ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Just A Beat (KaiBaek)

    ลำดับตอนที่ #10 : ◆ Just A Beat - Part [8]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.43K
      12
      10 ก.ค. 56






    Just A Beat
    Pairing : Kai x Baekhyun

     

    *ความเดิมตอนที่แล้ว

     

    หลังจากที่คริสตัลกลับกลับมาจากอเมริกา จงอินก็ได้คืนดีกับคริสตัล ขณะที่แพคฮยอนมารอทำรายงานกันตามนัดแต่จงอินก็ไม่โผล่มา ระหว่างทางจะกลับแพคฮยอนจึงบังเอิญเห็นอีกฝ่ายเข้า จงอินกำลังอยู่กับคริสตัล ซึ่งก็คือผู้หญิงในรูปที่แพคฮยอนเห็นในกระเป๋าสตางค์ของจงอิน .. แพคฮยอนรู้สึกอึ้งไป และไม่รู้ว่าทำไม

    (ความเดิมกลัวลืมกันค่ะ สั้นและกากมากนะความเดิม ==*)







    .. Part 8 ..










    วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไปเกือบสองวันเต็มๆ

     

    เช้าวันอาทิตย์ คนขี้เซาดันลุกขึ้นมานั่งซึมกะทืออยู่ขอบเตียง เดินวนไปวนมาในห้องก็กินเวลาเป็นชั่วโมงแล้ว ใบหน้าขาวๆหรี่ตาลงเมื่อโผล่หน้าออกไปนอกหน้าต่าง

    “โว้ยยยยยย .......”

     

    แพคฮยอนร้องใส่ท้องฟ้าใสที่มีนกหลายตัวบินผ่านไปมา ดวงตาคู่เรียวจดจ้องพวกมันอย่างเหม่อๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นที่ด้านหลัง ร่างเล็กรีบวิ่งไปหามันทันที แต่แล้วความหวังที่ก็จบลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่มีอารมณ์จะรับ แต่ก็ต้องรีบตัดบทด้วยการรับมันทันที

    “ฮัลโหลพี่ ... ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก  ครับ ..  หมดก็หมดสิพี่ ช่วงนี้ผมไม่ว่าง เด็กมันก็หาเอากับคนอื่นไม่ค่อยซื้อกับผมแล้ว ..... งั้นเหรอ ... ครับๆ ขอบคุณครับ” แพคฮยอนวางสายกับร้านที่เขาไปรับบุหรี่มาขายต่อเอากำไร ก็ขอบใจที่ห่วงกันหรอกนะเรื่องที่เขาไม่ค่อยโผล่ไป อีกฝ่ายกลัวว่ามีปัญหาอะไรหรือของเหลือเลยโทรมาถาม เขาขอบคุณจากใจจริงแต่ตอนนี้ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่  ก็คนมันไม่ว่างจริงๆนี่นะ

     

    สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก แพคฮยอนรีบหันไปหามัน แต่แล้วเขาก็ต้องยิ้มเก้อไปคนเดียวอีกครั้งเมื่อเห็นเบอร์เพื่อนรัก

    “ว่าไงเซฮุน เอออยู่บ้าน ... ไปเหอะๆ กูจะนอน เปล่าๆ อืม ใช่ๆ งานไม่เสร็จต้องแก้ ... ไปเหอะ ไว้คราวหลังละกัน” แพคฮยอนวางหูจากเพื่อนรักที่โทรชวนเขาออกไปหาอะไรกินกัน เขาไม่มีอารมณ์จริงๆจึงอ้างเรื่องงานไปทั้งที่ก็เสร็จไปแล้วแท้ๆ

     

    ความสับสนตีกันในหัวให้วุ่น

     

    “ไม่ใช่แล้วแพคฮยอน มึงบ้าแน่ๆ”

     

    มือบางดันโทรศัพท์มือถือยัดลงไปในลิ้นชักตู้ข้างๆ อย่าให้ได้เห็นอีกนะ อย่าให้ต้องจ้องเลยว่าไอ้หน้าจอห่วยๆนั่นจะโชว์เบอร์ของคนห่วยๆขึ้นมา

     

     

    ... บ้าชิบ

     

     

     

     

     

    แสงไฟหลากสีสันสาดสลับกับความมืดไปทั่วบริเวณลานกว้าง สถานที่น่าอึดอัดหากแต่ในสายตาของคนที่มายังที่แห่งนี้กลับรู้สึกเสรีและรื่นรมย์ต่างจากที่อยู่ข้างนอก ยื่งดึกเท่าไหร่ฟลอร์เต้นรำก็ลุกเป็นไฟมากขึ้นเท่านั้น

     

