คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : Login 78: เจรจาสงบศึก
Login
78: เจรจาสงบศึก
ผู้ที่มาปรากฏตัวต่อหน้าอิงศรคือคนที่โหยหามาตลอด
ใบหน้าเช่นนั้น
เรือนผมสีดำเช่นนั้น ดวงตาแบบนั้น มิ่งขวัญ...
น้องชายในชุดมนุษย์ต่างดาวเดินแหวกพุ่มไม้ออกมาพร้อมกับหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย
“ท่านพี่อิงศร”
มิ่งขวัญพูดแล้วหยุดยืนพลางวางกระเป๋าลง
“ในที่สุดก็ได้พบกัน”
แล้วพูดมาอย่างนั้น
“น้องชายพี่ศรนี่!
ดีใจด้วยนะครับพี่ศร”
เสียงตื่นเต้นของกวินทร์ดังมาจากด้านหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องวิ่งมาหยุดยืนเคียงข้างแล้วปั้นหน้าดีใจแทนเขาซะอย่างนั้นขณะเดียวกัน...
“อุ้ยตาย
ผู้บ่าวนี่ใครก่อหล่อแต๊หล่อว่าหล่อนักๆ แนะนำให้ฮารู้จักมั่งซิ”
อิซานามิก็กระโดดเข้ามาเกาะไหล่เกาะแขนแล้วหลบอยู่ข้างหลังอิงศรพลางส่งสายตาหยาดเยิ้มใส่มิ่งขวัญ
“อะโหเจ๊เมื่อกี้บอกว่ามีสามีแล้วไม่ใช่เหรอ
นองอก(แรด)มาเชียว”
กวินทร์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจและคำพูดที่เหมือนจงใจจะจิกกัดแต่อิซานามิก็หาได้ระแคะระคายแม้แต่น้อยแล้วยังตอบสวนกลับไปอีกว่า
“”ฮาบ่ใจ้มนุษย์ซะหน่อยจะหากิ๊กเด็กไว้ก็บ่ได้ผิดอะหยังนิ”
อิงศรเมินบทสนทนาที่ฟังไม่สมเป็นเทพเจ้าอย่างที่ประกาศตัวไว้ของอิซานามิแล้วเริ่มถามคำถามกับมิ่งขวัญ
“แกไม่ใช่ขวัญนี่
แกเป็นใครกันแน่”
ได้ยินดังนั้นกวินทร์ก็แสดงอาการตกใจ
“เอ๋
เอ่อไม่ใช่เหรอ”
“ก็ดูดีๆ
สินายเองก็เคยเจอขวัญมาแล้วใช่ไหมล่ะแต่เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าเรามันไม่ดูโตกว่าคราวก่อนไปหน่อยหรือไง”
มิ่งขวัญที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนจะอายุราว
17 ถึง 18
แต่มิ่งขวัญที่เจอกันคราวก่อนน่าจะอายุ15ซึ่งเทียบตามปีที่พวกเขาพรากจากกันไปก็จะได้เท่านั้นพอดี
ดังนั้นมิ่งขวัญตรงหน้านี่จึงไม่ใช่ตัวจริงแต่น่าจะเป็นใครซักคนปลอมตัวมา
อิงศรนึกถึงรูบิเดียมราชครูที่เจอกันในห้องทดลองใต้ดินของอารย-สนธยาในวันนั้น
หล่อนได้เปิดเผยตัวเองว่าเป็นคนที่ปลอมตัวเป็นสีดาแล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีที่มนุษย์ต่างดาวปลอมเป็นมนุษย์
NPC มาก่อน
ทุกกรณีของการปลอมตัวที่พวกมนุษย์ต่างดาวใช้กันนั้นจะมีจุดร่วมคือมนุษย์ NPC หรือก็คือการปลอมตัวน่าจะมีปัญหาตรงที่ไม่สามารถแสดงชื่อและพลังชีวิตให้เห็นได้
