ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    12Tails: Tails Apocalypse Ⓣ (Turn Bringer Invasion)

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter6: I Hate My Brother

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 274
      1
      10 พ.ค. 59



    ในราตรี อันหนาวเหน็บ ท่ามกลางสายลมแสนเย็นยเยือก จนลมหายใจกลายเป็นไอ กลุ่มของหมาป่า
    ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของป่าทางเหนือ พวกเขาก่อกองไฟและนั่งสุมกันเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น
     
    “ คุณปู่คะ อะไรคือ เฟนเลอร์(Fenrir) หรือคะ? ”
    ลูกหมาป่าตัวเมีย ผู้นั่งอยู่บนตักของหมาป่าอาวุสโส ถามด้วยความสงสัย
     
    “ มันคือชื่อของปีศาจที่ร้ายกาจที่สุด……มันกำเนิดขึ้นจากครรภ์ของซาตาน อังครา เมนยุ (Angra Mainyu)มันตะกละตะกลามกลืนกินทุกอย่างแม้แต่กลืนมารดาของตนเอง….. ”
     
    นานแสนนานมาแล้ว นางหมาป่าตนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากขี้เถ้าของไฟที่มอดลงแล้ว นางได้ให้กำเนิดบุตร
    หมาป่าสีดำ ตัวหนึ่งและให้ชื่อว่า เฟนเลอร์ นางรักบุตรของนางยิ่งกว่าอะไรแม้แต่ชีวิตของนางก็มอบให้ได้
    โชคชะตาของนางคือคำสาป ในกลุ่มหมาป่าด้วยกันไม่มีตัวใดยอมรับนาง แต่ก็หาได้ขับไล่เพราะต่างก็
    หวาดกลัวนาง แต่นางไม่ได้สนใจและยังคงเลี้ยงดูบุตรเฉกเช่นลูกหมาป่าปกติ ลูกของนางแข็งแรงและองอาจ
    โปรดปรานการล่าและชอบกินเนื้อมาก บุตรของนางต่างจากนาง เขามีเพื่อนฝูงมากมายและเป็นที่ชื่นชมของ
    บรรดาพรานหมาป่า ถึงทักษะการล่าของเขา 
     
    คืนวันนึงแมลงร้ายได้ลุกล้ำเข้ามาในหมู่บ้าน ในตอนที่หมาป่าชายออกไปล่าสัตว์กันหมด ในหมู่บ้านจึงมี
    เพียงเด็ก ผู้หญิง และ หมาชรา เท่านั้น บุตรของ อังครา มิได้ออกไปล่ากับพวกพรานด้วย เขาพยายามต่อสู้
    กับฝูงแมลงร้าย เพื่อปกป้องหมู่บ้าน ปกป้องมารดาของตน แต่แมลงร้ายมีจำนวนมาก ลำพังหมาป่าเด็ก
    ตัวเดียวไม่อาจเอาอยู่ได้ มารดา พาตัวเขาหลบหนีออกไปจากหมู่บ้าน แล้วฝูงแมลงร้ายก็ตามนางไป
    นางและลูกหนีไปจนถึงข้างใต้หน้าผา  นางเอาตัวเข้าปกป้องลูกจากฝูงมลงจนตัวตาย 
    บุตรของนางเขย่าร่างที่สิ้นลมไปแล้วของนางด้วยความอาลัย เสียงหอนที่ปลิ่มที่จะขาดใจของเขา
     
    ไฟสีดำ อัคคีมารที่เผาผลาญได้ทุกสิ่ง เผาไหม้แมลงร้ายจนกลับสู่ถุลีดิน มันเผาไหม้อย่างมาก
    จนพลังของ เขาหดหายท่ามกลางความเย็นยเยือกของป่าในยามราตรี ท้องของหมาป่าร้องครวญไม่หยุด
    หากไม่กินก็จะหนาวตาย แต่จะกินสิ่งใดเล่า ที่นี่ไม่มีอาหาร หรืออะไรเลยแม้แต่ฝูงแมลงพวกนั้น
    ก็ถูกเขาเผาจนเป็นถุลี สิ่งที่มีอยู่ให้บริโภคนั้นมีเพียง ร่างไร้ชีวิตของมารดา 
    เมื่อชาวบ้านตามมาช่วยเหลือ พวกเขาก็พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
     
    “ มันกินแม่ของมัน ดูสิไฟสีดำลุกลามตามตัวของมัน มันเป็นบุตรของซาตาน!! บุตรของอังครา เมนยุ! ”
    …………………………………………………………………….
    ……………………………………………..
    ยามบ่ายอันแสนอบอุ่นของนครแสง ย่างเข้าเดือน 12 แล้วอีกไม่กี่วันก็จะถึงคริสต์มาส ทั่วทั้งเมืองเริ่มมีการประดับประดา ตามร้านค้าก็มีการโฆษณาสินค้าประจำเทศกาล ขึ้นกันแล้ว
     
    “ เอ้าอ้าม~~~~ ”
    เรจิ ส่งเสียงพร้อมกับยัดเนื้อบาบีคิว ในมือของตนใส่ปาก ทอล ที่นั่งเหม่ออยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร
    ทั้งสองนั่งอยู่ที่ร้านของจาม่อน ร่วมกันกับ ซาจิทาเรียส 
     
    “ เฮ้ยยยยยยยยย!!!!!!!!!! ”
    ซาจิทาเรียส ร้องเสียงหลง จน ทอล เผลอสะดุ้งเคี้ยวเนื้อบาบีคิวนั้น โดยอัตโนมัติ
     
    “ เนื้อนี่ อร่อยเนอะ  ”
    เรจิ พูดพร้อมด้วยท่าทางไร้เดียงสา แต่ทว่า ทอลที่ ถูกยัดเนื้อให้กินโดยไม่รู้ตัวเหมือนจะไม่เล่นด้วย 
    เขารีบคายเศษเนื้อในปากทิ้งใส่ถังขยะข้างโต๊ะ ก่อนสำรอกออกมาชุดใหญ่
     
    แหวะ~~~อ้อก….อุบ โอ้กกกกกกกกก~~~~~~~
     
    ทอล อาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย จนหมาป่าแดงผู้เป็นต้นเหตุถึงกับ หน้าถอดสี 
    หลังจากอาเจียนออกจนหมดกระเพาะ หมาป่าดำจึงหันไปกระชากคอเสื้อ หมาป่าแดงขึ้นแล้ว
    ง้างหมัดจะต่อยทันที 
     
    “ แกอยากมีเรื่องนักใช่ไหม หา!!!!!!!!!!! ”
    ทอลคำรามด้วยความโมโหสุดขีด
     
    “ เฮ้ใจเย็นๆน่าทอมมี่ เรจิมมี่ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งนายซะหน่อย ”
    ซาจิทาเรียส พูดพลางเข้าไปแยกมือ ทอล ออกจากคอเสื้อเรจิ
     
    “ ข….ขอโต้ด~~ ”
    หมาป่าแดง พูดเสียงปริ่มจะร้องไห้  ขนสีแดงของเขา ชวนให้นึกถึง โลกิ ผู้เป็นน้องชายที่มี
    ขนสีแดงเฉกเช่นเดียวกับเขา และที่นั่งเหม่อจนถึงเมื่อครู่ ก็เพราะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ 
    มือของ ทอล คลายออกในทันที 
     
    “ โทษที ฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย….. ”
    ทอล ลดเสียงลงแล้วกลับไปนั่งเหม่อต่อเหมือนเดิม นั่นทำให้ ซาจิทาเรียส เป็นห่วงเขามากขึ้นกว่าเดิม
     
    “ ทอมมี่ ยังคิดเรื่องของ โลกิ อยู่อีกเหรอ ”
    ซาจิทาเรียส ถาม
     
    “ อืม…ฉันสงสัยว่าหมอนั่นมีแผนอะไรกันแน่ ”
    ทอล ตอบกลับโดยที่สายตาก็ยังคงเหม่อลอยอยู่แบบนั้น
     
    “ เห็นบอกว่าต้องการตัว เรจิมมี่ ด้วยนี่เนอะยิ่ง งง เข้าไปกว่าเดิมอีก เห้อ~~~”
    ซาจิทาเรียส ถอนหายใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงถามต่อทันที
     
    “ จริงสิ แล้วฝ่าบาท เรียกพวกนายไปทำอะไรเมื่อเช้าหรอ? ”
     
    “ ท่านกษัตริยาน่ะหรอ? ” ทอลทวนคำก่อนจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าสาย
    ของวันนี้ 
     
    ตัวเขา และ หมาป่าแดง ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าสู่เขตส่วนตัวของ ยุวราชแห่งแสง ซึ่งตั้งอยู่บน
    ปราสาทแสงอีกที เป็นเพราะ หมาป่าแดงเรจิ ถูกเชิญตัวให้มาพบเป็นการส่วนตัว และได้ให้เขามา
    เป็นผู้ปกครองด้วย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ปกครองจำเป็นของ หมาป่าแดงไปตั้ง
    กะเมื่อไหร่ แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหนักใจเท่ากับสถานการณ์วิกฤติ ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
     
    เสือดำผู้ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าพื้นที่ส่วนพระองค์ อยู่นั้นพยายามจะอธิบายเหตุผลไร้สาระให้เขายอม
    รับมันเสียให้ได้
     
    “ ก็อย่างที่บอกไปนะขอรับท่าน พาลาดิน เนื่องจากพื้นที่ส่วนพระองค์นี้มีกฏไว้ว่า หากเป็นหมาป่าชายหนุ่มช่วงอายุตั้งแต่ 15-20ปี ต้องแต่งกายด้วยชุดที่พระองค์จัดไว้ให้ ”
     
    “ ก็เข้าใจหรอกนะว่าเพราะเป็นท่านกษัตริยาแล้วพี้นที่ส่วนพระองค์นี่ข้างในมันเป็นยังไงก็พอจะได้ยินมาบ้าง……. ”
    ทอล กัดฟันพูดอย่างเหลือ อดก่อนจะชี้ไปที่กางเกงว่ายน้ำสีสดใส ในมือของเสือดำ แล้วสบถด้วยเสียงอันดัง
     
    “ แต่ตรูข้าไม่เข้าใจว้อยยยทำไมจะต้องเป็นชุดว่ายน้ำ!!!!!!!!!! ”
     
    “ เพราะเขตพื้นที่ส่วนพระองค์เป็นฮาเร็มขอรับและพระองค์ประสงค์จะทอดพระเนตรเรือนร่างอันงดงามของเผ่าหมาป่า อ้อท่านยังกำชับไว้ด้วยว่าหากเป็นท่านทอล ต้องให้สวมเข้าไปให้ได้ด้วยน่ะครับ ”
    เสือดำตอบกลับทันควัน
     
    “ ว้อยยยยย!!!! กฏมันชักจะแปลกๆแล้วนาเหวยยยยยยยยยยยยย ”
    ทอล โวยนอตหลุดยิ่งกว่าเดิมในใจก็ได้แต่คิดนินทาด้วยโทสะ
    /ยัยแกะตัญหากลับนั่น จงใจแกล้งกันสินะ (T_T)/
     
    “ เอาก็เอาฟระ!! ”
    ทอล สบถก่อนจะรับเอากางเกงว่ายน้ำมาสองตัวพลางถอดเสื้อเกราะตัวนอกอันเทอะทะ 
    ทิ้งฝากไว้กับเสือดำแล้ว ลาก เรจิไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องซึ่งจัดเตรียมไว้ 
     
    ครู่ต่อมา สองหมาป่าดำแดง ก็กลับมาในชุดกางเกงว่ายน้ำโดยที่เปลือยกายท่อนบน 
    เสือดำตัวเดิม เปิดประตูให้ทั้งสองเดินเข้าไปโดยสะดวก และตามเข้าไปนำทางสู่ที่ประทับของ 
    ยุวราชแห่งแสง
     
    พวกเขาเดินมาจนถึง สระน้ำที่อยู่ชั้นล่างของพระราชวังในสระนั้น แกะสาวผู้เป็นยุวราชแห่งแสง
    พระองค์ทรงประทับบนเก้าอี้ยางลอยน้ำ โดยมีเหล่านายสนมหมาป่ารูปงามล้วน แต่งกายเช่นเดียวกับเขา
    รายล้อมอยู่รอบพระองค์
     
    “ อ้าวมาแล้วหรอ? ลงมาในสระแล้วว่ายมาหาข้าสิ ”
    กษัตริยา ตรัสพลางกวักมือเรียกให้ สองหนุ่มหมาป่าลงมาในสระ ส่วนเสือดำหลังทำหน้าที่ส่ง
    ตัวเสร็จแล้วก็เดินกลับออกไป
     
    “ รสนิยมพระองค์ยังคงทำให้กระหม่อมทึ่งได้อยู่เรื่อยนะ พะยะค่ะ ”
    ทอล บ่นพลางหย่อยตัวลงในสระมันลึกขึ้นมาถึงต้นคอของเขา  ส่วนหมาป่าแดง นั้นยังคงยืนอยู่บนพื้น
    แสดงท่าทางเหมือนกลัวสระ
     
    “ ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ? งั้นส่งมือมาสิ ”
    ทอล เปรยก่อนจะยื่นมือไปรอรับ เรจิ ส่งมือของตนให้เขาจับเอาไว้ ก่อนจะตามลงไปในสระ
    ทั้งคู่ว่ายไปยังกลางสระที่ กษัตริยา รออยู่ โดยมี ทอลช่วยพยุงไว้
     
    เมื่อมาถึงหน้าเก้าอี้ยางแล้ว นางจึงสั่งให้ เหล่าหมาป่าของนาง ไปช่วยพยุงตัว เรจิ แทนทอล
    ก่อนจะเริ่มการสนทนาธุระในเช้านี้
     
    “ พระองค์มีเหตุอันใดถึงอยากจะพบหมาป่าตัวนี้พะยะค่ะ? ”
    ทอล ถาม
     
    “ เหตุอันใดน่ะรึ…หึๆจะเป็นเรื่องอะไรซะอีก ”
    ยุวราชแห่งแสง ตรัสพลางมองไปยัง หมาป่าแดงที่ถูก เหล่าหมาป่าของนางหิ้วปีกอยู่ในน้ำ
    นางจ้องมองเรือนร่างอันบอบบางของ หมาป่าแดงอยู่พักใหญ่ก่อนจะทอดกายจากเก้าอี้ลงสู่พื้นน้ำ
    แล้วว่ายเข้าไปหา คว้าคอ เรจิ ด้วยสองแขนของพระองค์
     
    /เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าเธอจะ…/
    ทอล คิดเตลิดไปไกลทันทีเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะใจง่ายแบบนี้ หลังจากคว้าคอของหมาป่าแดงไว้
    นางได้เขยิบหน้าเข้าไปประชิดขึ้นเรื่อยๆ ทอล ไม่อาจทนดูต่อไปไหวจึงปิดตาลง
     
    “ นี่แน่ะ!..แกแอบเอาศาสตราจากคลังฉันไปใช้โดยพลการอีกแล้วใช่หม้ายยยยยย  ”
     
    ก๊อง!!!!
    เสียงนั้นทำให้ เขาต้องเปิดเปลือกตาออกด้วยความสงสัย เรจิ ซึ่งตอนนี้ น็อคไปแล้วหลังจาก
    ถูกโขกด้วยหัวของนางเข้าที่หน้าผากเต็มๆ แกะภูเขาขึ้นชื่อในเรื่องกระโหลกหนาและมันคงจะเจ็บไม่ใช่เล่น
     
    “ ทั้งโรห์ เอียส ทั้งเอกซ์คาลิเบอร์ อาวุธของข้ามันเป็นสิทธิของข้านะเฟ้ย ไอหมาป่ากุญแจผีอย่างเอ็ง
    อยู่ๆมาซี้ซั๊วะ เปิดคลังสมบัติชาวบ้านหยิบเอาไปใช้โดยไม่ขออนุญาติเนี่ยมันน่านัก!!!! ”
     
    ก๊อง!!!!!!!!!!!!!!
     