    โซนด้านนอกฟลอร์ซึ่งเป็นที่นั่งดื่มของเหล่าหนุ่มสาววัยเล็กวัยใหญ่ก็สนุกสนานไม่แพ้กัน หากเทียบกับที่อื่นแล้วนับว่าที่นี่ค่อนข้างจะเสียงดังมากพอสมควร ก็เป็นผับที่อยู่ในระดับกลางๆ จึงไม่จำเป็นต้องรักษาภาพกันเท่าไหร่

     

    ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนแต่ไม่สูงมากนักในชุดบริกรกำลังยืนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของลานกว้าง แพคฮยอนไม่ค่อยมั่นใจกับผมของตัวเองที่ต้องหวีปัดให้ดูดีขึ้นเล็กน้อยเขาจึงแอบยกมือขยี้มันออกเมื่อพ้นสายตาผู้จัดการ วันแรกที่มาก็แค่ฝึกๆและทบทวน แต่วันนี้เอาจริงและคนก็เยอะเอาการ

     

    เมื่อเริ่มงาน ตอนนี้แพคฮยอนจึงวิ่งวุ่นอยู่ในสภาพของบ๋อยดีๆนี่เอง

     

    “ครับ .. ครับ โต๊ะยี่สิบสี่เพิ่มน้ำแข็ง”

     

    แพคฮยอนวิ่งปราดเข้ามาหลังร้านในส่วนที่เป็นบาร์ ห้องกว้างสว่างเพราะแสงไฟเต็มไปด้วยพนักงานหลายคนหลายหน้าที่ เขายื่นออเดอร์ให้พี่สาวคนหนึ่งที่ดูจะชำนาญเพราะทำมานาน จากนั้นไม่นานของที่ลูกค้าสั่งก็วางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

     

    หลังจากรีบเช็คชายหนุ่มก็รีบเดินผ่านม่านทึบออกไปยังส่วนที่เป็นโต๊ะหลายตัว  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีเพราะความตั้งใจของเขา แพคฮยอนวิ่งเข้าวิ่งออกทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด

     

    พอถึงช่วงเบรกที่แสนรอคอยร่างเล็กก็เผลอปล่อยให้ความเหนื่อยล้าชักนำให้เดินตรงไปแบบไม่ดูทาง หน้าผากของเขาชนกับใครสักคนที่สูงกว่า คาดว่าหน้าจะเป็นลูกค้า

    “อ๊ะ ขอโทษครับ” แพคฮยอนเงยมองคนตัวสูง ใบหน้าหล่อเหลาจ้องกลับลงมา ดวงตากลมโตของผู้ชายคนนี้พอไม่ยิ้มแล้วน่ากลัวชะมัด

    “เอ่อ .....”

    “ไม่เป็นไร โอ้โหนี่ .. เด็กใหม่ใช่มั้ยๆ ทำไมฉันเพิ่งเคยเห็นหน้าล่ะเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยดังๆ จู่ๆใบหน้านั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทำเอาแพคฮยอนตกใจเล็กน้อย นี่ไม่โกรธเขาเลยเหรอ แล้วไอ้ท่าทีแบบนี้มันอะไร

    “ทำหน้างงอะไร นี่ไม่รู้จักฉันเหรอ”

    “คะ ครับ คุณเป็นใครล่ะ”

    “โหย ถามตรงเป๊ะ ..” คนตรงหน้าหัวเราะลั่นเล่นเอาแพคฮยอนต้องมองไปรอบๆเพราะกลัวใครได้ยิน ก็ส่วนนี้มันเข้าได้เฉพาะพนักงานนี่นะ งั้นคนตรงหน้าของเขาก็ ....

     

     

    “อ้าว คุณชานยอลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ได้นั่งหรือยังครับ” เสียงผู้จัดการร้านดังมาแต่ไกลก่อนร่างที่ปรี่ตรงมายังพวกเขาเสียอีก ใบหน้าดูมีอายุยิ้มกว้างเสียจนแพคฮยอนแอบเห็นตีนกาที่ซ่อนอยู่ใต้รองพื้นหนาๆนั่น

    “ไม่ต้องห่วงๆคุณอึนซบ” คนที่ถูกเรียกว่าชานยอลโบกมือขึ้นไปมาในอากาศ แพคฮยอนยิ้มแหยๆเล็กน้อยกับท่าทางประหลาดๆแบบนั้น และหากจะสังเกตดีๆร่างสูงในชุดสูทสีเงินเงาวับเห็นลายไม้เลื้อยปรุตามปกเสื้อ ดูๆไปคงไม่ใช่พนักงาน แพคฮยอนเดาไม่ยากหรอก ถ้าไม่ใช่เจ้าของที่นี่ก็คงเป็นลูกหลานหรืออะไรสักอย่างกับเจ้าของตัวจริง

