คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #168 : Login 165: The Show of Despair
Login
165: The Show of Despair
ตระกูลธุวดารกะล่มสลาย...
เลือดเนื้อเชื้อไขที่อุทิศตัวให้กับตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ใต้ดินของฐานทัพ
จากการอาละวาดของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
ทันทีที่เจ้าเครื่องจักรยักษ์ใหญ่รูปร่างเหมือนพยัคฆ์โผล่หน้าขึ้นมาสู่สมรภูมิรบ
เค้าลางแห่งความวุ่นวายและหายนะก็เริ่มจับตัว
เพียงแค่การปรากฏตัวขึ้นของออร์ทิเกสซาร์หนึ่งในเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสอง
คมดาบผู้รับใช้แอดมินิสเทรเตอร์โซลาริส ก็มากพอจะหยุดสนามรบให้ชะงักไปได้วินาทีหนึ่งแล้ว
สายตาของทหารเมตไตรยและกองทัพมนุษย์ต่างดาวที่ฟาดฟันกันอยู่นั้นหันเหไปในทางเดียวกันราวกับต้องมนต์สะกด
ไม่มีใครอาจละสายตาจากเครื่องจักรหรืออะไรก็ตามที่ร่างกายเป็นโลหะทั้งแท่งแล้วยังเคลื่อนไหวได้แถมมีขนาดตัวใหญ่มโหฬาร
จนแม้แต่ตึกระฟ้ายังสูงได้แต่หน้าแข้งของมันเท่านั้น
ด้วยขนาดตัวของมันและการที่มันพังฐานใต้ดินซึ่งกินพื้นที่เกือบครึ่งเมืองเพื่อขึ้นมาจึงทำให้พื้นดินบริเวณรอบๆ
ยุบตัวลงไป
ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นรวมไปถึงพวกมนุษย์ต่างดาวบางส่วนที่บุกเข้ามาในเมืองจึงถูกธรณีสูบลงไปจนหมด
ออร์ทิเกสซาร์ตะกุยขาหน้าของมันขึ้นมาจากหลุมโดยไม่สนใจว่าจะเหยียบถูกเมืองหรือผู้คนไปกี่คนก็ตาม
มันเพียงเหยียดย่างเท้าอย่างสำราญใจและขบยิ้มกรุ่มกริ่มทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกรีดร้องยามที่มันย่ำเท้าลงบนบ้านเรือนหรือบนร่างของใครก็ตาม
ออร์ทิเกสซาร์หันเหสายตาไปยังสมรภูมิที่อยู่ห่างออกไปอีกแค่ไม่กี่ย่างก้าวของมันแล้วครางคำรามด้วยเสียงของมีนา
“มนุษย์เอ๋ยพวกเจ้ากำลังลำบากอยู่รึให้ข้าช่วยเอาไหม”
มันพูดพร้อมกับอมยิ้มที่มุมปาก
ลักษณะกับความละเอียดของปากที่เป็นเครื่องจักรซึ่งขับเคลื่อนด้วยเฟืองจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ภายในกลับทำให้มันแสดงอารมณ์บนใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งที่มันเป็นอาวุธของพระเจ้า หรือ
ไม่อย่างนั้นรอยยิ้มกับการแสดงอารมณ์ก็นับเป็นอาวุธสำหรับถอนวัชพืชเช่นกัน
หรือไม่มันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ขันส่วนตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าตัวตลกวิปลาสแห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์
ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของ
ออร์ทิเกสซาร์ เว้นแต่ตัวมันเอง
และแล้ว
ตัวตลกก็เตรียมพร้อมจะเปิดการแสดงอันวิปลาสของมันแล้ว
เหล่าทหารของเมตไตรยพากันตกใจต่อคำพูดที่มันได้หว่านล้อมเอาไว้
ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ว่าคนพวกนั้นเริ่มมี
‘ความหวัง’ แม้จะเป็นประกายที่เล็กน้อยสักเพียงใดหากทำให้มันพองโตขยายเป็นดวงไฟที่สุกสกาวได้ล่ะก็...
