คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : Login 44: โชคชะตาที่ไขว้สวนกัน
Login
44: โชคชะตาที่ไขว้สวนกัน
ทีมของอิงศรเข้าปะทะกับมนุษย์ต่างดาวมิ่งขวัญ
แต่จะขอย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านั้นซักเล็กน้อย...
บนถนนเส้นหนึ่งในมหาวิทยาลัย
อิงศรและพวกพ้องอยู่ระหว่างการเคลื่อนทัพไปยังประตูทิศเหนือ
พลทหารพิเศษซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม
กวินทร์ วชิระ กำลังเหม่อลอย
‘พี่สาว’ ซึ่งเป็นลูกของญาติห่างๆ
ลูกพี่ลูกน้องซึ่งสนิทกันมากของเด็กหนุ่มได้พูดขึ้นในความทรงจำ
‘การตัดสินแพ้ชนะกันน่ะมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่เลือกกลยุทธ์แล้วล่ะ’
‘ครับ’
ในสมัยนั้นตอนที่โลกยังไม่ล่มสลายลงกวินทร์ได้แต่ตอบรับความเห็นของพี่สาวอย่างสนิทใจโดยไม่นึกสงสัย
พี่สาวเป็นนักเล่นเกมที่มากฝีมือเต็มเปี่ยมด้วยพรสวรรค์จนอาจเรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นพระเจ้าแห่งเกมก็ว่าได้แต่แล้วเมื่อโลกล่มสลายลง
‘ยังไม่เข้าใจอีกเหรอวิธีเล่นเกมของพวกผู้รุกรานน่ะมันตัดสินกันตั้งแต่ตอนที่จัดชุดสกิลแล้วคนที่ทำได้แค่ต่อสู้ไปตามสกิลที่ฉันจัดให้อย่างนายก็เป็นได้แค่ตุ๊กตาเท่านั้น’
‘ครับ...’
นับแต่ตอนนั้นมาคำพูดของพี่สาวก็เหมือนจะรุนแรงขึ้น
เย็นชาขึ้น และไร้ซึ่งหัวใจมากขึ้นจนในที่สุด...
‘ไร้ประโยชน์จริงอยากจะหนีก็รีบไสหัวไปซะ...ไปสิกวินทร์’
“…”
แล้วกวินทร์ก็หนีเอาตัวรอดโดยทิ้งพี่สาวไว้กับพวกมนุษย์ต่างดาว
“กวินทร์”
มีเสียงเรียกชื่อของเขาแต่เด็กหนุ่มไม่ตอบ
“…”
“เฮ้ กวินทร์”
เสียงนั้นเรียกซ้ำทำให้กวินทร์รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร
อิงศรนั่นเอง
กวินทร์หันกลับไปข้างหลัง
“อะ...ครับมีอะไรเหรอครับพี่ศร”
พวกเขานั่งอยู่บนหลังของมังกรกระดูกสามเขาที่มีนาเรียกออกมาเธอนั่งอยู่ข้างหน้าสุดตรงบริเวณคอไล่ลำดับมาเรื่อยๆ
ก็จะเป็นเมษา กวินทร์ อิงศร และนรินทร์ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนส่วนกระดูกสันหลัง
“จะขอเปลี่ยนสกิลของนายน่ะสิเพราะอีกเดี๋ยวเราจะต้องสู้กับเอเลี่ยนแล้วนี่แต่สกิลของนายยังเป็นแบบที่ใช้ต่อสู้กับสัตว์เทวะแบบนั้นมันคงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ”
กวินทร์พยักหน้าให้คำพูดนั้นแล้วจึงเปิดหน้าต่างจัดการสกิลของตนส่งให้อิงศร
“พี่ศรคิดว่าการจัดสกิลเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหรือเปล่าครับ”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมกวินทร์รู้สึกอยากจะถามแบบนั้น
แต่อิงศรจ้องตอบกลับมาเหมือนไม่เข้าใจ
“ก็สำคัญอยู่นะเพราะอะไรหลายๆอย่างในการต่อสู้มันก็ต้องพึ่งพาสกิลนี่แต่ว่ามันก็ขึ้นกับตัวคนใช้ด้วยแหละนะ”
“งั้นเหรอครับ”
“ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าเนี่ยจู่ๆ
ถึงถามแบบนั้น”
“เปล่าครับไม่มีอะไร”
แล้วกวินทร์ก็หันกลับไปและไม่พูดอะไรอีก
อิงศรจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
“จะว่าไปคุณอิงศรไม่รู้สึกว่านี่มันแปลกๆ
บ้างหรือคะ”
เสียงของมีนาซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าสุดถามมา
“หือ? หมายถึงที่ถล่มตึกพังพินาศราบเป็นหน้ากลองแถมยังย่ำสวนกับเกาะกลางถนนจนเละเทะเนี่ยน่ะเหรอ”
อิงศรพูดตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้สามารถไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุดจึงหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางที่ต้องอ้อมค้อมเพราะถูกขวางไว้ด้วยสิ่งก่อสร้าง
มีนาถึงได้เสนอให้นั่งมังกรกระดูกบุกตะลุยโดยไม่สนสิ่งกีดขวางเป็นการวิ่งข้ามมหาลัยไปแบบเป็นเส้นตรง
แต่เด็กสาวก็พูดมาว่า