    “ว่าแต่นี่เด็กใหม่เหรอ” ชานยอลยิ้มกว้างพลางมองเขากับผู้จัดการสลับกันไปมาเร็วๆ

    “ครับคุณชานยอล เด็กมหาลัยทำพาร์ทไทม์น่ะครับ”

    “อ้อ ดีๆ ขยันจริง”

     

    มือหนาๆตบปุลงที่บ่าของแพคฮยอนจนเกือบจะเซ แพคฮยอนยิ้มให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะมีโทรศัพท์เข้าแล้วเดินไปจากที่ตรงนี้ ทันใดนั้นเองที่ผู้จัดการหันขวับมาหาเขาทันที

    “นายคงไม่ได้ทำอะไรให้คุณชานยอลไม่พอใจหรอกนะ”

    “แน่สิครับ ไม่ได้ทำอะไรเลย”

    “ดีแล้วๆ คนนี้น่ะเป็นหลานของคุณปาร์คเจ้าของที่นี่ เค้ามาที่นี่บ่อยๆ ถ้าเจอก็ต้อนรับหรือเอ่ยทักทายออกไปดีๆจำได้รึเปล่า”

    “ครับ ว่าแต่เค้า เอ่อ ...”

    “เอ่อ เอ่อ อะไรของนาย มีอะไรรีบถามมาฉันกำลังยุ่ง” ผู้จัดการจอมดุขมวดคิ้วแน่นให้แพคฮยอน คนอายุน้อยกว่าอดจะเอือมไม่ได้กับคนพวกนี้ที่เขาชักจะไม่เข้าใจอะไรแล้ว

    “เค้า อายุเท่าไหร่ครับ”

    “ถามทำไม”

    “เปล่าครับ แค่อยากรู้”

    “ก็ ราวๆนายอ่ะแหละ เห็นอย่างนั้นยังเรียนอยู่เลยนะ”

    “เหรอครับ”

    “ทำไมล่ะ ดูภูมิฐานล่ะสิ”

    “..............”

     

    แพคฮยอนเงียบไปกับคำนั้นเล็กน้อย เขาอยากจะให้คุณผู้จัดการไปเช็คสมองใหม่เสียเหลือเกิน ภูมิฐานบ้าอะไร ท่าทางพิลึกๆแบบนั้นเนี่ยนะ

    “สงสัยอะไรไม่ทราบ”

    “ครับๆ ไม่มีแล้วครับ”

    “งั้นก็ไปทำงานต่อไป ดูเวลาด้วยล่ะว่าหมดเบรกรึยัง”

    “ครับ”

     

    แพคฮยอนถอนหายใจกับงาน ส่วนเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถให้คำจำกัดความมันได้นั้นก็คอยจะตามมาหลอกหลอนอยู่เรื่อย ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่งานที่เขาต้องทำมัน

     

     

     

     

    และหากความบังเอิญเป็นเหตุ แพคฮยอนก็ขอโทษตัวเองแล้วกันที่ซวยมาเจอโดยบังเอิญแบบนี้

     

    โต๊ะตัวเล็กห่างออกไปไม่ไกล หากมองจากตรงนี้ก็เห็นชัดเจนว่าคนที่นั่งอยู่เป็นใคร แพคฮยอนเคยคิดเสียที่ไหนว่าจะมาเจอจงอินที่นี่ ดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ใครจะนึกว่าคนอย่างคิมจงอินจะมาท่องราตรีกับเค้าด้วย ในกลุ่มเพื่อนสองสามคนก็มีหญิงเดียวที่นั่งอยู่ข้างกาย

     

    ผู้หญิงในรูปที่เห็นในกระเป๋า ผู้หญิงที่เปลี่ยนผ้าปิดแผลให้จงอินในวันนั้น

     

    “โอ๊ย ...”

     

    เพล้ง!!

     

    แพคฮยอนถูกใครสักคนที่คาดว่าเป็นลูกค้าชนจากข้างหลังอย่างจัง ร่างเล็กในชุดบริกรล้มลงกับพื้นโดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หล่นกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ เขารีบดันตัวเองขึ้นโดยไม่สนสายตาใครที่มองพลางก้มเก็บเศษแก้วอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้นิดๆว่ากำลังถูกแก้วบาดแต่ก็ช่างมันเถอะ แพคฮยอนไม่อยากใส่ใจจึงอดทนรีบเก็บอย่างรวดเร็ว

     

     

     

    ทางด้านโต๊ะอีกมุม

     

    “ลู่หานๆ”

    “อะไรเล่ามินซอก”

    “เห็นอะไรมั้ยนั่น คนนั้นน่ะคนนั้น”

    “หือ .. ใครอ่ะ” ลู่หานมองตามที่มินซอกชี้ให้ดู เขาไม่พูดอะไรนอกจากหันกลับมาสบตากับสองคนตรงหน้า

    “เป็นอะไรลู่หาน จะเพิ่มอะไรรึเปล่า เมนู....”

