คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #80 : Login 77: รอดพ้น
Login 77: รอดพ้น
ช่วงเวลาหลังจากที่
อารย-สนธยา ถอยกลับไปไม่นานนัก...
ทั่วทั้งโลกได้เกิดเหตุการณ์ระบบของเกมหยุดชะงักขึ้นพร้อมกันสาเหตุมาจากอมฤตไม่ถูกแพร่กระจายออกไปด้วยฝีมือของอารย-สนธยา
จากนั้นก็มีประกาศจากอารย-สนธยาโดยปรากฏขึ้นเป็นหน้าจอระบบแสดงต่อหน้าทุกคนบนโลกอย่างไม่ทราบวิธีการว่าพวกนั้นทำได้อย่างไรแต่เนื้อความมีดังต่อไปนี้
“คิดว่าทุกคนคงจะได้เห็นปรากฏการณ์หายไปของเกมโลกาวินาศกันแล้ว พวกเราคืออารย-สนธยาเป็นผู้สร้างสถานการณ์ในปัจจุบันขึ้นมา”
บนหน้าจอมีเงาของชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มองค์กรอารย-สนธยากำลังพูดประกาศถึงทุกคนบนโลกที่ล่มสลาย
“โลกแห่งเกมโลกาวินาศที่ทุกคนได้ประสบกับมันคือโลกซึ่งแปดเปื้อนไปด้วยอมฤตคำสาปของพระเจ้าที่ต้องการจะกำจัดมนุษยชาติแต่ตอนนี้พวกเราอารย-สนธยาได้ควบคุมมันไว้แล้วจากนี้ไปมีเรื่องที่ทุกคนควรจะได้ทราบกันเรื่องที่ถูกปกปิดจากพวกต่างดาวความจริงที่ว่าพวกมันไม่ได้ทำให้โลกกลายเป็นเกมและความจริงที่ว่าโลกใบนี้กำลังเผชิญหน้ากับการล่มสลายที่แท้จริง”
ภาพบนจอถูกตัดไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเป็นภาพของเมืองหลวงที่ไหนซักแห่งบนโลกที่ถูกถ่ายมาจากที่ไกลๆ
และเมืองแห่งนั้นกำลังถูกความมืดสีดำกลืนกิน....ให้ถูกคือทุกอย่างต่างหากที่กำลังถูกกลืนหายไปในความมืดมิด
ทั้งท้องฟ้า ทั้งพื้นดิน ทั้งแม่น้ำ ทุกอย่างกำลังทยอยหายไปจนกระทั่งภาพบนจอเองก็ถูกความมืดกลืนกินจากนั้นสัญญาณภาพก็ถูกตัดไป
ภาพตัดกลับมาที่เงาของชายคนแรกอีกครั้ง...
“นั่นคือความว่างเปล่า การทำลายล้างที่พระเจ้าได้สรรสร้างขึ้นมาเพื่อกวาดล้างพวกเรามนุษยชาติที่ยังเหลือรอดจากอมฤต
น่าเสียดายที่จะต้องบอกว่าตอนนี้ประชากรบนโลกเหลือเพียงแค่ทวีปเอเชียอาคเนย์ไปจนถึงจีน
นอกเหนือไปจากนั้นเหล่าประเทศมหาอำนาจต่างๆ ไปจนถึงประเทศที่ถูกลืมซึ่งพวกเรารู้จักกันอย่างอเมริกา
อังกฤษ ญี่ปุ่น อินเดีย และอื่นๆ นั้นได้ถูกลบหายไปหมดแล้ว จากการคาดคะเนน่าจะเหลือเวลาอีกเพียงหกเดือนก่อนที่โลกจะถูกลบหายไปแต่ตอนนี้เพราะการหยุดยั้งอมฤตของพวกเราทำให้มันถูกเร่งให้เร็วขึ้นเวลาจึงเหลืออีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้น”
แล้วภาพก็ถูกตัดไปอีกครั้งคราวนี้เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นวิหารของวัดตั้งอยู่บนพื้นที่มหาศาล
วัดที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มีอยู่เพียงแห่งเดียวนั่นคือ ‘มหาวิหารแห่งอารย-สนธยา’
เสียงของชายผู้ประกาศยังคงดังออกมา
“จงอย่าได้หวาดกลัวไป...เพราะนี่คือการรอดพ้นที่มนุษย์แสวงหามานาน วิญญาณของพวกเราจะไม่หายไปและจะแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าคิดผิดที่ลองดีกับพวกเราหากสนใจที่จะคงอยู่ตลอดไปหลังจากความว่างเปล่ามาถึงสามารถเข้าร่วมกับพวกเราอารย-สนธยาได้ตามที่อยู่ในรูปภาพหวังหว่าพวกท่านคงจะรู้จักมันเป็นอย่างดีกันอยู่แล้ว”
ประกาศมีถึงแค่ตรงนี้แล้วหน้าจอที่แสดงทั่วทุกมุมโลกก็ดับหายไป...
