คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : Logout 58: Epilogue of Eden Fall
Logout
58: Epilogue of Eden Fall
12 ชั่วโมงหลังจากเกมประกาศอัพเดทแพทช์
การประชุมราชครูก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน
สถานที่คือห้องบอลรูมบนยานรบแกรนด์ครุยเซอร์ความสูงเหนือพื้นดินหนึ่งพันกิโลเมตร
ที่ความสูงระดับนี้ไม่มีสัตว์เทวะอยู่อาศัยแถมยังไม่ต้องห่วงเรื่องการลักลอบเข้ามาจากคนภายนอกอีกด้วย
ราชครูลำดับที่ 3 รูบิเดียม
ราชครูลำดับที่ 4 โพแทสเซียม
ราชครูลำดับที่ 6 ลิเธียม
ทั้งสามที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยถูกเรียกตัวมาที่นี่
ห้องประชุมเป็นห้องโล่งๆ
ที่มีกระจกล้อมอยู่สี่ทิศแต่ละบานทำหน้าที่เป็นจอฉายภาพท้องฟ้าที่มืดสนิทจากกล้องที่ติดอยู่รอบยาน
เมื่อจอมอนิเตอร์ที่แขวนตรงกลางห้องเริ่มทำงานภาพของม้ายักษ์ที่อาละวาดในสนามรบก็ปรากฏขึ้น
เป็นภาพวิดีโอที่ฉายมาจากผู้ที่อยู่อีกฝั่งของจอสื่อสารนี้ซึ่งก็คือราชครูลำดับที่หนึ่งแฟรนเซียมและลำดับที่สองซีเซียมที่ไปโจมตีประเทศจีนและเพิ่งมีข่าวว่าสามารถทำการยึดครองพื้นที่ได้ทั้งหมดมาเมื่อไม่นานนี้
เสียงของผู้ชายที่น่าจะเป็นราชครูลำดับที่หนึ่งดังขึ้น
"ไหนลองรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นมาซิ"
ราชครูทั้งสามพากันกลืนน้ำลายโดยพร้อมเพรียง
แล้วโพแทสเซียมก็ยื่นปากมากระซิบที่ข้างหูของรูบิเดียม
"ซุงรู่ส่งคลิปไปให้เหรอ"
รูบิเดียมทำหน้าลำบากใจแล้วตอบกลับไปว่า
"เปล่า...แต่พอจะรู้ว่าฝีมือใคร"
แล้วตอนนั้นเองภาพบนจอก็เปลี่ยนไปมีภาพใครบางคนปรากฏขึ้นบนหน้าจอแทน
คนบนหน้าจอหัวเราะเสียงดังมาก หัวเราะอยู่นานและทำหน้าตาราวกับคนเสียสติ
"ฮ่าๆๆ
สายของฉันช่วยถ่ายส่งมาให้เองเป็นไงล่ะนั่งดูพวกนายนี่มันสนุกจริงจริ๊งมีกระทั่งของแบบนี้ด้วยนะจะบอกให้"
ภาพบนจอถูกตัดไปแล้วฉายภาพของโพแทสเซียมที่เหลือเพียงครึ่งตัวนอนหัวทิ่มอยู่ในหลุมท่ามกลางแอ่งที่เคยเป็นเมืองแต่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของม้าดีเซมแมร์
หางคิ้วของโพแทสเซียมกระตุกเล็กน้อยเขาเองก็รู้สึกเหมือนรูบิเดียม
รู้สึกไม่ชอบหน้าราชครูลำดับที่สองคนนี้เอาเสียเลย
ภาพตัดกลับมาเป็นใบหน้าของซีเซียมผู้เป็นราชครูลำดับที่สองอีก
"เอ้าๆ
มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่ล่ะพวกแกคอมเมนท์กันหน่อยเซ่"
โพแทสเซียมยิ้มบางเฉียบแล้วพูดคอมเมนท์ไปให้ตามที่อีกฝ่ายขอ
"ถึงจะหน้าเหมือนกันแต่ซุงอิงศรน่ารักกว่าท่านเยอะเลยละครับ"
พอพูดไปแบบนั้นใบหน้าบนจอภาพที่เหมือนกับอิงศรทุกระเบียดนิ้วแต่มีเส้นผมสีเงินแบบมนุษย์ต่างดาวก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธ
"หุบปากไปเลยแก!”