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะฉันหมายถึงคำสั่งที่ให้แค่พวกเราห้าคนไปเป็นทัพหนุนก่อนต่างหากไม่คิดว่านี่มันเป๊ะตามตำราเกินไปหน่อยหรือคะ”
คำพูดของมีนาสมเหตุสมผลอิงศรก็คิดเช่นเดียวกันว่าการสั่งการของกองบัญชาการดูแปลกไป
ตอนนั้นเองนรินทร์ก็พูดขึ้นมา
“คือว่าคนสั่งการตอนนี้ไม่ใช่ท่านพลเอกหรอกดูเหมือนจะออกไปข้างนอกเลยให้คนอื่นรับช่วงต่อน่ะ”
“ทิ้งสนามรบไปตอนนี้เนี่ยนะหมอนั่นคิดอะไรอยู่กันแน่”
พออิงศรพูดมาแบบนั้นใบหน้าของนรินทร์ก็เหมือนจะลังเลไปชั่วขณะ
“คืออันนี้ผมคิดเอาเองนะบางทีท่านพลเอกอาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่เดม่อนแอพของเรดบอสคราวนี้ก็ได้”
“หมายความว่าไงน่ะ”
คำถามของอิงศรเป็นคำถามเดียวกับในใจของทุกคน
สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่นรินทร์
“อิงศรรู้เรื่องของเดม่อนแอพที่ใช้สร้างสนามพลังปกป้องค่ายรึเปล่า”
“ก็พอรู้นิดหน่อยเห็นว่าเป็นการประยุกต์ใช้เดม่อนแอพหรืออะไรเนี่ยแหละ”
“ชื่อของเดม่อนนั่นคือโอริวหรือว่าราชามังกรแล้วลองดูพวกสัตว์เทวะที่บุกมาสิแต่ละตัวมีต้นแบบมาจากตัวอะไรบ้าง”
“ก็มีมังกรที่เจอตัวแรกจากนั้นก็เสือแล้วมันทำไมเหรอ”
อิงศรพูดพลางนับนิ้วไปพลาง
“อีกสองตัวคือหงส์กับเต่าครับแล้วก็เสือน่ะเป็นเสือขาวด้วยถ้าพูดถึงสัตว์ทั้งสี่ตัวนี้แล้วไม่นึกถึงอะไรบ้างเหรอ”
“…”
อิงศรครุ่นคิดพยายามทำความเข้าใจคำพูดของนรินทร์
มังกร เสือขาว หงส์แล้วก็เต่า คีย์เวิร์ดเหล่านี้วนเวียนไปมาอยู่ภายในสมอง
สัตว์ทั้งสี่ตัวมักปรากฏในเรื่องเล่าหรือพวกนิทานถ้าอย่างนั้นก็เป็นกระต่ายกับเต่าเหรอ
ไม่สิในนั้นมีแค่เต่าไม่มีอีกสามตัว
ระหว่างที่คิดนั่นเองกวินทร์ก็พูดขึ้นมา
“อ้ะๆ
ผมรู้จักนะครับเรื่องศึกลูกข่างสะท้านฟ้าไง”
ทันใดนั้นสีหน้าของมีนา
เมษา และนรินทร์ก็เปลี่ยนไปเหมือนกำลังลำบากใจ
“มันคืออะไรน่ะ”
อิงศรถาม
“พี่ศรไม่รู้จักเหรอครับเรื่องนี้ดังออกจะตายนะที่ฉายตอนเช้าช่อง...”
แต่นรินทร์กลับพูดขัดคำพูดของรุ่นน้อง
“ไม่ใช่นะนั่นมันการ์ตูนต่างหากที่ผมพูดน่ะไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย”
“อ้าวไม่ใช่เหรอครับ”
พอกวินทร์ทำหน้าไร้เดียงสาตอบกลับมานรินทร์ก็ถอนหายใจ
รู้สึกเหมือนกับว่ามีแต่เขาคนเดียวที่อยู่นอกวงยังไงก็ไม่รู้...อิงศรคิดแบบนั้น
จากนั้นมีนาก็พูดดึงทุกคนกลับสู่หัวข้อสนทนา
“เรื่องที่คุณนรินทร์จะพูดน่ะหมายถึงตำนานของสัตว์เทพพิทักษ์สี่ทิศของจีนใช่ไหมล่ะคะ”
นรินทร์พยักหน้าให้คำพูดนั้น
“ครับนั่นแหละเรดบอสคราวนี้ดูเหมือนจะมีที่มาจากตำนานของเรื่องนั้นแล้วก็เรื่องที่โอริวเป็นเดม่อนแอพที่ไม่สมบูรณ์ด้วย
เคยได้ยินมาว่าตำนานเรื่องสัตว์เทพพิทักษ์ทั้งสี่น่ะมีตัวที่ห้าอยู่”
“จะบอกว่าโอริวอะไรนั่นคือสัตว์เทพตัวที่ห้าเหรอ”
อิงศรพูด
“ก็ไม่เชิงผมก็แค่เดาเอาล่ะนะว่าบางทีเหตุผลที่ท่านพลเอกแยกตัวจากศูนย์ใหญ่มาตั้งค่ายถึงในเมืองหลวงอาจจะเพื่อเก็บกู้เดม่อนแอพจากเรดบอสคราวนี้เพื่อทำให้โอริวเป็นเดม่อนแอพที่สมบูรณ์ก็ได้”
นรินทร์เล่าสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด
สรุปก็คือถ้าเป็นอย่างที่เล่ามาจริงๆ
โลกนี้ก็คงเพี้ยนเกินไปแล้ว พอกลายเป็นเกมก็มีการอ้างอิงเทวะตำนานมากมายมาเป็นสัตว์ประหลาดล้างบางมนุษย์
ไหนจะมีพวกมนุษย์ต่างดาวอีก
แต่อิงศรก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันมีความเป็นไปได้ก็ตัวเขาเองได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดๆ
อย่างผู้ถูกลืมเลือนกับการ์ดอาคานาร์ต่างๆ ถ้าดูจากเรื่องนี้แล้วสิ่งที่นรินทร์พูดมาก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น
จู่ๆ
มีนาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นตะโกน