หลังกระโดดลงจากชั้นเจ็ดของตึกธุรการที่ใช้จัดการประชุมตระกูลธุวดารกะ
อิงศรและกวินทร์ก็หนีมาถึงในป่าบนภูเขาที่ตั้งอยู่นอกตัวเมือง
ที่จริงแล้ว...อิงศรไม่ได้คิดจะหนีตั้งแต่แรกเขาตั้งใจจะกลับขึ้นไปช่วยมีนากับเมษาที่อยู่ถ่วงเวลาให้พวกเขาแต่ก็ถูกหญิงสาวปริศนาลากถูลู่ถูกังจนมาถึงที่นี่ทำให้จะกลับไปช่วยก็ทำไมได้ซะแล้ว
ภายในป่าเงียบสงบทั้งที่โดยปกติจะมีสัตว์เทวะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเพราะที่นี่อยู่นอกเขตฮาบิแททพอยท์สาเหตุคงเป็นเพราะอมฤตหายไปทำให้พวกสัตว์เทวะพลอยหายไปด้วยเหมือนกันที่นี่จึงเงียบเชียบราวกับป่าช้า
พวกเขาเองก็ได้ดูประกาศของอารย-สนธยาจบไปเมื่อเก้าชั่วโมงที่แล้ว
ตอนนี้จึงเป็นช่วงบ่ายที่แสงแดดแรงกำลังดี
ตลอดเก้าชั่วโมงที่ผ่านไปนั้นไม่มีวี่แววว่าจะมีคนไล่ตามมา
อิงศรยืนอยู่บนกิ่งไม้ซุ่มดูต้นทางจากตรงนี้ซึ่งห่างจุดที่พวกพักกันมาพอสมควร
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาจริงๆ
อิงศรก็กระโดลงจากต้นไม้แล้วเดินกลับที่พัก
อิงศรมาถึงที่พัก
กวินทร์ที่นั่งรออยู่บนโขดหินมองเห็นเขาจึงลุกขึ้นยืมโบกมือแล้วส่งเสียงมา
“พี่ศร”
ด้วยเสียงที่เบาแค่พอประมาณเพราะไม่รู้ว่านอกจากเส้นทางปกติแล้วพวกเมตไตรยจะไล่ตามมาจากเส้นทางอื่นหรือไม่ดังนั้นพวกเขาจึงซุ่มรออยู่ที่นี่
“ยังไม่มีใครไล่ตามมาเลยแล้วที่นี่ล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรเหมือนกันครับ”
กวินทร์ตอบ
ดูเหมือนพวกเขาจะถูกตัดสินไปว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเมตไตรยในตอนนี้บางทีคงเป็นเพราะประกาศของอารย-สนธยาที่บอกว่าเหลือเวลาอีกเพียงเจ็ดวันโลกจะถูกลบหายไป
พวกอารย-สนธยารู้เรื่องบททดสอบของพระเจ้าจริงๆ
แล้วก็รู้ลึกอย่างไม่ธรรมดาเลยทั้งที่เรื่องแบบนั้นน่าจะมีแค่ซีลอร์ดที่รู้
ประมาณสองชั่วโมงที่แล้วซีลอร์ดก็ติดต่อเข้ามาคุยเรื่องนี้เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้คำตอบที่กระจ่างชัดซักเท่าไหร่ว่าทำไมอารย-สนธยาจึงรู้เรื่องไปทั้งหมด
ซีลอร์ดบอกแค่ว่าเวลาที่พวกนั้นประกาศเอาไว้เป็นความจริงเมื่อไร้ซึ่งอมฤตแล้วความว่างเปล่าก็เพิ่มความเร็วในการกัดกินโลกยิ่งขึ้นไปอีกแถมเหล่าเครื่องทำสวนในเวลานี้ก็พากันสิ้นฤทธิ์
เท่ากับว่าตอนนี้อารย-สนธยาคุมเกมไว้ได้ทั้งหมด
‘ถ้าเรื่องนี้ไม่แดงไปถึงเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์ก็คงดี’
นั่นเป็นคำพูดทิ้งท้ายของซีลอร์ดก่อนจะวางสายไป
แอดมินิสเทรเตอร์ที่เป็นพระเจ้าผู้ควบคุมจัดการความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งถ้ารู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้วจะยังทำอะไรได้อยู่รึเปล่านะหรือว่าอารย-สนธยาเองก็เตรียมการล่วงหน้าไว้ถึงขนาดนั้นด้วย
อิงศรคิดว่าเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้...
