ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #60 : Logout 58: Epilogue of Eden Fall

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 849
      33
      9 ธ.ค. 59

    Logout 58: Epilogue of Eden Fall

     

               12 ชั่วโมงหลังจากเกมประกาศอัพเดทแพทช์

                การประชุมราชครูก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน

                สถานที่คือห้องบอลรูมบนยานรบแกรนด์ครุยเซอร์ความสูงเหนือพื้นดินหนึ่งพันกิโลเมตร ที่ความสูงระดับนี้ไม่มีสัตว์เทวะอยู่อาศัยแถมยังไม่ต้องห่วงเรื่องการลักลอบเข้ามาจากคนภายนอกอีกด้วย

                ราชครูลำดับที่ 3 รูบิเดียม

                ราชครูลำดับที่ 4 โพแทสเซียม

                ราชครูลำดับที่ 6  ลิเธียม

                ทั้งสามที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยถูกเรียกตัวมาที่นี่

                ห้องประชุมเป็นห้องโล่งๆ ที่มีกระจกล้อมอยู่สี่ทิศแต่ละบานทำหน้าที่เป็นจอฉายภาพท้องฟ้าที่มืดสนิทจากกล้องที่ติดอยู่รอบยาน

                เมื่อจอมอนิเตอร์ที่แขวนตรงกลางห้องเริ่มทำงานภาพของม้ายักษ์ที่อาละวาดในสนามรบก็ปรากฏขึ้น เป็นภาพวิดีโอที่ฉายมาจากผู้ที่อยู่อีกฝั่งของจอสื่อสารนี้ซึ่งก็คือราชครูลำดับที่หนึ่งแฟรนเซียมและลำดับที่สองซีเซียมที่ไปโจมตีประเทศจีนและเพิ่งมีข่าวว่าสามารถทำการยึดครองพื้นที่ได้ทั้งหมดมาเมื่อไม่นานนี้

                เสียงของผู้ชายที่น่าจะเป็นราชครูลำดับที่หนึ่งดังขึ้น

                "ไหนลองรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นมาซิ"

                ราชครูทั้งสามพากันกลืนน้ำลายโดยพร้อมเพรียง

                แล้วโพแทสเซียมก็ยื่นปากมากระซิบที่ข้างหูของรูบิเดียม

                "ซุงรู่ส่งคลิปไปให้เหรอ"

                รูบิเดียมทำหน้าลำบากใจแล้วตอบกลับไปว่า

                "เปล่า...แต่พอจะรู้ว่าฝีมือใคร"

                แล้วตอนนั้นเองภาพบนจอก็เปลี่ยนไปมีภาพใครบางคนปรากฏขึ้นบนหน้าจอแทน คนบนหน้าจอหัวเราะเสียงดังมาก หัวเราะอยู่นานและทำหน้าตาราวกับคนเสียสติ

                "ฮ่าๆๆ สายของฉันช่วยถ่ายส่งมาให้เองเป็นไงล่ะนั่งดูพวกนายนี่มันสนุกจริงจริ๊งมีกระทั่งของแบบนี้ด้วยนะจะบอกให้"

                ภาพบนจอถูกตัดไปแล้วฉายภาพของโพแทสเซียมที่เหลือเพียงครึ่งตัวนอนหัวทิ่มอยู่ในหลุมท่ามกลางแอ่งที่เคยเป็นเมืองแต่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของม้าดีเซมแมร์

                หางคิ้วของโพแทสเซียมกระตุกเล็กน้อยเขาเองก็รู้สึกเหมือนรูบิเดียม

                รู้สึกไม่ชอบหน้าราชครูลำดับที่สองคนนี้เอาเสียเลย

                ภาพตัดกลับมาเป็นใบหน้าของซีเซียมผู้เป็นราชครูลำดับที่สองอีก

                "เอ้าๆ มัวยืนบื้ออะไรกันอยู่ล่ะพวกแกคอมเมนท์กันหน่อยเซ่"

                โพแทสเซียมยิ้มบางเฉียบแล้วพูดคอมเมนท์ไปให้ตามที่อีกฝ่ายขอ

                "ถึงจะหน้าเหมือนกันแต่ซุงอิงศรน่ารักกว่าท่านเยอะเลยละครับ"

                พอพูดไปแบบนั้นใบหน้าบนจอภาพที่เหมือนกับอิงศรทุกระเบียดนิ้วแต่มีเส้นผมสีเงินแบบมนุษย์ต่างดาวก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธ

                "หุบปากไปเลยแก!