“ทุกคนคะเราใกล้จะถึงแล้วค่ะ”
จากนั้นเมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นประตูทิศเหนืออยู่ห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกลนักแต่ที่นั่นมี
'สีน้ำตาล' กำลังก่อตัว
อะไรบางอย่างสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นฝุ่นหรือทรายกำลังหมุนเหมือนลมพายุ
เมษาพูด
“นั่นมันอะไรน่ะพายุทรายเหรอ”
“น่าจะใช่นะ”
นรินทร์พูดตอบพลางสั่งให้แอพพลิเคชั่นปีศาจทำงานเรียกให้แว่นตาปีศาจที่วิเคราะห์ได้ทุกอย่างซึ่งอาจจะมีความสามารถมองทะลุสภาพอากาศด้วยเจ้าตัวถึงได้ใช้เอาในเวลาแบบนี้
“เป็นท่าที่เกิดจากการผสานของสัตว์เทวะจ่าฝูงที่เหลือสองตัวน่ะแล้วก็ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่พายุทรายธรรมดาๆ
ด้วยในนั้นจะมองไม่เห็นหน้าจอแสดงพลังชีวิต”
จากนั้นมังกรกระดูกก็วิ่งมาถึงจุดที่เกือบจะเข้าใกล้พายุทราย
ทุกคนลงจากหลังของมังกระดูก
“โอ้ย”
อิงศรร้อง
เสียงของเขาทำให้อีกสี่คนหันมาด้วยใบหน้าตกใจ
“เฮ้ยเป็นอะไร”
“พี่ศร”
“คุณอิงศร”
นรินทร์เดินเข้ามาใกล้
“บาดเจ็บงั้นเหรอ”
“เปล่าแค่ทรายมันเข้าตาน่ะคอนแทคเลนส์ก็เลย..."
อิงศรพูดพลางใช้มือขยี้บริเวณขอบตาที่รู้สึกระคายเคืองจนคอนแทคเลนส์หลุดออกมา
เด็กหนุ่มใช้มือรับไว้ทบนคอนแทคเลนส์มีเศษฝุ่นทรายเข้าไปติดอยู่คือสาเหตุนั่นเอง
“เป็นสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับชั้นแฮะพวกนายไปลุยแนวหน้ากันสามคนละกันชั้นจะยิงสนับสนุนอยู่ข้างนอกนี่”
แล้วหันไปพูดกับนรินทร์
“ฝากบอกตำแหน่งศัตรูทีละกันไม่มีคอนแทคเลนส์แล้วคงจะเล็งลำบาก”
นรินทร์พยักหน้าตอบแล้วจึงกันไปพูดกับอีกสามคน
“ถึงสวมแว่นแล้วก็ยังมองเห็นแค่ลางๆ
แต่ในนั้นน่าจะมีแค่พันโทข้าวหลามกับมนุษย์ต่างดาวที่เป็นศัตรู
ผมจะทำหน้าที่โอเปอเรเตอร์จากตรงนี้ดังนั้นคงสนับสนุนไม่ได้มากขอให้ทั้งสามคนต่อสู้อย่างรอบคอบด้วย”
ในบรรดาสามคนนั่นมีนาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สนใจฟังนรินทร์แต่หล่อนกลับจ้องมาทางอิงศร
“ว่าแต่คุณอิงศรสายตาสั้นหรือคะ”
แล้วหล่อนก็ถามมาอย่างนั้น
“ไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วหรอกเรอะ”
“ไอ้รู้มันก็รู้อยู่หรอกค่ะแต่อยากถามเหตุผลที่สายตาสั้นมากกว่า”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากรู้เรื่องแบบนั้นแต่สายตาของมีนาก็เป็นของจริงหล่อนไม่ได้ถามเล่นๆ
หรือตั้งใจก่อกวนแต่อย่างใด
“ก็...แค่ดูทีวีใกล้เกินไปสมัยเป็นเด็ก...”
แต่เด็กสาวกลับพูดขัดคำพูดของเขา
“ไม่ใช่ค่ะฉันหมายถึงทำไมโลกล่มสลายไปแล้วคุณอิงศรถึงยังสายตาสั้นอยู่อีกล่ะคะ”
“…”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยเล่าไปแล้วใช่ไหมคะว่าตัวฉันก่อนที่โลกจะล่มสลายน่ะป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายแล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ”
มีนาพูดแล้วหมุนตัวรอบหนึ่งกระโดดอีกสองรอบก่อนจะพูดว่า
“เห็นไหมแข็งแรงขนาดนี้เชียวนะคะแล้วทำไมกับอีแค่สายตาสั้นเพราะดูการ์ตูนมากไปตั้งแต่เด็กมันถึงไม่หายล่ะ”
คำถามของหล่อนก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่หรอก
แต่ไม่น่ามาถามท่ามกลางสถานการณ์อย่างนี้
แล้วอีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“ใครมันจะไปรู้เล่าเวลาแบบนี้อย่ามาถามเรื่องไร้สาระได้ป่ะ”
พอพูดไปอย่างนั้นเด็กสาวก็ผุดยิ้ม
“นั่นสิคะงั้นสัญญาแล้วนะคะว่าถ้าจบสงครามแล้วเราจะมาถกเรื่องนี้กันดังนั้นห้ามใครตายไปก่อนนะค้า~~”
สรุปว่าหล่อนตั้งใจจะผูกมัดหรือว่าปลุกใจกันแน่
จะอย่างไหนก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชวนให้รู้สึกดีขึ้นเลยซักนิด
อิงศรจ้องมองมีนาแล้วพูดว่า
“คำสั่งเสียหรือไงน่ะ...”