แต่ตอนนี้อารย-สนธยาทำให้ระบบของเกมหยุดชะงักแถบพลังชีวิตกับชื่อจึงไม่แสดงกันทุกคนอย่างไรเสียการที่มันเลือกปลอมตัวเป็นมิ่งขวัญก็ถือว่าผิดพลาดอย่างแรงเพราะซีลอร์ดเคยบอกเอาไว้ว่ามิ่งขวัญเองก็อาจจะมีเฟืองแบบเดียวกับเขาดังนั้นหมอนั่นก็จะต้องมีชื่อกับแถบพลังชีวิตแสดงอยู่เหมือนกันอย่างแน่นอนแต่เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้านี่ไม่มีดังนั้นจึงมั่นใจได้
อิงศรเล็งธนูใส่มิ่งขวัญตัวปลอม
โชคดีทีก่อนหน้านี้เขาทะเลาะกับอิซานามิเลยทำให้ถืออาวุธติดตัวเอาไว้ตลอด
“ดูออกรึ”
มิ่งขวัญตัวปลอมกล่าว
“แหงสิก่อนอื่นเลยตอนนี้ขวัญน่าจะอายุสิบห้าแต่สัดส่วนร่างกายแกดูยังไงก็ไม่ต่ำกว่าสิบเจ็ดแถมยังวิธีพูดจาแบบนั้นอีกขวัญไม่ได้พูดแบบที่แกพูดแค่นี้ดูไม่ออกก็โง่แล้ว”
“ชาวโลกเนี่ยฉลาดกว่าที่เอโนคบอกไว้นะมีพัฒนาการขึ้นมาจากเมื่อพันปีก่อนหรือว่าเพราะสมสู่กับเจ้าพวกนั้นกันนะ”
“เจ้าพวกนั้น?”
อิงศรทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเป็นงง
“ก็ที่พวกเธอเรียกกันว่าเนฟิลิมไงล่ะ”
ถึงจะพูดขยายมาแต่อิงศรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีอะไรคือ
‘เอโนค’ อะไรคือ ‘เนฟิลิม’ หรือบางทีจะเกี่ยวข้องกับตำนานหรือศาสนาอะไรอีกรึเปล่าเพราะชื่อพวกนั้นเหมือนจะเคยคุ้นหูอยู่ว่ามาจากคาบเรียนในวิชาทหารของเมตไตรยพวกวรรณกรรมศาสนาอะไรเทือกนั้น
เพียงแต่เขาไม่ค่อยจะตั้งใจเรียกวิชาพวกนี้ซักเท่าไหร่
มิ่งขวัญตัวปลอมได้พูดมาอีก
“เป็นพวกที่เคยสมคบคิดกับราชครูที่มีชื่อแรกเกิดว่าฟอสฟอรัสก่อกบฏแล้วหนีลงมายังดาวโลกแห่งนี้น่ะ”
“…”
แน่นอนว่าอิงศรก็ยังคงไม่เข้าใจเรื่องที่พูดอยู่ดี
บางทีมันอาจจะเป็นการเปรียบเปรยเชิงประวัติศาสตร์เหมือนที่ซีลอร์ดเคยพูดให้ฟังมาก่อนหลายๆ
อย่างในไบเบิลค่อนข้างจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มีต้นตอมาจากพวกที่อยู่ในสวนแห่งที่หนึ่ง
“…”
เมื่อเห็นว่าพูดกันไม่ไปไหนฝ่ายนั้นก็เลยออกตัวเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอาเถอะ
ตอนแรกก็กะว่าจะลองหลอกให้เชื่อว่าเป็นมิ่งขวัญอยู่หรอกแต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์แล้วสินะถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยเถอะ”
มิ่งขวัญปลอมพูดจบก็ก้มตัวลงแกะกระเป๋าเดินทางโดยไม่แยแสธนูของอิงศรที่กำลังเล็งมาและพร้อมจะแผลงออกไปได้ทุกเมื่อ
แต่ก็นับเป็นโอกาสหาทางหลบหนีที่ดี
อิงศรเริ่มประเมินพลังของศัตรู
ดูจากเครื่องแบบอีกฝ่ายน่าจะชั้นครู
เพราะไม่มีพลังชีวิตกับชื่อก็เลยพลอยไม่รู้ระดับเลเวลไปด้วยข้อมูลของอีกฝ่ายค่อนข้างจะคลุมเครือ
แต่ตอนนี้ไม่มีการสนับสนุนจากเกมถ้าอย่างนั้น...