    ยุวราชแห่งแสง สบถพร้อมกับโขกอีกชุดใหญ่ จนหมาป่าแดงสลบเหมือดไปทันที และหากทอลไม่
    เข้ามาห้ามไว้ นางคงโขกจนเขาสมองเสื่อมแน่ๆ
     
    “ แง….เจ็บอ่า~~~ ”
    เรจิ งอแงพลางเอามือกุมหน้าผากที่แดงเถือกจากการถูกกระแทก โดยมีทอล ช่วยปลอบขวัญอยู่ข้างๆ
     
    “ ว่าแต่สรุปเรียกมาเพราะเรื่องแค่นี้จริงดิฝ่าบาท? ” 
    ทอลถามเขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เหตุผลที่เชิญตัวมาในวันนี้จะเป็นเรื่องที่มีสาระ
     
    กษัตริยา ว่ายกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งก่อนจะตอบคำถามของเขา
    “ ก็นะ…แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง? ”
     
    ทอล เลิกคิ้วด้วยความฉงนกับคำถาม นางจึงย้ำอีกครั้ง
    “ แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้างได้ยินว่าไปเจอกับ โลกิ มานี่? ”
     
    หนนี้ หมาป่าดำถึงกับปิดปากเงียบ เขาไม่สามารถตอบหรือบอกอะไรเธอได้เลย 
     
    ……………………………………
     
    “ แล้วสรุป เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะทอมมี่? ”
    ซาจิทาเรียส ถามหลังจากฟังเรื่องราวการไปพบกับยุวราชแห่งแสงจาก ทว่าแม้จะเป็นเพื่อนสนิท
    มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะพูดได้ หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่นานในที่สุด ซาจิทาเรียสก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
     
    “ ทอล… ” เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่จะได้ยิน เขาพูดชื่อของ ทอล แบบปกตินั่นทำให้ หมาป่าดำ 
    มองเขาด้วยความสงสัย
     
    “ ไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างนายกับโลกิ มันเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยทั้งชั้นและทุกคนที่เคยรู้จักกับโลกิ ก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำความผิดใหญ่โตอะไร แต่ผลลัพธ์ที่นายกำลังแสดงอยู่มันทำให้นายดูแย่นะ ”
     
    ทอล ขมวดคิ้วหลังจากฟังสิ่งที่ ซาจิทาเรียสพูด เจ้าตัวจึงต้องอธิบายซ้ำ
     
    “ น้องชายที่สมบูรณ์แบบถูกศาสนจักรครหาว่าเป็นคนร้ายแล้วคนเป็นพี่กลับทำงานเพื่อศาสนจักร
    อย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนจะให้ศาสนจักรมองเห็นผลงานของตัวเอง ดูยังไงๆก็พี่ขายน้องชัดๆ ”
     
    “ ก็คงใช่ล่ะมั้ง….. ” ทอล ตอบเสียงเรียบ พลางตีสีหน้าเฉยเมย ไม่สนว่าคำพูดของเขาจะส่งผลให้ภาพพจน์ของตนแย่ลงไปขนาดไหนก็ตาม
     
    “ เจ้านั่นมันทั้งสมบูรณ์แบบ ใครๆก็โอ๋ ชื่นชมมัน แล้วคนเป็นพี่ที่มีแต่ข้อบกพร่องอย่างชั้นจะ
    ไปสู้ได้ยังไง เพราะงั้นนี่ก็คือโอกาสไม่ใช่รึไง ”
     
    ปึง!! ซาจิทาเรียส ยืนขึ้นพร้อมกับกระแทกโต๊ะอย่างแรง จ้องมอง ทอล ด้วยสายตาขุ่นเคือง
    แม้จะชื่นชมหรือสนิทชิดเชื้อแค่ไหน แต่สำหรับเขาแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาจะนึกรังเกียจ
    หมาป่าดำตรงหน้าได้ขนาดนี้
     
    “ ทอล นายพูดจริงงั้นเหรอ! ” กิ้งก่า ตะคอก
    “ ก็ใช่น่ะซี้ แล้วนายจะทำไม? ”
    ทันทีที่คำพูดเช่นนั้นหลุดปากออกมา คราวนี้เป็นฝ่ายเขาบ้างที่คอเสื้อถูกกระชากขึ้น ด้วยน้ำมือของ 
    ซาจิทาเรียส
     
    “ คนอื่นจะคิดยังไงก็ไม่สนใจ ถึงเสียใจไปก็ใช่ว่าจะแก้ไขอะไรได้ ตัวตนจริงๆของนายคือแบบนี้เองสินะ ”
    ใครบางคนที่โผล่มาจากด้านหลังของ ซาจิทาเรียส และเป็นเจ้าของเสียงนี้ ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
    และใช้มือของตนลูบไล้หัวของ เรจิเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็น เกาคาง ตามด้วยเขี่ยหู จนเคลิ้มไปทันที
     
    “ ง่าเซเวอร์ มันจั๊กจี๋นะ  ” หมาป่าแดงพูดขณะที่กำลังหลับตาเคลิ้มกับการหยอกจากเด็กหนุ่ม
    ชาวมนุษย์นามเซเวอร์
     
    “ นิสัยห่ามๆแบบนี้ค่อยสมเป็นหมาป่าหน่อย ถูกใจข้ายิ่งนัก ”
    เซเวอร์ กล่าวพลางจ้องมองไปที่ ทอลซึ่งตีหน้าตายอยู่เป็นเพราะจ้องอยู่นานจนทำเอาเขาเสียวสันหลังวาบ
    เลยต้องเปลี่ยนอิริยาบถเสียใหม่ ช่างเป็นคนที่รับมือด้วยยากเสียกระไร
     
    “ จ…จ้องอะไรของนายเนี่ย อย่าบอกนะว่าตัญหากลับไปอีกคนละ ”
    ทอล จ้องตอบด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก เด็กหนุ่มหลุดขำออกก่อนจะตอบกลับไปว่า
     
    “ ก็เหมือนกับที่เจ้ากิ้งก่าพยายามจะบอกน่ะแหละ ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าคิดอะไรยังไงแต่ซื่อสัตย์กับตัวเองให้มากกว่านี้ซะไม่งั้น เจ้าจักต้องเสียใจในภายหลังแน่ ”
     
    ……………………………………………………………..
    …………………..
     
    ไม่งั้นเจ้าจักต้องเสียใจในภายหลังเป็นแน่ คำพูดนั้นยังคงติดอยู่ในหัว ราวกับมันเป็นศรทิ่มแทงอยู่ในอก
    ไม่มีใครรู้หรือเข้าใจในการกระทำของเขาและก็ไม่ต้องการให้มาเข้าใจด้วย ทำไมทุกคนถึงมาวุ่นวายอยู่รอบตัวเขา ตั้งแต่เรื่องของโลกิ ที่ผ่านมาเขาแสดงออกชัดเจนเลยงั้นหรือว่ากังวลอยู่
    หมาป่าดำครุ่นคิดหน้านิ่วขิ้วขมวดขณะเดินเท้าอยู่ในเขตถนนหลักของนครแห่งแสง
     
    “ เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณทอล  ” เสียงหวานเรียกชื่อของเขา เจ้าของเสียงร่างสูงบอบบางและมีใบหูเล็กๆ
    น่ารักโผล่ออกมาจาก เส้นผมสีขาวครีมยาวสลวย เมื่อเขาช้อนตาขึ้นสบกับสายตาอ่อนหวานและรอยยิ้ม
    อันอบอุ่นของเธอ เรื่องราวที่คอยกวนใจเขาให้ว้าวุ่นจนถึงเมื่อครู่ก็มลายหายเป็นปลิดทิ้ง
     
    “ ค..ครับคุณมีมี่(Mimi)มีอะไรให้ช่วยหรือครับ? ” หมาป่าหนุ่มถามกลับแก้มทั้งสองข้างของเขาแดงระเรื่อ
    ด้วยความเขินอาย 
     
    “ คือว่า….. ” คุณหมี มีมี่ พูด ระหว่างนั้นเองที่ เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างดึงขาเขา จึงก้มหน้าลงไป
    แกะน้อยฟา ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกับนิโค่ นั่นเองเธอกำลังดึงขาเขาด้วยท่าทีเขินอาย
     
    “ ฟา บอกว่าเธอฝันร้ายน่ะค่ะ ตอนกลางคืนจะนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยมาปรึกษาดิฉันแต่ว่าคืนนี้
    ดิฉันติดธุระเสียด้วยก็เลยอยากจะวานคุณหน่อยน่ะค่ะ ”
    เสียงหวานขอร้อง ด้วยสายตาหยาดเยิ้มจนเขาปฏิเสธไม่ลง และตกปากรับคำทันที
    “ ด…ได้เลยครับ! ”
     
    “ แหมขอบคุณนะคะถ้างั้นฝากด้วยนะคร้า~~~~ ” คุณหมีน้ำเสียงชื่นมื่นพร้อมกับเดินตัวปลิวจากไปทันที
    หมาป่าหนุ่มก้มลงไปมองแกะน้อย ซึ่งยังแสดงท่าทางหวาดๆเขาอยู่ ทอลจึงคลี่ยิ้มออกมา
     
    “ งั้นเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนก็แล้วกันนะ ”
     
    ………………………………………………
    …………………………..
     
    สายลมเย็นพัดผ่านจากหุบเขาทางเหนือมาสู่ โรจนคร ราตรีกาลย่างเข้ามาอีกครา แต่ความมืดก็หาได้
    ปกคลุม โรจนคร ไม่ในคืนนี้ร้านค้าและบ้านเรือนต่างสุกสว่างแต่ละหลังมีการประดับประดาด้วย
    หลอดไฟหลากสี และของตกแต่งเทศกาล
     
    ภายในบ้านของ ฟา สาวน้อยเผ่าแกะผู้มีปัญหาฝันร้ายจนนอนไม่หลับ เธอได้ขอแรง ทอล ให้มาช่วย
    เหลือเธอ จากปากคำของเธอนั้นบอกแก่เขาว่า ตั้งแต่สองคืนก่อน เธอจะตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะ
    ได้ยินเสียงเหมือนมีใครมายืนคุยกันอยู่ในเมือง เมื่อเธอมองออกไปข้างนอกจากหน้าต่างห้องของเธอ
    จะมองเห็นท้องถนน เต็มไปด้วยเงาปริศนามากมายทั้งวิ่ง เดิน รวมไปถึงล่องลอยไปมา
     
    ในคืนแรกเธอกลัวมากจนต้องนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม จนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเงาเหล่านั้นก็หายไป
    ในคืนที่สอง เงาพวกนั้นก็กลับมาปรากฏอีกครั้งและในครั้งนี้ เธอได้ลงไปปลุกพ่อกับแม่ แต่ไม่ว่าจะ
    ปลุกแรงขนาดไหนก็ไม่ยอมตื่นเลย เช้าของวันนี้เองเธอถึงได้ไปปรึกษากับ มีมี่ เพราะเธอกลัวและคืนนี้
    พ่อกับแม่ของเธอก็ออกไปทำธุระข้างนอกบ้านและจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ 
     
    ดังนั้น ทอล จึงอาสามาช่วยดูแลเธอ ซึ่งพ่อกับแม่ของเธอก็ไว้วางใจเขาเพราะ นอกจากจะเป็น
    เพื่อนเล่นกับฟาแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ทำหน้าที่เป็นพาลาดินฝึกหัด ฟาก็เคยมีปัญหานอนฝันร้ายเพราะ
    ถูกรบกวนจาก เชด(Shade) ซึ่งเป็นเอเลเมนท์แห่งเงา ที่มีนิสัยชอบแกล้งและกลืนกินความอ่อนแอ
    ในจิตใจของผู้คน ในตอนนั้น ทอล เป็นคนที่มาช่วยไล่พวกมันไปให้
     
    แกะน้อย นำทางหมาป่าร่างสูง เข้าไปยังห้องนอนของเธอ ดวงตาสีฟ้าของเขากวาดตามองไปรอบๆห้อง
    และหยุดลงที่ ตู้เลี้ยงปลาข้างในมี แครอทสีส้มหัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนหลับอยู่นั้น มันคือสัตว์เลี้ยงที่เขา
    มอบให้ไว้ตอนที่มาช่วยไล่พวกเชด เมื่อนานมาแล้ว 
     
    “ เอาล่ะคืนนี้พี่จะอยู่เฝ้าเธอตรงนี้นะไปนอนได้แล้ว ”
    ทอลสั่งพร้อมกับนั่งลงตรงมุมของห้อง เมื่อแกะน้อยขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่ายแล้ว
    เขาจึงเริ่มคิดอะไรต่อมิอะไร ไปพลางด้วยความไม่รู้ตัวดวงตาของเขาพลอยปิดสนิทไป โดยอัตโนมัติ
    พร้อมกับไฟในห้องดับลง และ ไฟข้างนอกในเมืองก็ดับลงด้วย ทั้งเมืองถูกความมืดเข้าปกคลุมจนมืดสนิท
    ไปทั้งเมือง
     