“คำสารภาพรักค่ะ”
หล่อนพูดมาแบบนั้นแล้วเวลาก็เหมือนจะหยุดไปพริบตาหนึ่ง
“ห๊ะ...”
“ล้อเล่นค่ะ”
มีนาพูดตอบทันควันที่เห็นว่าเขาขยับปาก
“เอาเป็นว่าการล้อเล่นพอแค่นี้แหละค่ะส่วนเรื่องสั่งการก็พูดมาทางแชทก็แล้วกันหน้าที่นำกลุ่มเดี๋ยวฉันทำเอง”
หล่อนพูดแบบนั้นแล้วลากคอเสื้อของน้องชายฝาแฝดกับรุ่นน้องที่ยังตัวแข็งทื่อเพราะคำพูดล้อเล่นนั่นวิ่งดุ่ยๆ
เข้าไปในพายุทราย
จากนั้นนรินทร์ก็พูดว่า
“เป็นคนขี้เล่นจริงๆ
นะเนี่ยคุณมีนา”
“เฮอะ
ไม่รู้กาลเทศะล่ะไม่ว่า”
อิงศรพูดแล้วก็รู้สึกได้ว่าสายตาของนรินทร์ที่จ้องมองแผ่นหลังของมีนาซึ่งหายเข้าไปในพายุทรายได้เบี่ยงมาที่ตนแทน
“ว่าแต่คบกันมานานยัง”
แต่อิงศรไม่รับมุก
“ว่าไงดีล่ะยัยนั่นคงต้องอกหักล่ะมั้งเพราะชั้นมีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย”
รวมถึงพูดคำโกหกด้วยใบหน้าตายด้านแล้วชักคันธนูออกมา
“เอ่อที่พูดนั่น”
นรินทร์เหมือนจะยังไม่เลิกตอแยกับเรื่องไร้สาระจนน่าสงสัยว่าหมอนี่ได้เป็นท็อปของค่ายแห่งนี้ได้ยังไง
“สามคนนั่นไปถึงไหนแล้ว”
นรินทร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ลนลานหันกลับไปมองพายุทรายใช้พลังของแอพพลิเคชั่นปีศาจมองทะลุเข้าไปแล้วรายงาน
“ดูเหมือนพันโทข้าวหลามจะถูกจับเป็นตัวประกันนะแต่อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าพวกเราเข้าไปใกล้แล้ว”
ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็ถ่ายทอดคำพูดไปถึงสามคนในพายุทรายด้วยหน้าจอสื่อสาร
“แยกตัวประกันออกไปซะจากระยะนี้มันเสี่ยงยิงโดนพวกเดียวกัน”
หลังจากออกคำสั่งไปแบบนั้นภายในพายุทรายก็เหมือนจะเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมายกใหญ่
ฟังจากเสียงพากย์มวยของนรินทร์...
“กวินทร์เข้าปะทะแล้วอีกฝ่ายรับได้
อ๊ะ! เปลี่ยนเป็นเมษาแล้ว
เอ๊ะ!คราวนี้คุณมีนาเข้าไปโจมตีด้วยทั้งสองคนโจมตีพร้อมกันแต่ว่าหลบได้อีกแล้ว”
ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นจากการคาดคะเนศัตรูน่าจะมีระดับสูงเอาเรื่องคงจะเป็นชั้นครู
แถมยังหลบการโจมตีของทั้งสามคนนั้นได้ทั้งที่ไม่รู้ตัวก่อน
“ฝ่ายโน้นถอยห่างไปแล้วพันโทข้าวหลามถูกปล่อยตัวแล้วล่ะ”
นี่คือโอกาส...
แล้วเมื่อมีนาแจ้งเข้ามาที่หน้าจอสื่อสาร
‘แยกตัวประกันแล้วค่ะ’
“นรินทร์บอกตำแหน่งในพายุทรายมาทั้งหมดเลย”
“เอ่อ...พวกคุณมีนาสามคนน่าจะตั้งแถวอยู่หน้าศัตรูส่วนพันโทคงจะล้มอยู่”
อิงศรถามใส่หน้าจอสื่อสารไปว่า
“ตอนนี้มันยืนอยู่หน้าใครในพวกเธอสามคน”
“ฉันเองค่ะ”
เสียงของมีนาตอบมาอย่างนั้น
อิงศรยกคันธนูแล้วขึ้นลูกศรพลางถามนรินทร์ว่า
“ได้ยินแล้วใช่ไหมบอกมาทีว่ายัยมีนาอยู่ตรงไหน”
“ตรงสิบสองนาฬิกาที่อิงศรหันหน้าอยู่นั่นแหละ”
“แปลว่าทางตรงเลยสินะ
มีนาย่อตัวลงซะชั้นจะยิงข้ามหัวเธอไปเนี่ยแหละ”
แต่นรินทร์ก็ถามว่า
“แบบนั้นมันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ”
“ถ้าไม่ใช้วิธีพิสดารโจมตีเข้าไปก็กินมันไม่ลงหรอกฝ่ายนั้นไวขนาดที่หลบการโจมตีของสามคนนั้นแบบไม่ทันตั้งตัวได้นะ”
ตอนนั้นเองเสียงของมีนาก็ดังจากหน้าจอสื่อสาร
‘จัดการเลยค่ะ’
อิงศรยิงออกไปโดยไม่ลังเล
ไม่แม้แต่จะฟังคำทัดทานของนรินทร์ที่ตามมาหลังจากนั้นด้วย
“เดี๋ยวก่อน!”