                “อ้าวก็ขอให้คอมเมนท์เองไม่ใช่เหรอครับ

                โพแทสเซียมพูดพลางจงใจทำหน้าเซ่อเพื่อยั่วยุอีกฝ่ายซึ่งก็ได้ผล ซีเซียมขบฟันเสียงดังกรอดลอดผ่านไมค์มาถึงจอมอนิเตอร์ฝั่งนี้

                “ถ้าไม่มีมันซักคนป่านนี้ฉันก็ได้รับเลือกจากฟันเฟืองไปแล้ว

                ตอนนั้นเองเสียงของราชครูลำดับที่หนึ่งก็แทรกเข้ามา

                “พอได้แล้วซีเซียม ให้พวกมันพูดสิ่งที่เกิดขึ้นซักที ม้านั่นมันหมายความว่ายังไง

                “...”

                แต่ไม่มีใครยอมตอบคำถามเสียงของราชครูลำดับที่หนึ่งจึงดังขึ้นอีกครั้ง

                “ตอบมาซะ รูบิเดียมเดิมทีเรื่องของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีผู้ที่ล่วงรู้แค่เรากับซีเซียมและเจ้ารวมไปถึงอดีตราชครูลำดับที่สี่ถึงหกเท่านั้นแล้วทำใหม่ผู้รับตำแหน่งใหม่ของลำดับที่สี่กับหกถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย

                รูบิเดียมลำบากใจที่จะตอบคำถามนั้น

                “ตอบเดี๋ยวนี้!

                ลำดับที่หนึ่งตะเบ็งเสียง

                “พวกชาวโลกได้ตัวผู้มีฟันเฟืองไปฉันเลยส่งสองคนนี้ไปเอาตัวคืนมาแต่ว่าพวกชาวโลกน่าจะเล่นตุกติกอะไรซักอย่างก็เลยทำให้เฟืองคุ้มคลั่งจนไปปลุกเครื่องทำสวนเข้า

                "งั้นเหรอ"

                น้ำเสียงของลำดับที่หนึ่งแผ่วลงดูเหมือนจะยอมเข้าใจตามที่เธอพูดไป

                "องค์กรของชาวโลกที่ชื่อว่าเมนไตรยสินะที่ได้ตัวชาวโลกที่มีเฟืองไปถ้าอย่างนั้นเราคงต้องหามาตรการจัดการขั้นเด็ดขาดซะแล้วยิ่งแพทช์ที่เพิ่งอัพเดทใหม่นั้นได้ทำให้ชาวโลกแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเพราะมีการเปิดให้ใช้พลังของปีศาจได้อย่างอิสระเธอจะรับผิดชอบความผิดพลาดในครั้งนี้ยังไงรูบิเดียม"

                "ก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละเดิมทีพวกเมตไตรยก็ใช้อาวุธที่ติดตั้งปีศาจอยู่แล้วแต่ก็ยังเทียบไม่ติดกับพลังของชั้นครูดังนั้นเราจะรวบรวมกำลังทั้งหมดจากทั่วประเทศแล้วส่งไปถล่มฐานใหญ่ของพวกมันที่ตั้งอยู่ในชลบุรี"

                "งั้นรึ...ก็ดีแต่เพื่อไม่ให้ผิดพลาดอีกทางนี้ก็จะส่งกำลังทั้งหมดไปสนับสนุนด้วย"

                กำลังทั้งหมดของทางนั้นนั่นมันหมายถึงกองกำลังทั้งหมดของมนุษย์ต่างดาวเลยไม่ใช่รึไง หมายความว่าจะทำศึกตัดสินเลยอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าเป็นพลังของมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดก็อาจจะไม่ใช่สงครามแต่จะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อยู่ฝ่ายเดียวเลยก็ได้ชาวโลกไม่มีกำลังพอจะต่อต้านได้อย่างแน่นอน

                "มันจำเป็นต้องทำกันขนาดนั้นเลยเหรอกับอีกแค่ชาวโลกเนี่ยนะ"

                รูบิเดียมเองก็ตกใจ เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำสั่งที่เอาจริงเอาจังกับการจัดการมนุษย์ขนาดนี้มาก่อนเลย        แต่เสียงของลำดับที่หนึ่งก็ยังยืนยันเช่นนั้น

