คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : Login 43: ปรารถนาที่มากเกินพอ
Login 43: ปรารถนาที่มากเกินพอ
บนชั้นดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่ง
จากที่นี่จะมองเห็นประตูทิศเหนืออยู่ไกลลิบ
มนุษย์ต่างดาวเครื่องแบบชั้นราชครูตนหนึ่งกำลังสอดแนมจากที่ตรงนี้
มนุษย์ต่างดาวเพศชายผมสีเงิน
ดวงตาสีแดงที่มักจะเก็บซ่อนไว้หลังเปลือกตาที่หยีกันจนปิดสนิทเหลือบขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกล
ชุดประจำตำแหน่งราชครูเป็นโค้ทสีดำ
ราชครูลำดับที่สี่โพแทสเซียมมองดูการต่อสู้ของมิ่งขวัญจากตรงนี้ตั้งแต่เริ่มด้วยใจเต้นระทึก
"เอาอีกแล้วซุงมิ่งยังชอบทำเป็นเข้มแข็งอยู่เรื่อยเลยน้าเห็นแล้วอยากลงไปแกล้งชะมัดเอาซักทีดีไหมเนี่ยหื้ม~"
มนุษย์ต่างดาวยิ้มปรี่
"คงยอมให้ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"
มีเสียงของผู้ชายดังมาจากทางด้านหลัง
ทั้งที่จนถึงเมื่อครู่ไม่มีกลิ่นอายของใครอื่นเลย
แต่จู่ๆ ก็ปรากฏวี่แววของคนอื่นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
โพแทสเซียมละสายตาจากกล้องแล้วหันกลับไป
พอเห็นหน้าเจ้าของเสียงเขาก็ผุดยิ้มกว้าง
"อ้าวนึกว่าใครที่แท้ก็ท่านอดีตลำดับที่หนึ่งนี่เอง"
ผู้ที่เขาทักว่าเป็น 'อดีตราชครูลำดับที่หนึ่ง'
คือเด็กหนุ่มผมสีขาวใส่หูฟังแบบมีฟองน้ำครอบสวมเสื้อวอร์มสีแดงและกางเกงยีนส์สีดำ
ผู้ถูกลืมเลือนนั่นเอง
"ผมทิ้งชื่อนั้นไปนานแล้ว"
"นั่นสินะตอนนี้ท่านมีชื่อว่าซะ.."
แต่ผู้ถูกลืมเลือนก็พูดขัดคำพูดนั้นเสียก่อน
"เธอเองสินะที่ไปยุให้ลำดับที่ห้าช่วยมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกหนีออกมา"
พูดพลางใช้สายตาคมกริบจดจ้องชายต่างดาวจนอีกฝ่ายออกอาการทางสีหน้าไปพริบตาหนึ่งแต่ก็แค่พริบตานั้นจริงๆ
โพแทสเซียมพยายามเรียกคืนสีหน้าสงบเสงี่ยมของตนก่อนจะพูดตอบคำถามนั้นไปว่า
"อะฮะ
ไม่มีหลักฐานซักหน่อยอย่าปรักปรำกันสิ"
พออีกฝ่ายพูดมาอย่างนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็หรี่ดวงตาแคบลง
"ทั้งที่รู้ว่าโลกนี้จะล่มสลายเอาได้แต่แล้วทำไมเธอถึงยังทำแบบนั้นอีกกันนะ"
แล้วพูดโดยไม่สนการชักจูงของอีกฝ่าย
ยังคงยืนยันคำเดิมว่าสิ่งที่ตนพูดไปไม่ใข่การปรักปรำ
"..."
เป็นคนที่เกินจะรับมือด้วยจริงๆ
นั่นแหละ...
โพแทสเซียมหุบยิ้มลงแต่ยังพยายามตีหน้าเซ่อต่อไป
"แหมๆ
จะเป็นแบบนั้นได้ใครคนหนึ่งในสองคนนั่นก็ต้องตายซะก่อนแต่พวกเขาเป็นพี่น้องที่รักกันมากคงไม่มีทางฆ่าแกงกันลงหรอกครับพลังแห่งความรักน่ะมันเป็นของสามัญของชาวโลกนะ"
"ผมจำได้ว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคนอื่นนอกจากรูบิเดียมนะที่เคยบอกไปก็แค่จะให้พวกเขาพบกันไม่ได้เท่านั้นเอง
เธอนี่มันน่ากลัวจริงๆ"
เด็กหนุ่มผมขาวยังคงพูดจาไล่ต้อนสายตาของเขามองทะลุคำโกหกที่โพแทสเซียมพ่นมาได้ทั้งหมด
แต่โพแทสเซียมกลับหัวเราะ "ฮะฮะฮะ แหมๆ
ผมต่างหากที่ต้องกลัว" แล้วพูดอย่างคนใจเสาะ
ผู้ถูกลืมเลือนเมินต่อการแสดงท่าทีเหล่านั้นแล้ว...