วินาทีที่อิงศรจนใจจะวิเคราะห์พลังแล้วคิดจะให้พวกพ้องหลบหนีกันซึ่งๆ
หน้าไปเลยนั่นเอง
“อ้อ
จริงสิกระผมมีนามว่าแบเรียมเป็นผู้ติดตามของราชครูลำดับที่สองรวมถึงเป็นว่าที่ของเขาด้วยเรื่องพลังน่ะผมเป็นรองแค่รูบิเดียมที่อยู่อันดับสามเท่านั้นเองถึงตอนนี้จะไม่มีระบบของเกมช่วยสนับสนุนแต่พวกเราก็ยังมีพลังเหนือกว่าชาวโลกที่เป็นของดั้งเดิมอยู่นะเธอในตอนนี้เอาชนะกระผมไม่ได้หรอก”
อีกฝ่ายก็ยอมเผยข้อมูลให้โดยจงใจใช้มันข่มขู่ให้เขาวางอาวุธหรือไม่ก็ตั้งใจจะบอกว่าถึงคิดหนีไปก็เปล่าประโยชน์อย่างนั้นสินะ
แต่อิงศรก็ไม่ลดธนูลงตามที่ว่าเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นหลักประกันไม่ให้ถูกเล่นงานทีเผลอ
ที่สำคัญคำพูดเมื่อครู่อาจจะเป็นการโกหกพวกมนุษย์ต่างดาวเองก็น่าจะสูญเสียพลังจากเกมไปเหมือนกันและถึงฝ่ายนั้นจะบอกมาว่าพลังเหนือมนุษย์ที่เป็นของดั้งเดิมยังคงหลงเหลืออยู่ก็ไม่น่าจะห่างชั้นกับตัวเขาที่ยังมีพลังสนับสนุนจากเกม
"แต่สบายใจได้กระผมไม่ได้มาหาเรื่องหรอกนะแค่อยากจะพูดคุยด้วยเท่านั้นเอง"
แบเรียมพูดมาอย่างนั้น
ควรจะเชื่อดีรึเปล่าหรือควรจะให้พวกกวินทร์รีบหนีไปแล้วเขาก็สู้ถ่วงเวลา
อิงศรเลือกอย่างแรก
ข้อมูลของอีกฝ่ายไม่แน่ชัดจะผลีผลามเคลื่อนไหวก็อันตรายเกินไปบางทีเขาอาจจะไม่ถูกฆ่าแต่กวินทร์น่าจะตายตอนนี้หมอนั่นไม่มีพลังของเกมคอยสนับสนุนแรงกายที่มีก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งคงหนีการไล่ล่าของมนุษย์ต่างดาวไม่พ้นแน่
อิงศรมองใบหน้าของน้องชายที่อยู่บนตัวแบเรียมแล้วก็รู้สึกรำคาญมันเหมือนถูกยั่วยุอยู่ตลอดเวลา
"ว่าแต่แกน่ะเมื่อไหร่จะเลิกปลอมตัวซักที"
แบเรียมหยุดมือที่กำลังรูดซิปกระเป๋าพลางเงยหน้าขึ้น
"ปลอมตัว?"
แล้วทำหน้าฉงน
"ใช่
ก็ตอนนี้พวกฉันรู้แล้วว่าแกไม่ใช่ขวัญเพราะงั้นก็เลิกปลอมตัวซักทีโชว์ใบหน้าแท้ๆ
ของแกมาซะ"
"ใบหน้าแท้ๆ
ตอนนี้ก็กำลังทำแบบนั้นอยู่นะ"
"..."
หมายความว่ายังไงกัน?