                "นี่ก็เพื่อความไม่ประมาทให้ราชครูทั้งหมดรวมกำลังเข้าโจมตีในครั้งเดียวทำให้มันจบๆ ไปซักที"

                จากนั้นซีเซียมที่อยู่บนจอก็ยิ้มหน้าตาระรื่นพลางพูดว่า

                "อีแบบนี้ก็สนุกน่ะเซ่จะได้ไปฆ่าเจ้าต้นแบบแล้วเอาเฟืองมาซะเลยแบบนั้นคงไม่ว่ากันหรอกนะ"

                "จะยังไงก็ได้แค่รวบรวมเฟืองมาให้ครบทั้งหมดก็พอตอนนี้อยู่ที่พวกเราสองแล้วเหลืออีกสองอันไม่ว่ายังไงก็อย่าพลาดล่ะ"

                เสียงของลำดับที่หนึ่งตอบมาอย่างนั้น

                ตามด้วยเสียงหัวเราะของซีเซียมที่ส่งจากจอมอนิเตอร์ดังก้องไปทั้งห้องประชุมก่อนที่ภาพจะตัดไป หน้าจอกลายเป็นสีดำสนิทพร้อมกับเสียงหัวเราะที่หยุดลง

                การประชุมจบลงเพียงแค่ตรงนั้น

                เมื่อไร้ซึ่งแรงกดดันจากลำดับที่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนห้องประชุมโล่งๆ แห่งนี้กว้างโอ่อ่าขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

                โพแทสเซียมพาดแขนไปข้างหลังแล้วเอามือรองหลังศีรษะเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ

                "แหมซุงรู่ขอบใจที่ช่วยโกหกไปแบบนั้นนะไม่งั้นล่ะก็งานเข้าแหงเลย"

                เขาขอบใจที่ไม่ได้บอกความจริงว่าเหตุใดตนเองถึงไปอยู่ที่สนามรบ

                รูบิเดียมพูดสวนกลับไปว่า

                "ยังจะมีหน้ามาพูดอีกถ้าฉันพูดเรื่องที่แกปล่อยตัวมิ่งขวัญไปล่ะก็แกได้..."

                แต่ก่อนที่จะพูดจบโพแทสเซียมก็ตั้งท่าชี้นิ้วมา

                "ทางนั้นก็จะโดนลงโทษไปด้วยฐานทำงานสะเพร่านะครับ"

                "..."

                รูบิเดียมทำหน้าไม่พอใจที่ถูกลากให้มาเล่นตามเกมของอีกฝ่าย ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นกันแดดกำลังลุกไหม้ด้วยความโกรธมือของหล่อนสั่นระริก ถ้าเป็นความรู้สึกหงุดหงิดที่มีอยู่ในตอนนี้ก็อาจจะพลั้งมือฆ่าราชครูลำดับต่ำกว่าตายได้อย่าง่ายดาย

                 ในตอนนั้นเองก็มีเสียงประกาศตามสายดังมา

                'อีกสิบห้านาทีจะทำการปิดไฟเพื่อสำรองพลังงานของยานขอให้ทุกท่านกลับไปอยู่ในที่พักด้วยย่ำอีกครั้ง'

                เสียงประกาศดังขึ้นด้วยกันสองครั้งและเพราะประกาศนั้นทำให้ทั้งสามต้องรีบแยกย้ายออกจากห้องประชุม

     

    ....

     

                บนระเบียงทางเดินที่นำไปยังห้องพักภายในยานแกรนครุยเซอร์ มิ่งขวัญซึ่งถูกรูบิเดียมหนีบขึ้นยานมาด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไปอีกกำลังจะกลับไปห้องพักหลังจากประกาศดับไฟภายในยานดังขึ้น ระหว่างทางเขาก็พบกับไทเทเนียม

                หญิงสาวต่างดาวยืนพิงหลังกับแพงทางเดิน หล่อนเหลือบตามองมาทางนี้น่าจะเป็นเพราะรู้สึกถึงตัวตนของมิ่งขวัญ

                ไทเทเนียมพูดขึ้นว่า

                “ไง ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ

                มิ่งขวัญเบนสายตามองใบหน้าที่คาดเดาความคิดไม่ได้ของอีกฝ่าย นี่เป็นการเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากวันที่เขาถูกพาตัวกลับมา รู้สึกได้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย

                “ที่นายหนีไปก็เพื่อไปหามนุษย์คนนั้นใช่ไหมที่ชื่อว่าอิงศรอะไรนั่น

                มิ่งขวัญเมินคำพูดนั้น เขาไม่คิดจะสนใจคำพูดของมนุษย์ต่างดาวและตั้งใจจะเดินผ่านไปทั้งแบบนี้

                “เป็นอะไรกับมนุษย์คนนั้นเหรอเป็นพี่ชายใช่รึเปล่า

                “…”

                “ใช่สินะ เพราะงั้นก็เลยยึดติดกับความเป็นมนุษย์งั้นเหรอ

                “…”

                “เพราะกลัวว่าถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ต่างดาวก็จะถูกพี่ชายเกลียดเอาอย่างนั้นสินะถึงได้ไม่ยอมอัพเลเวลให้เกินขีดจำกัดแล้วก็ไม่ยอมรับนามของมนุษย์ต่างดาวด้วย

                “…”

                “ได้ยินมาว่านายกับพี่ชายมีพลังประหลาดที่เรียกว่าเฟืองทำให้ควบคุมสัตว์ประหลาดที่อาละวาดในตอนนั้นได้แถมนายยังได้รับการสืบทอดพลังมาจากท่านลำดับที่สามอีกฝีมือกับไหวพริบก็จัดว่าดีถ้ากลายเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วอาจจะได้รับแต่งตั้งเป็นว่าที่ราชครูเลยก็ได้นะ

                ไทเทเนียมพูดมากกว่าปกติรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

                แต่มิ่งขวัญไม่สนใจและเตรียมจะเดินผ่านหน้าหล่อนไป ตอนนั้นเองไฟก็ดับลง

                ทางเดินมืดสนิท มีแค่แสงไฟสลัวๆ จากประตูห้องข้างทางเดินที่อยู่เยื้องไปข้างหน้า

                ท่ามกลางความมืดมิดแขนของมิ่งขวัญถูกคว้าไป เขาถูกเหวี่ยงจนหลังติดกำแพงแล้วถูกบี้เข้ามาจากทางด้านหน้า ร่างของหญิงสาวซึ่งสูงกว่า หล่อนสูงถึง 190 เซนติเมตรประชิดเข้ามาหา ดังนั้นมิ่งขวัญจึงเชิดหน้าขึ้นเพื่อจะบอกให้เธอปล่อย

                “เฮ้...

                เขาเปล่งคำพูดได้เพียงแค่นั้น โดยไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายก็ประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของมิ่งขวัญ

                อ่อนนุ่ม... เป็นริมฝีปากที่อ่อนนุ่มมาก

                แต่ถึงอย่างนั้นมิ่งขวัญก็ไม่ได้ต้องการมัน เด็กหนุ่มงัดเรี่ยวแรงทั้งหมดต่อต้านผลักร่างของอีกฝ่ายออกไป ไทเทเนียมเซถอยไปข้างหลังจนชนกำแพง

                มิ่งขวัญตะหวาดออกไปว่า

                “คิดจะทำอะไรน่ะ !

                แล้วมองไปที่หน้าของหล่อน

                วินาทีที่เห็นใบหน้าของหญิงสาว มันเป็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจ

                ไทเทเนียมกำลังหัวเราะ

                “ใช่เลย...แบบนี้แหละมิ่งขวัญนายน่ะไม่มีทางเป็นมนุษย์ได้หรอก

                ไทเทเนียมหัวเราะอีก

                “มนุษย์มันก็แค่เศษสวะที่หลงใหลในกามารมณ์อยู่ตลอดถ้าหากว่านายยังเป็นมนุษย์อยู่ล่ะก็ไม่มีทางปฏิเสธจุมพิตนั่นเด็ดขาด

                พอพูดสิ่งที่อยากพูดจนหมดหล่อนก็เดินเข้ามาอีกแต่ก็หยุดเท้าลงกลางทาง

                “มิ่งขวัญนายน่ะไม่เหมาะจะเป็นมนุษย์หรอกนะ

                ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วไทเทเนียมก็เดินหายเข้าไปในความมืดของระเบียงทางเดิน

                เหลือไว้เพียงความอัปยศและความสับสนเท่านั้น



                “ไม่เหมาะจะเป็นมนุษย์...

                มิ่งขวัญทวนคำพูดชวนให้สับสนนั่นอีกครั้ง เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ

                ไถลตัวไปกับกำแพงจนลงไปนั่งบนพื้น กอดเข่าแล้วซบหน้าลงกับหัวเข่า

                ปลอบประโลมจิตใจของตนด้วยแสงแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียวในใจ

                “ศร...