แล้วเลื่อนสายตาจากรุ่นน้องไปยังหญิงลึกลับที่นั่งอยู่บนโขดหินซึ่งหล่อนเองก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน
หญิงสาวมีใบหน้าเปล่งประกายผิวสีขาวอมชมพูมีน้ำนวลแบบสาวแรกรุ่นอายุราว
20 ต้นๆ
เรือนผมสีดำมัดรวบไปข้างหลังทำเป็นทรงหางม้า
ชุดที่ใส่เป็นชุดออกแนวจีนโบราณราวกับหลุดออกมาจากหนังกำลังภายในอย่างไรอย่างนั้นบางที...
“เฮ้ย! หล่อนน่ะเป็นปีศาจใช่ไหม”
อิงศรถามออกไปหลังจากที่คิดทบทวนแล้วว่าความเป็นไปได้เดียวที่หญิงลึกลับผู้นี้จะเป็นปีศาจน่าจะถูกต้องที่สุด
หญิงสาวหัวเราะ
“ฮะฮะฮะ อะไรกันเดาได้ถูกเผงไปเลยนี่”
“เป็นพวกอารย-สนธยางั้นเรอะ”
“ถ้าใช่ป่านนี้พวกคิงสองคนได้โดนฆ่าตายไปแล้วล่ะ”
หล่อนพูดพร้อมกับชูไม้เท้าที่น่าจะเป็นของนรินทร์ทำตกไว้ก่อนถูกลักพาตัวไป
“เห็นไม้เท้านี่ก็น่าจะรู้แล้วน่อฮาน่ะเป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ในไม้เท้าของเปิ้นเพื่อนคิงไง”
ไม่รู้ว่าปีศาจสาวจงใจหรือว่ามันเป็นภาษาของปีศาจกันแน่แต่เขาฟังมันไม่ค่อยจะรู้เรื่องนักทั้งภาษาประหลาดและสำเนียงที่ฟังดูเหน่อแปลกๆ
“คิงๆ ฮาๆ เปิ้นๆ อะไรตั้งกะเมื่อกี้แล้ววะเนี่ยพูดให้มันเข้าใจหน่อยได้ไหม”
อิงศรตะคอก
“อุบ๊ะ! แล้วจะฮายะอะหยังล่ะก่อก็คนมันพูดแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วน่อ”
หล่อนตะคอกกลับเช่นกัน
ตอนนั้นเองกวินทร์ก็พูดแทรกเข้ามา
“เอ่อ พี่ศรครับดูเหมือนอาเจ๊แกจะเว่าเหนือน่ะครับถ้ายังไงก็ช่วยทำใจร่มๆ ก่อนเถอะ”
“หมายความว่านายฟังออกเหรอที่เจ้าปีศาจนี่มันพูดน่ะ”
กวินทร์พยักหน้าตอบ
“ก็พอฟังได้นิดหน่อยน่ะครับพอดีว่าผมเคยมีญาติที่อยู่เชียงใหม่”
“งั้นนายก็จัดการถามมาให้ทีละกันว่ายัยนี่เป็นตัวอะไรมาจากไหนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
ดังนั้นจึงโบ้ยหน้าที่ล่ามแปลภาษาให้กวินทร์รับไป
แต่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจกับบ่นตัดพ้อของปีศาจ
“เฮ้อ~ เด็กสมัยนี้น้อ~ ทำไมถึงได้บ่มิไก๊กันแบบนี้น่อฮารึอุตส่าห์เอิ้นภาษาเดียวกันให้ก็แล้วแค่ติดสำเนียงเดิมมานิดๆ
หน่อยๆ ทำเป็นรังเกียจเดียด...”