    “ไม่ใช่หรอกคริสตัล” ลูกพี่ลูกน้องเอ่ยปัดก่อนจะสบตาเข้ากับอีกคนแทน คราวนี้ไม่ใช่ลู่หานที่พูดออกไปแต่กลายเป็นมินซอกแทน

    “จงอิน นั่นแพคฮยอนรึเปล่า”

     

    คนที่เอาแต่นั่งนิ่งมองไปรอบๆชะงักลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้ ใบหน้าคมมองไปตามที่เพื่อนชี้ให้ดู

     

     

     

     

    เพื่อนร่วมงานที่รุ่นราวคราวเดียวกันปราดเข้ามาหาพร้อมกับบางอย่างในมือ ร่างนั้นก้มมองคนที่เอาแต่งมอยู่กับเศษแก้วที่พื้น

    “แพคฮยอน ก้มเก็บอะไรแบบนี้ ทำไมไม่ไปเอาอุปกรณ์มา เดี๋ยวผู้จัดการก็เอ็ดเอาอีกหรอก”

    “เอ่อ ...”

    “ฉันเอามาให้แล้วล่ะ” หนุ่มคนนั้นบอกก่อนจะก้มลงช่วยกันเก็บกวาด แพคฮยอนพยายามจะแก้ไขแต่มันก็ออกมาในแบบไม่คล่องตัวเอาซะเลย

    “โอ๊ย ... เจ็บ” คราวนี้แหละที่ต้องเผลอร้องออกมาเพราะเศษแก้วได้บาดนิ้วเขาอีกรอบ

     

     

    พนักงานสองคนที่ใช้เวลาหมดไปนานกว่าปกติจึงเป็นที่ผิดสังเกตของคนที่พบเห็น โดยเฉพาะหลานชายของเจ้าของที่นี่ที่ตรงเข้ามาหาพวกเขาทั้งสอง

     

    “มีอะไรกันรึเปล่า”

    “คุณชานยอล” เพื่อนของแพคฮยอนทักขึ้น

    “อ้าว นายเลือดออกนี่นา”

    “ครับ นิดเดียวเอง” แพคฮยอนบอก

    “ไม่ดีๆ แย่แน่ๆ รีบไปทำแผลกับฉันเถอะ” ร่างสูงเอื้อมมาจับแขนให้แพคฮยอนลุกขึ้นตาม กลิ่นแอลกอฮอล์เตะจมูกเขานิดๆแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนนี้แค่แก้วบาดนิดเดียวไม่อยากให้ยุ่งยากเลย

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เจ็บอะไร”

    “แต่แก้วบาดเนี่ยนะ”

    “ครับ ไม่เป็นไรจริงๆ”

    “ไม่ดีๆ ไม่ได้หรอกแบบนี้ ต้องทำแผลๆ”

     

    โอ๊ย ... นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องมีท่าทีสำรวมเพราะไม่อยากให้กระทบเรื่องงานนะ ป่านนี้แพคฮยอนคงกระโดดถีบไอ้บ้านี่ให้หงายไปแล้วเชียว คนอะไรไม่ฟังที่คนอื่นพูดเลย เอาแต่ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวอยู่นั่นแหละ

     

    แขนเล็กๆยื้อตัวเองเอาไว้ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งหวังดีแต่ไม่ดูเวลาก็ออกแรงดึงอย่างไม่ยอมแพ้

     

     

    “มีอะไรน่ะแพคฮยอน”

     

    เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นข้างกาย แพคฮยอนหันกลับมามองอย่างรวดเร็วก็พบว่าจงอินยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมารอยยิ้มของแพคฮยอนจึงค่อยๆหายไป

    “นายมาทำอะไรที่นี่” จงอินถามพลางมองเลยไปยังแขนของแพคฮยอนที่ถูกใครอีกคนจับเอาไว้

    “ทะ ทำงานน่ะสิ” แพคฮยอนก้มหน้ามองพื้นที่เพื่อนของเขาเก็บกวาดใกล้เสร็จพอดี ชานยอลมองคนทั้งสองเพราะไม่รู้จะพูดอะไร จงอินมองแพคฮยอนสลับกับคนข้างกาย จู่ๆเขาก็เอื้อมไปดึงมือที่มีรอยแดงๆนั้นมาดู

    “นี่เลือดออกเหรอ”

    “แค่แก้วบาด”

    “แล้วมาทำทำไม”

    “มันงานของฉัน นายเกี่ยวอะไร”

    “ทำงานดึกๆเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า” เมื่อถูกจงอินตำหนิเข้า จากที่เก็บมามากๆแพคฮยอนก็เป็นฝ่ายไม่พอใจบ้าง

    “ก็ไม่บ้าผิดนัดทิ้งให้คนอื่นรอแบบใครบางคนหรอก”

    “นัด.....”