                ตอนนี้มิ่งขวัญเลเวล 90 ค่าประสบการณ์ก็คืบหน้าไปกว่าครึ่ง เวลาที่จะคงความเป็นมนุษย์ไว้เหลืออยู่อีกไม่มาก แต่ถึงจะไม่มีหลักประกันเด็กหนุ่มก็ยังพึมพำคำพูดออกมา

                “ศร...ไม่ว่าจะยังไงก็จะไปช่วยให้ได้เลย

    ...

     

                หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกสามวัน

                วันนี้อิงศรก็จะต้องออกเดินทางเพื่อย้ายไปประจำการที่ศูนย์บัญชาการหลักซึ่งตั้งอยู่ในชลบุรี

                แต่ถึงอย่างนั้นเขาและพวกพ้องก็ออกเดินทางสายไปวันหนึ่งทำให้ตกรถเที่ยวสุดท้ายจนต้องหาทางไปกันเอง

                “ช่วยไม่ได้นะคะแบบนี้ก็ต้องหารถนั่งไปเองแล้วล่ะค่ะรบกวนคุณกวินทร์ขับเหมือนเคยนะคะ

                มีนาพูดขณะที่นั่งสบายใจเฉิบบนกระโปงรถคันหนึ่งที่จอดสนิทท่ามกลางรถคันอื่นๆ ในลานจอด

                ระหว่างนี้ อิงศร เมษา กวินทร์ และนรินทร์ เด็กหนุ่มทั้งสี่คนก็ออกตระเวนสำรวจรถทุกคันในลานจอด หาคันที่สภาพพอใช้งานได้และมีน้ำมันพอสำหรับเดินทาง

                “เฮ้ย เธอก็มาช่วยหาด้วยเซ่

                อิงศรตะเบ็งเสียงพลางปาดเหงื่อบนหน้าผากออก

                “เรื่องสิคะคนที่ทำให้พวกเราตกรถเที่ยวสุดท้ายก็คือคุณอิงศรที่จำวันผิดเองไม่ใช่เหรอคะ

                “อึก

                เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก แต่อิงศรไม่ได้จำวันผิดที่ผิดก็คือเมล์แจ้งวันย้ายที่ข้าวหลามส่งมาให้ต่างหาก แล้วระหว่างที่กำลังวิ่งวุ่นกันอยู่นี่เองก็มีเสียงบีบแตรรถดังแว่วมา

                พวกเขาหยุดค้นหาแล้วเบนสายตาไปยังทิศนั้น ตัวการที่ทำให้ตกรถเที่ยวสุดท้ายกำลังยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างฝั่งคนขับของบนรถกระบะ เส้นผมย้อมสีทองของพันโทข้าวหลามสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายวิบวับ

                “พวกเอ็งมาทำไรกันวะเนี่ยคิดจะหนีทัพเรอะไง

                เจ้าตัวตะโกนมาอย่างนั้น

                “ก็เพราะแกนั่นแหละพวกเราถึงได้ตกรถเที่ยวสุดท้ายไงวะ !

                อิงศรตะคอกกลับไป แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะ

                “เออๆ รู้แล้วน่าแค่หยอกเล่นเองแล้ววันก็ไม่ได้บอกผิดหรอกเว้ยแต่สิงห์สั่งมาว่าให้แกพักให้พอก่อนแล้วค่อยเดินทางก็เลยอยู่รอส่งพวกแกนี่ไง

                อิงศรหรี่ตามองอย่างค่อยพอใจนัก

                “ถ้างั้นก็รีบบอกสิวะ

                “เออๆ เอาเหอะรีบขึ้นมาได้แล้ว

                ข้าวหลามพูด จากนั้นอิงศรกับพวกพ้องก็ขึ้นรถกระบะโดยให้มีนาไปนั่งรวมในห้องคนขับส่วนที่เหลือก็นั่งบนกระบะด้านหลัง

                มีนาเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วมองเข้าไปข้างใน แทนที่จะมีแต่ข้าวหลามที่นั่งอยู่กลับมีผู้หญิงแปลกหน้าที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย

                อายุน่าจะไล่เลี่ยกับข้าวหลาม

                ผมสีทอง ตาสีฟ้า น่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็ลูกครึ่ง

                รูปร่างเซ็กซี่ ผิวขาวเนียนมีน้ำนวล

                ริมฝีปากอวบอิ่ม และมีหน้าอกใหญ่จนกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ปริจนแทบจะหลุดออกมา

                มีนาจ้องมองผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างนอกรถ จนกระทั่งข้าวหลามเรียก

                “เอ้ามีนาขึ้นมาสิจะได้ไปซักทีเดี๋ยวพวกนั่งข้างหลังจะบ่นร้อนเอา

                “คือว่า...