“อ้าวก็ขอให้คอมเมนท์เองไม่ใช่เหรอครับ”
โพแทสเซียมพูดพลางจงใจทำหน้าเซ่อเพื่อยั่วยุอีกฝ่ายซึ่งก็ได้ผล
ซีเซียมขบฟันเสียงดังกรอดลอดผ่านไมค์มาถึงจอมอนิเตอร์ฝั่งนี้
“ถ้าไม่มีมันซักคนป่านนี้ฉันก็ได้รับเลือกจากฟันเฟืองไปแล้ว”
ตอนนั้นเองเสียงของราชครูลำดับที่หนึ่งก็แทรกเข้ามา
“พอได้แล้วซีเซียม ให้พวกมันพูดสิ่งที่เกิดขึ้นซักที
ม้านั่นมันหมายความว่ายังไง”
“...”
แต่ไม่มีใครยอมตอบคำถามเสียงของราชครูลำดับที่หนึ่งจึงดังขึ้นอีกครั้ง
“ตอบมาซะ
รูบิเดียมเดิมทีเรื่องของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีผู้ที่ล่วงรู้แค่เรากับซีเซียมและเจ้ารวมไปถึงอดีตราชครูลำดับที่สี่ถึงหกเท่านั้นแล้วทำใหม่ผู้รับตำแหน่งใหม่ของลำดับที่สี่กับหกถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย”
รูบิเดียมลำบากใจที่จะตอบคำถามนั้น
“ตอบเดี๋ยวนี้!”
ลำดับที่หนึ่งตะเบ็งเสียง
“พวกชาวโลกได้ตัวผู้มีฟันเฟืองไปฉันเลยส่งสองคนนี้ไปเอาตัวคืนมาแต่ว่าพวกชาวโลกน่าจะเล่นตุกติกอะไรซักอย่างก็เลยทำให้เฟืองคุ้มคลั่งจนไปปลุกเครื่องทำสวนเข้า”
"งั้นเหรอ"
น้ำเสียงของลำดับที่หนึ่งแผ่วลงดูเหมือนจะยอมเข้าใจตามที่เธอพูดไป
"องค์กรของชาวโลกที่ชื่อว่าเมนไตรยสินะที่ได้ตัวชาวโลกที่มีเฟืองไปถ้าอย่างนั้นเราคงต้องหามาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้วยิ่งแพทช์ที่เพิ่งอัพเดทใหม่นั้นได้ทำให้ชาวโลกแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะมีการเปิดให้ใช้พลังของปีศาจได้อย่างอิสระเธอจะรับผิดชอบความผิดพลาดในครั้งนี้ยังไงรูบิเดียม"
"ก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละเดิมทีพวกเมตไตรยก็ใช้อาวุธที่ติดตั้งปีศาจอยู่แล้วแต่ก็ยังเทียบไม่ติดกับพลังของชั้นครูดังนั้นเราจะรวบรวมกำลังทั้งหมดจากทั่วประเทศแล้วส่งไปถล่มฐานใหญ่ของพวกมันที่ตั้งอยู่ในชลบุรี"
"งั้นรึ...ก็ดีแต่เพื่อไม่ให้ผิดพลาดอีกทางนี้ก็จะส่งกำลังทั้งหมดไปสนับสนุนด้วย"
กำลังทั้งหมดของทางนั้น… นั่นมันหมายถึงกองกำลังทั้งหมดของมนุษย์ต่างดาวเลยไม่ใช่รึไง
หมายความว่าจะทำศึกตัดสินเลยอย่างนั้นหรือ
แต่ถ้าเป็นพลังของมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดก็อาจจะไม่ใช่สงครามแต่จะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อยู่ฝ่ายเดียวเลยก็ได้ชาวโลกไม่มีกำลังพอจะต่อต้านได้อย่างแน่นอน