    เสียงฝีเท้าหลายสิบกำลังตรงเข้าสู่ตัวเมือง เพียงไม่กี่นาที เงาดำก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง
     
     
    ผู้คนบนถนนสูดดมแก๊สที่ระเหยออกจากเงาเหล่านั้น และสลบกันไปจนหมด ราตรีนี้หาได้มีผู้ใดในโรจนคร
    จะลืมตาตื่นอีกแล้ว 
     
    บนดาดฟ้าของ อาคารโรงประมูลสินค้านั้น ร่างซึ่งปกคลุมด้วยขนสีแดงเพลิง ทอดสายตามองลงมา
    ยังเบื้องล่าง ความรู้สึกที่ราวกับจะเหยียบย่ำความอาฆาตที่มีต่อนครแห่งนี้ ลิงหนุ่มคลี่ยิ้มแล้วเปรย
    ขึ้นกับตนเอง
     
    “ ข่ายอาคมเวทย์นี้แรงกล้าแม้แต่วังแสงและเทพอัลคาเซีย ก็ยังต้องมนต์ของมัน 
    ตราบใดที่ราตรีนี้ยังไม่ลาจากพวกเจ้าอย่าหวังได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ”
     
    โลกิ หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่นั่นคือเนินหญ้าที่มีกระท่อมบ้านของเขาตั้งอยู่
    และข้อมูลที่ได้รับจาก เซอร์ คามิโอ ทำให้เขารู้ว่า เรจิ และ เซเวอร์พักอยู่ที่นั่น การสะกดนครแห่งแสง
    ให้หลับไหลด้วยมนตราสะกดนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาทำการทดลองมาสองคืนแล้ว เพื่อจะตัดกำลัง
    ที่จะมาขัดขวางการพาตัวเป้าหมายกลับไปในวันนี้
     
    …………………………
     
    ณ เนินหญ้าที่กระท่อม ซึ่ง เซเวอร์ และ เรจิ พักอยู่นั้นเอง ตอนนี้มีแต่เสียงดังอึกทึกครึกโครม
    ของการต่อสู้สัตว์หางจากลัทธิเงา ทั้ง แกะ ไบซัน แพนด้า และค้างคาว  ทั้ง 5 ตัว กำลังพยายามจับตัว
     หมาป่าแดงแต่ก็ถูกเด็กหนุ่มเข้าขัดขวาง
     
    เซเวอร์ ผายมือขวาของตนออก เกิดประกายไฟฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นในอากาศ พร้อมกันนั้น
    ท้องฟ้าซึ่งปกคลุมด้วยเมฆหมอก ก็บังเกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง สิ้นเสียงและแสงจากฟ้าแลบ
     ดาบสั้นอัญมณีสีฟ้าคราม ก็ปรากฏขึ้นในมือของ เด็กหนุ่ม ดาบซึ่งแบ่งแยกท้องออกเป็นสอง “ ฟ้าฟื้น ”
     
    เหล่าลัทธิเงา ต่างกรูกันเข้ามาหมายจะ จัดการเขาในคราเดียว ทว่า เซเวอร์ ได้กวัดแกว่งดาบของตน
    จนเกิดเป็นลมพายุรุนแรงพัดหอบเอา สัตว์หางเหล่านั้น กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง
     
    ก่อนจะไหวตัว ไปทาง เรจิ ที่ถูกล้อมโดยเหล่าไบซันแห่งลัทธิเงา นอกจากนี้ตัว เรจิ เองยังต้องคำสาป
    จากเหล่าค้างคาวจนอ่อนแรง และไม่สามารถหนีไปจากวงล้อมด้วยตนเองได้
     
    /เป้าหมายของพวกมันคือ เรจิ งั้นเหรอ?/ เซเวอร์ คิดแล้วชูแขนขึ้นให้มืออยู่เหนือศรีษะ
    พร้อมกับร่ายอาคมด้วยภาษาประหลาด
     
    “ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω!  ”(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
    [จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]
     
    ประกายแสงสีฟ้าแล่นแปลบปลาบบนหมู่เมฆ ตามมาด้วยเสียงครืนของฟ้าร้องครั้งใหญ่
    เด็กหนุ่ม สะบัดมือลงทำท่าเหมือนขว้างสิ่งของใส่ พร้อมกับสบถด้วยเสียงอันดังว่า
    “ Δίος τύκος! ”(ดิออส ทูวคอส) [ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]
     
    ประกายแสงซึ่งแล่นอยู่ทั่ว เมฆาพุ่งตรงลงมาเป็นลำแสง รวดเร็วดุจสายฟ้า ลำแสงสีฟ้า
    ตกกระทบลงบนบริเวณ ใกล้ๆกับกลุ่มของไบซันที่ล้อม เรจิ อยู่ลำแสงระเบิดกลายเป็น
    กระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตจนร่างใหญ่ยักษาของไบซัน เหล่านั้นกระเด็นออกจากวงล้อม
    ไปนอนชักกระตุกพร้อมๆกับเหล่าค้าวคาวที่ร่ายคำสาปด้วยกัน ทุกตัวเส้นขนและเส้นผม
    ไหม้เกรียมจนส่งกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนขึ้นจมูก
     
    “ เรจิ! นายหนีไปหา ทอล ที่เมืองแล้วซ่อนตัวกับเขาซะ! ” คำสั่งจากเด็กหนุ่มดังขึ้น หมาป่าแดง
    พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะควบสี่เท้าลงจากเนินหญ้าตรงไปสู่ นครแห่งแสง ทันที
     
    แล้วเขาจึงวิ่งเข้ามาขวางเส้นที่จะตาม เรจิ ไปเมื่อสหายรักไม่อยู่ที่นี่แล้วเขาก็จะได้ไม่ต้องออมมือ
    เด็กหนุ่มชูแขนขึ้นอีกครั้ง หมายจะร่ายคาถา ขวานอัสนีซ้ำลงมาอีกรอบ
     
    “ Κενότητος! ”(เคโนเทโทส!)
     
    เพียงแค่เอ่ยปาก เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตราย บางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น
    เซเวอร์ ถึงได้ละทิ้งการร่ายคาถา แล้วหมุนตัวกลับพร้อมยกดาบสั้นอัญมณี ขึ้นรับดาบยาว
    ที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังไว้ทันอย่างฉิวเฉียด ยังไม่ทันที่จะได้มองว่าใครคือเจ้าของดาบ 
    ผู้โจมตีใส่ ก็มีดาบฟาดมาจากทางขวาอีกเล่ม  เด็กหนุ่มย้ายดาบสั้นไปรับเอาไว้ โดยที่ยังมีความกังวล
    ต่อดาบเล่มแรกที่เขายันมันไว้ ทว่าทั้งดาบและตัวผู้ใช้ นั้นกลับหายไปแล้ว และเมื่อ
    เขาลองพิจารณาดูตัวดาบเล่มที่สองที่เขา ยันมันอยู่นั้น มันมีลักษณะที่เหมือนกับเล่มแรกไม่มีผิดเพี้ยน
     
    /มันคือดาบเล่มเดียวกัน/ เซเวอร์ คิด พร้อมกับถีบตัวกระโดดถอยห่างออกจากบริเวณนั้น 
    เขาคิดว่า การถอยห่างจะช่วยให้มองเห็นตัวผู้จู่โจมแสนว่องไวได้ แต่ผิดถนัด เพียงชั่วพริบตาที่
    เท้าเหยียบสัมผัสพื้นดิน ปลายดาบก็จ่ออยู่ที่คอหอยของเขาเสียแล้ว ร่างของสัตว์หางผู้ไล่ต้อน
    เขา ที่เป็นผู้ไร้เทียมทานแม้แต่เทพเจ้ายังต้องยอมสยบ ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า บุรุษอีกาดำในชุดสูทสีขาว
    กำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาขุ่นมัวและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ 
     
    “ สวัสดีคร้าบบ~~~ กระผมคืออัศวินผู้ทรงเกรียติ แห่งกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม 
    อาคไนท์(ArchKnight) เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป ขอร้าบบบ~~~~  ”
    ร่างผอมบางตรงหน้าแนะนำตัว และโค้งให้ โดยที่ยังจ่อปลายดาบไว้ที่คอของเขา
     
    “ वराह ”(Varaha)
    เสียงกระซิบลั่นออกจากปากของเด็กหนุ่ม บุรุษอีกา ไหวตัวเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
    พื้นกำลังสั่นสะเทือน ราวกับแผ่นดินไหวเนินหญ้าที่พวกเขายืนอยู่ กำลังพูนสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
    เซเวอร์ ยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปอย่างรุนแรง พลันพื้นดินที่พูนตัวขึ้นก็ปริแยกออกจากกัน
    กลายเป็นเหวลึกไร้ก้นเหล่าสัตว์หางลัทธิเงาทั้งหมดพากัน ร่วงหล่นลงไปยังเหวนั้น
     
    เซอร์ คามิโอ เห็นดังนั้นจึงสะบัดผ้าคลุมสีขาวของตน ผ้าคลุมสัมผัสถูกลมแล้วแผ่สยาย ออก
    กลายเป็นปีกโอบอุ้ม ร่างอันผอมบางเอาไว้ บุรุษอีกา ดึงหมวกทรงสูงของตนลงมาพร้อมกับเอาสันดาบ
    เคาะที่ปลายหมวกเป็นจังหวะในขณะที่ปากก็พูดให้จังหวะไปด้วย “ 3……2………1! ”
     
    ร่างของ สัตว์หางทั้งหมดที่ล่วงลงไปยังเหวได้อันตรธานหายไปในพริบตาราวกับเล่นกล เขาจึงสวมหมวกของตนกลับแล้วหันมาสนทนา ด้วยทีท่าสบายอารมณ์
     
    “ แหมๆ เล่นแรงจังเลยนะขรับ วราหะ หรือ วราหาวตาร หนึ่งในภาคอวตารของ
    พระวิษณุจากคัมภีร์ปุราณะ กล่าวถึงอวาตารในร่างของหมูป่าที่ปราบยักษ์ หิรัณยากษะ 
    แล้วชิงเอาม้วนแผ่นดินของโลกมาคลี่คืนให้ คือที่มาของขุมพลังในการควบคุมปฐพีอย่างงั้นสินะขรับ ”
     
    เซเวอร์ จ้องเขาไม่วางตา ความสงสัยมากมายก่อตัวขึ้นอย่างทวีคูณในจิตใจ จนพลั้งปากถามออกไป
     
    “ ท…ทำไมแกถึงรู้…แกเป็นใครกันแน่?! ”
     
    บุรุษอีกา แสยะยิ้มก่อนจะพูดด้วยเสียงหวานแหบของตน
     
    “ ใครกันน่ะรึครับ? ผมว่าได้แนะนำตัวไปแล้วนะผมคือ เซอร์ คามิโอ กินนัมกาแกป
    แห่ง กลุ่มอัศวินโต๊ะกลม …..แล้วเมื่อไหร่คุณจะแนะนำตัวซักทีล่ะขรับ มันเสียมารยาท น้า~~
    ทั้งที่ผมได้เป็นฝ่ายบอกชื่อของตัวเองไปก่อนแล้ว ”
     
    เขายื่นดาบขึ้นชี้มายัง เซเวอร์ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
     
    “ หรือจะให้ผมพูดไปเลยขรับ ท่านอวตารที่ 11 แห่งองค์วิษณุ ผู้กอบกู้แห่งศรีอารย์ (Saver of Apocalypse) หรือจะให้ผมเรียกว่า กัลกีจ้าวจักรวาล(Kalki The Lord of Universe)ล่ะคร้าบ~~~~~~~ … ”
     
    ดวงตาของ เด็กหนุ่ม เบิกกว้างฐานะที่แท้จริงของเขาถูกล่วงรู้ นั่นเป็นไปได้อย่างไร เขาเชื่อมาตลอดว่า
    มันเป็นความลับที่ไม่เคยมีใครรู้แม้แต่เรจิที่อยุ่ด้วยกันมานานเขาก็ยังไม่เคยบอกให้ฟังด้วยซ้ำไป
     นามแท้จริงของเขาคือภารกิจของเขา ในการเป็น เซเวอร์(Saver-ผู้กอบกู้)
     
    “ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω!  ”(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
    [จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]
    เซเวอร์ ร่ายคาถาอย่างว่องไว พร้อมกับชูมือขึ้นเหนือศรีษะ ประกายสายฟ้าแล่นปลาบไปทั่วหมู่เมฆ
    และเมื่อเขาให้สัญญาณพร้อมกับ สะบัดมือลง
     
    “ Δίος τύκος! ”(ดิออส ทูวคอส) [ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]
     
    ลำสายฟ้าอันกว้างขวางได้พุ่งทะลวงลงมาจากท้องฟ้าตรงเข้าหา บุรุษอีกา อย่างรวดเร็ว ชนิดเสี้ยงวินาที
    มันก็ขยับไปใกล้เขาจนแทบจะหายใจรดต้นคอได้หากว่าสายฟ้ามีลมหายใจ
     
    ตูม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
     
    เสียงระเบิดกัมปนาท และ แสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งท้องฟ้า หลังจากนั้นจึงเหลือแต่เพียงเสียงหอบหาย
    ใจอันถี่รัว ของเด็กหนุ่ม 
     
    “ หายไปแล้ว… ” เซเวอร์ เปรยสิ่งที่เขาขว้างด้วยขวานอัสนีบาต ได้หายไปจากสายตาของเขาแล้ว
    ความรู้สึกโล่งที่ราวกับยกภูเขาออกจากอกนั้น มีให้ลิ้มลองเพียงไม่กี่วินาที เมื่อเสียงแหบแห้ง
    ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับลมหายใจรดต้นคออย่างแผ่วเบา
     
    “ แหมๆคราวนี้เปลี่ยนมาใช้มหาเวทย์โบราณจากพระคัมภีร์เก่า ไฮเอนเชี่ยน(Hi-Ancient)หรอกหรือครับ การออกเสียงภาษากรีกชัดเจนดีนะครับ ท่านกัลกี~~ ”
     