แต่ลูกธนูก็พุ่งออกไปแล้วทะยานเข้าไปในพายุทราย
ไม่กี่วินาทีต่อมา...
‘เข้าเป้าค่ะ’
ก็มีเสียงของมีนาตอบกลับมาอย่างนั้น
ไม่เกินไปจากที่คาดเอาไว้นักเพราะสามปีที่ฝึกฝนกับสิงห์มาถึงจะมองเห็นแค่ลางๆ
ก็ยังสามารถยิงได้อย่างแม่นยำในระดับหนึ่ง
อิงศรจึงเปลี่ยนไปส่งคำพูดถึงทั้งสามคนแทน
“ที่ชั้นยิงไปคือไลท์เทนนิ่งร็อดแอโร่วใช้สกิลสายฟ้าแล้วมันจะสร้างความเสียหายให้จัดการกันตามสะดวกเลยมันหลบอีกไม่ได้แล้วล่ะ”
จากนั้นก็มีเสียงของมีนาดังมาว่า
‘ได้ยินกันแล้วนะ
เอาล่ะค่ะมาเริ่มยุทธการสายล่อฟ้าเชือดเอเลี่ยนกันเถอะ’
จากนั้นก็มีประกายแสงวิบวับส่องออกมาจากพายุทรายคงจะเป็นแสงจากการใช้สกิลธาตุสายฟ้า
ภายในพายุทราย
“จะเป็นใครก็ช่างจะขอจัดการล่ะนะ”
มิ่งขวัญผู้ถูกเล่นงานด้วยธนูของอิงศรขบกรามแล้วพูดคำรามออกมา
เบื้องหน้ามีมนุษย์สามคนและอีกคนจับมาได้ตอนแรกซึ่งปล่อยหลุดมือไป
“เกะกะ”
มิ่งขวัญพึมพำแล้วกระชับดาบในมือ
อีกฝ่ายจู่โจมเข้ามา
กวินทร์กับเมษาโจมตีพร้อมกันด้วยดาบไฟฟ้าและกำปั้นสายฟ้า
ทั้งหมดนั้นพลาดเป้ามิ่งขวัญเคลื่อนไหวด้วยความเร็วขนาดที่ว่าหากตั้งใจจะฆ่าจริงจังคงทำได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามความเสียหายจากธนูที่ทำหน้าที่เป็นสายล่อไฟฟ้าซึ่งติดหนึบอยู่บนโล่คือสิ่งเดียวที่หลบไม่ได้ไม่ว่าจะว่องไวแค่ไหนก็ตาม
“ลุยเลยไทรจัง”
มีนาพูดแล้วม่านทรายเบื้องหลังเด็กสาวก็แหวกออกจากกันเมื่อร่างกายอันใหญ่โตของมังกรกระดูกสามเขาพุ่งออกมา
มันตรงดิ่งมาที่มิ่งขวัญ
“ของแค่นี้กระจอกน่า”
มิ่งขวัญสบถแล้วฟาดดาบแค่ทีเดียวมังกรกระดูกก็เปลี่ยนสภาพเป็นกองกระดูก
แต่นั่นเป็นกับดัก
“ซุสนัคเคิล”
เมษาร่ายสกิลพลางหวดกำปั้นใส่มิ่งขวัญที่ยังไงก็หลบได้อยู่แล้วแต่ที่หวังเอาไว้ไม่ใช้พลังจากการโจมตีของตัวเองแต่เป็นผลพวงจากการใช้สกิลจะทำให้สายล่อฟ้าของอิงศรที่ติดอยู่บนโล่ของศัตรูทำงาน
มิ่งขวัญรู้ถึงเรื่องนั้น
แล้วก็รู้วิธีแก้ทางมันเป็นอย่างดีเพราะว่านี่คือสกิลที่เขากับพี่ชายช่วยกันคิดหาวิธีใช้และแน่นอนว่ารวมไปถึงวิธีแก้ทางด้วย
เด็กหนุ่มต่างดาวตั้งโล่ขึ้นแล้วพูดว่า
“โอดินเบรธ”
ทันใดนั้นสายลมก็แผ่พุ่งจากโล่พัดเอาลูกธนูที่มาติดหลุดลอยออกไปไม่เพียงเท่านั้นยังพัดเมษากับกวินทร์กระเด็นกลิ้งโค่โล่ไปด้วยเช่นกัน
“แย่แล้วสิคะตะกี้ฝ่ายนั้นใช้โอดินเบรธลูกธนูเลยหลุดลอยไปแล้วล่ะค่ะ”
มีนารายงานสถานการณ์ให้อิงศรที่อยู่ปลายสายฟัง
‘โอดินเบรธเหรอเจ้านั่นอาชีพเวพ่อนเอนแชนเตอร์งั้นสิ’
“น่าจะใช่ค่ะดูจากที่ถือเรเปียกับโล่แล้วน่าจะบิลด์เป็นไชนิ่งเอ็นฟอร์ซเซอร์ค่ะ”
คำพูดของอิงศรหยุดไปครู่หนึ่งหลังจากรายงานเรื่องอาชีพของมนุษย์ต่างดาวก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
‘แล้วเจ้าหลามล่ะ’
“ปลอดภัยค่ะตอนนี้อยู่กับฉัน”
มีนากล่าวพลางก้มมองไปยังพันโทข้าวหลามที่เนื้อตัวสะบักสะบอมนั่งอยู่ข้างๆ
‘ขอชั้นคุยกับเขาหน่อย’
พันโทข้าวหลามก็ได้ยินคำพูดนั้นจึงพูดออกไปทันที
“มาช้าชะมัดเลยนะศรเกือบซี้แล้วนา”
‘น่าเสียดายรู้งี้แวะกินกาแฟกลางทางให้มันสายอีกซักนิดน่าจะดีนะ’
“ฮะๆๆ
