คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : Login 57: New Patch Update to The End
Login 57: New Patch Update to The
End
อิงศรชั่งใจอยู่นาน
เขาคิดว่ายังไม่ควรจะบอกเรื่องที่พ่อแม่มีส่วนร่วมในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นปีศาจออกไปตอนนี้
เพราะว่าพวกเขาไม่เพียงทำงานให้กับธุวดารกะแต่ยังทำงานให้กับอารย-สนธยาด้วย
ความสัมพันธ์ของทั้งสององค์กรยังคงไม่แน่ชัด
พวกพ้องและตัวเขาตอนนี้สังกัดอยู่กับเมตไตรยหรือก็คือธุวดารกะ
ถ้าหากว่าสององค์กรนี้เป็นพันธมิตรกันเรื่องก็คงจะจบลงแค่นั้น
แต่ถ้ายังมีความเป็นไปได้ที่ระหว่างสององค์กรนี้จะเป็นศัตรูกันแล้วล่ะก็นั่นหมายความว่าพ่อกับแม่ของเขาเป็นสายให้กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือไม่ก็ทั้งคู่
ถ้าเป็นอย่างหลังสถานะของเขาที่เป็นลูกของสปายจะเปลี่ยนไปทางไหนก็คงเลวร้ายไม่ต่างกัน
ดังนั้น...
“แล้วยังไงต่อตกลงว่าความเป็นมาของเดม่อนแอพเนี่ยมันเกี่ยวกับเรื่องที่เธอบอกว่าเบื้องบนคิดจะใช้ประโยชน์จากพวกเรายังไงกันแน่”
อิงศรจึงพูดบ่ายเบี่ยง
“เมื่อกี้เล่าไปแล้วใช่ไหมคะเรื่องที่ธุวดารกะก่อตั้งมาเป็นร้อยปีแล้ว
แต่ว่าในฐานะองค์กรนะคะไม่ใช่ตระกูล”
จะว่าไปก็จำได้ว่ามีนาพูดแบบนั้นจริงๆ
พูดว่าธุวดารกะเป็น ‘องค์กร’ แต่เขากลับไม่รู้สึกเอะใจเลยคงเพราะจำไปเองแล้วว่าเมตไตรยก็คือธุวดารกะ
หรือต้องบอกว่าไม่เคยคิดจะสนใจเพราะเป็นเรื่องไกลตัว เพียงแต่...
หลังจากได้เห็นความทรงจำนั่นก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมา
มีนายังคงพูดต่อไป
“ธุวดารกะนั้นเดิมทีไม่ใช่ตระกูลแต่เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคนหลากหลายสายเลือดที่ถูกคัดให้มาอยู่ร่วมกันจนกระทั่งช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาระบบขององค์กรได้เปลี่ยนเป็นตระกูลหรือก็คือสืบทอดกันผ่านทางสายเลือด
คนที่ทำแบบนั้นก็คือ มกร ธุวดารกะ ผู้นำสูงสุดของเมตไตรยที่พวกเราทำงานให้...”
จากนั้นเมษาก็พูดต่อท้ายคำพูดของพี่สาวฝาแฝดว่า
“เจ้านั่นคือพ่อบุญธรรมของพวกเรา”
กวินทร์กับนรินทร์แสดงท่าทีตกใจอย่างชัดเจน
มีนายิ้มให้กับปฏิกิริยาตอบรับนั้น
“คงไม่คิดว่าพี่สิงห์กับพวกฉันจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ
หรอกนะคะ"
แล้วลุกจากเก้าอี้มายืนตรงกลางกลุ่ม
"ความจริงพวกพี่ๆ
ร่วมตระกูลก็ล้วนเป็นคนแปลกหน้าต่างเชื้อกันหมดเลยค่ะแต่ถูกคัดเลือกให้มารวมกันด้วยอะไรบางอย่างทุกคนจะถูกประเมินคุณค่าจากความสามารถและผลงานในนามของตระกูลซึ่งตัวฉันกับเมษานั้นถูกประเมินไว้ต่ำที่สุดหรือก็คือเป็นพวกนอกคอกค่ะ
แต่พี่สิงห์น่ะกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
เขาขับเขี้ยวกับอีกคนอยู่บนจุดสูงสุดที่ใกล้เคียงท่านพ่อและฉันคิดว่ามันต้องมีสาเหตุอะไรซักอย่างที่พวกเราถูกนำมารวมกันที่นี่ภายใต้การกำกับของพี่สิงห์”
อิงศรพูด
"เธอจะบอกว่าสิงห์คิดใช้พวกเราเพื่อการคว้าตำแหน่งสูงสุดของตระกูลอย่างนั้นรึไง"
"มีความเป็นไปได้มากเลยล่ะค่ะ
เพราะดูเหมือนว่าพี่สิงห์จะรู้จักมักจี่กับคนที่คุณอิงศรเรียกว่าผู้ถูกลืมเลือนหรือซีลอร์ดคนนั้นด้วย"
แล้วเมษาก็พูดแทรกเข้ามา
"หา?
