวิเศษที่ทำให้จับตามองได้ทั่วทั้งลาน ได้ถูกจับจอง
โดย บุรุษอีกาผู้นั่งชมอยู่บนเก้าอี้ โซฟาสีขาว ตัวของเขาและเก้าอี้ลอยอยุ่บนฟ้าด้วยพลังเวทย์
ที่กลั่นมาจากมานา และผ้าคลุมของเขาถูกนำไปขึงไว้บนผนักพิง ใช้ต่างร่มกันหิมะตกใส่
“ Christmas มาจากคำภาษาโบราณแผลงมาจาก Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า
ช่างบังเอิญหรือเกินที่คำๆนี้ในภาษาเก่าของพวกสัตว์หางก็แปลได้ว่า การบูชาเทพเจ้าด้วย ฮิๆๆ ”
บุรุษอีกา ฉีกยิ้มระรื่น ขณะมองดูพิธีกรรมจากบนนี้ ความหนาวเย็นของชั้นบรรยากาศ
ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับร่างผอมบางของเขาเลย แม้จะสวมใส่แค่สูทสีขาวเนื้อผ้าบางเฉียบก็
ตามที
“ वामन ” (Vamana) สิ้นเสียง ก็บังเกิดรอยบิดเบี้ยวของมิติขึ้นในอากาศ แล้วร่างของเด็กหนุ่ม
ก็ลอยผ่านออกมา เท้าของเขาเหยียบลงบนอากาศที่ไร้ตัวตน จนดูเหมือนเขาบินบนฟ้าได้
“ ยินดีต้อนรับสู่ที่นั่งชั้น VIP นะขอรับท่านผู้สูงศักดิ์~~~ ”
คามิโอ หาได้แสดงความเกรงกลัว ต่อ เซเวอร์ แล้วยังออกปากชวนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องของมนุษย์ดีเหลือเกินนะ แต่ก็อย่างว่า….ตัวจริงของเจ้าน่ะมัน
แฝงอยู่ในทุกหลืบมุมของประวัติศาสตร์มนุษย์อยู่แล้วนี่นะ ”
เซเวอร์ เปรยก่อนจะหันมามอง ร่างซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆ
“ โอ๊ะโอ รู้คำตอบแล้วหรือขรับ? ”
“ พอลองมาคิดๆดูแล้ว การที่เจ้าสามารถหลบความเร็วของสายฟ้าได้ แล้วยังหลังจากนั้น
ที่ข้าไม่สามารถใช้ วามนาวตาร ได้อีกทำให้ข้าได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวออกมา วามนาวตาร ของข้า
จะใช้การบิดเบือนของห้วงเวลาและมิติ เพื่อลดระยะทาง และการที่มันใช้ไม่ได้ก็น่าจะมีสาเหตุ
จากคลื่นพลังของเจ้ายามที่ใช้เวทนต์ ได้ส่งผลต่อมิติและเวลา เมื่อได้คำนึงถึงจุดนี้แล้วตัวตน
ของเจ้าก็มีเพียงหนึ่งเดียว เจ้าคือผู้ที่เป็น พิษของพระเจ้า(Poison of god)………… ”
“ อะแฮ่มๆๆ ” บุรุษอีกา แกล้งกระแอ่มไอ เพื่อให้ เด็กหนุ่มหยุดก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ กระผมอยู่กับมนุษย์ มานานแสนนาน ได้ชื่อมาก็หลายชื่อ ทั้ง โครนอส โลกิ เมฟิสโต้ และ
อีกมากมาย แต่ตอนนี้กรุณาเรียกกระผมว่า คามิโอ กินนัมกาแกปด้วยนะขอรับ~~ แล้วก็อย่างที่
ได้บอกไปกระผมอยู่กับพวกเขามานานตั้งแต่เกิดในสวนอีเดน จนถึงตอนจบที่เกิดขึ้นไปเมื่อ
5000ปีก่อน บอกตามตรงเลยว่ากระผมเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เหล่ามนุษย์ผู้น่ารักเหล่านั้นต้องตาย