"มันจำเป็นต้องทำกันขนาดนั้นเลยเหรอกับอีกแค่ชาวโลกเนี่ยนะ"
รูบิเดียมเองก็ตกใจ
เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำสั่งที่เอาจริงเอาจังกับการจัดการมนุษย์ขนาดนี้มาก่อนเลย แต่เสียงของลำดับที่หนึ่งก็ยังยืนยันเช่นนั้น
"นี่ก็เพื่อความไม่ประมาทให้ราชครูทั้งหมดรวมกำลังเข้าโจมตีในครั้งเดียวทำให้มันจบๆ
ไปซักที"
จากนั้นซีเซียมที่อยู่บนจอก็ยิ้มหน้าตาระรื่นพลางพูดว่า
"อีแบบนี้ก็สนุกน่ะเซ่จะได้ไปฆ่าเจ้าต้นแบบแล้วเอาเฟืองมาซะเลยแบบนั้นคงไม่ว่ากันหรอกนะ"
"จะยังไงก็ได้แค่รวบรวมเฟืองมาให้ครบทั้งหมดก็พอตอนนี้อยู่ที่พวกเราสองแล้วเหลืออีกสองอันไม่ว่ายังไงก็อย่าพลาดล่ะ"
เสียงของลำดับที่หนึ่งตอบมาอย่างนั้น
ตามด้วยเสียงหัวเราะของซีเซียมที่ส่งจากจอมอนิเตอร์ดังก้องไปทั้งห้องประชุมก่อนที่ภาพจะตัดไป
หน้าจอกลายเป็นสีดำสนิทพร้อมกับเสียงหัวเราะที่หยุดลง
การประชุมจบลงเพียงแค่ตรงนั้น
เมื่อไร้ซึ่งแรงกดดันจากลำดับที่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนห้องประชุมโล่งๆ
แห่งนี้กว้างโอ่อ่าขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
โพแทสเซียมพาดแขนไปข้างหลังแล้วเอามือรองหลังศีรษะเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ
"แหมซุงรู่ขอบใจที่ช่วยโกหกไปแบบนั้นนะไม่งั้นล่ะก็งานเข้าแหงเลย"
เขาขอบใจที่ไม่ได้บอกความจริงว่าเหตุใดตนเองถึงไปอยู่ที่สนามรบ
รูบิเดียมพูดสวนกลับไปว่า
"ยังจะมีหน้ามาพูดอีกถ้าฉันพูดเรื่องที่แกปล่อยตัวมิ่งขวัญไปล่ะก็แกได้..."
แต่ก่อนที่จะพูดจบโพแทสเซียมก็ตั้งท่าชี้นิ้วมา
"ทางนั้นก็จะโดนลงโทษไปด้วยฐานทำงานสะเพร่านะครับ"
"..."
รูบิเดียมทำหน้าไม่พอใจที่ถูกลากให้มาเล่นตามเกมของอีกฝ่าย
ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นกันแดดกำลังลุกไหม้ด้วยความโกรธมือของหล่อนสั่นระริก
ถ้าเป็นความรู้สึกหงุดหงิดที่มีอยู่ในตอนนี้ก็อาจจะพลั้งมือฆ่าราชครูลำดับต่ำกว่าตายได้อย่าง่ายดาย
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงประกาศตามสายดังมา
'อีกสิบห้านาทีจะทำการปิดไฟเพื่อสำรองพลังงานของยานขอให้ทุกท่านกลับไปอยู่ในที่พักด้วยย่ำอีกครั้ง'
เสียงประกาศดังขึ้นด้วยกันสองครั้งและเพราะประกาศนั้นทำให้ทั้งสามต้องรีบแยกย้ายออกจากห้องประชุม
....