    “ไอ้บ้าเอ๊ย สมองนายคิดได้แต่เรื่องเรียนรึยังไงกัน” แพคฮยอนสะบัดแขนออกจากมือของจงอินแล้วหันกลับไปหาชานยอลที่ยืนอยู่ข้างๆ

    “โทษนะครับ ช่วยพาผมไปทำแผลหน่อย เจ็บจะแย่” พยางค์สุดท้ายแพคฮยอนจงใจหันมาพูดใส่จงอินที่ยืนอยู่

     

    จงอินมองตามคนทั้งสองที่เดินหายเข้าไปในม่านทึบส่วนด้านใน เขาทำท่าจะเดินตามเข้าไปแต่แล้วมือข้างหนึ่งก็เอื้อมมาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

    “อะไรลู่หาน จับฉันทำไม”

    “ใจเย็นสิจงอิน นายจะบ้าเหรอจะเดินเข้าไปทำไม”

    “ก็หมอนั่นมัน....”

    “พอๆๆ โอย .... ฉันล่ะเพลีย นายเมาแน่ๆเลย มานี่เลย” ลู่หานออกแรงลากเพื่อนตัวดีให้กลับมาที่โต๊ะ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร

     

    “หึ เมาบ้าอะไรล่ะ”

     

    จงอินไม่คิดจะเถียงเพื่อนรักให้รำคาญใจเปล่าๆเพราะเถียงไปก็ไร้ประโยชน์ แค่เขารู้ตัวว่าไม่ได้เมาก็พอแล้ว

     

    และก็รู้ตัวด้วยว่าลืมนัดไปแล้วจริงๆ ... เขาพลาดเองแหละ

     

     

      

     

    เมื่อคืนนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก

    หลังจากกลับบ้านมาคืนนั้น ไอ้โทรศัพท์ที่เกือบสองวันไม่มีวี่แววว่าคนที่อยากให้โทรหาจะโทรมา แต่พอหลังจากเจอกันเท่านั้นแหละ โทรมาเลยเชียวนะ สงสัยชอบให้ถูกด่าเรื่องผิดสัญญาแล้วถึงจะสำนึก

     

     

     

    แพคฮยอนเดินคอตกเพื่อมาเรียนในตอนเช้า นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองช่างงี่เง่าสิ้นดี ไอ้บ้านั่นไม่ผิดหรอก คิมจงอินถ้าไม่ใช่แบบนี้คงผิดปกติ แต่ตัวเขาเองนี่สิ ทำไมมันรู้สึกรำคาญใจแบบนี้

     

    โกรธที่ถูกผิดนัดงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่ด่ากลับไปเลยวะแพคฮยอน แกจะไม่ยอมรับสายทำไม .. บ้าชิบ

     

    ทั้งที่อยากให้โทรมาแต่พออีกฝ่ายโทรหาเขากลับไม่ยอมรับมัน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

     

     

     

     

     

     

    “อื้อหือ .. ไม่ค่อยจะสดใสเลยนะจงอิน นี่ถ้าฉันกลับอเมริกาเมื่อไหร่ เจอกันอีกทีขอเนี้ยบๆแบบเดิมนะ” เรียวหน้าสวยพูดซะเสียงดังขึ้นกลางโต๊ะใต้ตึกคณะที่พวกเขานั่งกันอยู่พร้อมหน้า

    “พอเลยยัยคริสตัล เธอคิดว่าจงอินมันเมาค้างรึไง” ลู่หานว่าพลางคว้าเอามันฝรั่งทอดเข้าปากไปด้วย

    “ก็แล้วไม่ใช่รึไงล่ะ ตั้งแต่กลับมาเมื่อคืนไม่เรียกเมาแล้วเรียกอะไร”

    “รู้ดีจังนะ”

    “แหงล่ะ” คริสตัลยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ

     