จากไปจนหมด ของเล่นใหม่อย่างสัตว์หางพวกนี้ ก็เป็นได้แค่ของก็อปเกรดบีเท่านั้น… ”
“ อย่าได้คิดจะล่อลวงข้าเลย ยามที่ล่วงรู้ตัวตนของเจ้าข้าก็ไม่คิดจะไว้วางใจในคำพูดใดๆ
ของเจ้าอีกแล้ว ”
เซเวอร์ พูดแล้วหันหน้าหนีแสดงอาการรังเกียจต่อ บุรุษอีกา อย่างโจ่งแจ้ง
“ แหมๆ ใจร้ายกันจังเลยนะขรับ งั้นเอางี้กระผมจะขอเล่านิทานของสัตว์หางให้ฟัง
แทนการขอขมาท่านก็แล้วกันนะขอรับ ”
คามิโอ พูดแล้วจึงเริ่มเล่าโดยไม่สนใจฟังคำตอบจาก เด็กหนุ่มอีกเลย
- กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันเฉลิมฉลองศักดิ์สิทธิ์ ยามค่ำคืนที่ทุกคนต่างหลับไหล
พระเจ้าในชุดสีแดงจะลงมาทางปล่องไฟแล้วแอบเอาของขวัญมาให้กับเด็กที่เป็นเด็กดี -
“ อะไรกันล่ะนั่น…ซานต้าครอสชัดๆเลยมิใช่รึไงน่ะ ” เซเวอร์ แย้งทันทีหลัง
ฟังเรื่องเล่าของ คามิโอ จบ
“ ใช่แล้วขอร้าบบบ~~~ แม้แต่เรื่องเล่าพื้นบ้าน ก็ยังก็อปกันมาซะจนน่าเศร้าเลยทีเดียว
กระผมไม่ได้กำลังดูหนังย้อนใช่ไหมเนี่ย~~~ ”
บุรุษอีกา พูดไปหลั่งน้ำตาไปก่อนจะเสกเอาผ้าเช็ดหน้ามาสั่งน้ำมูกชุดใหญ่ ทำเอา
เด็กหนุ่ม ไปไม่ถูกกับอากัปกิริยา ของเขา
คามิโอ ปาดน้ำมูกที่ไหลย้อย ออกแล้วเริ่มพูดต่อ
“ และคืนนี้นิทานเรื่องที่ว่าก็จะจัดไลฟ์โชว์ ขึ้นที่นี่เหมือนกันขอรับ ฮิๆๆๆ ”
บุรุษอีกา หัวเราะพร้อมกับคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เบิกกว้างอยุ่บนใบหน้าที่ปกคลุมด้วยขนสีดำ
“ ว่าไปแล้วรู้สึกเป็นเกรียติจริงๆที่ท่านศาสดาใหญ่แห่งพุทธศาสนา ทรงเสด็จมาร่วมงานประสูติ
ของพระคริสต์แบบนี้ ” คามิโอ แกล้งหยอกใส่(=3=) ก่อนที่เขาจะสั่งให้คามิโอหยุด
“ เลิกแหย่ข้าซักทีเถอะน่า! ”
…………………………………….
เมื่อเวลาล่วงมาถึง ห้าทุ่มสี่สิบห้า สังฆราชสิงโตทะเล จึงได้สั่งให้เริ่มพิธี
“ เริ่มพิธีได้!!!!!!!!!!!!!!! ” เสียงประกาศลายขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของลานประหาร
โลกิ ทำใจเตรียมพร้อมที่จะยอมรับมันแต่โดยดีแล้ว ไม่ต้องการปฏิหารย์หรือความหวังใดๆอีก
เพราะทุกวินาที ที่เฝ้าภาวนาถึงมัน ปาฏิหารย์ที่ปวดร้าวที่สุด คือการที่ ทอล จะขึ้นมาหาเขาที่นี่
บัดนี้หัวใจอันว่างเปล่า ได้ถอนหายใจเฮือกสุดท้ายออกด้วยความโล่งอก ความเงียบสงัด
ของเสียงเบื้องล่างที่หายไปจนเงียบกริบ คือสัญญาณที่ว่า โก่งธนูของบรรดาพลธนู
ได้พาดไว้ด้วยลูกศรชุบน้ำ ศรเหล่านั้นจะวิ่งผ่านกำแพงและลุกไหม้ เมื่อมันตกลงมา
เชื้อเพลิงมากมายที่เตรียมไว้จะลุกเป็นไฟเผาผลาญเขาจนถึงแก่ความตาย