อย่าพูดอะไรแล้งน้ำใจนักเลยน่า แต่ว่านะฝากพวกนายจัดการเจ้าเต่ายักษ์นั่นก่อนได้ไหมเนี่ยเพราะท่าทางหลังจากนี้จะยุ่งน่าดูเลยล่ะถ้ายังมีพายุทรายแบบนี้น่ะ”
‘แล้วจะทำยังไงกับเอเลี่ยนนั่นเล่า’
พันโทข้าวหลามเปิดหน้าจอคลังแล้วหยิบปืนกระบอกใหม่ออกมาคู่หนึ่งแทนที่อันเก่าซึ่งถูกทำลายไปแล้วพูดตอบกลับไปว่า
“เดี๋ยวชั้นจะถ่วงมันไว้เองได้พักนิดหน่อยพอจะลุกไหวแล้วล่ะ”
พูดจบก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนในทันที
มีนาที่เห็นแบบนั้นก็พูดว่า
“ถ้างั้นทางนี้ฝากให้พันโทก็แล้วกันนะคะส่วนพวกฉัน...”
ตอนที่ตั้งใจจะแยกกลุ่มไปจัดการสัตว์เทวะก่อนอยู่นั่นเอง
มิ่งขวัญก็คำราม
“ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นหรอกน่า
ลูซิเฟอร์!”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้ยินที่พวกเขาพูดคุยกันด้วย
มนุษย์ต่างดาวชั้นครูที่มีพลังมากกว่ามนุษย์หกเท่าหูดีถึงขนาดนั้นแต่ยังไม่น่าตกใจเท่าปีกค้างคาวสีดำที่งอกจากกลางหลังนั่น
ความรู้สึกของมีนาที่มองเห็นสิ่งนั้นก็ทราบได้ในทันทีเพราะเธอมีอาชีพซัมมอนเนอร์ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องแอพพลิเคชั่นปีศาจ
“นั่นมัน...เดม่อนแอพ”
เด็กสาวหลุดปากออกมา
ขณะเดียวกันโล่ของมิ่งขวัญก็เปล่งแสง
“เอลิเชี่ยนฟินาเล่!!”
ลำแสงแผ่พุ่งจากโล่
จู่โจมใส่สัตว์เทวะหงส์เพลิง ลำแสงทะลวงร่างเพลิงกลวงเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่แล้วช่องว่างนั้นก็ขยายตัวออกจนกระทั่งกลืนกินร่างเพลิงของสัตว์เทวะหายไปในพริบตา
Heraldic
Beast Deity: Crimson Feather Lv. 50
[.....0:59000.....]
สัตว์เทวะจ่าฝูงสิ้นชีพในการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้วพายุทรายก็สงบลง
ทิวทัศน์ในพายุเปิดเผยแก่สายตาของอิงศรกับนรินทร์
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
อิงศรพูดเมื่อเห็นมนุษย์ต่างดาวมีปีกสีดำปรากฏขึ้นบนหลัง
ส่วนนรินทร์ยังคงวิเคราะห์ศัตรูด้วยแว่นตา
“ไม่จริงน่านี่มันใช้เดม่อนแอพได้ด้วยเหรอ”
“ว่าไงนะเดม่อนแอพ
ไหนว่าพวกเอเลี่ยนมันใช้ไม่ได้ไงล่ะ”
แล้วอิงศรก็หันไปพูดกับมีนาผ่านหน้าจอสื่อสาร
“นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะนรินทร์บอกว่าที่เจ้าเอเลี่ยนนั่นใช้คือเดม่อนแอพ”
‘ไม่รู้สิคะฉันก็ยัง
งงๆ อยู่เลยเนี่ย’
มีเสียงของพันโทข้าวหลามดังตามมาจากนั้น
‘ซวยแล้วไงไอ้บ้านั่นดันไปฆ่านกซะก่อน’
“หมายความว่ายังไง”
พออิงศรถามนรินทร์ก็ตอบให้
“คริมสันเฟเธอร์สัตว์เทวะตัวนี้คือหนึ่งในสองตัวที่เรามีข้อมูลอยู่แล้วว่ามันมีความสามรถเมื่อตายเหมือนกับมังกรและเสือที่พวกเราเจอมาด้วยน่ะสิเป็นความสามารถที่จะฟื้นคืนชีพตัวเองพร้อมกับฟื้นพลังให้อีกสามตัวที่เหลือด้วยเพราะงั้นเราถึงให้มันมารวมกันไม่ได้”
ทันทีที่พูดจบสัตว์เทวะที่ถูกยิงตายไปก็ฟื้นกลับมาในสภาพเต็มร้อยรวมถึงฟื้นฟูพลังชีวิตของสัตว์เทวะเต่ายักษ์ให้ด้วย
บาดแผลทั้งหมดหายไป
ส่วนหางที่เหมือนกับหัวของงูก็หดกลับเข้าไปด้วยกลายสภาพกลับไปเหมือนตอนที่เริ่มต้นอีกครั้ง
Heraldic
Beast Deity: Crimson Feather Lv. 50
[/////590000:59000/////]
Heraldic
Beast Deity: Dusk Shell Lv. 50
[/////60000:60000/////]
ตอนนั้นเอง...