คำพูดของปีศาจหยุดลงแค่ตรงนั้นเพราะลูกธนูได้พุ่งตัดหน้าหล่อนไปปักเข้ากับไม้เท้าแล้วดึงหลุดจากมือจนไปติดกับต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง
ลูกศรเพลิงของอิงศรกับไมเท้าของนรินทร์กระแทกเข้ากับเปลือกไม้แล้วร่วงหล่นลงพื้น
“ถึงสำเนียงหล่อนจะเหน่อกับภาษาไม่ให้แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะฟังไม่ออกนะ”
เด็กหนุ่มพูดพลางส่งสายตาเย็นชา
แต่ปีศาจกลับไม่แสดงอาการตระหนกให้เห็น
“อารมณ์ร้ายจริงน่อคิง ยะแบบนี้กับผู้สาวได้ไงน่อสาวเค้าจะกั๋วกันหมดนา”
“...”
แน่นอนว่าอิงศรฟังที่หล่อนพูดไม่ค่อยเข้าใจแต่กวินทร์ก็ช่วยแปลให้ในทันที
“เอ่อ เขาบอกว่าพี่ศรทำให้เขากลัวน่ะครับ...ประมาณว่ามันไม่งามกับผู้หญิง...”
รุ่นน้องค่อนข้างจะพูดตะกุกตะกักไปบ้างคงจะพยายามแปลเนื้อหาไม่ให้กระทบกระทั่งโดนอารมณ์ของเขา
เพียงแต่กวินทร์ยังไม่รู้หรอกว่าเหตุที่เขาจู่โจมใส่ปีศาจนางนี้ไม่ได้มีแค่เหตุผลเรื่องวิธีพูดที่น่ารำคาญนั่นอย่างเดียว
อิงศรลดคันธนูลงแล้วเดินไปเก้บไม้เท้าก่อนจะหันมาพูดกับปีศาจว่า
“แกไม่ใช่คนนี่นะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็นสุภาพบุรุษหรอกแล้วอีกอย่างแกน่ะใช่ลาพาสของนรินทร์จริงๆ
เหรอ”
“ก็ใช่นี่ฮานี่แหละลาพาส..”
แต่อิงศรก็พูดขัดคำพูดนั้น
“เลิกโกหกได้แล้วน่า”
พลางเรียกหน้าจอแสดงปีศาจที่ติดตั้งเอาไว้ในไม้เท้าขึ้นมา
ดูเหมือนว่ามีแค่เขาคนเดียวที่ยังเรียกใช้ระบบของเกมกับสิ่งของบางอย่างได้หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีแต่ละอย่างมากกว่า
คอนแทกเลนส์ของกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเกมแต่เป็นการประยุกต์ใช้ส่วนอาวุธกับแอพฯปีศาจเป้นของที่มีอยู่มาตั้งแต่แรกดังนั้นพอมาอยู่ในมือเขาก็เลยทำงานได้ตามปกติบางวทีมันคงเป็นแบบนั้น
บนหน้าจอแสดงรายการปีศาจที่ติดตั้งกับไม้เท้ามีชื่อของ
‘นัยน์ตาแห่งลาพาส’
เขียนเอาไว้นั่นน่าจะหมายถึงลาพาสยังอยู่ข้างในไม้เท้าไม่ได้ออกมาข้างนอกเหมือนเวลาที่เขาใช้พลังของอาคานาร์เรียกเอลิกอร์ออกมา
“แกเป็นใครกันแน่แล้วสังกัดอยู่กับฝั่งไหนไอ้ปีศาจ”
อิงศรทิ้งไม้เท้าที่ตรวจสอบแล้วลงพื้นพร้อมกับขึ้นลูกศรอย่างว่องไว
“ความแตกแล้วก่อ ยุ่งยากซะจริงนะ”
ปีศาจกล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้ารำคาญแล้วจึงกระโดดลงจากโขดหิน
“เห็นตัวจริงของคิงแล้วก็อย่าเพิ่งกั๋วกันไปซะล่ะหนูๆ”
สิ้นคำร่างของหล่อนก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างเหมือนตอนที่ซากิริเผยตัวเองว่าเป็นเทวทูตแต่แทนที่หญิงตรงนั้นจะปรากฏกายออกมาเป็นปีศาจที่มีความงดงามหรือน่าเกรงขามแบบเหล่าเทวทูตของธุวดารกะทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
ที่ตรงนั้น...สิ่งซึ่งมายืนอยู่แทนที่หญิงสาวผู้งดงามคือผีโครงกระดูกหุ้มด้วยเนื้อหนังที่เน่าเฟะเต็มไปด้วยหนอนชอนไช
เพียงแค่แรกสบตาอิงศรก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อยขณะเดียวกันกวินทร์...