แต่แล้วความเงียบสงัดก็ได้ถูกทำลายลง เสียงเอะอะข้างล่างนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะอยู่สูงเกินไป
จึงจับใจความไม่ได้ ด้วยความสงสัย ลิงหนุ่ม พยายามยืดคอเมื่อให้ระยะสายตา
ไปถึงฐานของลาน กำแพงไฟที่ล้อมรอบลานแห่งนี้กำลังแหวกตัวออกแล้ว
ร่างสีซึ่งสวมใส่เกราะเหล็กก็ทะยานผ่านเข้ามา
ดวงตาสีบุษราคัมเบิกกว้าง หัวใจของเขาภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นพันๆหน
/ขอร้องล่ะ….ไม่ใช่พี่นะ/
ราวกับตลกร้ายยิ่งภาวนาภาพมันก็ยิ่งเด่นชัดมันกำลังประทับลงไปบนดวงตาของ โลกิ
ภาพของพี่ชายหมาป่า ซึ่งกำลังปีนขั้นบันไดสูงชันของลานประหาร
ละครเศร้าที่มีชื่อว่าโศกนาฏกรรม และฉากเรียกน้ำตาคงจะเป็นสิ่งโปรดปรานของพระองค์
ถึงได้ทรง รังสรรค์ความโหดร้ายเช่นนี้ขึ้นมา
“ หยุดมันเอาไว้!!!! ”
เรกกุ แผดเสียงสั่งด้วยโทสะ ด้วยความไม่ทันนึกว่า ทอล
จะสามารถฝ่ากำแพงเพลิง เข้าไปได้ ทว่าคำสั่งของเขาก็หาได้มีหางใดจะทำตามได้
เพราะกำแพงไฟที่ล้อมรอบลานประหารทำให้ เหล่าอัศวินและกองทหารรักษาการ
ตามขึ้นไปจับตัว ทอล ไม่ได้
“ ข้าจะไปหยุดมันเอง… ” อิทารุส อาสา แล้วสยายปีกบินทะยานขึ้นไป จนอยู่
สูงเหนือกำแพงไฟ ปืนสั้นในมือยกขึ้นประทับเล็ง ไปที่ขาของหมาป่าดำ
ปัง!!!!!!!!
มือของอิทารุส เหนี่ยวไกปืนอย่างไม่ลังเล ลูกระสุนเหล็กพุ่งฝ่าสายลม และ หิมะ เข้าไปฝังลึก
ที่ต้นขาของ หมาป่าดำ ร่างนั้นแผดเสียงร้องและล้มลงชักดิ้นชักงอทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
แล้วหยุดลงที่ชั้นสามของลานประหาร
“ ข้าแต่อารักขาเทวดา พระเป็นเจ้าทรงกรุณามองข้าพเจ้าไว้ในอารักขาของท่าน โปรดส่องสว่างพิทักษ์รักษา และคุ้มครองข้าพเจ้าตามทางความรอด ณ คืนนี้ ด้วยเทอญ อาเมน ”
(Angel of God , my guardian dear; to whom God’s love commits me here. Ever this day be at my side , to light and guard, to rule and guide. Amen.)
เสียงของหมาป่าดำ ลอยขึ้นมาจนถึงหูของแม่ทัพเหยี่ยว แล้วร่างซึ่งล้มลงนั้นก็กลับลุกขึ้น
มายืนอีกครั้งโดยมีแสงสว่างเปล่งประกายเจิดจรัสออกมาจากร่าง
==================Second Wind===================
ตัวตนของแสงสว่างนั้นคือวิชาฟื้นคืนพลังโดยอาศัยความเข้มแข็งของจิตใจ บทสวดใช้เพื่อรวบรวมมานา
มาเสริมพลังกายให้สามารถต่อสู้กับความเจ็บปวดได้ ร่างสีดำนั้นเริ่มก้าวขึ้นขั้นบันไดต่ออย่างไม่ลดละ
ที่เบื้องล่างนั้น สังฆราชสิงโตทะเล กำลังวีนแตกที่พิธีถูกขัดจังหวะแล้วควานสายตาหาคนรับผิดชอบ