พี่สิงห์เนี่ยนะ"
มีนาเหลือบตาไปมองน้องชายฝาแฝด
"แค่ดูก็รู้แล้วนี่คุยเรื่องยากๆ
กันก่อนจะบอกวิธีปลุกคุณอิงศรไง"
แล้วพูดไปพลางทำหน้าเอือมระอา
แต่คนที่ตกใจที่สุดก็คืออิงศร
"เดี๋ยวก่อนนะนี่พวกนายได้เจอซีลอร์ดแล้วงั้นเหรอ"
ทุกคนพยักหน้า
นรินทร์เริ่มพูด
"ตอนที่ม้าอาละวาดหนักก็มีเด็กผู้ชายผมสีขาวสวมเฮดโฟนออกมาบอกว่าเป็นผู้ถูกลืมเลือนน่ะเขาช่วยบอกใบ้จนกวินทร์รู้ว่าต้องหยุดด้วยการเป่าฮาร์โมนิก้า"
ดังนั้นอิงศรถึงได้เข้าใจขึ้นมา
เข้าใจว่าทำไมพวกพ้องถึงได้เชื่อเรื่องที่เหมือนกับนิยายที่เขาเล่าไปอย่างหมดใจ
ถ้าเคยพบซีลอร์ดมาแล้วก็คงจะรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของหมอนั่น
และแล้ว....
ก็นึกขึ้นมาได้
นึกถึงคำพูดตอนที่ถูกสิงห์ช่วยเอาไว้เมื่อสามปีก่อน
ตอนนั้นเป็นการเจอหน้ากันครั้งแรก
สิงห์พูดเอาไว้ว่า
'ตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด
นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้' อย่างนั้นสินะ'
หมายความว่าสิงห์รู้จักกับซีลอร์ดมาตั้งแต่แรก
หมายความว่าการที่เขาถูกเก็บมาเมื่อสามปีก่อนไม่ใช่ความบังเอิญ
ถ้าสิงห์ทำไปเพราะเป็นคำแนะนำจากซีลอร์ดหรืออะไรเทือกนั้นก็หมายความว่าซีลอร์ดเองนั่นแหละที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการคิดใช้ประโยชน์จากตัวเขาที่เป็น
‘ผู้ถูกเลือกจากฟันเฟือง’
ถ้าอย่างนั้นข้อเท็จจริงก็จะแบ่งออกเป็นสองแง่
พวกพ้องของเขากำลังเชื่อว่าสิงห์คือผู้อยู่เบื้องหลัง
แต่ตัวเขาเองรู้ว่าผู้ที่ชักใยสิงห์อยู่อีกทอดก็คือซีลอร์ด แต่ทว่า...
คนอย่างสิงห์น่ะเหรอจะยอมเป็นหุ่นให้เชิด?