    มินซอกมองคนทั้งสองที่ชอบกัดกันประจำด้วยสายตาเฉยๆไม่คิดอะไร เมื่อคืนนี้ก่อนแยกกันคริสตัลก็แอบถามเขาอยู่เหมือนกันว่าจงอินมีปัญหาอะไรกับเพื่อนรึเปล่า เห็นเธออย่างนี้สาวมั่นตัวจริงเลยล่ะ สวย ฉลาด และไม่งี่เง่า คริสตัลรู้ว่าเวลาไหนควรทำอย่างไร อย่างเวลาแบบนี้ที่เธอรู้ว่าไม่ควรถามตรงๆ ด้วยความเป็นห่วงจึงต้องถามมินซอกที่น่าจะคุยกันรู้เรื่องที่สุด และเขาก็ตอบเธอไปตามที่เข้าใจว่า เรื่องคงประมาณนั้น

     

    มินซอกหันกลับมามองคนข้างกายที่เอาแต่กินก่อนที่สายตาจะมองเลยออกไปด้านนอกที่แม้ว่านักศึกษาจะเดินสวนกันไปมามากมายแค่ไหน แต่คนๆนั้นเขาจำได้ดี

     

    เวรแล้วมั้ยล่ะ ...

     

    มินซอกคิดในใจ ก่อนจะสะกิดลู่หานให้เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังรู้สึก ส่วนไอ้คนความรู้สึกช้าที่เอาแต่นั่งเฉยก็ยังคงไม่สนใจอะไร

     

    “จงอิน” ลู่หานเอ่ยจริงจัง

    “อะไร”

    “เพื่อนนายดูท่าจะมีปัญหานะ”

    “ใคร....” เสียงทุ้มถามเบาๆ ใบหน้าเบื่อหน่ายจำต้องมองไปตามที่เพื่อนรักชี้ให้ดู และหากจะให้เดาทั้งลู่หานและมินซอกก็คงไม่มีทางเดาผิด เป็นอย่างนั้นจริงๆ

     

    คิมจงอินลุกเดินเร็วๆออกไปแล้ว

     

    คริสตัลขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วง ส่วนอีกสองคนที่นั่งมองอยู่ก็กำลังถอนหายใจใส่กัน มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย พวกเขาแค่รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่มันทะแม่งๆขึ้นมา

     

     

     

     “นี่รุ่นพี่ครับ ในเมื่อเราก็ไม่รู้จักกันแล้วจะเอาอะไร” คนตัวเล็กกว่าเชิดหน้าถามอย่างสุภาพแต่ท่าทีไม่มีเกรงกลัวสักนิด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงรุ่นพี่ปีสุดท้ายที่มากันถึงสามคนก็ตาม

     

    กลางมหาวิทยาลัยแบบนี้กล้ามีเรื่องก็เอาสิ แพคฮยอนคิดในใจ

     

    “ตัวแค่นี้ปากเก่งดีนะ”

    “ครับ ขอบคุณ”

    “หึ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่ะ แค่เห็นน้องชายมันพูดว่ามีเรื่องกับนาย เลยแค่อยากมาเตือนเฉยๆว่ากับอีแค่ของไม่กี่วอน อย่าให้ได้รู้อีกนะว่ากล้าไปทวงเอาคืนกับน้องของฉัน”

     

    แพคฮยอนนึกถึงเหตุการณ์คราวก่อน ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหรอก แต่มันน่าเจ็บใจมากกว่า ใครกันแน่ที่เริ่ม ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายต้องทวงคืน ใครกันแน่ที่เจ็บตัว

     

    มากไปแล้ว ... อยากจะเอามันตรงนี้เลยใช่มั้ย ได้!

     

     

    “แพคฮยอน....”

     

    เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นข้างหลัง จงอินสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวแพคฮยอนอย่างรวดเร็ว มือหนาเอื้อมมาบีบเบาๆที่ไหล่เหมือนจะบอกว่าห้ามทำอะไรงี่เง่าลงไป โชคดีรึเปล่านะที่จงอินมาทันก่อนจะได้มีเรื่องเพราะความไม่ยับยั้งชั่งใจ

    “มีอะไร” จงอินถามแพคฮยอน ก่อนจะมองไปยังพวกคนตรงหน้า

    “เปล่า ไม่มี” แพคฮยอนเอามือปัดแขนจงอินออก

    “แล้วคุยอะไรกัน”

    “คุยอะไรแล้วเกี่ยวกับนายตรงไหน”

    “อวดเก่งตลอด”

    “ว่าไงนะ”

     

     

     

    “พอๆๆ พวกนายจะมาทะเลาะกันต่อหน้าพวกฉันทำไม” พี่ชายของไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ่ยขัดขึ้น มีหรือที่แพคฮยอนจะยอม

    “สรุปจะเอาไง ฉันจบแล้วแต่พวกนายไม่จบรึไง รึจะเอาตรงนี้....”