จนมาหยุดที่โอดิน ร่างเตี้ยะแคระเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปหาแล้วสบถด้วยเสียงสูง
“ เซอร์ โอดิน นั่นมันลูกชายอีกตัวของท่านไม่ใช่เรอะ! หยุดเขาทีสิ!! ”
หมาป่าขาว สูดลมหายใจเข้าเฮือก ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่น
“ ลุยเลย!!!!ลูกพ่อ!!!!!!!!!!!! ”
“ เดี๋ยวเซ่!!! ข้าบอกท่านหยุดเขานะไม่ใช่ให้เชี ยร์!! ”
“ ก็ข้ากำลังพยายามหยุดอยู่นี่ไง ”
“ ยังไง? ”
“ ก็ลูกผู้ชายน่ะยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เพราะงั้นถ้ายุไปเยอะๆเดี๋ยวก็เลิกเอง ”
หลังจากได้ฟังเหตุผล สังฆราชสิงโตทะเล ถึงกับมือก่ายหน้าผาก ยืนเอียงไปมาคล้ายจะเป็นลม
จนพลธนู ชุดหนึ่งต้องวางคันศรเข้ามารับร่างของ องค์สังฆราชไว้ไม่ให้ล้ม
หนึ่งในพลธนูที่กำลังมองดูเหตุการณ์นี้ มี ซาจิทาเรียส กิ้งก่าเหลืองผู้เป็นสหายคนสนิทของ
ทอลรวมอยู่ด้วย
“ นี่นายเอาจริงเหรอ…ทอล ” ซาจิทาเรียส เปรยและมองดูร่างของเพื่อนสนิท
กำลังดิ้นรนขึ้นไปหาน้องชายที่เป็นนักโทษประหาร
บนท้องฟ้าแม่ทัพเหยี่ยว กำลังขบฟันด้วยความกริ้ว ก่อนจะชักปืนกระบอกที่สองออกมาในครานี้
เขาจะสอยให้ร่วงไปเลย
“ เทาซันด์ชอต(Thousand Shot) ”
แม่ทัพเหยี่ยว ลั่นเสียงพร้อมกับเหนี่ยวไกปืน มานากลั่นตัวมารวมกันที่ปาก กระบอก
ยามเมื่อลูกกระสุนวิ่งผ่านอนุภาคมานา ก็จะแตกกระจายออกกลายเป็นกระสุนอีก
100นัด แม่ทัพเหยี่ยว ลั่นกระสุนปืนไปทั้งสิ้น กระบอกแรก 4นัดและอีกกระบอก5นัด
ลูกกระสุนทั้งหมดจึงมีเพียง 900นัดที่โปรยปรายลงไปยังลานประหาร
ฝนกระสุน ทิ่มแทงลงไปยังส่วนต่างๆ บนร่างกายของหมาป่าดำ แม้จะมีแสงสว่างจาก
พลังของพระเวทที่เขาได้ร่ายใส่ตัวคอยคุ้มกันเอาไว้เสมือนเสื้อเกราะแต่กระสุนมากมาย
ที่โปรยปรายลงมานั้น บางส่วนเจาะทะลุผ่านทั้งเกราะเวทย์และเสื้อเกราะเหล็กเข้ามาได้
ไม่มีกระสุนนัดใด ตกลงยังจุดสำคัญ แต่แขนและขาของเขา ก็พรุนจนแทบจะใช้การไม่ได้
โลหิตสดๆไหลอาบขั้นบันไดสีขาวที่คลุมไว้ด้วยหิมะ ย้อมจนมันกลายเป็นสีแดง
ร่างนั้นล้มลงแต่ก็ยังไม่หยุด แม้จักต้องคลานไปก็ตามทีมันก็ยังจะขึ้นไป
================ No KO ===================
อิทารุส ที่ยิงกระสุนไปจนหมดแม็ก จึงต้องเสียเวลาเปลี่ยนกระสุนใหม่ ซึ่งทอล
ก็คลานขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดแล้ว เมื่อกระสุนถูกบรรจุเสร็จสรรพ อิทารุส ก็พร้อมจะเล็งมัน
ไปที่ศรีษะของหมาป่าดำ นิ้วของแม่ทัพเหยี่ยว เหนี่ยวไกปืนรัวๆอีกครั้ง ลูกกระสุนทั้งสิบพุ่ง
ทะยานออกจากปากกระบอก และมุ่งตรงไปสังหารหมาป่าดำ
ฟ้าว!!!!!!!!!!