“ทีนี้ก็จบกันจริงๆ
ซักทีนะ”
มิ่งขวัญพูดมาอย่างนั้นแล้วออกวิ่งโดยมีเป้าหมายคือชายคนที่ยิงธนูมาติดกับโล่ของตน
ไม่ได้มุ่งหวังจะฆ่าอย่างจริงจังเพียงแค่ต้องการสั่งสอนให้รู้สำนึกที่บังอาจใช้วิธีการของพี่ชายกับตนมาเล่นงาน
ถึงจะมีคิดเผื่อไปเหมือนกันว่าชายคนนั้นอาจจะเป็นพี่ชายก็ได้แต่ความคิดอันทรงพลังที่ว่า
'ศรไม่มีทางโจมตีใส่เราหรอก' ก็ขัดแย้งใส่ทฤษฎีนั้นจนตกไป
มนุษย์สามคนที่เคยเข้าจู่โจมเขารู้สึกตัวและกรูกันมาขวางทาง
“เอเลี่ยนมันจะบุกไปที่แนวหลัง”
เมษาตะโกน
“สกัดเอาไว้ค่ะ”
มีนาตะโกน
“ไม่ยอมให้ไปหาพี่ศรหรอกน่า”
กวินทร์พูดแล้วบุกเข้ามาเป็นคนแรกเหวี่ยงดาบที่ยาวกว่าแขนของตัวเองเกือบเท่าตัวและมีสายฟ้าวนพันรอบใบดาบด้วยความรวดเร็วเหนือมนุษย์ในโลกเก่า
แต่มิ่งขวัญรับมันได้อย่างสบายๆ พลางดันดาบกลับจนอีกฝ่ายเซถาแล้วเหวี่ยงกำปั้น
“อั่ก”
เป็นกำปั้นธรรมดาๆ
ที่ไม่มีอะไรเลยแต่พอโดนชกเข้าที่ท้องกวินทร์ก็รับรู้ได้ว่าเพียงแค่นี้เขาก็เทียบอีกฝ่ายไม่ติดแล้ว
กำปั้นดันหน้าท้องขึ้นมาจนเกือบถึงลิ้นปี่ เด็กหนุ่มหายใจไม่ออกไปพักหนึ่งและเผลอทำดาบหลุดมือก่อนล้มลงนอนลำตัวคู้งอพลางกุมหน้าท้องด้วยสีหน้าทรมาน
มิ่งขวัญวิ่งผ่านกวินทร์ไปแล้วเบื้องหน้าเมษาก็เข้ามาขวาง
“เชิ้ตออฟ”
เมษาถอดเสื้อออกเพิ่มพลังด้วยสกิล
ตอนนี้ทั้งความเร็วและพลังมีเหนือกว่าเดิมหลายเท่าตัว ถึงกระนั้นแล้วอีกฝ่ายกลับเก็บดาบลงฝักที่เอวแล้วกำหมัดตรงเข้ามาแทนแถมยังยิ้มเหมือนจะท้าทาย
“หนอย”
เมษาขบกรามแล้วเพิ่มความเร็วในการก้าวเท้าให้มากขึ้นกะว่าจะแลกกับอีกฝ่ายแบบไม่ถอย
“ซุสนัคเคิล” “ซุสนัคเคิล”
ทั้งคู่ร่ายสกิลพร้อมกันเป็นสกิลเดียวกัน
สายฟ้าสถิตลงในกำปั้นทั้งสองแล้วการแลกหมัดอันดุเดือดก็เริ่มขึ้นแต่ฝ่ายที่ถูกอัดกลับมีแค่เมษา
หมัดไปไม่ถึงตัวของมนุษย์ต่างดาวเลยแม้แต่น้อยไม่แม้แต่จะเฉียดถูกร่างกายด้วยซ้ำ
แล้วการแลกกำปั้นก็จบลงที่เมษาถูกกอดคอโน้นตัวลงมาตีเข่าเข้าที่ลิ้นปี่เต็มๆ
จนล้มทรุดลง
มิ่งขวัญผ่านเมษาไปเขาใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการผ่านทั้งสองคน
ตอนนั้นเองข้าวหลามกับมีนาก็เข้ามาขวางพร้อมๆ
กัน
“ไม่ให้ผ่านไปหรอกค่ะ”
“มาเจอกันอีกรอบหน่อยเป็นไง”
สองคนนั้นพ่นคำพูดสิ้นเปลืองออกมามิ่งขวัญเมินคำพูดแล้วกางปีกบินข้ามไปเลย
“อ้าวเฮ้ย!
กลับมาก่อน”
ได้ยินเสียงของผู้ชายดังไล่หลังมาแต่มิ่งขวัญก็หาได้สนใจยังคงมุ่งหน้าต่อไปทั้งอย่างนั้น
ด้านอิงศรที่ยังไม่รู้ถึงตัวตนของมนุษย์ต่างดาวซึ่งกำลังหมายปองชีวิตของตนก็...