บนระเบียงทางเดินที่นำไปยังห้องพักภายในยานแกรนครุยเซอร์
มิ่งขวัญซึ่งถูกรูบิเดียมหนีบขึ้นยานมาด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไปอีกกำลังจะกลับไปห้องพักหลังจากประกาศดับไฟภายในยานดังขึ้น
ระหว่างทางเขาก็พบกับไทเทเนียม
หญิงสาวต่างดาวยืนพิงหลังกับแพงทางเดิน
หล่อนเหลือบตามองมาทางนี้น่าจะเป็นเพราะรู้สึกถึงตัวตนของมิ่งขวัญ
ไทเทเนียมพูดขึ้นว่า
“ไง ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”
มิ่งขวัญเบนสายตามองใบหน้าที่คาดเดาความคิดไม่ได้ของอีกฝ่าย
นี่เป็นการเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากวันที่เขาถูกพาตัวกลับมา
รู้สึกได้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ที่นายหนีไปก็เพื่อไปหามนุษย์คนนั้นใช่ไหมที่ชื่อว่าอิงศรอะไรนั่น”
มิ่งขวัญเมินคำพูดนั้น
เขาไม่คิดจะสนใจคำพูดของมนุษย์ต่างดาวและตั้งใจจะเดินผ่านไปทั้งแบบนี้
“เป็นอะไรกับมนุษย์คนนั้นเหรอเป็นพี่ชายใช่รึเปล่า”
“…”
“ใช่สินะ
เพราะงั้นก็เลยยึดติดกับความเป็นมนุษย์งั้นเหรอ”
“…”
“เพราะกลัวว่าถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ต่างดาวก็จะถูกพี่ชายเกลียดเอาอย่างนั้นสินะถึงได้ไม่ยอมอัพเลเวลให้เกินขีดจำกัดแล้วก็ไม่ยอมรับนามของมนุษย์ต่างดาวด้วย”
“…”
“ได้ยินมาว่านายกับพี่ชายมีพลังประหลาดที่เรียกว่าเฟืองทำให้ควบคุมสัตว์ประหลาดที่อาละวาดในตอนนั้นได้แถมนายยังได้รับการสืบทอดพลังมาจากท่านลำดับที่สามอีกฝีมือกับไหวพริบก็จัดว่าดีถ้ากลายเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วอาจจะได้รับแต่งตั้งเป็นว่าที่ราชครูเลยก็ได้นะ”
ไทเทเนียมพูดมากกว่าปกติรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
แต่มิ่งขวัญไม่สนใจและเตรียมจะเดินผ่านหน้าหล่อนไป
ตอนนั้นเองไฟก็ดับลง
ทางเดินมืดสนิท มีแค่แสงไฟสลัวๆ
จากประตูห้องข้างทางเดินที่อยู่เยื้องไปข้างหน้า
ท่ามกลางความมืดมิดแขนของมิ่งขวัญถูกคว้าไป
เขาถูกเหวี่ยงจนหลังติดกำแพงแล้วถูกบี้เข้ามาจากทางด้านหน้า
ร่างของหญิงสาวซึ่งสูงกว่า หล่อนสูงถึง 190 เซนติเมตรประชิดเข้ามาหา
ดังนั้นมิ่งขวัญจึงเชิดหน้าขึ้นเพื่อจะบอกให้เธอปล่อย
“เฮ้...”
เขาเปล่งคำพูดได้เพียงแค่นั้น
โดยไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายก็ประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของมิ่งขวัญ
อ่อนนุ่ม...
เป็นริมฝีปากที่อ่อนนุ่มมาก
แต่ถึงอย่างนั้นมิ่งขวัญก็ไม่ได้ต้องการมัน
เด็กหนุ่มงัดเรี่ยวแรงทั้งหมดต่อต้านผลักร่างของอีกฝ่ายออกไป
ไทเทเนียมเซถอยไปข้างหลังจนชนกำแพง
มิ่งขวัญตะหวาดออกไปว่า
“คิดจะทำอะไรน่ะ !”
แล้วมองไปที่หน้าของหล่อน
วินาทีที่เห็นใบหน้าของหญิงสาว
มันเป็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจ
ไทเทเนียมกำลังหัวเราะ
“ใช่เลย...แบบนี้แหละมิ่งขวัญนายน่ะไม่มีทางเป็นมนุษย์ได้หรอก”
ไทเทเนียมหัวเราะอีก
“มนุษย์มันก็แค่เศษสวะที่หลงใหลในกามารมณ์อยู่ตลอดถ้าหากว่านายยังเป็นมนุษย์อยู่ล่ะก็ไม่มีทางปฏิเสธจุมพิตนั่นเด็ดขาด”
พอพูดสิ่งที่อยากพูดจนหมดหล่อนก็เดินเข้ามาอีกแต่ก็หยุดเท้าลงกลางทาง
“มิ่งขวัญนายน่ะไม่เหมาะจะเป็นมนุษย์หรอกนะ”
ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วไทเทเนียมก็เดินหายเข้าไปในความมืดของระเบียงทางเดิน
เหลือไว้เพียงความอัปยศและความสับสนเท่านั้น
“ไม่เหมาะจะเป็นมนุษย์...”
มิ่งขวัญทวนคำพูดชวนให้สับสนนั่นอีกครั้ง
เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ
ไถลตัวไปกับกำแพงจนลงไปนั่งบนพื้น
กอดเข่าแล้วซบหน้าลงกับหัวเข่า
ปลอบประโลมจิตใจของตนด้วยแสงแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียวในใจ
“ศร...”