    “แพคฮยอนหยุด พอ!” จงอินดึงแขนเล็กๆนั่นเข้าหาตัว ขณะที่สายตาจะตวัดมองอีกฝ่ายซึ่งทำท่าจะตรงเข้ามาเหมือนกัน

    “แก หลบไปไอ้หน้าตาย”

     

    จงอินถูกเอ่ยคำสบประมาทออกมาเสียงดัง แต่เขากับแพคฮยอนไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ แต่เรื่องแบบนี้หากคิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร

    รุ่นพี่ที่ไม่น่านับถือกำลังถือโอกาสส่งหมัดมา โชคดีที่จงอินเอี้ยวตัวดึงแพคฮยอนหลบทัน คนตัวเล็กเจ็บใจจะตรงเข้าไปเอาคืนบ้างแต่อีกคนก็ดันรั้งเขาเอาไว้

    “ปล่อยสิวะ”

    “ไม่ได้แพคฮยอน นี่มันมหาลัยนะ”

    “แล้วทีมันล่ะ”

    “ไม่อยากให้จบรึไง”

     

    จงอินพูดถูก ถ้ายังหาเรื่องกันแบบนี้ ไม่มีทีท่าจะจบแน่ เขาไม่ได้กลัวแค่ไม่อยากเสียเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ ในระหว่างที่คนทั้งสองกำลังมองหน้ากัน พวกที่คอยหาเรื่องก็ถือโอกาสอีกครั้ง

     

    แต่ครั้งนี้จู่ๆมือของใครสักคนก็โผล่มาดันข้อมือหนาๆเอาไว้ หมัดนั้นจึงหยุดค้างกลางอากาศ มือบางๆแต่แรงกลับมหาศาล .. มือของผู้หญิง

     

    “อ๊ะ ... โทษนะคะพี่ นี่เพื่อนหนูเอง อย่าทำอะไรเค้าเลยนะคะ”

     

    คริสตัล ...

     

    หญิงสาวหันมายิ้มให้ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตาคู่สวยขยิบให้หนึ่งทีอย่างรู้กันแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับรุ่นพี่พวกนี้ต่อ จงอินรู้ดีว่าคริสตัลถนัดศิลปะการป้องกันตัว และก็รู้ด้วยว่าตอนนี้เธอกำลังสวมวิญญาณนักแสดงอยู่

    “พี่คะ ขอร้องล่ะค่ะ อย่าทำอะไรพวกมันเลยนะคะ” เสียงเล็กๆเอ่ยอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร คริสตัลทำทีตำหนิพวกเขาทั้งสองที่ไปหาเรื่องรุ่นพี่ก่อน

     

    “เหอะ .. ครั้งนี่จะยอมปล่อยไปนะ คราวหลังถ้าเห็นแกยุ่งกับน้องฉันอีกได้เจอดีแน่”

     

    คนพูดเดินจากไปพร้อมกับเพื่ออีกสองคนที่เดินขนาบตามไปตลอดทาง

     

     

     

     

    “เฮ้อ ... ไอ้พวกบ้านี่ ถ้าไม่ติดว่าไม่อยากให้เรื่องมันยาวนะ แม่จะซัดให้อ่วมเลย” คริสตัลยกมือเท้าสะเอวอย่างแน่วแน่ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ต้องทำให้ดูน่าสงสารไม่มีพิษมีภัยอะไร

     

     

    ร่างเพรียวในชุดลำลองเรียบร้อยหันกลับมาหาคนทั้งสอง

     

    “เฮ้ .. โอเคใช่มั้ย”

    “แน่ล่ะ ระดับเธอทั้งทีพวกฉันโอเคชัวร์อยู่แล้ว”

    “ว่าแต่ ...”

     

    คริสตัลหันมามองที่แพคฮยอน อันที่จริงพอจะเดาออกว่าคงเป็นเพื่อนคนนั้นของจงอิน

    “นี่แพคฮยอน เพื่อนฉันเอง .. ส่วนนี่คริสตัล แฟนฉันเอง เธอเรียนอยู่อเมริกาน่ะ” จงอินแนะนำให้รู้จักกันทั้งสองฝ่าย

     

    “ขอบใจนะ” แพคฮยอนยิ้มตอบสั้นๆ เขาคิดว่าจะเดินไปจากตรงนี้แล้วล่ะ

    “นี่ คราวหลังอย่าไปใกล้พวกมันนะ” จงอินพูดขึ้น

    “ฉันไม่ได้เริ่ม พวกมันมาหาเรื่องก่อน ทำไมไม่ไปห้ามพวกมันล่ะ” แพคฮยอนสวนกลับทันควันเล่นเอาคนฟังเกือบจะหัวเสียอีกครั้ง คริสตัลไม่พูดอะไรนอกจากยืนดูเฉยๆ