“ไม่ไหวแหะ”
บ่นพร่ำเพรื่อแล้วขึ้นลูกศรใหม่ด้วยยันต์อาคม
“แต่ว่านะเล่นพุ่งมาเป็นเส้นตรงแบบนี้ก็เสร็จชั้นน่ะเซ่”
พูดพร้อมกับปล่อยลูกศรอาคมออกไปแต่อีกฝ่ายก็ชักดาบออกมาแล้วปัดทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย
“ชิ”
อิงศรเดาะลิ้นพลางขึ้นลูกธนูด้วยยันต์อาคมอีก
ลูกศรแผลงออกไปแต่ถูกปัดทิ้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาถึงสี่ครั้ง
พอจะเริ่มครั้งที่ห้ามิ่งขวัญก็รุกเข้ามาใกล้แล้ว
แต่อิงศรกลับยิ้ม
ยิ้มด้วยใบหน้าสนุกสนาน
“ติดกับล่ะนะ”
พูดพลางชักดาบสั้นที่เอวเสียบแผ่นยันต์ลงไปจากนั้นก็ปักมันลงบนพื้นตรงหน้า
“มหาเขตแดนตรวนผนึกหมาป่าไกลนิลพ์”
บรรดาลูกศรที่ถูกปัดทิ้งไปอย่างง่ายดายนั้นหลังตกลงบนพื้นก็ได้กลายเป็นเขตอาคม
เขตอาคมทั้งห้าได้ถูกกางเป็นที่เรียบร้อย
โซ่แสงพุ่งขึ้นมามัดร่างของมนุษย์ต่างดาวแล้วดึงลงมาบนพื้น
“ปัดโธ่เว้ย!”
มิ่งขวัญสบถพยายามดิ้นให้หลุดจากโซ่แสงแต่การขัดขืนไม่เป็นผล
ถึงอย่างนั้นโซ่ก็ยังสู้แรงของปีกที่เกิดจากเดม่อนแอพไม่ได้จึงยังดึงเขาลงไปบนพื้นไม่ได้เช่นกัน
“ถ้างั้นก็...”
ถ้าอย่างนั้นก็พุ่งลงไปทั้งแบบนี้เลยไปให้ถึงตัวชายคนนั้น
มิ่งขวัญที่ตัดสินใจได้ก็บินดิ่งใส่เป้าหมายทันที
“ยังไม่หมดฤทธิ์อีกเรอะ”
อิงศรยกคันธนูขึ้นแต่กลับรวบรวมสมาธิเล็งไม่ได้อีกฝ่ายทำเรื่องเหนือความคาดหมายแถมยังพุ่งดิ่งลงมาทำให้กะตำแหน่งยิงได้ยาก
มิ่งขวัญยื่นดาบไปข้างหน้าเท่าที่แขนซึ่งถูกมัดจะเอื้ออำนวยขอเพียงแค่ให้ดาบแทงเป้าหมายได้ก็เกินพอ
ระยะห่างของทั้งคู่ลดลงทุกขณะรวมถึงภาพของแต่และฝ่ายต่างก็สะท้อนสู่ดวงตาของอีกฝ่าย
การมองหน้ากันครั้งแรกในรอบสามปี
มือของทั้งคู่ที่ต่างเล็งอาวุธเข้าใส่กันหยุดลงในวินาทีนั้น
มิ่งขวัญดวงตาเบิกกว้าง
“ศ...ศร”
อิงศรก็เช่นกันดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหมือนกับฝันไปแต่เค้ารางของใบหน้าที่มองเห็นจากมนุษย์ต่างดาวตนนี้เขาไม่มีวันจำผิดไปได้
“ขวัญ”
=================================
ช่วงคุยกันเล็กน้อย
ความจริงบทนี้อยากหั่นเป็นสองตอนย่อยนะครับเนี่ยฟาดไปซะ20หน้า T_T อยากเขียนฉากสัมพันธ์ของอิงศรกับเพื่อนๆ ก่อนจะไม่มีโอกาส ถือว่าชดเชยอาทิตย์ที่แล้วที่ลงตอนวันศุกร์น้อยเกินไปในตัวละกันครับ จนถึงตอนที่ผมมานั่งพิมพ์ช่วงคุยท้ายตอนอยู่นี่ต้นฉบับตอนต่อไปก็กำลังปั่นอยู่เลย จากนี้ไปจะเข้าไคลแมกซ์ของเนื้อเรื่องทั้งหมดกันแล้วขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมติดตามมาจนถึงตอนนี้ครับ และขอแจ้งข่าวว่าเร็วๆนี้จะรีไรท์ตอนที่1ใหม่อีกรอบ TwT ที่จริงคือผลักตอนที่1ไปตอนที่2แทนแล้วเอาตอนที่1เป็นบทนำ เนื่องจากอยากต้อนรับผู้อ่านใหม่ไม่ให้กลัวกับจำนวนบรรทัดที่มหายาวตั้งแต่บทนำจนพาลหนีไปซะก่อนหากรีไรท์เสร็จแล้วทุกท่านที่ติดตามกันมาก็สามารถย้อนไปอ่านบทนำได้นะครับตั้งใจว่าเขียนเป็นใจความสั้นๆ ให้ผู้อ่านใหม่ได้เข้าใจแกนเรื่องเล็กน้อยก่อนเริ่มฉากวันสิ้นโลกที่อิงศร กับ มิ่งขวัญ จะหนีตายกัน ว่าไปแล้วได้ย้อนกลับไปอ่านตอนแรกใหม่เพื่อหาจุดที่จะนำไปเขียนบทนำนี่ก็ทำเอารู้สึกว่ายาวนานเหลือเกินนะครับกว่าพี่น้องจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งว่างั้นไหม
ความคิดเห็น