ตอนนี้มิ่งขวัญเลเวล 90 ค่าประสบการณ์ก็คืบหน้าไปกว่าครึ่ง
เวลาที่จะคงความเป็นมนุษย์ไว้เหลืออยู่อีกไม่มาก แต่ถึงจะไม่มีหลักประกันเด็กหนุ่มก็ยังพึมพำคำพูดออกมา
“ศร...ไม่ว่าจะยังไงก็จะไปช่วยให้ได้เลย”
...
หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกสามวัน
วันนี้อิงศรก็จะต้องออกเดินทางเพื่อย้ายไปประจำการที่ศูนย์บัญชาการหลักซึ่งตั้งอยู่ในชลบุรี
แต่ถึงอย่างนั้นเขาและพวกพ้องก็ออกเดินทางสายไปวันหนึ่งทำให้ตกรถเที่ยวสุดท้ายจนต้องหาทางไปกันเอง
“ช่วยไม่ได้นะคะแบบนี้ก็ต้องหารถนั่งไปเองแล้วล่ะค่ะรบกวนคุณกวินทร์ขับเหมือนเคยนะคะ”
มีนาพูดขณะที่นั่งสบายใจเฉิบบนกระโปงรถคันหนึ่งที่จอดสนิทท่ามกลางรถคันอื่นๆ
ในลานจอด
ระหว่างนี้ อิงศร เมษา กวินทร์
และนรินทร์ เด็กหนุ่มทั้งสี่คนก็ออกตระเวนสำรวจรถทุกคันในลานจอด
หาคันที่สภาพพอใช้งานได้และมีน้ำมันพอสำหรับเดินทาง
“เฮ้ย เธอก็มาช่วยหาด้วยเซ่”
อิงศรตะเบ็งเสียงพลางปาดเหงื่อบนหน้าผากออก
“เรื่องสิคะคนที่ทำให้พวกเราตกรถเที่ยวสุดท้ายก็คือคุณอิงศรที่จำวันผิดเองไม่ใช่เหรอคะ”
“อึก”
เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก
แต่อิงศรไม่ได้จำวันผิดที่ผิดก็คือเมล์แจ้งวันย้ายที่ข้าวหลามส่งมาให้ต่างหาก
แล้วระหว่างที่กำลังวิ่งวุ่นกันอยู่นี่เองก็มีเสียงบีบแตรรถดังแว่วมา
พวกเขาหยุดค้นหาแล้วเบนสายตาไปยังทิศนั้น
ตัวการที่ทำให้ตกรถเที่ยวสุดท้ายกำลังยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างฝั่งคนขับของบนรถกระบะ
เส้นผมย้อมสีทองของพันโทข้าวหลามสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายวิบวับ
“พวกเอ็งมาทำไรกันวะเนี่ยคิดจะหนีทัพเรอะไง”
เจ้าตัวตะโกนมาอย่างนั้น
“ก็เพราะแกนั่นแหละพวกเราถึงได้ตกรถเที่ยวสุดท้ายไงวะ
!”
อิงศรตะคอกกลับไป
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ
“เออๆ
รู้แล้วน่าแค่หยอกเล่นเองแล้ววันก็ไม่ได้บอกผิดหรอกเว้ยแต่สิงห์สั่งมาว่าให้แกพักให้พอก่อนแล้วค่อยเดินทางก็เลยอยู่รอส่งพวกแกนี่ไง”
อิงศรหรี่ตามองอย่างค่อยพอใจนัก
“ถ้างั้นก็รีบบอกสิวะ”
“เออๆ เอาเหอะรีบขึ้นมาได้แล้ว”
ข้าวหลามพูด
จากนั้นอิงศรกับพวกพ้องก็ขึ้นรถกระบะโดยให้มีนาไปนั่งรวมในห้องคนขับส่วนที่เหลือก็นั่งบนกระบะด้านหลัง
มีนาเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วมองเข้าไปข้างใน
แทนที่จะมีแต่ข้าวหลามที่นั่งอยู่กลับมีผู้หญิงแปลกหน้าที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย
อายุน่าจะไล่เลี่ยกับข้าวหลาม
ผมสีทอง ตาสีฟ้า
น่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็ลูกครึ่ง
รูปร่างเซ็กซี่ ผิวขาวเนียนมีน้ำนวล
ริมฝีปากอวบอิ่ม
และมีหน้าอกใหญ่จนกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ปริจนแทบจะหลุดออกมา
มีนาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างนอกรถ
จนกระทั่งข้าวหลามเรียก
“เอ้ามีนาขึ้นมาสิจะได้ไปซักทีเดี๋ยวพวกนั่งข้างหลังจะบ่นร้อนเอา”
“คือว่า...”