"แต่ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามที่บันทึกไว้ในอาคาชิกเรคคอร์ดโชคชะตาน่ะมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ
หรอก"
ก็พูดโดยที่ไม่สบตากับอีกฝ่ายแต่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มไปด้วยเมฆสีดำ
"แล้วยิ่งถ้าไปฝืนเปลี่ยนมันมากๆ
เข้าสุดท้ายโชคชะตาก็จะลงโทษคนผู้นั้น"
เหมือนดั่งเมล์ตัวจับเวลาตายที่ได้พุ่งเป้าไปหาอิงศร...
อิงศรผู้เปลี่ยนแปลงโชคชะตามากเกินไป
บิดเบือนเส้นทางสู่การล่มสลายของโลกมากเกินไป
มีความโลภมากเกินไป
หลังจากพบกันครั้งสุดท้ายที่รูนรูมภายในตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เต็มไปด้วยความโลภที่เรียกว่า
'ความปรารถนา'
ปรารถนาที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ปรารถนาที่จะไม่ก้าวเดินซ้ำรอยในอดีต
ปรารถนาที่จะรักผู้คนทุกคน
ความปรารถนานั้นมีมากเกินไปจนกลายเป็น
'ความโลภ'
ผู้ถูกลืมเลือนหันเหสายตา
จากท้องฟ้า จากคู่สนทนา มองไปที่ประตูทิศเหนือ
ดวงตาสีเทาจับจ้องไปยังอีกหนึ่งผู้ถูกฟันเฟืองเลือกซึ่งยืนอยู่ที่นั่น
หน้าจอเมล์ของเด็กหนุ่มเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
======================
Subject: @Clipius Death Timing
Delivery
Form: GM
Detail:
ตัวจับเวลาตายของเพื่อนคุณมาถึงแล้ว!
เวลาชีวิตที่เหลือของ อิงศร โรจน์จุฬาคือ
[00:12:12]
======================
เวลาของอิงศรเหลืออีกเพียงสิบสองนาที
อีกสิบสองนาทีโลกจะถึงกาลจบสิ้น...
บนถนนหน้าประตูทิศเหนือการประมือเพิ่งจะจบลงไป
มันจบลงในพริบตาที่มนุษย์ต่างดาวงัดแอพพลิเคชั่นปีศาจออกมาถึงข้าวหลามจะงัดแอพพลิเคชั่นปีศาจออกมาใช้เหมือนกันแต่ก็พ่ายแพ้
แพ้จากความต่างชั้นของเผ่าพันธุ์อีกฝ่ายเลเวลเท่ากันแต่เพราะเป็นมนุษย์ต่างดาวจึงมีพลังมากกว่า
6 เท่า
แพ้จากความต่างชั้นกันของแอพพลิเคชั่นปีศาจ
ในช่วงที่ต่อสู้ก็ได้รับรู้ว่าแอพฯ
ของอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในของมายาที่อาจจะไม่มีอยู่จริง
เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีพลังเหนือกว่าของทุกคนในองค์กรเมตไตรยรวมกันเลยก็ว่าได้
ข้าวหลามสภาพร่อแร่เนื้อตัวมีแต่บาดแผลทั้งรอยถูกฟันและรอยถลอกเสื้อขาดวิ่นไปหมด
เขาถูกจับส่วนคอเอาไว้และถูกยกจนเท้าไม่ติดพื้นด้วยมือข้างเดียวของมนุษย์ต่างดาว
ใกล้ๆ
กันนั้นปืนทั้งสองกระบอกของข้าวหลามตกอยู่บนพื้น ปืนเหล่านั้นอยู่ในสภาพเป็นสองเสี่ยงเหมือนถูกตัดด้วยของมีคมและเป็นการตัดอย่างรวดเร็วแค่ครั้งเดียว
“จะไว้ชีวิตให้ก็ได้แต่ขอถามอะไรหน่อย”
มนุษย์ต่างดาวพูดและแม้ว่าข้าวหลามกำลังพยายามแกะมือที่บีบคอแต่การขัดขืนนั้นไร้ผลโดยสิ้นเชิง
“…”
ถ้าไม่ใช่ว่าต้นขาได้รับบาดเจ็บจนยกแทบไม่ขึ้นก็ตั้งใจจะถีบและดิ้นรนให้ถึงที่สุดทำอย่างนั้นคงพอช่วยให้หลุดหนีไปได้บ้าง
“ในบรรดาพวกแกน่ะรู้จักมนุษย์ที่ชื่ออิงศรรึเปล่า”
พอได้ฟังคำพูดนั้นข้าวหลามก็เบิกตากว้าง
จากนั้นแรงบีบของมือที่จับคออยู่เหมือนจะเพิ่มขึ้น
รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยั้งมือตัวเองอยู่เพราะไม่อย่างนั้นลำคอของเขาอาจจะแหลกเละไปแล้ว
ทว่าตอนนั้นเอง...