    /เป็นไปได้อย่างไรกัน ขวานอัสนีบาตมีความเร็วเทียบเท่าแสง หมายความว่ามันต้านเอาไว้ได้งั้นรึ/
    สันนิษฐานอันหวั่นเกรงกำลังกัดกิน จิตใจของเด็กหนุ่ม เขาหันไปเพื่อจะได้พบกับคำตอบ
    ที่สิ้นหวังซึ่งกัดเซาะจิตใจลงไปอีก เมื่อร่างของ บุรุษอีกา หาได้มิรอยตำหนิใดๆจากากรโจมตีของเขาเลย
     
    “ แก…ทำไมถึงหลบความเร็วแสงของสายฟ้าได้! ”
    เซเวอร์ เผลอพลั้งปากสบถด้วยความกดดันออกไปทันที นั่นยิ่งทำให้บุรุษอีกา ตีสีหน้าชื่นมื่น
    สู้กับเขาได้
     
    “ เหะๆ นั่นสิน้าทำไมกันเนาะ กระผมคิดว่าท่านผู้สูงศักดิ์ จะเข้าใจจากการโจมตีก่อนหน้าของกระผมแล้วเสียอีกนะขอร้าบ~~~ งั้นเอางี้เรามาพนันกันดีกว่าไหมครับ ถ้าคุณตอบถูกล่ะก็ผมจะหลีกทางให้
     แต่ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น แล้วยังหาคำตอบไม่ได้ก็บอกลา เพื่อนตัวแดงของท่านได้เลยนะขรับ ”
     
    สิ้นคำ เซอร์ คามิโอ ก็ได้แทงดาบของตนเล็งมันไปยังส่วนหัวใจของ เด็กหนุ่ม…….
    ……………………………………………………………………..
    ………………………………………
     
    “ พี่ทอล….พี่ทอลตื่นสิ ตื่น!! ” เสียงเล็กๆของ ลูกแกะน้อย ฟา กำลังเขย่าตัวเขาที่อยุ่ในอาการสะลึมสะลือ
    หมาป่าดำ ส่ายหน้าเร็วๆเพื่อให้หายจากอาการมึน จนเมื่อดวงตาของเขาเปิดสนิท ปราศจากความง่วงแล้ว
    จึงได้ทอดมอง ดูสภาพภายในห้อง  หูของเขาขยับกระดิกเพื่อรับฟังเสียง ปึงๆ ของประตูห้องที่กำลัง
    สั่นสะเทือนมีอะไรบางอย่างข้างนอกนั่นกำลังจะพังมันเข้ามา เมื่อเขามองออกไปยังนอกหน้าต่าง
     
    ก็ได้เห็นฝูง เชด จำนวนมากมายอยู่กันคราคร่ำถนน ราวกับสายน้ำ  หมาป่าหนุ่มชักดาบคู่ออกจากฝัก
    แล้วเดินไปที่ประตูห้อง ค่อยๆสอดตามองผ่านร่องขอบจองประตู ที่อีกฝั่งนั้น เชด รูปร่างเหมือนผีเสื้อ
    หรือ เชดทูว(Shade2) กำลังใช้ลำตัวของมันพุ่งชนใส่ประตู
     
    “ ในนามของพระบิดา และ พระบุตร และพระจิต… ”( In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit….)
    ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ เปล่งออกจากปากของ ทอล ด้วยอาการสงบ มือขวาของเขาเลื่อนลงไปยังลูกบิดแล้วใช้
    นิ้วหัวแม่มือแตะบิดมัน กลอนประตูถูกปลดและบานประตูถูกเปิดออก เชดทูว พาร่างของมันเข้ามาในห้อง
    เป้าหมายแรกในสายตาของมันคือ ลูกแกะน้อย และมุ่งตรงหมายจะเข้าไปทำร้ายเธอ
     
    “ อาเมน!!! ”(Amen!!!!!)
    สิ้นคำ ประกายแสงสว่างได้ปรากฏขึ้นในอากาศและวาดออกเป็น กา กบาท ผ่านร่างอันดำทะมึน
    แล้วแสงนั้นก็กลืนกินร่างของมันจนหมดสิ้น
     
    ==================Crusader======================
     
    หลังจัดการกับ เชดทูว แล้วหมาป่าหนุ่มจึงคลายท่าทางที่ค้างจากการ ฟันดาบตัดเป็นกา กบาท
    ออกแล้วเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองออกไปข้างนอกให้ชัดเจนอีกครั้ง
     
    “ พวกเชด บุกเข้ามาในเมืองเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย…อุบ ”
    ห้องกำลังหมุนอย่างแรงมันคืออาการวิงเวียนที่กำลังประสบอยู่ ทอล ยกมือขึ้นปิดปากและจมูก 
    ตัวเขาเซถลาไป  จนเกือบล้มฟุบ
     
    /มนต์สะกดแรงขนาดนี้เลยเหรอ….ถ้าไม่ใช่เพราะเลี้ยงแครอทนั่นไว้ ทั้งเรา ทั้ง ฟาคงสลบไม่ฟื้นแน่/
    หมาป่าหนุ่ม มองไปยัง หัวแครอทน้อยที่เลี้ยงไว้ในตู้ปลา มันกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในตู้อย่างมีชีวิตชีวา
    ท่ามกลางอากาศในห้องซึ่งปนเปื้อนไปด้วยมนต์สะกด เป็นเหตุให้เขาและ ฟา ตกอยู่ในอาการมึนหัวจน
    อยากสลบ
     
    / พืชจะสูบเอาอากาศเข้าไปเพื่อใช้ในกระบวนการสร้างอาหาร แล้วคายอากาศดีออกมา หลักการก็คล้ายๆกัน
    เจ้าหัวแครอทนั่น ดูดเอาอากาศปนเปื้อนมนต์สะกดนี่เข้าไปแล้วคายเป็นอากาศดีให้ ทำหน้าที่เหมือนเครื่อง
    ฟอกอากาศ มันคือความสามารถต่อต้านมนต์สะกดแบบธรรมชาติ (Anti-Sleep)/
    หมาป่าหนุ่ม ประคองตัวเข้าไปหาแครอท ในตู้แล้วล้วงมันออกมา แล้วเดินไปหา ฟา ซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง
    แล้วส่งมันให้กับเธอ
    “ กอดมันเอาไว้ แล้วหายใจเอาอากาศที่มันคายออกมาเท่านั้นนะ มันจะช่วยให้เธอปลอดภัย 
     
    เมื่อ แกะน้อยรับ หัวแครอทจากเขาไปกอดไว้อย่างแนบแน่นแล้ว หมาป่าดำจึงล้วงเอา
    วัคซีนต่อต้าน(Resilient Elixir )ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นหลอดยาซึ่งมีหัวเข็มติดตั้งมาให้
    พร้อมเสร็จสรรพ หลังจากแกะผนึกหลอด ออกแล้วจึงแทงหัวเข็มลงไปที่ต้นแขนตัวเอง
    ความเจ็บปวดซึ่งแล่นแปลบขึ้นมา ทำเอาต้องกัดฟันกลั้นเอาไว้ เมื่อยาในหลอดถูกฉีดจนหมด
    จึงทิ้งมันไป

     
    “ อยู่ข้างในนี้อย่าออกไปไหนจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นนะ! ”
    ทอล สั่งจบจึงปิดประตูแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที  บนถนนนั้นอาคมสะกดซึ่งมีสภาพเป็นก๊าซเวทมนต์
    ปกคลุมบรรยากาศ หากว่าเขาไม่ได้ฉีดวัคซีนต่อต้าน เอาไว้ก่อนอาจจะสลบทันทีที่สูดเอาก๊าซ
    พวกนี้เข้าไป เหล่าเชด ทั้งหลาย ไม่ได้สนใจเขาที่วิ่งอยู่บน ถนนเลย
     
    นั่นช่วยประหยัดเวลาได้มากเพราะตอนนี้ การหาตัวต้นเหตุของเรื่องนี้สำคัญกว่า 
    ตลอดทางที่วิ่งผ่านมา ทอล พบเจอสัตว์หางมากมาย นอนสลบไสลไม่ได้สติ แม้จะเรียกเสียงดัง
    อย่างไรก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาแม้แต่ตัวเดียว 
     
    /ฮึ่ม! คนที่ทำแบบนี้ได้ก็มีแต่นายเท่านั้นแหละ…โลกิ/
    หมาป่าดำ เร่งฝีเท้าขึ้นอีก เขาพยายามมองหาตามที่สูงๆซึ่ง ก๊าซอาคมไปไม่ถึง แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว ของโลกิ
    แต่อย่างใด จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็น แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นมาจากทางกำแพงเมือง
    หมาป่าหนุ่มไม่คิดจะรีรออีกแล้ว เขาพุ่งทะยานไปยังที่นั่นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ในทันที
     
    …………………………………………
    ………………..
     
    ณ สนามหญ้านอกกำแพงเมืองแห่งแสง ต้นหญ้าบนสนามบริเวณหนึ่งไหม้เกรียมเป็นแถบๆ
    จากการลุกลามของสะเก็ดไฟ ที่ปะทุออกมาจากกองเพลิง ซึ่งกำลังลุกโชนอยู่บนพื้นสนามนั่นเอง
    ไม่ไกลจากกองเพลิงนั่น หมาป่าแดง กำลังคลานสี่เท้าอย่างอ้อยอิ่ง ไร้เรี่ยวแรง จากผลของคำสาป
    ของค้างคาวลัทธิเงาที่ได้สาปไว้ก่อนจะหนีมาถึงที่นี่  ทำให้เขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียแล้ว
    ซ้ำร้ายยังถูกโลกิ พบตัวและเข้าปะทะในที่สุด
     
    เสียงเข้มขรึมของ ลิงหนุ่มขนสีแดงเพลิง กำลังพล่ามอธิบายเรื่องที่เขาฟังไม่เข้าใจอย่างยืดยาว
     
    “ พลังในการเลียนแบบวิชาของคู่ต่อสู้ของนายน่ะ น่ากลัวก็จริงแต่มันก็แค่นั้น
     ฉันได้ทำการสำรวจมาหมดแล้ว เรจิ นายน่ะก็แค่ลูกหมาตัวหนึ่งเท่านั้น ”
     
    ร่างสีแดงนั้น ค่อยๆย่างก้าวเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
     
    “ ข้อแรก พลังในการเลียนแบบนั่นจำเป็นต้องพึ่งพามานา ในการใช้มานาก็จำเป็นจะต้องมี
    พลังจิตใจ(Mind Power = MP) เพราะงั้นฉันถึงได้ลากนายออกมาที่นี่เพื่อให้ติดกับที่ฉันวางเอาไว้ 
    พลุนั่นบรรจุสารระเหยที่มีฤทธิ์กดประสาท มันจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่สูดเข้าไป สูญเสียพลังจิตใจ ”
     
    พุลที่ว่านั้นตอนนี้มันแตกกระจายเป็นเศษสีฟ้าไหม้เกรียม กระจัดกระจายอยู่บนสนามหญ้าแล้ว
    เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เรจิ ซึ่งวิ่งหนีมาเพื่อจะเข้าไปในเมือง ทันทีที่เท้าของเขาเหยียบลง
    บนพื้นสนาม หน้ากำแพงเมืองที่นี่ พุลสีน้ำเงินทั้ง 40 ดอกได้ทะยานขึ้นมาจากใต้ดิน และระเบิด
    ใส่จนหงายท้อง ร่องรอยไหม้ไฟตามขนบนตัวของเขาคือหลักฐานอย่างดีของการติดกับที่
    โลกิวางเอาไว้ และเป็นไปตามที่พูดทุกอย่าง พลังจิตใจซึ่งเป็นแหล่งพลังในการควบคุมมานา
    แห่งธรรมชาติ เหือดหายไปจากตัวเขาจนหมดสิ้นแล้ว
     
    [Blue Firework: พลุสีน้ำเงินมีผลลดค่า Mp เป้าหมายในระยะ 12 m ลง30]
     
    “ ข้อสอง นอกจากพลังในการเลียนแบบ เชิงดาบของนายถือว่าไม่ธรรมดาเลย แต่ถ้าไม่มีดาบแล้วความสามารถด้านร่างกายและการต่อสู้มือเปล่าก็เป็นศูนย์ ”
     
    โลกิ เดินเข้ามาถึงตัวแล้ว และใช้แขนขวาอันกำยำนั้น ฟาดลงมาใส่จนหน้าของ หมาป่าแดงหัน
    ไปตามแรงเหวี่ยง และล้มลงนอนราบกับพื้นหญ้า
     
    “ ข้อสาม ความคิดความอ่านของนายมันก็เหมือนเด็กๆ ความไร้เดียงสานั่นนับเป็น
    จุดอ่อนที่ทำให้นายต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้เรจิ ”
     
    โลกิ วางนิ้วเรียวๆของตนลงบนแผ่นท้องอันแบนราบของหมาป่าแดง แล้วป้ายมันขึ้นมา ก่อนเลียชิมที่นิ้วนั้นแล้วหันมาพูดน้ำเสียงอ่อนหวานที่เจือปนไปด้วยความมุ่งร้าย 
     
    “ นายเนี่ยผอมแห้งเป็นกิ้งก่าเชียวนะ..... ” น้ำเสียงมุ่งร้าย นั้นดีดนิ้วขึ้นหนึ่งเปาะ และปรากฏควันไฟพวยพุ่ง
    ขึ้นมาในอากาศพร้อมกบการปรากกตัวของภูตรับใช้ มิเกะมิเกะ ซึ่งแบกเอาหวีกล้วยหอมติดมาด้วย
     
    “ เอางี้ไหมนายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันสิ รับรองจะไม่ปล่อยให้นายหยองกรอดแบบนี้แน่
    ....หึๆๆ ไม่หยองกรอดแน่นอน!! ”
    โลกิ ย้ำเสียงในตอนท้าย พร้อมกับคว้าเอากล้วยหอมลูกใหญ่จากหวีกล้วยที่ให้ มิเกะมิเกะ เตรียมไว้ให้
     เขาบรรจงปอกมันออกทีละกลีบแล้วจึงดึงเอาเปลือกทิ้งไป กำเนื้อกล้วยสีขาวนวลนั้นไว้ในมือซ้าย
     