“เหวอ...อุบ”
ก็เกือบจะแหกปากร้องด้วยความตกใจแต่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปซะก่อนแล้วจึงวิ่งกลับไปอ้วกที่พงไม้ข้างหลัง
“แหวะ...โอ้ก”
ได้ยินเสียงสำรอกดังข้ามมาถึงทางนี้
ปีศาจเปล่งเสียงพูดออกมาจากร่างซากศพเน่าของมัน
“เราคือเทพมารดรผู้ให้กำเนิดเทพทั้งปวง…นามแห่งเราคืออิซานามิ”
น้ำเสียงแหบแห้งและวิธีพูดจาก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แต่ทว่า...
หล่อนก็กล่าวเพียงแค่นั้นแล้วคืนร่างกลับเป็นมนุษย์
“โธ่ก็เพราะอย่างนี้แหละฮาถึงไม่ชอบให้ใครเห็นร่างจริงสามีฮาพอเห็นร่างนี้เข้าเปิ้นก็หนีเตลิดไปเลย”
หญิงสาวกอดอกพูดไปด้วยพลางชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
อิงศรถาม
“แล้วตกลงเธออยู่ฝั่งไหนกันแน่”
อิซานามิถอนหายใจแล้วทำหน้าเหนื่อยหน่ายขณะที่หันมองมาทางนี้
“ก็อยากจะอยู่ฝั่งคิงเขานั่นแลที่จริงคือตอนนี้ฮาน่ะมีพลังแค่ครึ่งเดียวเพราะเคยเป็นปีศาจของอาคานาร์เดอะเดธมาก่อนแต่ถูกแยกครึ่งหนึ่ง...ไม่สิน่าจะแค่เสี้ยวเดียวเลยล่ะมั้งนั่นแล้วก็โดนเอามาใส่อยู่ในร่างของนรินทร์เปิ้นนั่นแล
แล้วก็งี้น้าอยู่ดีๆมันก็รู้สึกว่าน่าจะหลุดออกไปได้แล้วก็เลยออกมาเดินโทงๆ
เช่นนี้แล”
ถึงจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็พอรู้ว่าอิซานามิคือปีศาจจากอาคานาร์แล้วอาคานาร์นั้นก็เป็นของนรินทร์
นี่มันหมายความว่ายังไง...อิงศรคิด
ทำไมนรินทร์ถึงได้มีอาคานาร์...มันเหมือนกับที่เขามีรึเปล่า
ตอนที่อยากจะถามเรื่องนี้อยู่ๆ ก็รู้สึกจับสัมผัสได้ถึงบางอย่างในบริเวณใกล้ๆ เพราะประสาทสัมผัสที่เฉียบคมในโลกของเกมทำให้ได้ยินเสียเหยียบต้นหญ้าและใบไม้ดังแซ่กๆ
เสียงฝีเท้ากำลังมุ่งตรงมาทางนี้ไม่ผิดแน่
“รีบซ่อนก่อนมีใครกำลังมาทางนี้”
อิงศรพูดด้วยเสียงที่เบาพอประมาณแค่ให้ได้ยินกันแต่ทว่า...
วินาทีถัดมาหลังจากที่เขาพูดออกไปเจ้าของฝีเท้าก็โผล่ออกมาจากพงหญ้าด้านหลัง
อิงศรหันกลับไปเพื่อจะดูว่าเป็นใคร
“ท่านพี่อิงศร”
มนุษย์ต่างดาวที่แหวกพงหญ้าออกมาเรียกอิงศร
มนุษย์ต่างดาว....ไม่สิมิ่งขวัญต่างหาก
ดวงตาของอิงศรเบิกกว้างในวินาทีนั้น
“ขวัญทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”
ความคิดเห็น