                มีนาชี้ไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างชายหนุ่ม

                “อ๋อนี่แฟนน่ะชื่อยูรี่

                แล้วยูรี่ก็โบกมือให้พลางพูดทักทายมา

                “ซาหวาดดีค่า

                สำเนียงหล่อนเหน่อแบบชาวต่างชาติเวลาพูดภาษาไทย มีนาตอบรับกลับไปว่า

                “เอ่ออ่า...สวัสดีค่ะ ขอเข้าไปนะคะ

                พร้อมกับก้าวขาขึ้นไปบนรถนั่งเบียดข้างผู้หญิงคนนั้นแล้วปิดประตู

                จากนั้นรถก็เริ่มวิ่ง

                ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางด้านหลังรถ เสียงของพวกเด็กผู้ชายที่สนุกกับการนั่งโกรกลมหลังกระบะ

                มีนาที่นั่งอยู่เหลือบสายตาไปมองที่หลังมือของยูรี่ผู้อ้างตัวเป็นแฟนของข้าวหลาม บนหลังมือนั่นมีรอยสักรูปงูสักเอาไว้

                แล้วก็นึกถึงคำพูดของสิงห์ขึ้นมา เรื่องที่ว่ามีสปายจากอารย-สนธยาแฝงตัวเข้ามา

                ‘โค้ดเนมของเจ้านั่นคือเมดูซ่า

                งู... ผู้หญิง... ถึงเมดูซ่าในตำนานกรีกจะไม่ได้มีผมสีทองก็เถอะแต่ในบรรดาพี่น้องของเมดุซ่าที่เรียกกันว่าสามพี่น้องกอกอร์นก็มีอยู่คนหนึ่งที่มีผมสีทองชื่อว่า ยูราเยลเขียนแบบนี้ Euryale ก็เรียกเป็นชื่อเล่นว่า ยูรี่ได้เหมือนกัน

                “บางทีข้างในกองทัพคงจะเน่าเฟะเต็มทีแล้วล่ะมั้ง

                มีนาพึมพำกับตัวเองอย่างนั้น

     

    ....

     

                ขณะเดียวกันที่ รูนรูม ก็ได้มีแขกมาเยือน

                แขกที่ไม่ใช่อิงศร หรือ มิ่งขวัญ ซีลอร์ดถามแขกคนนั้นว่า

                “อุตส่าห์มาหาถึงที่นี่เลยเหรอพลเอกลำดับที่หนึ่ง

                “...”

                “หงุดหงิดเพราะถูกฉันเรียกแบบนั้นเหรอ แต่นายก็ผิดเองนะที่มีสองชื่อ

                “...”

                แขกผู้มาเยือนยังคงไม่พูด

                ซีลอร์ดทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วพูดในสิ่งที่แขกผู้มาเยือนต้องการ

                “เอาเถอะตามสัญญาผมจะมอบข้อมูลที่นายขอเอาไว้"

                แล้วยื่นวัตถุที่เป็นเหมือนกับซี่ของฟันเฟืองให้อีกฝ่าย

                "ด้วยสิ่งนี้จะทำให้มนุษย์กลายเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์แต่โซลาริสอาจจะพิโรธจนทำให้สวนมอดไหม้ด้วยเพลิงชำระไปเลยก็ได้นะได้ยินแบบนี้แล้วยังต้องการมันอยู่อีกเหรอ

                แขกผู้มาเยือนไม่แสดงความลังเลให้เห็นแล้วคว้าเอาของจากมือซีลอร์ดไปพลางพูดว่า

                "โลกมันหมดทางเยียวยามาตั้งแต่แรกแล้วเจ้าก้อนมะเร็งระยะสุดท้ายนี่ฉันจะเป็นคนเปลี่ยนแปลงมันเอง"

     

                แล้วในวันนั้นโลกก็เร่งรอบการหมุนไปสู่จุดจบเร็วขึ้นไปอีกก้าว...

     

       *** END PATCH***

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×