    “ เอ้า อ้าปากสิฉันจะได้ป้อน~~ ”
    ลิงหนุ่ม กล่าวพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นไม่พึงประสงค์ที่ควรจะทำตามเป็นอย่างยิ่งด้วยรอยยิ้มนั้น เจ้าเล่ห์และแฝงไว้ด้วยกลอุบาย
    หมาป่าแดง เกร็งปากปิดสนิทไม่ยอมให้แม้แต่อากาศจะได้ไหลผ่านเข้าไป ยิ่งเห็นแบบนั้น
     โลกิ กลับยิ่งถูกใจเข้าไปอีก
     
    “ นายกลัวฉันงั้นเหรอ? ”
    โลกิ หยอดเสียงถามอย่างนุ่มนวล เรจิ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากตอบและคิดว่ารู้ทันเล่ห์กลของ ลิงโฉดตัวนี้ หากอ้าปากตอบไปล่ะก็ จะต้องโดนทำอะไรแผลงๆเป็นแน่
     
    “ นาย-กลัว-ฉัน-งั้น-เหรอ ”
    คำพูดเดิมถูกเน้นเสียงอีกครั้ง แต่ปากของหมาป่าแดงก็ยิงปิดสนิท รอยยิ้มที่เจืออยู่บนสีหน้าระรื่นนั่น
     มันกลับกว้างขึ้นไปอีก เขากำลังฉีกยิ้ม? ทำไมกันนะ?  สำหรับหมาป่าที่โตมาด้วยการล่าเนื้อมากิน
    ตลอด ผลไม้หรือพืชผัก มันเป็นของแสลงที่สุด ทั้งรสหวานๆกลิ่นเปรี้ยวๆหอมๆ พวกนั้น 
    ครั้งหนึ่งที่เคยหยิบ ผลเบอรี่มากินโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเปรี้ยวจัดเสียจนเขาต้องคายทิ้ง และ
     สำรอกออกมาหมดกระเพาะเลย 
     
    นิ้วเรียวยาวของโลกิ เลื่อนลงมาแตะที่ หน้าอกของเขา ก่อนจะย้ายลงไปถึงกระบังลมและที่นั่นเอง
     ที่โลกิ ทิ่มนิ้วลงไปสุดแรงจนนิ้วจมไปหนึ่งข้อแรงดันนั่นส่งผลให้เส้นประสาทกระตุก 
    ความเจ็บปวดซึ่งแล่นผ่านไปทั้งร่าง สมองสั่งให้ร่างกายตอบโต้เองโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากผงะออกอย่างรวดเร็วเพื่อระบายลมหายใจที่พุ่งจาก ท้องน้อยผ่านกระบังลมขึ้นมาถึงจมูกและปาก
     
    แค่กๆๆ แค่กๆๆ อุบ!
     
    เรจิ สำลักอย่างรุนแรงและตอนนี้เขาอ้าปากออกแล้ว กล้วยหอมทั้งลูกทะลวงเข้ามาจนจุกปาก
    และ ลิงหนุ่มออกแรงกดร่างของเขาให้ติดกับพื้นสนาม
     
    “ ดีมากเรจิ ทีนี้ก็กินเข้าไป กินให้หมด! ”
    โลกิ ตีสีหน้าระรื่น ช่างถูกใจเขาเสียเหลือเกินสีหน้าของหมาป่าแดง ที่กำลังกระอักกระอ่วนกับ
    กล้วยในปาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขากลืนมันลงไปไม่ได้ทั้งการที่ยัดเข้ามาแบบปุบปับในทันที
    จนไม่ทันได้เคี้ยว และ ยังเป็นของแสลงอีก ทั้งรสชาติและกลิ่นของมัน
    ชวนให้สำรอก จนน้ำลายไหลสวนออกมา หยาดน้ำใสกำลังไหลรินจากดวงตาสีแดงของหมาป่าแดง
     
    คุณคงไม่ชอบใจแน่ถ้ามีคนเอาของที่คุณเกลียดมายัดใส่ปากแบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะกลืนลงหรือ
    คายออก เรจิ ไม่มีทางเลือกเลยมือของ โลกิ กดมันไว้แน่นจนไม่ขยับออกจากปาก รสชาติของมัน
    ยังทำให้รู้สึก ปวดหัวจนอยากที่จะคายทิ้ง
     
    “ อย่าคายออกมานะ! กลืนมันลงไป นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจใช่ไหม เร-จิ~ ”
    แล้วกล้วยที่คาอยู่ในปากก็ทะลักลงไปในลำคอ ทั้งที่กล้ามเนื้อคอพยายามฝืนสำรอกมันออกมา 
    ความทรมานที่ทำให้เจียนตายได้มันราวกับตกนรกทั้งเป็น แต่แรงสำรอกก็ไม่อาจฝืนได้นานนัก 
    และแล้วกล้วยลูกแรกก็ไหลผ่านลำคอลงไป
     
    ใบหน้าของหมาป่าแดง เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาและเศษกล้วยปนน้ำลายที่เลอะกระเด็นจากการสำรอกในหนแรก รสชาติที่ผ่านลำคอไป ช่างฝาดลิ้นนัก นี่เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดมา 
     
    “ เอ้าๆ น้ำหูน้ำตาไหลเลอะเทอะไปหมดแล้ว หึๆ แต่แบบนี้ก็น่ารักดีนะ เรจิ นายเนี่ยสัดส่วนดีกว่าหมาป่าตัวอื่นๆเชียวทั้งบอบบาง ทั้งแรงน้อย ไม่ถึก ล่ำแบบพวก พาลาดินเฮงซ วยพวกนั้น แถมยังขนสีแดงเหมือนกับฉันด้วย ถูกใจจริงๆเลย เรจิ ฮะๆๆ ”
     
    เรจิ! เรจิ! เรจิ! ทำไมกันนะถึงเอาแต่พูดชื่อนี้อยู่ได้ นั่นมันยิ่งทำให้รู้สึกสยองขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
    เสียงหัวเราะชอบใจนั่น เอามือที่เปื้อนไปด้วยกล้วยเละๆเช็ดกับใบหน้าของเขาแล้วจึงหยิบเอากล้วย
    มาปอกอีกลูก ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องทำรุนแรง เรจิ ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อต้านเขาอีกแล้ว แค่เพียงใช้นิ้วงัด
    ก็อ้าปากของ หมาป่าแดงออกได้โดยง่าย
     
    กล้วยลูกที่สองถูกยัดใส่เข้ามา ราวกับเป็นการบรรจุลูกกระสุนปืน นรกกำลังจะมาเยือนอีกครั้ง ช่วงเวลาอันทรมานที่น่าสะอิดสะเอียนผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ในครั้งที่สองนี้ ทันทีที่ โลกิ กดผลกล้วยลงไป และ 
    เรจิ สำลักมันออกมาอย่างแรง จนน้ำลายเลอะใส่หน้าเขาเป็นเพราะรีบยัดเกินไปจน หลอดลมยัง
    ไม่ทันปิดตัว 
     
    “ แค่กๆๆๆๆๆ ม....ไม่เอาล้าวว~~ ”
    เขา ขอร้องทั้งน้ำตา น้ำเสียงของเขาสั่นเครือปลิ่มจะขาดใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็เหมือนร้องขอ
    ความเมตตาจากปีศาจ โลกิ ใช้แขนขวาเช็ดน้ำลาย ที่กระเด็นมาออกก่อนจะจ้องมองด้วยสายตา
    น่ากลัว ดวงตาสีบุษราคัมที่เบ้าตาซ้ายนั้น ให้ความรู้สึกสยดสยองแม้ว่า เขาจะไม่ได้ตีสีหน้าใดๆ
    เลยก็ตาม
     
    “ นายไม่ชอบกล้วยงั้นเหรอ..... ”
    ลิงหนุ่ม พูดด้วยเสียงเรียบๆ
     
    “ เด็กไม่ดี...ต้องถูกลงโทษเพราะงั้นฉันจะลงโทษนาย เพิ่มกล้วยเป็นสองลูก ”
    สายตาของ โลกิ จ้องเขม็ง หมาป่าแดงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แขนขาฝืนดิ้นรนพยายามที่จะ
    หลุดออกจากพันธนาการ ทว่าร่างกายที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไม่อาจทัดทานกับแรงกดของ โลกิ ได้ 
    กล้วยสองลูกถูกปอก เตรียมไว้แล้ว
     
    “ เอ้ากินเข้าไป เรจิ ฉันบอกแล้วฉันจะเลี้ยงดูนายไม่ให้....”  โลกิย้ำเสียง “ อด-ตาย ”
    เขาสอดกล้วยลงไปในปากเล็กๆของหมาป่าตรงหน้า โดยไม่สนว่าการยัดเยียดนี้จะต้องฉีกปาก
    ของมันหรือไม่ “ กินเข้าไปซะ เรจิ ถ้านายจะเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน นายต้องชอบมัน ”
     
    ความทรมานที่ราวกับตกนรกนี้ หวังที่จะให้มันจบลงไปเสียที ดวงตาของหมาป่าแดง หรี่แคบลง
    จนปิดสนิท ลมหายใจที่เคยเต้นถี่ระรัวกำลังจะหยุดลง ชีพจรซึ่งเต้นช้าลงเรื่อยๆ หากไม่ใช่ว่า
    น้ำหนักซึ่งกดลงบนท้องของเขาได้หายไป และ สัมผัสของกล้วยที่ยัดอยู่เต็มปากถูกดึงออกไป
    เขาคงจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเห็น หน้าของหมาป่าดำที่กำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง
     
    “ ค่อยๆหายใจ แล้วก็สำลักมันออกมานะ ” เสียงอันอบอุ่นนั้นกล่าวพลางพลิกตัวเขา
    ให้คว่ำลงพร้อมกับตบหลังเบาๆ ให้อาเจียนเอาเศษกล้วยที่ติดอยู่ในหลอดลม 
    ไหลทะลักออกมาจนหมด แล้วจึงวางร่างของเขาลงนอนกับพื้นหญ้า ก่อนจะหันกลับไปถลึงตา
    กับคู่กรณีที่กำลังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโทสะ โดยมีรอยช้ำจางๆที่โหนกแก้มขวา ซึ่งเกิดจากการ
    ถูกหมัดของ ทอล ซัดเข้าไปจังๆตอนที่เข้ามาช่วย เรจิ นั่นเอง
     
    “ ไม่เจอกันนานเลยนะ…ทอล ” ร่างสีแดง กล่าวก่อนจะถ่มน้ำลายผสมเลือดทิ้งไป
    ลิงหนุ่มยื่นมือรอให้ มิเกะมิเกะ ส่งขวดน้ำยาสีชมพูซึ่งบรรจุของเหลวบางอย่างขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียว

     
    “ เออ พี่ชายคนนี้อยากจะเจอหน้าแกจนใจจะขาดจากกันอยู่แล้วเนี่ย ” หมาป่าดำ ประชดเสียงกร้าว
     
    “ ฉันจำไม่ได้ว่าเคยนับถือ หมาเฮงซว ยอย่างแกเป็นพี่หรอกนะ ”
    โลกิ ดีดนิ้วขึ้นเปาะหนึ่ง บางอย่างได้พุ่งทะลวงขึ้นมาจากใต้ดิน มันเป็นแผ่นหินสูงซึ่งแกะสลัก
    เป็นรูปลักษณ์ของอะไรซักอย่างกำลังไขว้มือเข้าด้วยกัน
     

     

    ===================Buiten Hou Hou ==================
     
    =============Instant Cast============
     
    /ปล่อยเวทย์ไม่ท่องมนต์(Instant Cast) จะเก่งไปถึงไหนนะไอน้องคนนี้/
    ทอล คลี่ยิ้มสบายๆ แต่ในใจของเขานั้นหว้าวุ่นอยู่เต็มแก่แล้ว แม้ไม่อยากสู้กับน้องชาย
    แต่หากออมมือ หางที่จะเสร็จก็คือเขานี่แหละ ดาบคู่ชักออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
     
    ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมอาณาบริเวณ สองพี่น้อง จ้องใส่กันไม่วางตา  ไม่มีใครขยับเขยื้อน
    จนกระทั่ง เกิดฟ้าแลบขึ้นบนท้องฟ้าแสงสว่าง ส่องวาบลงมาจนทุกอย่างขาวโพลนไปชั่วขณะ
     
    “ ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ!! ”
    (Our Father , in heaven , holy be your name!!)
    บทสวดขับขานด้วยเสียงอันแข็งกร้าว หมาป่าดำ บุกตรงเข้าหาด้วยความเร็วสุดฝีเท้า มานาในธรรมชาติ
    กลั่นตัวเป็นประกายแสงสีขาวอาบคลุมดาบคู่ ของเขาไว้ เมื่อมาถึงระยะแล้ว ทอลกระโดดขึ้นไปจนสุดแล้ว
    ฟาดดาบลงมาเต็มแรงโดยไม่สนว่า ข้างล่างนั่นจะเป็นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนหรือไม่
     
    “  พระอาณาจักรจงมาถึง! ” (your kingdom come !)
    ============Cross Impact============
     
    บรึมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
     
    เสียงระเบิดและเสียงฟ้าร้องที่ตามมา ผสมปนเปกันไป จนแยกไม่ออก เศษผงดินซึ่งไหม้
    เกรียมเป็นเถ้าถ่านปลิวว่อนในอากาศ ทว่าร่างของ โลกิ ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แต่เป็นแผ่นหิน
    ที่เขาได้เรียกออกมานั่นเองที่รับเอาความเสียหายทั้งหมดไป จนมันปริร้าวและถล่มลงมาในที่สุด
     
    "กาเทสม่า แอสเทก้า มาเทสก้า!  "(Catezma Azteca Matezca!)
    โลกิ พูดด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับใช้แขนผลักร่างของ ทอล จนปลิวกระเด็นไปนอนคลุกฝุ่นบนพื้นสนาม
     
    “ น้ำหนักของความผิดบาปเอ๋ย จงกลั่นตัวเป็นศิลาเตมโปลมายอร์ ค้ำจุนมหาวิหาร! ศิลาเทพค้อนหินบด
     สโตนแฮมเมอร์!! ”

    ===================Stone Hammer================
     
    มานา กลั่นตัวเป็นฝุ่นทรายแล้วจับตัวเป็นก้อนดิน ลอยอยู่เหนือศรีษะของหมาป่าดำ ก้อนดินนั้น
    ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และ เนื้อดินก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นค้อนหินขนาดใหญ่ ร่วงลงมา
    บดขยี้ร่างจนนอนแผ่ลงกับดิน น้ำหนักของมันแทบจะบดขยี้กระดูกสันหลังของหมาป่าดำให้
    แตกละเอียดได้โดยง่าย 
     
    โลหิตสีแดงสดสำรอก ออกจากปากของหมาป่าดำร่างนั้นนอนแผ่ลงกับพื้นโดยมีค้อนศิลา
    บดทับหลังเอาไว้ ค้อนนี้เกิดจากมานา มันจึงอยู่ได้ไม่นานก็ปริร้าวและแตกละเอียด กลับเป็นดิน
    อีกครั้ง
     
    หลังจากผลลัพธ์ของ เวทย์ที่เขาร่ายออกไปได้ประจักษ์ ตัว โลกิ ผู้ร่ายเองยังอดประหลาดใจกับพลังทำลาย
    ของค้อนศิลา ในใจก็พลางนึกถึงเรื่องของยาขวดที่ดื่มเข้าไปก่อนจะเริ่มต่อสู้
    …………………………………..
    “ นี่คือยาสูตรลับ Reskill Drug Version 42 กระดกแล้วไปตายซะ! นะขรับ~ ”
    [4 กับ 2เทียบเสียงตามภาษาญี่ปุ่นจะแปลว่า ตายซะ ]
    ประโยคที่เหมือนกับโฆษณาเซลขายตรง ของ เซอร์คามิโอ หนึ่งในผู้ร่วมประชุมวางแผนการจับตัว เรจิ
    หลังจากได้ฟังประโยคนั้นแล้ว เขาก็ได้รับยาสูตรลับนี้พร้อมกับคำเตือน
    “ ยานี่จะทำให้คุณสามารถเรียนรู้เวทย์โบราณในอีกรูปแบบได้นะครับ อ้อแต่ขอเตือนไว้
    ก่อนว่าฤทธิ์ของมันอยู่ได้ไม่นานนัก ”
    ………………………….
     