แกว๊ก!!!
เสียงร้องแหลมเหมือนเสียงนกดังก้องขึ้น
“มาแล้วสินะ...”
มนุษย์ต่างดาวพึมพำ
จากนั้นก็หันไปมองหัวมุมถนนที่เป็นทางหักเลี้ยวซึ่งเชื่อมไปยังด้านตะวันตก
จากตรงหัวมุมนั่นสัตว์เทวะรูปร่างหงส์มีร่างที่เผาผลาญลุกเป็นไฟตลอดเวลาดวงตาสีแดงก่ำเปล่งแสงสว่างแวววาวดุจดั่งอัญมณีกำลังโบยบินออกมา
Heraldic Beast Deity: Crimson
Feather Lv. 50
[/////40000:59000///..]
“แต่ทำไมถึงบินอ้อมมาล่ะ”
มนุษย์ต่างดาวยังพึมพำคำพูดอยู่คนเดียว
“อ๋อพวกแกเล่นตุกติกกันสินะ” พูดพลางยื่นดาบในมืออีกข้างให้ปลายดาบชี้ไปยังประตูรั้ว “บริโอแน็ก”
จากนั้นดาบที่เดิมเปล่งแสงอยู่แล้วเพราะมีการใช้สกิลเสริมพลังอาวุธเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังต่อสู้กัน
และเมื่อครู่ที่ประกาศใช้สกิลออกมานั้นก็ทำให้แสงสว่างที่ห้อมล้อมดาบทวีความเจิดจ้ายิ่งขึ้น
ดาบยืดตัวยาวราวกับหอกแห่งแสงและยังคงยืดออกไปจนกระทั่งปะทะเข้ากับกำแพงสนามพลังที่กางปกป้องประตูไว้
เพียงพริบตาเดียวที่สัมผัสกันหอกแสงก็แทงทะลุปราการป้องกันนั้นทำให้กำแพงกั้นที่เคยมีอยู่สลายไป
ข้าวหลามมองดูปราการซึ่งพวกตนทุ่มเทกำลังและเทคโนโลยีมากมายเพื่อสร้างมันขึ้นถูกทำลายลงอย่างง่ายดายก็สบถออกมา
“อึก...ชีพจร...มังกร
ไอ้ปีศาจเอ้ย.."
อีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นก็เพิ่มแรงบีบที่มือ
“อ๊ากกก!”
ข้าวหลามกรีดร้อง
“ปีศาจน่ะมันพวกแกต่างหาก”
มนุษย์ต่างดาวพูดเหมือนไม่พอใจก่อนจะผ่อนแรงที่มือลง
"..."
ขณะเดียวกันสัตว์เทวะทั้งเต่าและหงส์ก็โคจรมาพบกันในที่สุด
ตอนนั้นเองหางของสัตว์เทวะเต่าก็กลายเป็นสายธารทรายไหลบ่าเทลงบนท้องถนน
ธารทรายนั้นต่อมาได้ก่อรูปก่อร่างเป็นศีรษะงู
ทำให้มีทั้งเต่าและงูอยู่ในร่างเดียวกัน
เม็ดทรายบนพื้นเริ่มลอยตัวเพราะแรงลมร้อนที่เกิดจากการลุกไหม้ร่างกายของสัตว์เทวะหงส์ไม่นานจากนั้นพายุทรายก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่ลงถึงขั้นมองไม่เห็นชื่อบนหน้าจอแสดงพลังชีวิต
มนุษย์ต่างดาวพูด
"เอ้า
รีบบอกมาซักทีว่าอิงศรที่พวกแกเอาตัวไปน่ะอยู่ที่ไหน"
อีกฝ่ายเปิดเผยเป้าหมายอย่างตรงไปตรงมาจนน่ากลัว
แต่หากมันมีเป้าหมายที่อิงศรแล้วล่ะก็นั่นยิ่งบอกไม่ได้เข้าไปใหญ่
"ค..ใครมันจะไปรู้วะ"
พอตอบไปอย่างนั้นคอก็ถูกบีบแน่นขึ้น
"อึก...อ๊ากกก!"