จะบอกว่าตอนนี้คือหน้าจริงๆ
ของมันงั้นรึ
...อิงศรคิดแล้วก็จ้องหน้าของมนุษย์ต่างดาวไม่หยุด
อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจความสงสัยของเขา
"อ้อ
ชาวโลกไม่รู้เรื่องการกำเนิดของบุตรแห่งแสงสินะ"
เลยพูดมาแบบนั้น
เรื่องที่ว่านั่นอิงศรก็เคยได้ยินจากโดโกบาร์
พวกมนุษย์ต่างดาวถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อหาสาเหตุการแปดเปื้อน
แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับประเด็นในตอนนี้
“พวกเราถือกำเนิดขึ้นจากแสงของโซราลิสผู้สร้างแห่งแสงสว่างโดยการฉายแสงลงไปยังชาวโลกแล้วทำให้กำเนิดขึ้นมาดังนั้นพวกเราจึงมีความคล้ายคลึงกันด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าบุตรแห่งแสงแน่นอนว่าจะมีคนที่หน้าเหมือนกระผมหรือคนที่หน้าเหมือนกับเธอด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมล่ะ”
“…”
“จริงด้วย!”
จู่ๆ
กวินทร์ก็โพล่งมา เด็กหนุ่มทุบมือทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้
“ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่ศรอาละวาดพวกเราได้เห็นหน้าของราชครูลำดับที่หกด้วยล่ะครับหน้าของเจ้านั่นเหมือนพี่เมษาเปี๊ยบเลย”
“ท่านลิเธียมเองก็ได้พบกับรากเหง้าของตัวเองแล้วสินะ”
แบเรียมพูดก่อนจะหันกลับไปจัดการกับกระเป๋าต่อ
“ถึงพวกเราจะเป็นเหมือนเงาของชาวโลกและมีความคล้ายคลึงกับต้นแบบแต่อัตตาตัวตนข้างในก็ไม่เหมือนกันแล้วดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นคนๆ
เดียวกันหรือเงาของใครอีกจำไว้ด้วยล่ะ”
พลางก็พูดต่อโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
อิงศรฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายมาเข้าใจทั้งหมดแล้ว
พวกมนุษย์ต่างดาวน่าจะมีต้นแบบร่างกายมาจากมนุษย์ก็เลยทำให้มีรูปร่างคล้ายกับคนบนโลกไปด้วยส่วนเรื่องอายุรูปร่างที่ไม่เหมือนกับต้นแบบนั้นอาจจะมีสาเหตุอื่นผนวกรวมเข้ามาด้วย
“ใบหน้าของมนุษย์น่ะน่อซักพันปีก็จะซ้ำกันซักทีเพราะจำนวนวิญญาณที่มีอย่างจำกัดทำให้การกำเนิดที่เพิ่มมากขึ้นนั้นต้องอาศัยการแตกแขนงจากวิญญาณดั้งเดิม”
คนที่อยู่ๆ ก็เข้ามาอธิบายคืออิซานามิบางทีหล่อนคงอ่านใจเขาได้หรือไม่ก็เป้นพลังของปีศาจที่ทำให้รับรู้ความสงสัยในหัวของเขาได้
อิงศรมองไปที่อิซานามิพลางคิดไปด้วยว่าทำไมหล่อนถึงรู้เรื่องนั้น
“ฮาเป็นเทพมารดรน่อก็ต้องฮู้อยู่แล้วก่อที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสามีเปิ้นอู้ไว้ตอนหนีฮาไปว่าจะทำให้คนเกิ๋ดวันละพันห้าร้อยคนนั่นแหละน่อมนุษย์ถึงได้ล้นโลกจะอี้”