อย่างน้อยเขาก็รู้จักนิสัยของสิงห์ดีเกินพอ
ชายผู้เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานคนนั้นไม่มีทางยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเชิดแน่ๆ
ถ้าอย่างนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสิงห์กับซีลอร์ดมันดำเนินอยู่ในรูปแบบใดกัน
หากยังหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไม่ได้จะเลือกเชื่อใจฝ่ายไหนก็เสี่ยงเกินไปทั้งนั้น
“…”
แม้ว่าอิงศรจะไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่การสนทนาภายในกลุ่มก็ยังคงดำเนินต่อ
กวินทร์ยกมือขึ้นมา
“เอ่อ ขอโทษที่สงสัยอะไรแปลกๆ นะครับ”
แล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจเหมือนทนอึดอัดมานาน
”เห็นบอกว่าธุวดารกะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันจริงๆ
งั้นพี่เมษาก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กับพี่มีนาเหรอ”
“อันนั้นกรณียกเว้นค่ะ
ฉันกับเมษาเป็นฝาแฝดที่เกิดตอนห้าทุ่มห้าสิบเก้านาทีของวันที่สามสิบเอ็ดเดือนสามกับเที่ยงคืนวันที่หนึ่งเดือนสี่เชียวนะคะ”
เป็นการถามตอบที่รู้สึกว่าไร้สาระที่จะรับฟังจริงๆ
นั่นแหละ ดูเหมือนจะลืมประเด็นของเรื่องที่กำลังประชุมไปหมดแล้ว
อิงศรเมินวงสนทนาที่เริ่มเต็มไปด้วยคำพูดไร้สาระแล้วคิดเรื่องของสิงห์กับซีลอร์ดอีกครั้ง
ขัดใจ...
รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่คาใจ
บางอย่างมันไม่ลงรอยกับความเป็นจริง...
“นี่มีนาขอถามอะไรอย่างสิ”
เด็กสาวที่ถูกเรียกจ้องมาทางเขา
“อะไรล่ะคะ”
“จำได้ว่าเดม่อนแอพเนี่ยเกิดขึ้นมาได้เพราะกองทัพเราลักไก่เอาข้อมูลเกมส่วนที่ยังไม่เปิดให้ใช้งานมาใช้ก่อนใช่ไหมแต่ที่ฟังเธอเล่าเรื่องตระกูลมาทำไมมันเหมือนจะมีเดม่อนแอพมาก่อนที่โลกจะล่มสลายอีกล่ะ”
ความจริงส่วนที่คาใจมันมีมากกว่านั้น
'ทำไมแอพพลิเคชั่นปีศาจซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลของเกมโลกาวินาศถึงได้ถูกร่วมพัฒนาโดยพ่อกับแม่ในตอนที่โลกยังไม่ได้กลายเป็นเกม'
แต่เพราะยังบอกไปแบบนั้นไม่ได้จึงต้องถามเลี่ยงเอา
"เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้หรอกค่ะ"
มีนาตอบห้วนๆ พลางยักไหล่ไปพลาง
"แต่ที่พอจะบอกได้แน่ๆ
ก็คือการวิจัยเดม่อนแอพที่ทำก่อนโลกจะล่มสลายน่ะระดับต่างกับที่พวกเราใช้ตอนนี้เอาการเลยล่ะค่ะเรียกว่าเป็นคนละอย่างกันเลยก็ได้
เคยได้ยินพวกฝ่ายวิจัยพัฒนาพูดอยู่เหมือนกันว่าโปรแกรมปีศาจพรรค์นี้ไม่ใช่ของที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้เลยล่ะค่ะ"
ตกลงว่าเป็นแบบนั้น...
แอพพลิเคชั่นปีศาจที่สร้างโดยมนุษย์งานวิจัยที่พ่อแม่ของเขาเองก็มีส่วนร่วมนั่นเป็นเพียงสินค้าทดลองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับของปัจจุบันที่พวกเขาใช้อยู่เลยอย่างนั้นสินะ
มีนายังพูดต่อไปอีก
"ความจริงเรื่องเดม่อนแอพเนี่ยมันก็มีปริศนาเยอะเหมือนกันนะคะทั้งที่มาที่ไปก็เป็นความลับไหนยังเป็นอาวุธชนิดเดียวที่เอาชนะมนุษย์ต่างดาวได้อีกเพราะอะไรก็ไม่รู้..."