ข้าวหลามกรีดร้องอีกครั้งแต่หนนี้กลับยังไม่มีการผ่อนแรงดูเหมือนจะไปกระตุ้นต่อมเข้าให้ซะแล้ว สายตาของมนุษย์ต่างดาวเหมือนบอกว่า 'จะไม่ปราณีแล้ว'
ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงต้องตายที่นี่เพราะไม่สามารถขายพวกพ้องได้
ท่ามกลางพายุทรายที่โหมกระหน่ำมีเพียงตัวเด็กหนุ่มกับศัตรู
แต่ทั้งอย่างนั้นแล้วมิ่งขวัญกลับรู้สึกถึงตัวตนอื่น
ในตอนนั้นเอง...
ดาบก็พุ่งออกมาจากพายุทราย
มิ่งขวัญรับไว้ด้วยดาบในมือขวาแล้วมองไปยังอีกฝ่ายที่จับดาบจู่โจมมาปรากฏตัวจากม่านทราย
เป็นเด็กหนุ่มผมตั้งในชุดเครื่องแบบที่เหมือนกับชายคนที่เขากำลังบีบคอเค้นความจริง
มิ่งขวัญเดาะลิ้น
"ชิ ยังจะมีคนมาเพิ่มอีกเรอะ"
แล้วออกแรงดันดาบจนอีกฝ่ายเซถลากลับไปอย่างง่ายดาย
"ถอยออกมาเลยกวินทร์"
มีเสียงของผู้ชายดังมาอย่างนั้น
มิ่งขวัญกวาดสายตามองรอบๆ
อย่างใจเย็นและพบว่าจากทางขวาของเขามีเงาคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังม่านทราย
"ตรงนั้น"
มิ่งขวัญแทงดาบไปที่เงานั่นแต่มันกลับหายไป
รู้สึกได้ว่าดาบไม่ได้แทงโดนเป้าหมาย
จากนั้นเด็กหนุ่มที่จู่โจมมาตอนแรกก็ถอยฉากกลับเข้าไปในม่านทรายเป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงแหวกทรายดังขึ้น
เสียงมาจากทางด้านบนของจุดที่เขาแทงดาบไปเมื่อครู่
บนนั้นเด็กหนุ่มผมสีแดงกระโจนฝ่าม่านทรายออกมา
บางทีตอนที่แทงดาบแรกไปอาจจะกระโดดหลบแล้วพุ่งเข้ามาทั้งอย่างนั้นเลย
มิ่งขวัญยังคงไม่ขยับเท้าและไม่คิดจะปล่อยมือจากคอของตัวประกันเพราะว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเชื่องช้าจนมองออกได้ทั้งหมด
วินาทีที่คิดอย่างนั้นก็เผลอให้ความประมาทครอบงำ
แล้ววินาทีที่ประมาทนั่นเอง
คมเคียวสีดำก็พุ่งมาจู่โจมจากอีกด้านตรงมุมบอดที่เกิดจากร่างของตัวประกันที่เขาจับเอาไว้พอดี
เด็กสาวผมแดงซัดเคียวเข้ามาในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มผมแดงก็...