หญิงผู้อ้างตัวเป็นเทพเจ้าทุบมือลงบนอกตัวเองแล้วเชิดหน้าพูดมาอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ตกลงว่าแกอ่านใจฉันได้เหรอ”
“อ้าว~ คิงนี่ง่าวก่อ ฮาก็อู้กะคิงมาตั้งนานผ่อไม่ออกเลยเรอะ”
อิงศรฟังภาษาถิ่นของหล่อนไม่ค่อยเข้าใจนักแต่พอเดาได้ว่ากำลังโดนด่าดังนั้นปลายคิ้วของเขาจึงกระตุกเล็กน้อยแล้วอีกฝ่ายที่อ่านใจได้ก็คงจะรับรู้อารมณ์ฉุนเฉียวลึกๆ
ข้างในนี้ถึงจงใจทำหน้ายั่วยุมา
“แล่ว แล่ว แล่ว
นี่โคดฮาแล้วก่อ”
อิซานามิชี้หน้าเขาแล้วพูดด้วยท่าทียียวนแบบนั้น
แต่ก็พอสรุปเรื่องราวที่หล่อนต้องการจะสื่อได้ว่าเหตุที่มนุษย์ต่างดาวมีใบหน้าคล้ายกันแต่อายุไม่เท่ากันอาจจะเป็นเพราะใบหน้าของมิ่งขวัญและเมษาที่ไปอยู่บนตัวพวกมนุษย์ต่างดาวคือชาติก่อนในช่วงเวลานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ในปัจจุบัน
“…”
ตอนที่อิงศรคิดว่าจะทำเมินเทพจิตไม่สมประกอบตรงหน้านี่เองแบเรียมก็งัดเอาของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าพอดี
มันเป็นจอ LCD
....คิดว่าน่าจะอย่างนั้นเพราะรูปร่างคล้ายกับของที่มีอยู่บนโลกแต่ก็มีความแตกต่างกันเล็กน้อย
“คิดว่าน่าจะได้เวลาพอดีเลยล่ะมั้ง”
แบเรียมพูดแล้วจึงกดปุ่มหนึ่งที่ข้างจอจากนั้นภาพก็ถูกฉายขึ้นบนนั้น
ในจอมีคนคุ้นหน้าอยู่สองคน
กุมภา ธุวดารกะ
ซากิริ อามาเนะ
นอกจากนั้นก็เป็นพวกทหารของเมตไตรย...แล้วที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกนั้นอยู่ก็คือทัพของมนุษย์ต่างดาวที่ตั้งแถวหน้ากระดานเรียงรายอยู่เต็มชายหาด
สถานที่น่าจะเป็นแถวประตูเมืองติดกับชายทะเล
ที่ด้านหน้าของทัพมนุษย์ต่างดาวนั้นมีตนหนึ่งยืนล้ำออกมานอกแถวบางทีคงเป็นผู้นำ
เมื่อลองจ้องดูให้ดีๆ
แล้วก็เห็นว่าเป็นเพศหญิง ดูจากชุดน่าจะเป็นชั้นราชครู
อิงศรนึกออกทันทีว่ามนุษย์ต่างดาวตนนั้นคือราชครูลำดับที่สามรูบิเดียม
ดูเหมือนว่ารูบิเดียมกำลังมองมาทางนี้
สายตาของหล่อนกำลังจับจ้องมาทางนี้จริงๆ
‘ท่าทางจะเจอตัวฝั่งนั้นแล้วนะ’
จากนั้นกุมภาก็พูดมาจากอีกด้าน
‘ก็ดี
จะได้เริ่มกันซักที’
กุมภาเองก็หันมาทางนี้เช่นกัน
บางทีหน้าจอของที่นี่คงจะฉายภาพไปทางนั้นผ่านอุปกรณ์บางอย่าง
กวินทร์กับอิซานามิก้าวถอยกลับไปอยู่ข้างหลังอย่างรู้หน้าที่ดังนั้นอิงศรจึงกลายเป็นตัวแทนของฝั่งนี้ไปโดยปริยาย
“แล้ว...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
อิงศรถามสายตาจับจ้องไปที่กุมภา
เมษากับมีนาอยู่ที่ไหน...
เขาอยากจะถามแบบนั้นอยู่แต่คิดว่าคงไม่เหมาะซักเท่าไหร่และอีกฝ่ายคงไม่ตอบมาแน่ๆ
ตอนนั้นเองรูบิเดียมก็พูดขึ้นมา
‘ถ้าอย่างนั้นก็ขอพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันพวกเราอยากจะเจรจาขอสงบศึกเป็นการชั่วคราว’
“สงบศึกเหรอ!”