"นั่นเพราะว่าบุตรแห่งแสงไม่มีภูมิต้านทานความปรารถนาที่เป็นพลังของปีศาจน่ะ"
คำพูดนั้นออกจากปากของโดโกบาร์ที่นั่งอยู่กลางวงล้อมพวกเขา
"พวกที่เจ้าเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาวก็คือบุตรแห่งแสงเป็นเผ่าพันธุ์ที่โซลาริสสร้างขึ้นมาเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ถึงได้เกิดการรับประทานผลแห่งปัญญาละสร้างขึ้นมาโดยยึดอุดมคติอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น”
"เอ่อ
ขอโทษที่พูดขัดนะคะไอ้ผลแห่งปัญญาเนี่ยมันคืออะไรกันคะ"
มีนาพูด
เธอเป็นตัวแทนของพวกเราที่ช่วยหยุดการสาธยายที่เร็วเกินจะทำความเข้าใจได้ของโดโกบาร์
"ผลแห่งปัญญาคือสิ่งที่ทำให้เกิด
ความรู้ อารมณ์ และความรู้สึก พูดในภาษาพวกเจ้าก็เรียกกันว่าความปรารถนา
สำหรับอุดมคติของโซลาริสแล้วมันคือสิ่งที่แปดเปื้อนและจะนำพาไปสู่ความหายนะดังนั้นจึงยอมให้มีไม่ได้"
"งั้นที่บอกว่ามนุษย์ต่างดาวถูกสร้างขึ้นมาโดยยึดอุดมคติของพระเจ้าก็คือการสร้างมนุษย์โดยกำจัดความปรารถนาที่แสนเกลียดออกไปหรือคะ"
โดโกบาร์พยักหน้า
"การจำกัดตัวแปรที่จะกลายเป็นเหมือนมนุษย์ทำให้บุตรแห่งแสงไร้ซึ่งภูมิต้านทานความปรารถนา
หากถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงก็จะชำรุดได้ง่ายแล้วความปรารถนาอันเข้มข้นนั่นก็เป็นตัวตนของปีศาจ”
“แบบนั้นปีศาจก็เหมือนเป็นเชื้อโรคเลยน่ะสิคะ”
โดโกบาร์ไม่มีปฏิกิริยากับคำพูดของมีนาและยังคงพูดต่อไป
“แต่ถึงจะสร้างขึ้นมาในกรอบของอุดมคติแค่ไหนมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำบุตรแห่งแสงเองก็เริ่มแปดเปื้อนไปด้วยความปรารถนาสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าตัวตนของมนุษย์คือความผิดพลาดจึงขับไล่ลงมาที่สวนแห่งนี้"
ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็เริ่มจะเข้าใจ
เรื่องที่ถูกพร่ำสอนมาว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้ทำลายโลกก็จะกลับตาลปัตรเป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันซะอย่างนั้นเป็นของที่ถูกผู้สรรสร้างทอดทิ้งและคิดทำลายเหมือนกัน
อิงศรพูด
“เพราะงั้นก็เลยจะกำจัดของที่ตัวเองสร้างไปพร้อมๆ
กับมนุษย์อย่างนั้นสินะ”
“…”
โดโกบาร์ไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าให้
ทุกคนที่นี่ก็น่าจะเข้าใจคำพูดขออิงศรเพราะได้ฟังเหตุผลที่พระเจ้าจะทำลายมนุษย์ไปแล้ว
เมษาพูด
"เป็นพระเจ้าที่ไร้ความรับผิดชอบชะมัด"
นรินทร์พูด
"พอได้ยินแบบนี้แล้วอย่างกับว่าพวกเอเลี่ยนเป็นเทวดาตกสวรรค์เลยนะเนี่ย"
'เทวดาตกสวรรค์' เรียกว่าเข้าใจเปรียบเปรยได้ดี
เทวดาก็คือแบบอย่างของมนุษย์ที่ละทิ้งกิเลสและรับใช้ใกล้ชิดพระเจ้า
หากความปรารถนาที่พระเจ้าเกลียดนักเกลียดหนาคือกิเลสแล้วล่ะก็มนุษย์ต่างดาวที่เป็นเทวดาซึ่งแปดเปื้อนไปด้วยกิเลสจึงถูกขับไล่จากสวรรค์
ในตอนนั้นเองมีนาก็...
"เอาล่ะค่ะถ้างั้นเรามาสรุปหัวข้อประชุมกันเลยดีกว่า"
พูดดึงกลับเข้าเรื่องซะอย่างนั้น
อิงศรปรับอารมณ์ตามไม่ทันก็พูดด้วยความรำคาญ
"อะไรของเธอเนี่ยจู่ๆ ก็..."