มีนาชี้ไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่ม
“อ๋อนี่แฟนน่ะชื่อยูรี่”
แล้วยูรี่ก็โบกมือให้พลางพูดทักทายมา
“ซาหวาดดีค่า”
สำเนียงหล่อนเหน่อแบบชาวต่างชาติเวลาพูดภาษาไทย
มีนาตอบรับกลับไปว่า
“เอ่ออ่า...สวัสดีค่ะ ขอเข้าไปนะคะ”
พร้อมกับก้าวขาขึ้นไปบนรถนั่งเบียดข้างผู้หญิงคนนั้นแล้วปิดประตู
จากนั้นรถก็เริ่มวิ่ง
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางด้านหลังรถ
เสียงของพวกเด็กผู้ชายที่สนุกกับการนั่งโกรกลมหลังกระบะ
มีนาที่นั่งอยู่เหลือบสายตาไปมองที่หลังมือของยูรี่ผู้อ้างตัวเป็นแฟนของข้าวหลาม
บนหลังมือนั่นมีรอยสักรูปงูสักเอาไว้
แล้วก็นึกถึงคำพูดของสิงห์ขึ้นมา
เรื่องที่ว่ามีสปายจากอารย-สนธยาแฝงตัวเข้ามา
‘โค้ดเนมของเจ้านั่นคือเมดูซ่า’
งู... ผู้หญิง...
ถึงเมดูซ่าในตำนานกรีกจะไม่ได้มีผมสีทองก็เถอะแต่ในบรรดาพี่น้องของเมดุซ่าที่เรียกกันว่าสามพี่น้องกอกอร์นก็มีอยู่คนหนึ่งที่มีผมสีทองชื่อว่า
‘ยูราเยล’
เขียนแบบนี้ Euryale ก็เรียกเป็นชื่อเล่นว่า ’ยูรี่’ ได้เหมือนกัน
“บางทีข้างในกองทัพคงจะเน่าเฟะเต็มทีแล้วล่ะมั้ง”
มีนาพึมพำกับตัวเองอย่างนั้น
....
ขณะเดียวกันที่ รูนรูม
ก็ได้มีแขกมาเยือน
แขกที่ไม่ใช่อิงศร หรือ มิ่งขวัญ
ซีลอร์ดถามแขกคนนั้นว่า
“อุตส่าห์มาหาถึงที่นี่เลยเหรอพลเอกลำดับที่หนึ่ง”
“...”
“หงุดหงิดเพราะถูกฉันเรียกแบบนั้นเหรอ
แต่นายก็ผิดเองนะที่มีสองชื่อ”
“...”
แขกผู้มาเยือนยังคงไม่พูด
ซีลอร์ดทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วพูดในสิ่งที่แขกผู้มาเยือนต้องการ
“เอาเถอะตามสัญญาผมจะมอบข้อมูลที่นายขอเอาไว้"
แล้วยื่นวัตถุที่เป็นเหมือนกับซี่ของฟันเฟืองให้อีกฝ่าย
"ด้วยสิ่งนี้จะทำให้มนุษย์กลายเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์แต่โซลาริสอาจจะพิโรธจนทำให้สวนมอดไหม้ด้วยเพลิงชำระไปเลยก็ได้นะได้ยินแบบนี้แล้วยังต้องการมันอยู่อีกเหรอ”
แขกผู้มาเยือนไม่แสดงความลังเลให้เห็นแล้วคว้าเอาของจากมือซีลอร์ดไปพลางพูดว่า
"โลกมันหมดทางเยียวยามาตั้งแต่แรกแล้วเจ้าก้อนมะเร็งระยะสุดท้ายนี่ฉันจะเป็นคนเปลี่ยนแปลงมันเอง"
แล้วในวันนั้นโลกก็เร่งรอบการหมุนไปสู่จุดจบเร็วขึ้นไปอีกก้าว...
*** END PATCH***
ความคิดเห็น