ยามที่มันดับมอดลงคงจะสนุกน่าดู....ออร์ทิเกสซาร์คิดเช่นนั้นแล้วก็อ้าปากกว้างเล็งไปยังจุดที่มีแต่พวกมนุษย์ต่างดาวกระจุกตัวกันอยู่
พวกมนุษย์ต่างดาวซึ่งไม่รู้ว่าออร์ทิเกสซาร์คือตัวอะไรก็เริ่มถกกันไปต่างๆ
นานา
“นั่นมันอะไรน่ะ”
“ปาหี่ของพวกชาวโลกงั้นเรอะ”
หัวหน้าหน่วยของมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งในหมู่นั้นสั่ง
“ขยี้มันทิ้งซะ” จากนั้นก็เฮโลกันพุ่งเข้าไปหาออร์ทิเกสซาร์กันด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
แต่สำหรับเครื่องทำสวนแล้วไม่ต่างอะไรกับแมลงเม่าที่บินเข้ามาในกองไฟ
“โซเดียราโอ”
มันกล่าวร่ายสกิลเช่นนั้น
แต่ยังไม่ยิงลำแสงกวาดล้างออกไปแต่กลับประวิงเวลาชะลอความเร็วในการเปล่งตัวของมวลพลังงานแสงที่มันสะสมให้ช้าลงด้วยเป้าประสงค์บางอย่าง
การโจมตีของมนุษย์ต่างดาวเข้าปะทะใส่ร่างของมัน
แต่ไม่มีอาวุธใดทะลวงผ่านผิวโลหะไปได้ ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วนด้วยซ้ำ
กระทั่งการโจมตีที่เป็นลำแสงหรือคลื่นพลังก็จะสลายไปเพราะละอองอนุภาคที่ห่อหุ้มรอบตัวมันซึ่งมาจากผิวอุกกาบาตที่เคยห่อหุ้มตัวมันสลายออกมา
อนุภาคที่ช่วยสลายพลังของอมฤต เป็นระบบป้องกันแบบพื้นฐานของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียว
กับ ดีเซมแมร์ที่เคยอาละวาดที่ค่ายกรุงเทพ
ออร์ทิเกสซาร์รอจนแน่ใจแล้วว่าพวกมนุษย์ต่างดาวเริ่มหมดกำลังใจที่จะโจมตีจึงแสร้งทำทีเป็นล้มเพราะทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว
มันทรุดขาหน้าข้างหนึ่งลงแล้วก้มหัวพลางส่งเสียงคราง
“โอ้ย~~~”
พริบตาหนึ่งที่มันสัมผัสได้ว่าพวกมนุษย์ต่างดาวเริ่มโจมตีหนักข้อขึ้น
สัมผัสได้ถึงกำลังใจที่มากขึ้นของเจ้าพวกนั้น
“ซะเมื่อไหร่ล่ะ”
มันคำรามเช่นนั้นตอนที่เงยหน้าแล้วปลดปล่อยลำแสงสีแดงออกจากปาก
มันลากลำแสงกวาดพวกมนุษย์ต่างดาวตรงหน้าให้หายไปหมดในพริบตาเดียว
ลำแสงลากผ่านไปตามส่วนต่างๆ
ของเมืองที่ยังเหลือรอดจากพื้นดินถล่มทำให้เกิดระเบิดขึ้นจนเมืองพังพินาศ
ศูนย์บัญชาการใหญ่ของเมตไตรยตกอยู่ในทะเลเพลิงทันที
เกิดระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในทะเลเพลิงนั่น
เสียงระเบิดดังกัมปนาท
แผ่นดินสั่นสะเทือน
ออร์ทิเกสซาร์ได้เผยแพร่ความกลัวออกไปในวินาทีนั้น
มันได้แสดงโชว์อันวินาศสันตะโรให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าวัชพืช
แล้วมันก็ยินดีที่ได้เห็นวัชพืชแสดงความหวาดกลัวและหวาดวิตก
พวกมนุษย์ต่างดาวที่ยังเหลือรอดเพราะไม่ได้บุกเข้ามาแต่ยืนดูเชิงอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองที่เพิ่งจะถล่มกลายเป็นซากไปต่างก็พากันโวยวายและแสดงอาการหวาดกลัวออกมา
บางตนก็เคยมีประสบการณ์มาก่อนเพราะเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ดีเซมแมร์อาละวาดที่ค่ายกรุงเทพ
“นี่มันตัวอะไรกันน่ะ
ทำไมพลังมันถึงมากขนาดนี้”
“ฉ..ฉันจำมันได้เจ้านี่มันเหมือนกับที่เจอตอนตามท่านโซเดียมคนก่อนไปฆ่าพวกชาวโลกเลยเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นี่เหมือนกับม้าตัวใหญ่ตอนนั้นเลย!”