    /ยาของ คามิโอ ใช้ได้ผล ความรู้เชิงเวทย์แปลกๆมันแล่นเข้ามาในหัวไม่หยุดเลย แต่ดูเหมือนว่า
    จะควบคุมยากเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ/
     
    “ ทำได้แค่นี้เองรึ?..อ่อนแอชะมัด ไม่อยากให้หมาขี้แพ้อย่างแกมาเรียกฉันเป็นน้องหรอกนะ ”
    โลกิ เดินเข้าไปใกล้กับร่างสีดำที่ นอนหมดสภาพแล้วใช้เท้าเหยียบลงไปที่หัวของร่างนั้น
     
    “ จำใส่หัวเอาไว้เลยนะ…ฉันน่ะ… ” /อา..ไม่อยากจะพูดเลย/
    คำพูดกับความคิดของ เขานั่นสวนทางกันโดยชัดเจน เมื่อเตรียมใจที่จะพูดประโยคซึ่งจะนำพาความรวดร้าว
    มาสู่จิตใจของเขา บางทีคนที่เจ็บปวดอาจจะเป็นเขาเสียมากกว่า ร่างสีดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
     
    “ ……..ฉันเกลียดพี่ที่สุด!! ” ในที่สุดก็ได้พูดออกไปแล้วคำพูดนี้จะช่วยชีวิตของ พี่ ไว้ได้
    โลกิ หลับตาลงและมองดูภาพแห่งอนาคตที่ฉายซ้ำอยู่ในดวงตา ลานประหารที่พี่ชายของเขา
    ยังกอดเขาเอาไว้ มันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง /ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้ว…ทำไมพี่ถึงได้ดื้อด้านอย่างนี้/
     
    ลิงหนุ่มพ่นลมหายใจออกเบาๆ ย้ายเท้าออกจากหัวของพี่ชาย แล้วเตรียมจะเดินไปหา เรจิ ที่นอนอยู่
    อีกฟาก แต่ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านร่างของพี่ชายไป ขาขวาของเขากลับถูกอะไรบางอย่างกระตุกเอาไว้
    ร่างนั้นถึงกับหวั่นไหวและก้มหน้าลงไปดู มือของหมาป่าดำกำลังจับกุมข้อเท้าของเขาเอาไว้อย่างหนาแน่น
    เขาจึงกลั้นใจฝืนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ ปล่อย… ”
     
    “ ไม่!! ” เสียงตะคอกสวนนั่นทำเอาเขาชะงักไป ร่างสีดำยันตัวขึ้นยืน แม้จะล้มฟุบลง
    ไปแต่ก็ยังฝืนจะลุกขึ้นมาร่างซึ่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัวนั้นแสดงให้เห็นว่ากำลังฝืนกลั้นต่อสู้
    กับความเจ็บปวด อันที่จริง นายไม่ควรจะลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว หลังของนายหักเพราะถูกน้ำหนัก
    มหาศาลกดทับจนแหลกละเอียด
     
    ร่างนั้นแม้จะก้มโค้งมะงุมมะงาหลา แต่ก็ยังสูงกว่าเขา ร่างของพี่ชายสวมกอดเขาเอาไว้ไม่ยอมให้จากไป
    “ ครั้งนึงฉันเคยปล่อยนายให้หลุดมือไป..แต่..คราวนี้แหละ…คราวนี้ฉันจะ….อุบแค่ก ”
    ทอล กระอักอย่างรุนแรงจนร่างสั่นไหว ก่อนจะสำรอกเอาเลือดกองใหญ่ออกมา 
    “ …..คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้นาย หลุดมือฉันไปอีกแน่…โลกิ ”
     
    หน้ากากของความเย็นชาที่ เขาสวมเอาไว้แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หัวใจของเขาอยากจะขอโทษและ
    สวมกอดพี่ชายคืนบ้าง ตลอดมาแม้ว่าภายนอกจะแสดงออกถึงความเคียดแค้น แม้ว่าจะวางแผนชั่วร้าย
    หรือต้องลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายแค่ไหน แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เพื่อการแก้แค้น ที่วางแผน
    ลักพาตัวเรจิ ก็เพื่อจะสร้างความเกลียดชัง ที่ ทำร้ายและพูดจาว่าร้ายใส่ ก็เพื่อให้หางเพียงหางเดียว
    เกลียดชังเพื่อที่ภาพอนาคตที่มองเห็นนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง แต่เขาคงจะลืมสนิท ว่าไม่มีทาง
    ที่พี่ชายจะเกลียดเขาลงอย่างเด็ดขาด
     
    ในใจนึกอยากเรียกหมาป่าตรงหน้าว่าพี่อีกสักครั้ง แต่ภาพอนาคตอันปวดร้าวนั้นกลับยิ่งชัดเจนขึ้นกว่า
    เดิม คำพูดที่จงใจจะพูดออกไปจึงแปรเปลี่ยน
     
    “ แค่พูดน่ะ…ใครๆก็พูดได้ ฉันไม่ใช่พวกใจง่ายที่พูดประโยคละครน้ำเน่าสองสามคำ 
    แล้วจะเปลี่ยนใจหรอกน่ะ ” 
    น้ำเสียงเย็นชานั้นกล่าว พร้อมกันนั้นได้เกร็งหมัดขวาแล้วซัดเข้าที่ท้องของทอล 
    จนตัวคู้งอแต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อมแขน โลกิ จึงเปลี่ยนวิธีเขาย่อแขนทั้งสองข้างลง
    ให้มือเสมอกับไหล่ รวบรวมมานา มาจุดเป็นลูกไฟเวทย์ ในมือทั้งสองข้างแล้วเริ่มร่ายมนต์
     
    “ กาเทสม่า แอสเทก้า มาเทสก้า! ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้าจงมาเป็นศาสตราให้ข้าได้ทำลายและปกป้อง ออกมา บุยเทน โฮว โฮว ”
    =================Buiten Hou Hou==============
     
    สิ้นคำ ลูกไฟทั้งสองถูกจับรวมกันแล้วโยน ออกไปบริเวณที่ลูกไฟตกไปได้ปรากฏเป็นแผ่นศิลา
    แผ่นใหม่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน  ลิงหนุ่มยังไม่หยุดเพียงแค่นั้นเขาตั้งท่าร่ายมนต์อีกครั้งโดยคราวนี้
    ร่างของ มิเกะมิเกะ ได้แปรเปลี่ยนไป ผิวอ่อนนุ่มราวกับวุ้น เริ่มแข็งกระด้างและหยาบแห้งในที่สุด
    ทั้งร่างก็กลายเป็นหินแข็งพร้อมลอยเข้าไปกระแทกใส่ร่างของหมาป่าดำ จนกระเด็นกลับไปฟุบกับ
    พื้นหญ้า  ส่วนตัวของมันก็บินวนรอบเจ้านายคอยให้ความคุ้มครอง
     
    ในการร่ายมนต์ครั้งนี้ โลกิ แสดงความจริงจังออกทางสีหน้ามากกว่าครั้งไหนๆ อะไรบางอย่างที่มี
    พลังมหาศาลกำลังจะถูกเรียกออกมา
     
    “ กาเทสม่า แอสเทก้า มาเทสก้า….ด้วยพันธะสัญญาจากกาลก่อน ข้าขออัญเชิญนาคราชแห่งดิน… ”
    แผ่นศิลาปริร้าว ยามเมื่อการบริกรรมคาถา ดำเนินไปรอยปริร้าวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    บรรยากาศรอบอาณาบริเวณ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
     
    “ ….เกวตซัล โกอัตล์(Quetzalcoatl) ที่สถิตย์สุดท้ายของเหล่าผู้มีชีวิตจงเปิดหนทางสู่ มิกตลาน(ปรโลก)…. ”
    โลกิ เลื่อนมือทั้งสองข้างซึ่ง ประคองลูกไฟเวทย์เข้าหากัน พร้อมกับเริ่มร่ายประโยคสุดท้าย
    ออกมาอย่างรวดเร็ว
     
    “ …..ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้าจงมาเป็นศาสตราให้ข้าได้ทำลายและปกป้อง…ลาวู(Lavu)”
    ท้ายที่สุด แผ่นศิลากระจายตัวออกเป็นเสี่ยงๆถล่มลงไปกองกับพื้นหญ้า ตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือน
    จากพื้นดิน มันกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง เศษหินที่แตกกระจายย่อยยับอยู่นั้นพลัน ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีฟ้า
     
    โลกิ รวมลูกไฟเวทย์ในมือทั้งสองของตน แล้วโยนใส่ลงไปยังกองหินที่กำลังลุกไหม้นั้น
    เกิดอัศจรรย์ขึ้นในบัลดล กองหินหลอมละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวมีลักษณะเป็นปล้องวงแหวนขนาดยักษ์
    มานากลั่นตัวมารวมกันเหนือกองวงแหวนหิน เศษฝุ่นและหินทรายถูกพัดให้ลอยขึ้นโดยสายลมกรรโชก
    ซึ่งแผ่พุ่งออกมาจากไฟสีฟ้า มานาที่รวมตัวอยู่เหนือกองหินแปรสภาพเป็นดวงไฟสองดวง แลดูคล้าย
    กับดวงตา เศษฝุ่นและหินทราย หมุนวนเข้าไปรวมกันที่นั่น ประหนึ่งพายุทะเลทราย
     
    ก่อรูปก่อร่างเป็นหินที่สลักเหมือนกับหัวของสัตว์ประหลาด หัวหิวนั้นยกตัวลอยขึ้นในอากาศ
    แล้วลากเอาวงแหวนศิลา ตามขึ้นไปด้วย รูปร่างของหัวหินและวงแหวนศิลาปกคลุมด้วยเพลิง
    สีฟ้า เคลื่อนไหวส่ายไปมา ราวกับอสรพิษ 
     
    =================Lavu==================
     
    “ แฮ่ก…แฮ่ก… ลองดูซะว่ารูปร่างของความเกลียดชังมันเป็นอย่างไร! ”
    เสียงกระด้างสลับกับเสียงหอบหายใจ ผายมือขึ้นไปยัง อสรพิษหิน ซึ่งกำลังเลื้อยฉวัดเฉวียน
    อยู่บนท้องฟ้า เสียงคำรามแหบต่ำของมัน เป็นสุรเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกนี้ 
    ราวกับเสียงร้องของพญามาร
     
    ร่างของ ลิงหนุ่ม กำลังสั่นสะท้าน พลังของอสรพิษหิน มีมากเกินคณานับ แค่ควบคุมเอาไว้ก็ตึง
    มือแล้ว รีบจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุดคือหนทางที่ถูกต้องเท่าที่สมองอันชาญฉลาดของตนจะคิดได้
    โลกิสะบัดมือ ออกอสรพิษหิน ก็หันหัวพุ่งตรงเข้าหาร่างอันบอบช้ำของ หมาป่าดำ
    มันอ้าปากของมันออกแล้วช้อนร่างนั้นเข้าไป ใช้ฟันหินอันราบเรียบ บดขยี้ร่างของหมาป่าดำให้ได้รับ
    ความเจ็บปวดสุดกล้ำกลืน จนแผลเสียงร้องอย่างทรมาน
     
    “ รีบๆ นอนไปได้แล้ว ” โลกิ สบถมือของเขาสั่นเทาไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะกำลัง
    ฝืนร่างกายที่ตอนนี้เริ่มจะขยับไปเอง พลังของอสรพิษหิน มีมากเกินไปจนมันแทบจะเป็น
    ผู้ควบคุมเขาเสียเอง ได้แต่หวังให้พี่ชายจอมดื้อด้าน หมดสติที่จะมาขัดขวางเขาแล้วสลักรอยแผล
    แห่งความเกลียดชัง เอาไว้ในจิตใจ เพื่อให้วันที่ลานประหารนั้นมีเพียงเขาที่จะมอดไหม้เพียงลำพัง
     
    “ ราชาผู้จมปักในพระศอ ผู้ประหารทรราชย์ ข้าขอน้อมรับภาระกิจของท่าน….. ”
    ==========Divinity Axe==========
     
    ขวานทองคำ หมุนควงพุ่งเข้ามาที่ส่วนศรีษะของ อสรพิษหิน บั่นให้แตกกระจายเป็นเสี่ยงราว
    กับถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก ร่างของหมาป่าดำ ซึ่งอยู่ในปากอสรพิษ ร่วงออกมาในทันทีและ
    ถูกรับไว้ในอ้อมกอด ของแกะสาวผู้สวมชุดเกราะสีขาวขลิบทอง ยุวราชแห่งแสงนั่นเอง
     