เสียงของกวินทร์ที่โพล่งมาจากข้างหลังนั้นสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกเต็มขั้น
อิงศรเองก็เช่นกันดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้จากพวกมนุษย์ต่างดาว
เผ่าพันธุ์ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานถึงสี่ปีจู่ๆ
ก็พูดเรื่องขอสงบศึก
บางทีอาจจะเกี่ยวกับสิ่งที่อารย-สนธยาทำลงไปก็ได้เพราะจากหน้าจอนี้มองเห็นได้ว่าพวกมนุษย์ต่างดาวเองก็ไม่มีแถบพลังชีวิตแสดงขึ้นมาคงได้รับผลกระทบจากการยับยั้งอมฤตไปเหมือนกัน
อิงศรพูด
“สงบศึกเนี่ยนะ”
‘ใช่
เพราะตอนนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็คงกำลังประสบเหตุแบบเดียวกันดังนั้นเป้าหมายของพวกเราก็น่าจะเป็นการจัดการอารย-สนธยาเหมือนๆ
กันใช่ไหมล่ะ’
อิงศรเลื่อนสายตาจากรูบิเดียมที่พูดตอบกลับมาไปทางกุมภา
“แล้วทางนั้นล่ะคิดยังไงกันแน่”
‘ก็แน่นอนเรายอมรับเงื่อนไขที่เสนอกันมาจากแต่ละฝ่ายแล้วเพราะถ้าต้องมานั่งระแวงกันเองระหว่างที่โจมตีอารย-สนธยาคงทำการโจมตีอย่างเต็มประสิทธิภาพไม่ได้’
กุมภาตอบ
สรุปคือช่วงเวลาเก้าชั่วโมงที่พวกเขาไม่ถูกไล่ตามก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง
เก้าชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างสูญเปล่าทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากขนาดนี้
“แล้วไงในเมื่อคุณๆ
ผู้ยิ่งใหญ่ตกลงกันเองได้แล้วยังมีธุระอะไรมาคุยกับทางนี้อีกล่ะ”
อิงศรพูดไปแบบนั้นก็จริงแต่เขาพอเดาสาเหตุได้อยู่
ขณะเดียวกันรูบิเดียมก็ตอบมาจากอีกฟากของจอทีวี
‘ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่
ตอนนี้ทั้งโลกคนที่ยังใช้พลังของเกมโลกาวินาศได้เหลือแค่นายกับมิ่งขวัญสองคนการจะล้มอารย-สนธยาได้จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของชาวโลกแต่ว่าแค่นั้นมันไม่พอหรอกยังต้องมีพลังของพวกนายพี่น้องด้วย’
พอได้ฟังแบบนั้นอิงศรก็นึกภาพห่วงโซ่ขึ้นมา
ห่วงโซ่ที่ประกอบไปด้วยมนุษย์
ปีศาจ และ มนุษย์ต่างดาว
โดยที่เส้นแสดงความเป็นผู้ล่าของมนุษย์ต่างดาวชี้มาที่มนุษย์แล้วเส้นของมนุษย์ก็ลากไปหาปีศาจจากนั้นเส้นของปีศาจก็ลากไปมนุษย์ต่างดาวอีกทีวนกันเป็นห่วงโซ่
นั่นคือโลกเดิมที่มนุษย์ควบคุมปีศาจเพื่อใช้ฆ่ามนุษย์ต่างดาวแต่เพราะการแทรกแซงของอารย-สนธยาทำให้ความสมดุลของห่วงโซ่ถูกทำลายลงไป
กลายเป็นว่าเส้นผู้ล่าของปีศาจลากเข้าหาทั้งมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวตอนนี้โลกกำลังดำเนินไปแบบนั้น
คำพูดของรูบิเดียมจงใจสื่อถึงข้อความที่ว่ามาอย่างไม่ต้องสงสัย
มนุษย์ต่างดาวที่เสียเปรียบปีศาจเป็นทุนเดิมก็เลยต้องยื่นมือเข้าหามนุษย์เพื่อให้ช่วยกำจัดปีศาจแต่เพราะมนุษย์เองก็กำลังอ่อนแอลงในเวลานี้เช่นกันดังนั้นขุมกำลังหลักในการต่อกรกับอารย-สนธยาจึงน่าจะเป็นพลังของฟันเฟืองที่เขากับมิ่งขวัญครอบครองอยู่
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธล่ะ”
เพียงเท่านั้นสองผู้นำของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็พูดออกมาพร้อมกัน
‘ทางนี้มีขวัญเป็นตัวประกันอยู่นะ’
‘พูดแบบนั้นไม่ห่วงชีวิตของมีนากับเมษาแล้วสินะ’
นั่นปะไร...อิงศรคิด
ฝ่ายเขาไม่มีสิทธิ์มีเสียงจะต่อรองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เจ้าพวกนั้นมีตัวประกันที่ใช้บังคับเขาให้ยอมจำนน
อย่างไรเสียอิงศรก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้วเพราะยังก็ต้องไปช่วยนรินทร์จากอารย-สนธยาแล้วก็ถ้าปล่อยเอาไว้โลกจะถูกความว่างเปล่ากัดกินจนหมดพวกเขาเองจะพลอยไม่รอดไปด้วยยังไงก็ต้องเข้าร่วมการเจรจาสงบศึกคราวนี้อยู่ดี
ถือว่าครั้งนี้ตัวเลือกไม่ได้ดีหรือเลวร้ายอะไร
ดังนั้น...