พอเห็นแบบนั้นเข้าเหล่าทหารเมตไตรยที่โดนต้อนจนมุมจนถึงเมื่อครู่ก็เริ่มมีขวัญกำลังใจขึ้นมา
“เจ้านั่นมันมาช่วยพวกเราจริงๆ
เหรอ”
“นั่นจะต้องเป็นอาวุธลับที่พวกท่านธุวดารกะเตรียมเอาไว้อย่างแน่นอนเลย
ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทำงานวิจัยลับอยู่ข้างใต้เมืองต้องเป็นเจ้านี่แน่ๆ
พวกเรารอดแล้ว!”
แม้ว่านั่นจะหมายถึงการที่ออร์ทิเกสซาร์สังเวยประชาชนในเมืองไปทั้งหมดก็ตาม
แต่เหล่าทหารของเมตไตรยซึ่งต่างก็เตรียมใจพ่ายแพ้เอาไว้จนถึงเมื่อครู่
พอได้รับน้ำแห่งความหวังจากออร์ทิเกสซาร์ก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกนอกจากความลิงโลดที่เห็นว่าตัวเองสามารถรอดชีวิตจากสมรภูมินี้ได้
มันเป็นเช่นนั้นเสมอ
วัชพืชที่เรียกว่ามนุษย์เมื่อได้รับน้ำแห่งความหวังพวกมันก็จะตอบสนองอย่างน่าขยะแขยง
แต่สำหรับออร์ทิเกสซาร์แล้วมันคือความสำราญอย่างหนึ่ง ตัวตลกผู้วิปลาสหัวเราะ
“การขยี้หัวใจใครสักคนหนึ่งให้แตกสลายน่ะมันง่ายจะตายไป
เพียงแค่มอบ ‘ความหวัง’ ให้แล้วจากนั้นก็ขยี้มันทิ้งซะ!”
สิ้นคำแผงคอที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็ถูกกางออกมาเปลี่ยนพยัคฆ์ให้กลายเป็นราชสีห์ไปในทันใด
ร่องที่เว้นเป็นลายพาดกลอนอยู่บนหลังพ่นไฟสีครามออกมา
แผงคอเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว
“โซเดียแมททีเรียลเกย์เซอร์
(Zodia Material Geyser) !”
ออร์ทิเกสซาร์คำราม
วินาทีถัดมาแผงคอที่หมุนอยู่ก็ปลดปล่อยบ่วงเพลิงพร้อมกับคลื่นทำลายพุ่งออกไปเป็นลำ
คลื่นบ่วงเพลิงนั้นพอเคลื่อนที่ผ่านไปก็จะสร้างน้ำพุเพลิงทิ้งเอาไว้
ไฟบรรลัยกัลป์ลุกโชติช่วงพากันพวยพุ่งขึ้นจากใต้ดินอย่างกับน้ำพุร้อน
วินาทีถัดจากออร์ทิเกสซาร์ก็พ่นลำแสงสีแดงชาดตามมา
ลำแสงทะลุผ่านเสาไฟแล้วทำให้มันแตกกระจายจนเผาทุกอย่างในบริเวณนั้นๆ
เป็นจุลก่อนจะมอดดับลง
คลื่นบ่วงเพลิงและลำแสงทำลายพุ่งผ่านไปทางพวกทหารของเมตไตรยแล้วกลืนกินคนเหล่านั้น
ไม่เว้นกระทั่งมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในวิถียิงก็ถูกจัดการไปเหมือนกัน
การโจมตียังคงมุ่งต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งลงไปในทะเล
แต่มันก็ยังแหวกผืนทะเลออกเป็นทางไปจนกระทั่งสุดปลายที่เส้นของฟ้ากับขอบน้ำจรดกัน
บัดนี้ผืนแผ่นดินแทบจะไม่หลงเหลืออะไรอีกต่อไป
มีแต่เพลิงไฟแห่งความพินาศลุกโชติช่วงปกคลุมผืนดิน
ถึงจะยังมีพวกมนุษย์ต่างดาวที่ไหวตัวทันหลบหนีจากทิศทางของการโจมตี
รวมถึงทหารของเมตไตรยบางคนก็เล็ดลอดไปได้ แต่ก็ต้องพบเจอกับความสิ้นหวังอยู่ดี
‘เหมือนนรกบนดินไม่มีผิด’
ความคิดของวัชพืชทั้งหมดคงไม่ต่างไปจากนี้…ออร์ทิเกสซาร์คิดแล้วก็ยิ้มกริ่มอย่างสำราญใจ
พลางจับจ้องสายตาไปยังจุดที่โซเดียแมททีเรียลเกย์เซอร์พุ่งไปจนสุด
ณ
จุดนั้นเองที่ความสิ้นหวังก่อตัวขึ้นและทำให้มันยิ้มกระหยิ่มอย่างลิงโลดขึ้นไปอีก