"แล้วจะเอายังไงคะในเมื่อรู้แล้วว่าพี่สิงห์อาจจะกำลังใช้ประโยชน์จากพวกเราจะตามไปดีไหมคะหรือว่าจะต่อต้านดี"
"คิดว่าคนอย่างหมอนั่นจะยอมให้เราต่อต้านได้เรอะ"
"ก็ไม่คิดน่ะสิคะ"
"..."
แล้ววงสนทนาก็ตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนที่นี่ต่างก็รู้ดีว่าการจะขัดขืนสิงห์มันไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าผลีผลามทำไปก็อาจจะไปเดินตามเกมอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวเอา
แต่ตอนนี้คงต้องพูดอะไรซักอย่าง
"ถ้าเอาที่ฉันคิดล่ะก็ไม่ต้องไปต่อต้านมันหรอก"
ทันทีที่พูดออกไปสายตาของทุกคนจับจ้องมา
"ถ้าเรายังเป็นลูกน้องของสิงห์จะโดนหลอกใช้ตอนไหนพวกเราก็ไม่มีทางรู้ตัวอยู่ดีสำหรับฉันแล้วบอกตามตรงตอนนี้ฉันไม่ได้คิดเรื่องอย่างอื่นเลยนอกจากเรื่องช่วยขวัญออกมา"
จากนั้นมีนาก็เดินไปนั่งบนเตียงข้างๆ
เมษาแล้วพูดมาว่า
"จะว่าไปก็ยังไม่ได้แสดงความยินดีที่น้องชายคุณอิงศรยังมีชีวิตอยู่เลยนี่นะคะ"
"แล้วเธอก็ยังไม่ยอมบอกฉันด้วยว่าขวัญเป็นยังไงบ้างตอนฉันอาละวาด"
"เอ๋~
จำได้ว่าบอกไปแล้วนะคะว่าปลอดภัยดี"
"เอารายละเอียดสิบอกแค่นั้นจะไปรู้ได้ยังไง"
"แหม พอเป็นเรื่องน้องแล้วคุณอิงศรก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะคะ
วางใจเถอะค่ะถึงจะเกือบโดนม้าที่คุณอิงศรขับเหยียบแบนเอาแต่ก็ได้ลิเธียมช่วยเอาไว้แล้วพาตัวหนีไปกลางคันที่พอจะรู้ก็มีแค่นั้นแหละค่ะ"
แววตาของอิงศรผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"งั้นเองเหรอ"
เขาพูด
แล้วกวินทร์ก็เสนอขึ้นมาว่า
"ถ้างั้นเรื่องแนวทางต่อไปจากนี้ของพวกเราก็เอาเป็นช่วยพี่ศรเอาตัวน้องชายคืนมาดีไหมครับ"
มีเสียงเห็นด้วยกับความคิดนั้นจากนรินทร์กับเมษา
"เห็นด้วย"
"เห็นด้วย"
มีนาพูด
"ฉันเองก็เห็นด้วยค่ะแล้วคุณอิงศรล่ะว่าไง"
หล่อนส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาคงกะจะล้อเล่นอะไรซักอย่างเพราะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
อิงศรไม่สนใจหรอกว่าจะล้อเล่นอะไรเขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธข้อเสนอนี้
"ขอบใจนะช่วยได้มากเลย"
กวินทร์ เมษา นรินทร์
ต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา
แล้วมีนาก็...
"งั้นเป็นอันตกลงตามนี้นะคะว่าแล้วเราก็มาสำรวจเบาะแสที่จะใช้สืบหาตัวน้องชายคุณอิงศรจากรสนิยมของพี่น้องดีกว่าค่ะ"
พ่นคำพูดที่เข้าใจแค่ครึ่งเดียวออกมาแล้วก้มลงไปใต้เตียง
"เฮ้ย!"