ดวงตาของอิทารุส เบิกโผลงความประหลาดใจเข้าคุกคามในทันที กระสุนทั้งสิบนัด
นั้นถูกอะไรบางอย่างพุ่งปัดจนเบี่ยงออกจากเป้าหมดทุกนัด สายตาของแม่ทัพเหยี่ยว
มองหาตัวผู้ขัดขวางด้วยอาการลนลาน บัดนี้เขาตระหนักได้ว่ามีผู้ให้ความร่วมมือกำลังเล็งจัดการ
เขาบนท้องฟ้า การบินอยู่แบบนี้เท่ากับเป็นเป้านิ่ง แม่ทัพเหยี่ยวตัดสินใจ บินกลับลงไป
ยังพื้นเบื้องล่างแทน แล้วความหาตัวผู้ที่ขัดขวางเขา แต่ก็หาได้มีใคร เห็นหรือรู้สึกตัวว่า
มีคนยิงอะไรขึ้นไปเลย
สิ่งที่ตัดผ่านกระสุนของอิทารุสนั้นคือลูกศร ที่แผลงออกจากคันธนูด้วยน้ำมือของ ซาจิทาเรียส
ผู้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความว่องไว การยิงธนูทั้งสิบดอกในเวลาชั่วพริบตาจนไม่มีใครทันสังเกตุ
/ฉันช่วยนายได้แค่นี้ล่ะนะ….โชคดีล่ะ ทอล/ กิ้งก่าหนุ่มคิดในใจก่อนจะแฝงตัวหายเข้าไปในหมู่พลธนู
อย่างแนบเนียน
ข้างบนลานประหารนั้น ทอล คลานด้วยแขนและขาที่ยังพอจะขยับได้อยู่บ้าง เขาค่อยๆเข้าไปใกล้น้องชาย
บัดนี้ความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจของเขาได้เหือดหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
โลกิ มองดูร่างในสภาพปางตายของพี่ชาย กำลังยันตัวขึ้นยืนอย่างยากลำบาก
ร่างซึ่งอาบชะโลมไว้ด้วยเลือด สวมกอดเขาไว้ ไออุ่นจากร่างของพี่ชายช่วยให้ร่างที่
เย็นเฉียบจากการตากหิมะอุ่นขึ้นคงจะมีความสุขกว่านี้ถ้าไม่ใช่ที่นี่ ตอนนี้แม้จะต้อง
หนาวตายก็ตาม แต่การที่ ทอล จะตายไปพร้อมกับเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย
ตลอดมาการพยากรณ์ของ มันถูกต้องทุกครั้ง
เพราะพลังอันนี้ทำให้เขาต้องโดดเดี่ยว ไร้เพื่อนขาดมิตร ถูกมองเป็นสัตว์ประหลาด
แต่ก็ไม่เคยนึกเสียใจ เพราะพลังนี้เขาถึงได้มีพี่ชายที่ยอมปกป้องเขามาตลอดและบางครั้งก็นึก
ขอบคุณมันเสียด้วยซ้ำ บัดนี้ เขานึกรังเกียจพลังอันนี้เสียเหลือเกิน แม้จะพยายามฝืนชะตากรรม
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เล่นไปตามบท เหตุการณ์ต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยงงั้นหรือ
“ เจ้าโง่!...ท..ทั้งที่ฉันทำกับนายเอาไว้ตั้งขนาดนั้น…แล้วทำไมถึงยังมาที่นี่อีก?! ”
เสียงอันสั่นเครือ ถามทั้งฉงนและสับสน ร่างสีดำนั้นตอบโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
“ นายเองก็โง่เป็นเหมือนกันนี่ ทีเรื่องอื่นล่ะเก่งกว่าฉันเยอะแยะพอเป็นเรื่อง
แบบนี้ทำไมถึงได้ไม่ยอมเข้าใจนะ….ทำไมน่ะเหรอก็ฉันเป็นพี่ชายของนายนี่
….โลกิ นายพูดถูก…แค่พูดน่ะใครก็พูดได้ เพราะงั้นฉันถึงแสดงให้เห็นไงล่ะเพราะ
ฉันคือพี่ชายของนายพี่ของ โลกิ ฉันได้สาบานเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมให้มือคู่นี้
พรากจากนายอีก!จะไม่ให้นายต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว!.... ”
หลังจากใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่กลั้นเอาไว้พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
ร่างสีดำ ก็สำรอกเอาเลือดออกมากองใหญ่ แม้จะต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชก็ตามแต่
การกระทำนี้ถูกต้องแล้ว และเขาจะไม่มีวันเสียใจ จะไม่ยอมให้ความรู้สึกของค่ำคืนแห่งการกบฏ
นั้นมาหลอกหลอนอีก ถ้าความตายจะพรากเอาน้องชายไป เขาจะไปเป็นเพื่อนด้วย
นี่คือการตัดสินใจและการแสดงหัวใจของเขา
หยาดน้ำใสบริสุทธิไหลอาบโหนกแก้ม ซึ่งคลุมไว้ด้วยขนสีแดงเพลิง ความอบอุ่นที่พี่มอบให้
มันเอ่อล้นอยู่ในใจ ละลายผลึกของความกระด้างจนหมดสิ้น คำพูดซึ่งก้องอยู่ในอก ตลอดครึ่งปีที่
ผ่านมา มันเฝ้ารออยู่ใต้พื้นหิมะของหัวใจราวกับเมล็ดพืชที่รอวันงอกงาม ในฤดูใบไม้ผลิ
บัดนี้ได้แทงยอดอ่อนแล้วเบ่งบานอย่างงดงามเป็น น้ำเสียงสั่นเครืออันเต็มไป
ด้วยความปลาบปลื้มครั้งสุดท้าย เปล่งคำพูดซึ่งเอ่อล้นขึ้นมาจากหัวใจ “ พี่ครับ……. ”
หยาดน้ำตาของความเสียใจ หลั่งรินออกจากดวงตาสีครามของทอล เป็นเวลา 6 เดือนกว่าๆแล้ว
ที่ไม่ได้ยินคำๆนี้ ในหัวก็นึกโทษตัวเอง ที่ไร้ความสามารถ สุดท้ายแล้วแม้แต่น้องชาย
เขาก็ช่วยเอาไว้ไม่ได้
“ เวลาไม่มีแล้ว ยิงเลย! ” สังฆราชสิงโตทะเล ลั่นเสียงสั่งด้วยความร้อนรน วินาทีนี้การประหาร
ให้จบก่อนคืนศักดิ์สิทธิ์ จะผ่านพ้นสำคัญกว่าแม้จะต้องเผาไปทั้งพี่ทั้งน้องก็ตามที
พลธนู ทุกนายที่เบื้องล่างนั้นตั้งลูกดอกยางชุบน้ำมันขึ้นบนคันศรเล็งไปยัง ฐานที่สองพี่น้องอยู่
เมื่อสัญญาณจาก เรกกุ ดังขึ้นโก่งธนูทุกคันก็ดีดตัว
/ข้าไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้าจะมีจริง แต่ข้าขอร้องจะเป็นอะไรก็ได้…..แต่ช่วยด้วยเถิดช่วยพี่ของข้าด้วยอย่าให้เขาต้องมาจบสิ้นไปพร้อมกับข้าที่มีแต่มลทิน ถ้าต้องการก็จงเอาข้าไปเพียงผู้เดียว/
เสียงดีดของสายธนูดังระรัวราวกับเส้นชีวิตกำลังขาดผึง มันดังซ้ำซ้อนกันจนก้องไปทั่วทั้งโสตประสาท
ศรน้ำมันนับร้อยๆทะยานขึ้นในอากาศฝ่าผ่านกำแพงไฟแล้วลุกโชนเป็นศรเพลิง เบี่ยงวิถีลงตามแรง
โน้มถ่วงมุ่งสู่กองไม้รอบฐาน
ภาพของสองพี่น้องที่จะไม่มีวันพรากจากกันท่ามกลางฝนธนูเพลิง คือของขวัญวันประสูติของ
พระองค์ ลูกหลานของมารร้าย จะกลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อให้พระองค์ได้ปกครองพวกเขา
ความเงียบแสนอึมครึมเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมอาณาบริเวณทั้งหมด ไฟกำลังลุกลามขึ้นมาจากฐาน
ด้านล่าง ควันไฟลอยโขมงขึ้นสู่ด้านบนควันร้อนแทรกซึมเข้าไปตามรูจมูก จนแสบร้อน
ไปทั้งปอดแม้แต่ดวงตาก็แสบจนไม่อาจลืมขึ้นมามองหน้าอีกฝ่ายได้ ไฟลุกลามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ล้อมกรอบสองพี่น้องเอาไว้
อา~~~~~~~~~~~~~~~~วู้ว~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
เสียงโหยหวนลอยมาตามลม แล้วบางสิ่งซึ่งรวมดเร็วประหนึ่งสายลม ก็ได้พัดมา มันโถมเข้าใส่