    “ ข้าทนมองการห้ำหั่นระว่างพี่น้องอีกต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ…เพราะข้าเองก็มีพี่น้องที่ต้อง
    พรากจากกันไปเพราะความมืดเป็นผู้ชักนำ…. ”
    แกะสาว วางร่างของทอล ลงกับพื้นหญ้าแล้วจึงข้ามมาประจันหน้ากับ โลกิ
     
    ทำไม คือคำพูดที่ลอยขึ้นในหัวของ โลกิ ความสงสัยต่างๆนานา เข้ามารุมเร้าจิตใจของเขา
    ท้องฟ้ายังคงไม่สางจากราตรีกาล แล้วใย ยุวราชแห่งแสงซึ่งน่าจะต้องมนต์สะกดจน
    นิทราไม่ฟื้นอยู่ในพระราชวังแห่งแสง กลับมาอยู่ต่อหน้าเขา
    ระหว่างที่ความสงสัยก่อตัวขึ้นนี้ ศรีษะของอสรพิษหิน ก็ได้ฟื้นฟูสภาพจนกลับมาสมบูรณ์
     
     “ บุตรแห่งซาตานเอ๋ย ข้าจะเป็นคู่มือให้กับเจ้าเอง ”
     
    ……………………………………………………………………
    ……………………………………
     
    ทางด้าน เซเวอร์ ที่กำลังประดาบกับ เซอร์ คามิโอ หลังจากการแทงดาบสู่หัวใจของเด็กหนุ่ม
    นั้นพลาดไปเพราะ เซเวอร์เอี้ยวตัวหลบทันอย่างฉิวเฉียดนั่นเอง เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน
    แล้วแหงนหน้าขึ้นมอง เซอร์ คามิโอ ซึ่งกำลังบินอยู่ด้วยผ้าคลุมที่ทำหน้าที่เป็นปีก
     
    “ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω!  ”(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
    [จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]
     
    “ ยังไม่เข็ดอีกหรือขรับ! สายฟ้านั่นน่ะต่อให้เร็วแค่ไหนก็ตามกระผมไม่ทันร้อก~~ ”
    บุรุษอีกา ป่าวประกาศอย่างไม่เกรงกลัว แต่นั่นก็หาได้หยุดให้ เซเวอร์ ร่ายอาคมไม่
    ประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วหมู่เมฆ และเมื่อเขาสะบัดมือที่ชูขึ้นเหนือศรีษะลง
    ลำแสงสายฟ้าก็ได้พุ่งทะยานลงมาในทันที
    “ Δίος τύκος! ”(ดิออส ทูวคอส) [ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]
     
    บุรุษอีกา มองดูแสงสายฟ้าอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรและเตรียมจะใช้ลูกเล่นเดิมกับมันทว่า
    ลำแสงสายฟ้าที่ควรจะพุ่งตรงมาที่เขากลับเบนทิศออกไป
     
    มันกำลังมุ่งไปยังดาบฟ้าฟื้น ที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่ม เช่นเดียวกับที่มันเคยดูดกลืนเอาสายฟ้าจาก
    ตอนที่ต่อสู้กับ สกายบัค
     
    “ ฟ้าฟื้นตีขึ้นจากเหล็กอาถรรพ์มากมาย และหนึ่งนั้นก็มีเหล็กอาคมที่มาจากยอดของ
    พระเจดีย์ซึ่งถูกฟ้าผ่ามานับครั้งไม่ถ้วน มันจึงมีคุณสมบัติสายล่อฟ้า ”
    เซเวอร์ เปรย หลังจากที่ดูดกลืนเอาลำแสงสายฟ้าเข้าไปจนพลังงานล้นปรี่ จึงวาดดาบ มาทางขวาของตน
     
    “ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอกว่าเจ้าหลบความเร็วของสายฟ้าด้วยเล่ห์กลแบบใด เจ้าอยู่ข้างบนและข้าอยู่ล่าง
    ถ้าเป็นสิ่งนี้ล่ะก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหนี ”
     
    สถานะภาพของทั้งสองฝ่ายเป็นไปตามที่เขากล่าว เซอร์ คามิโอ ซึ่งโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ส่วนตัวเขาเซเวอร์
    นั้นยืนอยู่บนพื้นดินสิ่งนี้มีความเหมือนกันกับเมื่อครั้งที่ต่อสู้กับสกายบัค นั่นคือตำแหน่งยืนนั่นเอง
    เซเวอร์ สะบัดดาบในมือขึ้นไปหันคมชี้ไปยังท้องฟ้าทิศที่ คามิโอ บินอยู่ แล้วตวัดดาบเฉียงลงไป
    ทางซ้ายอย่างรวดเร็ว
     
    “ Celestial Splitter!!! ”(แยกสวรรค์)
     
    เหตุการณ์แบบเดียวกับครั้งนั้นกำลังจะอุบัติขึ้น ท้องฟ้าเกิดรอยแยกและสะบั้นออกจากกัน
    เซเวอร์ตวัดดาบกลับไปทางขวา ท้องฟ้าซึ่งสะบั้นลงนั่นก็เลื่อนตัวกลับสมานคืนดังเดิม
    หมู่เมฆซึ่งมารวมตัวกันที่ท้องฟ้าในทิศนั้น แตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆราวกับกระจก
    โดยไร้ซึ่งวี่แววของ บุรุษอีกา การโจมตีกลืนกินพื้นที่ทั่วทั้งท้องนภา ไม่มีสิทธิที่หลบเลี่ยงได้เลย
     
    แปะๆๆๆ เสียงปรบมือดังขึ้นสามครั้งพร้อมกับที่ บุรุษอีกา โผล่มาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
    “ แหมๆ เซอไพร์จริงๆเลย ขอร้าบ~~~  ”
     
    เป็นอีกครั้งที่ความประหลาดใจเข้ามาเคาะประตูแห่งจิตใจของ เด็กหนุ่ม คามิโอ ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ
    เป็นไปได้หรือที่จะหลบพ้นการโจมตีเชิงคอนเซป ที่มีกฏตายตัวในการกำจัดทุกสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าใน
    ทิศที่กำหนดได้
     
    “ ดูเหมือนว่าฝั่งกระนู้น~~ จะมีบุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซงเสียแล้วล่ะขรับ ถึงจะน่า
    เสียดายแต่การพนันหนนี้คงต้องถือว่าเจ๊ากันไป ”
    คามิโอ เปรยนัยตาแสดงความขุ่นเคืองใจออกมาเพียงเล็กน้อยพร้อมกับชี้ไปยังทิศทางของกำแพงเมือง
    นครแห่งแสง อสรพิษหิน กำลังโบยบินอยุ่เหนือน่านฟ้าบริเวณนั้น สร้างความตระหนก
    ให้กับจิตใจที่สับสนของเด็กหนุ่ม เขารู้สึกเป็นห่วง เรจิ ที่หนีไปก่อนมากกว่าจะมาสนใจว่า คามิโอ
    เป็นใครอีกแล้ว
     
    “ เอาล่ะครับเวลากำลังจะหมดลงแล้วผมเองก็ขอตัวก่อนดีกว่า 3…2….1! ”
    บุรุษอีกา พูดปิดท้ายก่อนจะดีดนิ้วเปาะนึงแล้วร่างของเขาก็อัตรธานหายไปในพริบตา
    ไม่มีเวลาสำหรับคำถามว่าเขาทำได้อย่างไร เซเวอร์ เตรียมที่จะใช้ก้าวตรีวิกรม เพื่อเดินทาง
    ไปยังสถานที่ต่อสู้อีกแห่งทันที นั่นคือหน้ากำแพงเมืองที่ ตอนนี้กษัตริยากับ โลกิ
    กำลังเผชิญหน้ากัน
    …………………………………………………….
    …………………………
     
    “จงแผลงออกไปจากหน่วยเป็นสิบ จากร้อยเป็นพัน พรหมมาสตร์ เอ๋ย เจ้าจงมาพิฆาตอริข้าให้สิ้นไป”
    =============Light Bind=============
     
    มานาถูกรวบรวมมาสร้างรอยกระเพื่อมมิติ รอยกระเพื่อมนี้คือประตูที่เชื่อมไปสู่คลังอาวุธศักดิ์สิทธิ์
    จากมหานครในตำนานบาบิโลน ซึ่งมีแต่ กษัตริยา ยุวราชแห่งแสงเพียงผู้เดียวสามารถเปิด คลังนี้ได้
    ด้วยบทร่ายแห่งเวทมนต์เมื่อครู่ ศรทองคำนับพันทยอยไหลออกมาจาก รอยกระเพื่อมของมิติ
    แล้วพุ่งเข้าหา โลกิ ทันที
     
    ลิงหนุ่มกวาดแขนทั้งสองไปทางซ้ายเพื่อเรียกให้ อสรพิษศิลา บินลงมาแล้วใช้ลำตัวขวาง ลูกศร
    เอาไว้ ยามเมื่อปลายหัวลูกศรทองคำกระทบเข้ากับ ปล้องลำตัวก็สะท้อนกระเด็นออกไปจนหมด
    เมื่อไม่เหลือลูกศรใดจะมาทำร้ายอีกแล้ว โลกิ จึงเริ่มให้อสรพิษหิน บุกโจมตี ด้วยการทุ่มน้ำหนักทั้งตัว
    ลงไปหมายจะบดบี้ร่างของผู้สูงศักดิ์
     
    “ข้าได้ภาวนาและกล่าวอย่างนอบน้อมต่อ มหาวงแหวนทั้งเจ็ดแห่งสรวงสวรรค์  โรห์ เอียส สามในเจ็ดของ
    เจ้าจงมาปกปักพิทักษ์ข้า  ”
    ==============Repel==============
     
    สิ้นคำแหวนแสงสีชมพูก็บังเกิดขึ้นและกลายเป็นเกราะป้องกัน รับยันเอาน้ำหนักมหาศาลของร่างมหึมา
    นั้นเอาไว้ ทว่าแม้ เกราะจะทนรับน้ำหนักไหวแต่ขนาดที่ใหญ่โตของ มันก็ได้ไถทั้งตัวและเกราะของ
    นางจนถอยครูดไปกับพื้นไกลออกไปจากเดิมหลายเมตร ก่อนจะเชิดหัวกลับขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศ
     
    “ ไม่มีประโยชน์หรอก ลาวู เป็นอสูรพิธีกรรมที่จู่โจมได้อย่างอิสระทุกทิศทาง และหากถูก
    ทำลายมันก็จะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ยอมถอยไปแต่โดยดีเถอะ ”
     
    โลกิ พูดจากที่ผ่านมาก็เป็นที่ชัดแจ้งว่าการโจมตีหรือการตั้งรับของ นาง ไม่อาจต้านทาน
    อสรพิษหิน นี่ได้เลยกระนั้น นางก็หาได้แสดงอาการท้อถอยหรือ ครุ่นคิดแต่อย่างใด
     
    กษัตริยา คว้าเอาสมุดคู่ใจซึ่งเหน็บเอวไว้ขึ้นมาเปิด ก่อนจะเริ่มอ่านบทเวทย์
    “ สังฆราชผู้สถิตย์กับองค์ศาสดา ผู้มอบการทดสอบ ข้าขอน้อมรับการทดสอบของท่าน ”
     
    สิ้นคำ มานาได้ถูกกลั่นมาสร้างรอยกระเพื่อมของมิติ นางใช้นิ้วอันเรียวยาวจุ่มมันลงไปในรอย
    กระเพื่อมนั้นแล้วจับลากเอา กริชทองคำ ออกมา แล้วจึงหย่อนมันลงไปบนพื้นสนาม กริชทองคำ
    จมหายลงไปในพื้นดิน ราวกับดำดิ่งลงบนผืนน้ำ พื้นดินบริเวณนั้นเกิดรอยกระเพื่อมสะท้อนขึ้นมา
    ตามมาด้วยการปรากฏของ ตราเวทย์รูปร่างดาบสีแดงถูกสลักเอาไว้บนพื้นที่แห่งนั้น
     
    ======================Seal of Attack====================
     
    “ ก่อนจะมาที่นี่ข้าได้วางผนึกไว้อีกสองที่ก่อนแล้ว ที่นี่เป็นที่สุดท้าย ”
    เสียงอันดังก้องของกษัตริยา ป่าวประกาศ ตราเวทย์บนพื้นจึงเกิดเรืองแสงขึ้น แสงสว่างเจิดจ้า
    พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศดูคล้ายเสาเพลิง ขณะเดียวกันก็ปรากฏเสาเพลิงเช่นนี้ ขึ้นอีกสองเสา
    โดยอยู่กันคนละมุมของสนามหญ้าแห่งนี้ เป็นเสาสีแดงหนึ่งต้นและสีฟ้าอีกหนึ่งต้น
    ลักษณะของการวางเสานั้นวางทำมุมสามเหลี่ยมด้านเท่าพอดิบพอดี
     
    ยุวราชแห่งแสง สูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดังก้องอีกครั้ง “ ผนึกแห่งสวรรค์! ”
    สิ้นคำพื้นที่ในบริเวณของสามเหลี่ยม ก็เกิดเปล่งแสงสีทองขึ้นมา วัตถุบางอย่างกำลังผุดขึ้นมาจาก
    พื้นดินที่ส่องแสง มันคือตราเวทย์รูปดาบสีทอง หลังจากโผล่พ้นดินแล้ว ตัวดาบก็ล่องลอยอยู่
    เช่นนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ พื้นที่ในสามเหลี่ยม ถูกปกคลุกด้วยบรรยากาศพิเศษที่ช่วยเสริมพละกำลัง
    ให้กับ นาง มันคือผนึกเขตแดนที่ไว้เสริมพลังจู่โจม
     
    ==============Seal of  Heaven=================
     
    “ มังกรศิลานั่นคงจะเป็นไม้เด็ดของเจ้างั้นสินะ แต่เจ้าคงจะไม่ลืมไปหรอกนะว่าข้าเองก็มีไม้เด็ดเช่นกัน ”
    ยุวราชแห่งแสง ตรัสพร้อมกับตั้งสมุดขึ้นหน้ากระดาษในสมุดเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
    หน้ากระดาษกำลังพริ้วไหว พวกมันหลุดลอยออกจากสันหนังสือแล้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
     
    ลิงหนุ่ม เห็นท่าไม่ดีจึงสั่งให้ อสรพิษหิน บุกเข้าโจมตีอีกครั้ง ร่างศิลาเลื้อยส่ายไปมาในอากาศ
    แล้วหักเลี้ยวลงเหมือนหินหล่นจากหน้าผา สวนทางกับแผ่นกระดาษเหล่านั้น
     
    “ ข้าขอวิงวอนต่อ องค์กษัตริย์ทั้งสี่ที่ได้รับเลือก….. ”
    กษัตริย์แห่งแสง กล่าวบทอาคมเวทย์ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งไร้ซึ่งความหวั่นไหว แม้ก้อนศิลาอันหนักอึ้ง
    จะกำลังตกลงมากระแทกตัวพระองค์ก็ตามที
     
    ตูมมมมมม!!!!!!!!
     