"ไกอาแฮมเมอร์"
ตะโกนชื่อสกิลแล้วทำให้ท่อนแขนทั้งสองข้างกลายเป็นค้อนหินทุบลงมา
ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทิ้งตัวประกัน
ถึงเขาจะรวดเร็วกว่าแต่หากคิดจะตอบโต้การโจมตีนี้ก็คงเลี่ยงที่จะฆ่าทั้งสองคนไม่ได้
เขาไม่อยากฆ่าโดยไม่จำเป็นและถ้าเป็นไปได้ก็จะพาอิงศรผู้เป็นพี่ชายหนีไปโดยที่ไม่ต้องฆ่าใคร
มิ่งขวัญปล่อยมือจากคอของตัวประกันแล้วกระโดดถอยไปข้างหลัง
การจู่โจมของทั้งคู่จึงพลาดไป
"มันไวจริงๆ เลยพับผ่าสิ"
เด็กหนุ่มผมแดงพูด
"แต่ก็ต้อนมาถึงตามแผนแล้วนะครับ"
เด็กหนุ่มผมตั้งที่จู่โจมด้วยดาบโผล่จากม่านทรายมารวมแถวเป็นสามคน
แล้วเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางแถวก็ย่อตัวก้มลงครึ่งขา
"จัดการเลยค่ะ"
เธอพูดกับใครบางคนที่ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในนี้ แล้วจากช่องว่างที่ย่อตัวลงลูกธนูโลหะก็ทะยานออกมาจากที่นั่น
รวดเร็วและกะทันหันเกินไปจนหลบไม่พ้น
ดังนั้นมิ่งขวัญจึงยกโล่ต้านรับการโจมตีแทนที่จะหลบ
ลูกธนูปะทะเข้ากับโล่แต่ไม่สะท้อนออก กลับกันส่วนหัวของธนูแตกปลายแล้วยึดจับกับโล่เหมือนรากไม้
มิ่งขวัญจำได้ในทันทีที่เห็นมัน
"นี่มัน...ไลท์เทนนิ่งร็อดแอโร่ว..."
เหมือนภาพความทรงจำเมื่อสามปีก่อนจะหวนกลับคืนมา 'เขากับพี่ชายสองคนร่วมมือการต่อสู้กับสัตว์เทวะด้วยสกิล 'ไลท์เทนนิ่งร็อดแอโร่ว' และตัวเขาก็จะใช้สกิลธาตุสายฟ้าเพื่อสร้างความเสียหายจากผลของสกิลนั้น' ภาพความทรงจำในวัยเยาว์นั่นราวกับจะเล่นซ้ำขึ้นมาตอนนี้ แต่มีส่วนที่ต่างออกไป
ส่วนต่างที่ว่าก็คือตัวเขาที่กลายเป็นเป้าให้กับการโจมตีผสานนั่นซะเอง
เด็กสาวถือเคียวที่ยืนอยู่ตรงกลางแถวพูดว่า
"เอาล่ะค่ะมาเริ่มยุทธการสายล่อฟ้าเชือดเอเลี่ยนกันเถอะ"
จากนั้น...
"อิเล็กทริคเบลด"
เด็กหนุ่มที่ใช้ดาบก็เสกให้สายฟ้าวนพันรอบตัวดาบ
"ซุสนัคเคิล"
เด็กหนุ่มผมแดงเรียกสายฟ้าลงมาห่อหุ้มที่กำปั้น
แล้วผลลัพธ์ก็คือกระแสไฟฟ้าซึ่งกระจายออกจากสกิลที่ใช้ถูกรวบรวมไปโดยลูกธนูที่ติดอยู่กับโล่ทำให้มิ่งขวัญถูกไฟฟ้าช็อตจนแถบพลังชีวิตลดลง
มิ่งขวัญ Lv.
90
[/////14560:16000///..]
เด็กหนุ่มต่างดาวพยายามฝืนกลั้นต่อความเจ็บปวด
"อึก..พวกแก...กล้าเอาวิธีของชั้นกับพี่มาใช้อย่างนั้นเหรอ"
แล้วพึมพำด้วยสีหน้าเจ็บปวดเพราะถูกเล่นงานโดยของที่ตัวเองเคยใช้มาก่อน
รู้สึกเหมือนความโกรธกำลังปะทุขึ้นมาข้างในอก
มิ่งขวัญกระชับดาบในมือแล้วมองข้ามสามคนตรงหน้าไป
มองไปยังเงาร่างที่อยู่พ้นพายุทรายซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ยิงลูกธนูนี้มาแต่เพราะทรายเลยทำให้มองไม่เห็นว่าเป็นใครอย่างไรก็ตาม...
"จะเป็นใครก็ช่างจะขอจัดการล่ะนะ"
มิ่งขวัญขบกรามแล้วพูดคำรามออกมาทั้งอย่างนั้น
ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจยกโทษให้เจ้าคนที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
...โดยที่ไม่รู้เลยว่าความปรารถนาได้มาอยู่ต่อหน้าแล้ว...
ความคิดเห็น