ฝนธนู ไฟบนหัวลูกศรดับลงเหมือนเทียน ลูกธนูโปรยปรายลงมาราวกับเม็ดฝนทุกดอกหักท่อน
สายลมนั้นพัดอย่างรุนแรงมันแรงเสียจน ไฟบนฐานดับสนิท แม้แต่กำแพงไฟที่เกิดจาก
แร่มูหราด ก็มอดลงสนิท
เหล่าผู้มองดูพิธีประหารล้วนตกตะลึงดั่งต้องมนต์สะกด สิ่งที่รวดเร็วประหนึ่งลมนั้นเผยร่างของมัน
ตัดผ่านแสงจันทร์ยามโรยตัวลงสู่ขั้นบันไดที่สองของลานประหาร
สิ่งนั้นปรากฏเป็น ร่างสูงโปร่งซึ่งเคลือบด้วย มานา ที่กลั่นตัวมาคล้ายน้ำหมึกสีดำสนิทตั้งหัวจรดเท้า
บนหลังของมันแบกบางสิ่งที่คล้ายกับเสาหินซึ่งแกะสลักส่วนบนเป็นรูปปั้นมันทะยานขึ้นสู่ชั้นบน
อย่างรวดเร็ว
“ I am the Glass of those Glasses. ”- ตัวข้าคือแก้วของกระจกเหล่านั้น
บนท้องฟ้าเหนือลานประหาร คามิโอ ซึ่งมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากด้านบนนั้น คลี่ยิ้ม
ออกมาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงระรื่น
“ ซานต้าครอท ของเรามาแล้ว~~~ ”
“ มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่ยิงเข้าเซ่! เวลาจะไม่มีแล้ว ”
สังฆราชสิงโตทะเล เร่งสั่งให้ มือธนูยิงชุดต่อไปทันที ยิ่งเวลาเข้าใกล้เที่ยงคืน
หัวใจของเขาก็พัดโหมกระหน่ำดั่งมรสุมแห่งท้องทะเล มรสุมที่มีชื่อว่าความหวาดวิตก
อะไรก็ตามที่กำลังจะมาขัดขวางพิธีมันไม่ใช่ตัวตนของความถูกต้องอย่างแน่นอน
ร่างนั้นดำสนิท ว่องไวดุจสัตว์ร้ายยามที่สบเข้ากับนัยตาสีแดงฉานราวกับเลือดนั้น
ชวนให้เย็นสันหลังวาบ สมองน้อยๆของเรกกุ สรุปลงไปแล้วว่ามันคือ ปีศาจที่จงใจ
จะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ ในค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์นี้
เนื่องจากกำแพงไฟดับลง พลธนูจึงต้องเสียเวลาจุดไฟที่หัวลูกดอกธนูแทน และแล้ว
ศรเพลิงดีดตัวขึ้นสู่อากาศ แล้วและมุ่งลงไปยังลานประหารอีกครั้ง
อสูรเงากลับลำทันควันที่ชั้นที่สามของลานประหาร มันชูสิ่งหนึ่งรูปร่างเหมือนดาบอาบไว้
ด้วยน้ำหมึกมานา ที่หยาดเยิ้มดาบนั้นไม่มีแค่หนึ่งแต่มีถึงสองเล่ม ร่างเงาสะบัดดาบด้วยความว่องไว
เป็นความเร็วสูงที่ไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า
'All Arts' in my left hand and 'Experience' Own Right. - สรรพวิชาในมือซ้ายและประสบการณ์เป็นของข้า
I have seen a thousand Arts. - ข้าได้เห็นวิชามานับพัน
Some are Simple, Some are Difficult. - บ้างเรียบง่าย บ้างลำบากยาก
เงาดำนั้น กระซิบไปพลางสะบัดดาบไปพลาง แรงเสียดสีจากการสะบัดดาบ ก่อให้เกิดคลื่นสุญญากาศ
อันคมกริบร่อนขึ้นไปสอยธนูเพลิง จากทุกทิศจนร่วงกราวอีกครา พร้อมกันนั้นเหตุการณ์ประหลาด
ก็ได้เริ่มขึ้น มานา จำนวนเทียบเท่าน้ำในมหาสมุทร ผุดขึ้นมาจากทุกที่ ก่อนจะกลั่นตัวเป็นเม็ดทราย
โปรยปรายลงมาแทนที่หิมะ
Endure pain to train many arts. - กล้ำกลืนต่อความเจ็บปวดเพื่อฝึกฝนวิชาทั้งหลาย