“ก็ได้ฉันจะยอมให้ความร่วมมือด้วยแต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่อย่าง”
อิงศรจ้องไปที่กุมภา
“มีนากับเมษาอยู่ไหน”
พลเอกหญิงยิ้มกริ่มแล้วตอบกลับมาว่า
‘ไม่ต้องห่วงยังมีชีวิตอยู่
แต่ก็อาการสาหัสเหมือนกันเพราะว่าขัดขืนไม่เข้าเรื่องถ้าไม่อยากให้สองคนนั่นตายก็คงต้องรีบฟื้นฟูระบบของเกมกลับมาล่ะนะเพราะวิทยาการทางแพทย์ของเราเป็นอัมพาตมาตั้งแต่ตอนที่โลกล่มสลายไปแล้วคงยื้อชีวิตสองคนนั่นไม่ได้นานนักหรอก’
“ชิ”
อิงศรเดาะลิ้น
ดูเหมือนว่าเขาจะถูกคุมเกมเอาไว้หมดแล้วตอนนี้ถ้าไม่ร่วมมือด้วยก็จะต้องสูญเสียพวกพ้องไปและถ้าไม่พยายามจัดการอารย-สนธยาพวกพ้องก็จะต้องตาย
ไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้วสำหรับอิงศรในตอนนี้
ตัวเขาที่ยึดติดกับพวกพ้องและครอบครัวไม่อาจเลือกหนทางหนีเอาตัวรอดได้เจ้าพวกนั้นรู้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอนถึงได้ใช้ตัวประกันต่อรอง
“…”
‘ถ้างั้นก็เป็นอันตกลงรายละเอียดเดี๋ยวจะให้คนที่ส่งไปบอกให้ก็แล้วกันส่วนทางนี้จะส่งทัพหลักที่มีราชครูควบคุมออกไปโจมตีอารย-สนธยาแล้วทางนั้นล่ะ’
รูบิเดียมพูดจากนั้นก็หันไปมองฝั่งกุมภาบ้าง
‘ทางนี้จะส่งกิลด์ฝีมือดีที่สุดไปแล้วก็เหล่าเทวทูตที่ยังอยู่ข้างเราจะไปร่วมสมรภูมิด้วยถือว่าเป็นอันตกลงใช่ไหม’
รูบิเดียมพยักหน้าตอบ
‘งั้นก็เอาตามนี้’
เสียงของกุมภาดังขึ้นแล้วจอภาพก็ดับลง
นั่นถือว่าการเจรจาได้จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย
อิงศรถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังถูกองค์กรจูงจมูกโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้อยู่ดี
ช่างน่าสมเพช...
ช่างน่าสมเพชตัวเองเหลือเกิน
สมเพชตัวเองที่แสนอ่อนแอขนาดนี้
เด็กหนุ่มแหงนใบหน้าขึ้น
มองท้องฟ้าเพื่อหวังให้มันช่วยลบเลือนความรู้สึกอดสูในศักดิ์ศรีของตนเองลงไปได้บ้าง
ความคิดเห็น