อิงศรส่งเสียงร้องแล้วทำท่าจะลุกจากเก้าอี้
"ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ได้เข้าห้องผู้ชายคนอื่นนอกจากเมษาน่ะเคยได้ยินมาว่าพวกเด็กผู้ชายเนี่ยมักชอบซ่อนของส่วนตัวไว้ในนี้ดังนั้นถ้ารู้รสนิยมของคุณอิงศรครั้งหน้าเวลาเจอตัวน้องชายก็จะได้รับมือแบบเดียวกันได้ไม่คิดว่าเป็นแผนที่ดีหรือคะ"
มีนาพล่ามเร็วๆ
ได้โดยที่ลิ้นไม่พันกันอย่างน่าอัศจรรย์พลางล้วงมือหยิบสิ่งของที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงออกมา
นรินทร์เริ่มเคลื่อนไหวด้วยเหตุผลประหลาดๆ
"เดี๋ยวซี่ทำแบบนั้นไม่ได้นะคุณมีนาที่นี่มีเด็กอยู่ในห้องนะครับ”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วลุกไปปิดตาโดโกบาร์ที่นั่งอยู่เหมือนแม่พยายามปกป้องลูกจากสิ่งที่ไม่ควรให้เห็น
"..."
แต่โดโกบาร์ก็ไม่ได้แย้งและยอมให้ปิดตา
"หยุดนะยัยบ้า!"
อิงศรลุกจากเก้าอี้แล้ว กำลังจะเดินไปหยุดมีนาแต่หล่อนก็ชักเอานิตยสารสามเล่มที่เขาซุกเอาไว้ออกมาเสียก่อนแล้วโยนให้กวินทร์
"อ่านให้ฟังหน่อยค่า!"
"อย่าดูนะ!"
อิงศรตะหวาดแล้วหันกลับไปแต่กวินทร์กลับทำหน้าซื่อและหักหลังความไว้ใจเขาด้วยการอ่านชื่อของนิตยสารเหล่านั้น
"สัตว์เลี้ยงแสนรัก กระต่ายรายเดือน
มายแรบบิทอาคาเดมี่ นี่มันนิตยสารพวกกระต่ายมาเนียร์ไม่ใช่เหรอครับ"
รุ่นน้องพลิกปกหนังสือให้ดูแล้วมีนา
เมษา นรินทร์ก็...
"หา?"
"หา?" "หา?"
ส่งเสียงด้วยความงวยงง
แต่มีนายังไม่ยอมแพ้
"อ๊ะรู้แล้วเป็นปกปลอมสินะคะแบบที่เมษาชอบเอาปกหนังสือวิชาเลขมาห่อไว้"
จนเมษาต้องตกเป็นเหยื่อสายตา
"แล้วจะมาแฉฉันทำไมล่ะเฟ้ย!"
มีนาเมินคำร้องทุกข์ของน้องชายฝาแฝดแล้วฉวยโอกาสนั้นพุ่งไปฉกหนังสือจากมือของกวินทร์มาคลี่เอาปกออกแต่หนังสือทุกเล่มเป็นปกชั้นเดียวไม่มีการห่อ
เนื้อหาภายในก็เป็นแค่นิตยสารสัตว์เลี้ยงธรรมดาๆ ที่เต็มไปด้วยรูปกระต่ายน่ารักๆ
"อะไรเนี่ย"
มีนาทำหน้าผิดหวัง
ให้ตายสิเธอนี่มันนิสัยเสียชะมัดเลย”
อิงศรพูดขณะที่เข้าหาเด็กสาวจากทางด้านหลังแล้วชิงเอาหนังสือทั้งหมดกลับมา
กวินทร์พูดเหมือนเพิ่งจะรำลึกได้
“จะว่าไปตอนที่ร้านกาแฟพี่ศรก็บอกว่าชอบกระต่ายมากนี่นา”
อิงศรรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อนผ่าวจึงพยายามหลบหน้าทุกคนแล้วเอาหนังสือไปเก็บใส่ลิ้นชักแทน
“หมดเรื่องแล้วก็รีบๆ กลับกันไปซักทีเหอะ”
เด็กหนุ่มพูดพลางสอดลิ้นชักกลับเข้าไปในโต๊ะ
...ยังมีอีกเรื่องที่เขาไม่ได้บอกพวกมีนา
เรื่องกำหนดเส้นตายก่อนที่โลกจะหายไปคืออีกหกเดือนแต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นยังพอมีเวลาอยู่
ไว้ได้ตัวน้องชายคืนก่อน เรื่องของโลกไว้ค่อยคิดหลังจากนั้นก็ได้
ไว้ค่อยไปเล่าให้ฟังกันตอนนั้นก็ยังไม่สาย
แต่แล้ว...