Although those eyes will never find anything. - แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่เคยพบสิ่งใด
my life will the next alive. - ชีวิตของข้าจะคงอยู่ต่อไป
อสูรเงาทะยานขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด หยุดลงต่อหน้า สองพี่น้อง มันวางเสาหินที่ แบกมาลง
บนพื้น แล้วหันกลับไปเผชิญหน้า กับ เหล่าหางทั้งหลายที่เบื้องล่าง
ซึ่งพื้นหิมะสีขาวโพลนแปรเปลี่ยนทะเลทรายทอดยาวออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด จนมองเห็นเส้น
ขอบฟ้าจรดพื้นทราย
ที่นั่นทั้งกองทัพพาลาดินแห่งภาคีขัตติยะ ทั้งอาร์คไนท์แห่งกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม
อำนาจอันยิ่งใหญ่ของศาสนจักรมากมาย ตอนนี้คือศัตรูที่มันจักต้องโค่นทั้งหมด
“ my wishful only!” – ความปรารถนาของข้ามีเพียงหนึ่ง
ร่างเงาประกาศกร้าวด้วยเสียงอัน ดังกึกก้องกัมปนาท เจ็ดชั่วยาม จนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีคราม
เที่ยงคืนกลายเป็นเที่ยงวัน จากหนาวเหน็บก็เปลี่ยนเป็นร้อนระอุ จันทรากลายเป็นสุริยา
นี่คือสิ่งที่ได้เคยบังเกิดขึ้นมาแล้วครั้งนึง สัมผัสอันน่าเกรงขามนี้
กระตุ้นให้ ยุวราชแห่งแสง ซึ่งทอดพระเนตร มองเม็ดทรายเหล่านี้ด้วยใจระทึก นางจำได้ถึง
เมื่อครั้งที่ต่อสู้กับ เรจิ ในการปะทะครั้งสุดท้าย ก่อนที่ แม่ทัพโบดาส จะเข้ามาห้าม
บุรุษอีกา ฉีกยิ้มกว้าง แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นมื่น “ จะถึงเที่ยงคืนในอีก 3…..2……1 ”
น้ำหมึกสีดำบนร่างของมันเริ่มระเหยเป็นไอ และเจือจางลงอย่างรวดเร็วโฉมหน้าที่แท้จริงภายใต้
น้ำหมึกเหล่านั้น คือใบหน้าที่เปล่งประกายไปด้วยความหวังภายใต้ขนสีแดงเพลิง
" Endless Arts Bless!!!!!!!!!!! " - พรแห่งสรรพวิชาไร้ขีดจำกัด
=========================================
**************Endless Arts Bless*****************
==========================================
“ เมอรี่ คริสต์มาส!!!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ” บุรุษอีกา หัวเราะลั่นท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างน่าอัศจรรย์ จากลานประหารกลายเป็นทะเลทราย จากหิมะโปรยปรายกลายเป็นเม็ดทรายร่วงโรย
จากเที่ยงคืนเปลี่ยนเป็นเที่ยงวัน
เม็ดทรายบนพื้นพูนตัวขึ้นราวกับมีชีวิต มันพูนสูงขึ้น 180 เซนติเมตรในเวลา 2 วินาทีแล้ว
ก่อตัวเป็นกระจกเงานับร้อยๆบาน สะท้อนฉายภาพของทุกหางในที่แห่งนี้
ท่ามกลางสายตาแห่งความตกตะลึงของ หางแห่งศาสนจักรทั้ง 300 ชีวิต ที่ได้กลายมาเป็น
พยานสู่การมาเยือนถึงที่แห่งนี้ อาณาจักรแห่งการเรียนรู้อนันต์ อันมี่ชื่อว่า พรแห่งสรรพวิชาไร้ขอบเขต
บนลานประหารนั้นสองพี่น้อง พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันชื่อของ สัตว์หางผู้มาปลดปล่อยพวกเขา
พระเจ้าในร่างสีแดงเพลิง…
“ เรจิ!? ”
********************โปรดติดตามตอนต่อไป**********************
ความคิดเห็น