เริ่มด้วยเส้นขอบน้ำที่ถูกลบหายไปในความว่างเปล่าและลุกลามขึ้นไปยังท้องฟ้า
เส้นขอบฟ้าทยอยกลายเป็นความมืดมิดที่ไม่มีสสารใดๆ
อีก ที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ออร์ทิเกสซาร์ที่เห็นแบบนั้นเข้าก็ครางหัวเราะอย่างขบขัน
“หึ ฮะฮะฮะ
ได้ยินแล้ว ข้าได้ยินเสียงกรีดร้องของแผ่นดินนี้แล้ว เอ้า
จงร้องให้มากกว่านี้อีกสิสวนที่ถูกทอดทิ้งเอ๋ย ร้องอ้อนวอนข้าก่อนที่เจ้าจะล่มสลาย”
แล้วเปลี่ยนไปอ้าปากหัวเราะอย่างสะใจ
ก่อนจะก้มหน้าพูดกับคนที่ยังเหลือรอดอยู่ตรงนั้น
“พวกเจ้าก็ด้วยวัชพืชเอ๋ยจงร่ำร้องออกมา
ทำนองอันน่าเวทนานั่นข้าจะช่วยฟังให้เอง!”
ทันใดนั้นก็มีสิ่งที่ทำให้ออร์ทิเกสซาร์ต้องหยุดชะงักไป
มันกางแผงคอขึ้นสร้างกำแพงแสงจางๆ
ขึ้นที่เบื้องหน้าแล้วเหลียวหันไปทางซ้ายบน
ลำแสงสีแดงชาดตกลงมาปะทะถูกกำแพงแล้วกระดอนออก
“การโจมตีแบบนี้มัน โซเดียราโอของเซปทรูสตาร์…เจ้าเองสินะสิงห์”
ข้างบนนั้น
ร่างมหึมาที่ขนาดตัวพอๆ กันกับออร์ทิเกสซาร์กำลังประพือปีกและบินด้วยไอพ่น
จักรกลครึ่งสตรีครึ่งปักษา
ท่อนบนที่เป็นมนุษย์นั้นมีแขนเป็นปีก มีเส้นผมเป็นสายไฟระโยงระยางที่พัดปลิวไสวไปตามแรงลม
ดวงตาเปล่งแสงแบบเดียวกับลำแสงที่จู่โจมออร์ทิเกสซาร์
เสียงของแฟรนเซียมผู้นำมนุษย์ต่างดาวดังกระจายออกมาจากร่างของสตรีครึ่งปักษา
“นี่มันหมายความว่ายังไง
นรสิงห์!”
เสียงอันปะทุไปด้วยความโกรธของแฟรนเซียมนั้นได้ปลุกใจและดึงสติเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่กำลังแตกสานซ่านกระเซ็นอยู่บนแผ่นดินที่ลุกเป็นไฟนั่น
รวมถึงเหล่าทหารของเมตไตรยก็ด้วย เสียงของเขาคือเสียงของสิงห์ ธุวดารกะ เช่นเดียวกัน
และเพราะแบบนั้นน่ะเองทำให้ความสับสนเกิดขึ้นบนสนามรบ
“เมื่อกี้มันเสียงของท่านสิงห์นี่
ท่านมาช่วยพวกเราแล้วเหรอ”
“แต่ว่าท่านสิงห์น่ะเป็นคนทรยศไม่ใช่เหรอ
ดุนั่นสิพวกมนุษย์ต่างดาวมันบอกกันว่าผู้นำของพวกมันมาถึงแล้ว”
“หมายความว่าท่านสิงห์ที่จริงแล้วก็เป็น…”
ความสับสนเหล่านั้นไม่นานก็คลี่คลายแล้วกลายเป็นความสิ้นหวังของทหารเมตไตรย
แฟรนเซียมยังคงดำเนินการสนทนาต่อไปโดยไม่แยแสเรื่องบนพื้นดิน
“ฉันจำได้ว่าไม่เคยสั่งให้แกเผาเมืองนะ”
ออร์ทิเกสซาร์ที่โดนถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยิ้มกริ่มแล้วตอบไปว่า
“ก็กลืนกินอาคานาร์ฟอร์ซเพื่อให้เฟืองที่เจ้าสร้างให้กลายเป็นของแท้อย่างที่เจ้าบอกอยู่ไงล่ะ”
เขาสั่งไปอย่างนั้นจริงๆ
เพื่อให้ฟันเฟืองสังเคราะห์ที่ปลูกถ่ายลงในตัวมีนาที่ตอนนี้คงขับเคลื่อนออร์ทิเกสซาร์อยู่ภายในตัวของมันกลายเป็นฟันเฟืองที่มีพลังเทียบเท่าของจริงจำเป็นจะต้องกลืนกินอาคานาร์ฟอร์ซอันเป็นพลังแห่งโชคชะตาที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์
นี่เป็นข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ฟันเฟืองของอิงศร แต่ว่า...