    พื้นสนามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนฝุ่นทรายลอยละลิ่วฟุ้งเต็มบรยากาศ แต่ก็หาได้หยุด
    บทอาคมที่กำลังร่ายลงได้ อสรพิษศิลา เพียงแค่โขกศรีษะของมันเข้ากับ วงแหวนป้องกัน
    ของนางแล้วก็หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น แม้ว่าลิงหนุ่ม จะบังคับให้มันใส่แรงกดลงไปอีก
     
    “ ผู้หลับไหลในศิลาหิน ผู้ประทับบนพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้จมปักในพระศอ
     ผู้สถิตย์กับองค์ศาสดา ภายใต้นามแห่งกษัตริย์ เอกซ์คาลิเบอร์ กุงกุเนีย ปรศุ อาเกดะห์ ”
     
    ระหว่างที่บทสวดกำลังดำเนินไป โลกิ ตัดใจจากการโจมตีที่ไร้ผลแล้วเรียก ลาวู กลับมา
    ก่อนจะประกบมือเข้าด้วยกันตั้งขึ้นพนมไว้เสมอช่วงอกแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง
    แข่งกับ กษัตริยา
     
    “ กาเทสม่า แอสเทก้า มาเทสก้า! ” สิ้นคำแล้วจึงแยกมือที่ประนมไว้กางออกไปทางซ้ายและ
    ขวาจนสุดแขนแล้วตั้งฝ่ามือขึ้นหันออกจากตัว รักษาระดับของแขนทั้งสองข้างให้เสมอท้ายทอย
    เป็นเส้นตรงพอดี อสรพิษหิน บิดตัวลงมาจากเบื้องบนแล้วทิ่มหน้าลงไปบนพื้นสนาม
    จนเกิดแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งใหญ่ ปล้องลำตัวได้ตามลงมาติดๆ แล้งในที่สุด ลาวู
    ก็ได้แหวกว่ายอยู่ในดิน การแหวกว่ายของมันสร้างแรงสะเทือนอันรุนแรงให้กับพื้นดิน
    ไม่ต่างไปจากแผ่นดินไหว ทุกสิ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณแห่งนี้พากันล้มระเนระนาด ไม่มีต้นไม้
    หรือต้นหญ้าใดๆจะยืนอยู่ต้นอยู่ได้อีก แม้แต่หมาป่าหนุ่มทั้งสองสี ยังฟุบล้มตัวติดราบไปกับดิน
     
    สิ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่บนแผ่นดินที่สั่นสะเทือนนี้ คือร่างของยุวราชแห่งแสงที่ได้บริกรรมคาถา
    มาถึงบทสุดท้ายแล้ว
     
    “ ข้าขอน้อมรับ วิญญูศาสตรา!! ”

    ==================Soul of Arm==================
     
    หน้ากระดาษในสมุดที่ตอนนี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือสนามหญ้า  ทุกแผ่นอาบไว้คลุมไว้ด้วย
    ประกายแสงแห่งมานา ที่ถูกรวบรวมมาตลอดการ บริกรรมคาถา ประกายแสงทั้งหมด
    เกิดปฏิกิริยากัน แล้วจึงแผ่รัศมีแสงกว้างจนสว่างเจิดจ้าทั้งท้องนภา
     
    ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ทอประกายเจิดจ้าลงมาจากแสงสว่างในฟากฟ้า 
    ประกอบด้วยดาบพันธะสัญญาแห่งชัยชนะ เอกซ์คาลิเบอร์  , หอกซึ่งไม่มีวันพลาดเป้า กุงกเนียร์
    ,ขวานปราบทรราชย์ ปรศุ และ กริชสังหารบุตร อาเกดะห์
    ศาสตราทั้งสี่ ตีวงล้อมกรอบ ลิงหนุ่ม ไว้จากทุกทิศทาง พวกมันกำลังรอคำสั่งจากผู้เป็นนาย
     
    ลิงหนุ่มปล่อยแขนลงแล้วออกจากท่าทาง ที่ค้างไว้อสรพิษหิน จึงผุดขึ้นมาจากพื้น
    แล้วตรงเข้าเล่นงาน ศาสตราทั้งสี่ ทันที กษัตริยา โบกมือเพื่อควบคุม ศาสตราให้หลบ
    หลีกแล้วตอบโต้กลับ ระหว่างนั้นเอง โลกิ ได้หลับตาลงทำสมาธิ แล้วจึงเบิกตาขึ้น
    ดวงตาสีบุษราคัมนั้นกำลัง จ้องมองไปยังอนาคต
     
    /เริ่มจาก ขวานปรศุ จู่โจมจากทางด้านบน แล้วต่อเนื่องด้วย กริชอาเกดะห์จะแทงมาจากด้านหลัง…/
     
    ขวานปราบทรราชย์ หมุนควงลงมาจากด้านบนหมายจะสับร่างสีแดงนี้ให้ขาดสะบั้น มือขวาย้ายขึ้นไป
    ตั้งท่าราวกับจะรองรับเอาคมขวานนั้น แต่แล้วปล้องหินส่วนหนึ่งจากร่างของ ลาวู ก็ได้เข้ามาเป็น
    โล่กำบังให้ ปล้องศิลารับเอาคมขวานหินไว้ด้วยการเสริมพลังจาก ผนึกเขตแดน ผนึกสวรรค์
    ทำให้คมขวานมีพลังมากพอจะกัดเซาะผิวหินอันแข็งกระด้างนี้
    กริชสังหารบุตร บินอ้อมแล้วเตรียมแทงจากด้านหลังของเขา คราวนี้มือซ้ายถูกย้ายไปรอรับ
    แล้วเหตุการณ์เดิมได้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ปล้องอีกส่วน เข้ามารับเอากริชไว้
     
    /ต่อไปก็ เอกซ์คาลิเบอร์ กับ  กุงกเนียร์ สองอันนี้จะใช้มันสำหรับการตั้งรับสินะ…/
    ลิงหนุ่มแสยะยิ้ม สองมือที่รอรับนั้นเปลี่ยนมาตั้งขนานกันเสมอช่วงอก แล้วเหยียดดัน
    แขนออกไปจนสุด เป็นการทำท่าเหมือนกับผลักออกไป ปล้องลำตัวอีกสองส่วนของ
    ลาวู บินตรงเข้าไปให้ส่วนคมของ ดาบพันธะสัญญาแห่งชัยชนะ กับ หอกซึ่งไม่มีวันพลาดเป้า
    ศาสตราทั้งสองยึดติดกับ ปล้องลำตัวทั้งสี่ชิ้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้
     
    บัดนี้ศาสตรา ของยุวราชแห่งแสงถูกพันธนาการเอาไว้แล้ว พกวมันไม่สามารถ
    สลัดให้หลุดออกจาก ปล้องศิลาที่ เสียบทิ่มอยู่
     
    “ เป็นอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ เจ้าสามารถอ่านอนาคตได้เช่นเดียวกับ พระมารดาของข้าสินะ ”
    กษัตริย์แห่งแสง ตรัสและทอดสายตามอง ร่างสีแดงตรงหน้า ร่างซึ่งสมบูรณ์พร้อมทั้ง
    พลัง สติปัญญา และพรสวรรค์ ครั้งหนึ่งเหล่าหางมากมาย เรียกเขาผู้นั้นว่า บุตรแห่งเทพ
     
    แต่เพราะพลังที่มากเกินไปนี้เอง จึงก่อให้เกิดความหวาดกลัว ศาสนจักร หวาดกลัวว่า
    จะไม่สามารถควบคุมพลังนี้ได้ในซักวัน ไม่น่าแปลกใจเลยหากว่าต้นเหตุของ
    การเป็นกบฏนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนจักร อย่างไรก็ตาม
     
    เมื่อได้ทรยศและหันคมเขี้ยวใส่ความถูกต้อง ทุกหางก็พร้อมใจจะเรียกขานเขาผู้นั้น
    ด้วยนาม บุตรแห่งซาตาน หรือบุตรของผู้เป็นปรปักษ์
     
     
    ดวงตาสีฟ้าครามของยุวราช ฉายแววสมเพชต่อ โลกิ จารีตและการไม่ไตร่ตรองขององค์กร
    ได้สร้างสรรค์เทพมาร ที่กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเสียเอง
     
    อสรพิษหิน ซึ่งนับรวมศรีษะและปล้องลำตัวที่เหลือแล้ว ก็ยาวเพียงไม่กี่คืบศอก
    แต่น้ำหนักของร่างก็ยังมากพอจะสร้างบาดแผลฉกรรจ์ได้ โลกิ ชี้นิ้วมาที่ นาง
    แล้ว ลาวู ก็พุ่งทะยาน ไม่มีความหวั่นเกรงใดๆไม่ว่าการโจมตีเช่นไรก็ถูกอ่านไว้หมดแล้ว
     
    “ โลกิ เจ้าเอาแต่ลุ่มหลงอยู่กับอนาคตที่บิดเบี้ยวนั่น จนลืมมองปัจจุบันไปแล้วงั้นรึ จงมองดูสิ
    ว่าสีของท้องฟ้านั้นเป็นเช่นไร! ”
     
    จากทางด้านหลังของกษัตริยา แสงสว่างสาดส่องเข้ามาจนทุกอย่างขาวโพลนไปชั่วขณะเมื่อดวงตา
    ปรับเข้ากับแสงนั้นได้ มันก็เบิกกว้างออก ความหวาดวิตกกำลังฉายอยู่บนใบหน้าของ ลิงหนุ่ม
    ท้องฟ้าทอประกายด้วยแสงสว่างแต่นั่นไม่ใช่แสงจากเวทย์มนต์หรืออาคมใดๆ นับเป็นเวลานาน
    แค่ไหนกันแล้วที่เริ่มต่อสู้บนสนามหญ้าแห่งนี้ ฟ้าสางแล้ว รุ่งอรุณกำลังจะมาเยือน
     
    นั่นหมายความว่า มนต์สะกดซึ่งสะกด โรจนครให้หลับไหลนั้นได้หายไปแล้ว
    และเช่นกัน ฤทธิ์ของน้ำยา Reskill Version 42 กระดกแล้วไปตายซะ ก็ถึงเวลา
    อันสมควรของมันด้วย
     
    ปล้องศิลาทั้งหมดกำลังปริร้าว ไฟสีฟ้า ที่โอบอุ้มศิลาเหล่านั้นไว้ได้เหือดหายไป
    ลาวู ถึงคราวจบสิ้นและแตกกระจัดกระจายกลับเป็นดินทราย กลับคืนสู่ผืนดิน
     
    “ โอม เรกก้า เรกก้า เรกกุ จงเผามันให้เหือดแห้ง จงสูบกินชีพจรมันให้หมดสิ้น! มานาเบิร์น!! ”
     
    ======================Mana Burn================
     
    ไอควันจำนวนมากระเหยออกจากร่างของ โลกิ มันคือพลังจิตใจที่จะช่วยให้ควบคุมมานาได้
    บัดนี้มันเหือดหายไปจากร่างของเขาจนหมดแล้ว เมื่อไร้สิ้นซึ่งเวทมนต์ ก็ไม่ต่างอะไรกับ
    เสือถอดเขี้ยว 
     
    เบื้องหลังซึ่งเป็นกำแพงเมืองนั้น กองทหารเสือดำ หลายสิบนายวิ่งกรูกันออกมา แล้วตีวงล้อมกรอบ
    เขาเอาไว้ 
     
    “ เมื่อไร้สิ้นซึ่งมานา เจ้าก็เป็นได้แค่ลิงปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ”
    เสียงกระด้างซึ่งแฝงไว้ด้วยความโทสะ เดินแหวกวงล้อมของเหล่าเสือดำเข้ามาด้วยอาการต้วมเตี้ยม 
    เจ้าของผู้ร่ายเวทย์เผามานา ซึ่งก็คือ พระสังฆราชสิงโตทะเล เรกกุ นั่นเอง
     
    “ ทหาร! เอาตัวไปขังไว้ รอการไต่สวนในบ่ายนี้ ”
     
    ……………………………………………………………………………………
    …………………………………………………….
    ………………………………….
     
    บ่ายของวันนั้นหลังการไต่สวนคดีของโลกิ สิ้นสุดลง ผู้ที่ตรงมายังศาลหลักเมือง
    เป็นหางแรก คือหมาป่าดำ ซึ่งเนื้อตัวชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อจากการวิ่งมาตลอดระยะทาง
    เขาวิ่งทะยานขึ้นไปยังชั้นสองที่ซึ่งห้องไต่สวนใหญ่ ตั้งอยู่
     
    ทันทีที่พ้นจากราวบันไดมาได้ ประตูห้องถูกเปิดออกนานแล้วเพราะการไต่สวนที่พึ่งจะจบลง
    ไปได้ซักครู่ ทอล วิ่งเข้าไปหา หนึ่งในคณะหางที่กำลังเดินออกมา หมาป่าขาวโอดิน ผู้เป็นพ่อนั่นเอง
     
    “ พ่อครับผลการตัดสินล่ะ! ” หมาป่าขาวเผยสีหน้าของความหนักใจที่จะพูด นั่นชวนให้เขารู้สึกใจเสีย
    ยิ่งไปกว่าเดิม ใกล้ๆกันนั้นหนึ่งในคณะ ก็เดินเข้ามาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหวานชื่น
     
    “ โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ว่า การประหารจะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้หรือก็คือ คริตมาสอีฟ ขรับ ”
     
    **********************โปรดติดตามตอนต่อไป*********************
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×