ก็มีเสียง ‘ติ๊ง’
ดังขึ้น
หน้าจอระบบเปิดเองโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวแต่พวกมีนาก็มีหน้าจอปรากฏขึ้นเหมือนกัน
สิ่งที่หน้าจอนั้นแสดงอยู่เป็นรายละเอียดการอัพเดตของเกม
"เฮ้ ดูที่จอนี่สิ..."
เมษาโพล่งออกมาหลังจากอ่านหน้าจอ
แล้วมีนาที่ก้มหน้ามองจอแค่แวบเดียวก็พูดขัด
"เกมอัพเดตแพทช์ใหม่แล้วล่ะค่ะ"
อัพเดตแพทช์
หรือก็คือการปรับปรุงเพิ่มเติมให้เกมเป็นรุ่นใหม่
ซึ่งระบบของเกมจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จะมีระบบใหม่ๆ
เพิ่มเข้ามาหรือถูกถอดออกไปก็แล้วแต่การตัดสินใจของผู้ควบคุม
การอัพเดตแพทช์ของเกมโกงวันโลกาวินาศระงับมาสามปีแล้วดังนั้นนี่จึงเป็นการอัพเดตที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากเว้นช่วงไปนาน
อิงศรไล่สายตาอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับระบบต่างๆ
ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแพทช์ใหม่
"อาร์มาเก็ดดอน..."
แล้วพึมพำออกมา
มันเป็นชื่อของแพทช์ใหม่เหมือนกับแพทช์ก่อนหน้าที่มีชื่อว่า ‘อีเด็นฟอล’
รายละเอียดในแพทช์ยังกล่าวถึงการเปิดตัวระบบเดม่อนแอพพลิเคชั่นเป็นสาธารณะและจากที่อ่านอย่างคร่าวๆ
ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าของที่พวกเขาใช้กันในตอนนี้เสียอีก
เมื่อเป็นแบบนี้แล้วความเหลื่อมล้ำทางอำนาจในการต่อสู้ที่เมตไตรยเคยมีเหนือกว่าหน่วยงานหรือองค์กรอื่นก็จะหมดไปในทันที
แต่นั่นยังเป็นแค่ส่วนน้อยถ้าเทียบกับระบบอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา
อิงศรเงยหน้าจากจอแล้วตรวจสอบสภาพของทุกคน
มีนากับเมษามีสีหน้าคร่ำเครียดอย่างเห็นได้ชัด
กรณีของมีนาคงจะเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ใหญ่หลวงขนาดไหน
ส่วนเมษาน่าจะเป็นอ่านไม่เข้าใจมากกว่าเพราะแพทช์ใหม่มีเนื้อหาเพิ่มจากแพทช์ที่ผ่านมาชนิดเทียบกันไม่ได้และยังมีความซับซ้อนกว่ามาก
กวินทร์ปาดนิ้วไปบนหน้าจอช้าๆ เหมือนทยอยอ่านทำความเข้าใจเป็นบรรทัดๆ
ไปเป็นการอ่านแบบคนธรรมดาที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโดยตรง
ส่วนนรินทร์ที่หัวดีคงจะทำความเข้าใจได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปขนาดไหนถึงใบหน้าจะไม่ได้เคร่งเครียดเท่ามีนาก็ตาม
การอัพเดทในครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าโลกทั้งใบ
อาร์มาเก็ดดอน คือชื่อของสนามรบแห่งสุดท้าย
นี่จะเป็นการบอกว่าเวลาแห่งการตัดสินผลใกล้จะมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า?
หรือเพราะว่าเหลืออีกแค่หกเดือนโลกก็จะถูกลบหายไปเพราะอย่างนั้นแพทช์ถึงได้อัพเดทครั้งใหญ่?
ถ้าอย่างนั้นเวลาที่คิดว่ามีเหลืออยู่ตั้งหกเดือนบางทีมันอาจจะไม่ได้นานอย่างที่คิดเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นอิงศรก็ยังพึมพำกับตัวเอง
“ขวัญ...ยังไงฉันก็จะไปช่วยนายให้ได้”
ความคิดเห็น