“อาคานาร์ฟอร์ซมาจากมนุษย์เท่านั้นแล้วแกทำร้ายบุตรแห่งแสงทำไม”
“เฮอะๆๆ บุตรแห่งแสงเรอะ
อย่าพูดให้ขำดีกว่าน่าพวกนี้มันของปลอมที่เจ้าทำขึ้นมาไม่ใช่รึไง”
“นี่แกจะหักหลังฉันอย่างนั้นเรอะ”
“นี่เจ้าคิดจริงๆ
รึว่าผลงานที่ผ่านมามันคือความสำเร็จจริงๆ น่ะเจ้าคิดรึว่าจะควบคุมเครื่องทำสวนได้
หากคิดเช่นนั้นก็เสียใจด้วยนะเพราะว่ามันเป็นละครที่ข้าแกล้งเล่นตบตามาโดยตลอด”
สรุปก็คือตนถูกนรสิงห์หักหลัง
เจ้าปีศาจที่ใช้เป็นร่างจำแลงของจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องทำสวนออร์ทิเกสซาร์ซึ่งมาพบเขาเมื่อสิบสองปีก่อน
ออร์ทิเกสซาร์พูด
“สิบสองปีที่ได้อยู่กับเจ้ามาก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยสนุกมากเลยล่ะสิงห์
แต่ว่านะมันถึงเวลาปิดม่านแล้ว”
แต่แฟรนเซียมก็พูดขัดขึ้นว่า
“สั่งเสียเสร็จแล้วใช่ไหมฉันจะได้แยกชิ้นส่วนแกออกแล้วค่อยไปแก้บั๊คออกทีนี้แกก็จะกลายเป้นตัวหมากที่สมบูรณ์ซะที”
พอได้ยินแบบนั้นออร์ทิเกสซาร์ก็หัวเราะ
“อา อา อา
สิ้นหวังใช่ไหมล่ะสิงห์เจ้ารู้สึกเขินอายที่กลายเป็นตัวตลกสินะ...”
ไม่ทันที่จะสิ้นสุดคำพูดกรงเล็บของเซปทรูสตาร์ก็โฉบลงมา
แต่ก็ถูกกำแพงแสงที่สร้างขึ้นมาอย่างฉุกเฉินสะท้อนออกไปได้ทัน
“ว่าใครเป็นตัวตลกงั้นเรอะ”
เสียงของแฟรนเซียมเปล่งออกมา
หลังจากโฉบทีเผลอพลาดตอนนี้ก็เลยไปอยู่ข้างหลังออร์ทิเกสซาร์
“หึหึหึ กำลังโมโหอยู่รึขำมุกของข้าเข้าแล้วสินะ”
ออร์ทิเกสซาร์กล่าวแล้วหันไปทางที่เซปทรูสตาร์บินอยู่
ทุกย่างก้าวของมันสร้างแรงสั่นสะเทือนให้พื้นดินเสมอ
แฟรนเซียมตอบโต้คำพูดนั่น
“เป็นถึงราชสีห์แต่กลับชอบแสดงปาหี่งั้นเรอะ”
“ข้าไม่ใช่เจ้าป่าแต่เป็นสิงโตในคณะละครสัตว์ต่างหาก เอ้า
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
โชว์ละครสัตว์แห่งความหวังและความสิ้นหวัง โซเดียมิราจ!”
***ต้องขอโทษด้วยครับที่วันนี้ลงเลทโอเวอร์ขนาดนี้แต่ไรท์ดันลืมซิงค์ต้นฉบับที่พิมพ์เสร็จไว้ขึ้นไปบนอากู๋ไดรฟ์เลยต้องรอเลิกงานค่อยกลับบ้านมาอัพ
TwT ฮรือ ซวยรับฮาโลวันเบย โอเมก้า!!***
ความคิดเห็น