    “พูดดีๆได้มั้ย ไม่สำนึกเลยนะว่าไปตรงไหนก็มีแต่เรื่อง” จงอินว่าแพคฮยอน คริสตัลแสร้งมองไปทางอื่น เธอยอมรับว่าที่จงอินพูดมันก็แรงไป

    “งั้นเหรอ .. นายว่าฉันใช่มั้ย เออสิ มีแต่เรื่องแล้วไง ไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าเข้ามาใกล้” แพคฮยอนพูดเรียบๆแต่สายตามีแววไม่พอใจ จงอินไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายต้องโกรธเขาขนาดนี้ด้วย

     

    แต่พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พอจะเข้าใจได้

     

    “แพคฮยอน เรื่องวันนั้นฉันขอโทษนะที่ผิดนัดนาย”

    “..... เหรอ ไม่เป็นไร ฉันลืมไปแล้ว” ร่างเล็กจ้องกลับก่อนจะจับสายกระเป๋าเป้ไว้แน่นพลางเดินออกมาจากตรงนั้น

    “เดี๋ยวก่อนสิ ... นายยังไม่บอกเลยนะว่าเมื่อคืนทำไมไม่รับโทรศัพท์” จงอินตะโกนรั้งแพคฮยอนเอาไว้

    “ไม่ว่าง”

    “แพคฮยอน .. ขอร้องเถอะนะช่วยฟังกันหน่อย”

    “ก็ฟังแล้วนี่ไงเล่า .. อ้อ ถ้าเรื่องงาน เกือบลืมเลย” ว่าแล้วก็ก้มเอาเอกสารปึกเดิมที่เขาอุตส่าห์ทำมันอย่างดีออกมา จงอินไม่ได้สนสักนิด

    “ก็บอกแล้วไงว่าวันนั้นฉันขอโทษที่ผิดนัด ลืมจริงๆ”

    “เอ้านี่ เสร็จหมดแล้ว” แพคฮยอนไม่ฟังอะไรนอกจากยื่นเอกสารรายงานให้คนตรงหน้า  จงอินจำต้องรับเอาไว้ และโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เดินจากเขาไปแล้ว

     

    คริสตัลมองจงอินที่ยืนทื่ออยู่กับที่ เธอถอนหายใจเบาๆ

     

    “ฉันไม่เคยเห็นนายมีปัญหาอะไรแบบนี้กับเพื่อนคนไหนเลยนะ นี่เพื่อนใหม่ใช่มั้ย ดูท่าปากร้ายแต่ใจดีนะ ถ้ายังไงคืนดีกันเร็วๆล่ะ”

     

     

     

     

    หลังจากเหตุการณ์ยุ่งๆผ่านไปแล้ว จงอินและคริสตัลจึงกลับมานั่งอยู่กับเพื่อนอย่างเดิม ลู่หานและมินซอกได้แต่มองหน้ากันเล็กน้อยโดยไม่ถามอะไรเพราะจากที่ยืนมองอยู่ไกลๆก็รู้ได้

     

    “อีกชั่วโมงมีเรียนว่ะ” ลู่หานเอ่ย เขามองจงอินที่ดูจะเหม่อๆเหมือนอารมณ์ไม่ปกติ

    “อืม”

     

    จงอินตอบแค่นั้นขณะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คริสตัลยักไหล่ให้เพื่อนสองคนที่เหลือแทน เธอยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าอีกฝ่ายคงยังไม่อยากพูดอะไร คริสตัลเงียบไปบ้างก่อนที่มือถือของเธอจะดังขึ้นเพราะเสียงข้อความ ใบหน้าสวยก้มอ่านอยู่คนเดียวเงียบๆ

     

    ในตอนนี้ทั้งจงอินและคริสตัลจึงต่างเงียบกันไปท่ามกลางสายตาทั้งสองคู่ บรรยากาศหม่นๆล้อมรอบกายทั้งสองเอาไว้ มินซอกมองลู่หานเหมือนขอความเห็นแต่อีกฝ่ายก็ทำได้แค่หยิบมันฝรั่งทอดในถุงเข้าปากไปแบบช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน

     

     

     

     

     

     

    คลาสเรียนวิชาเอกของคณะกำลังดำเนินไปอย่างทุกที

    แต่ที่ต่างไปมีเพียงคนบางคนที่ถ้าไม่หลับก็ฟังอาจารย์อธิบายไป ลู่หานรู้ดีว่าคนเก่งแบบจงอินก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่วันนี้มันคืออะไร ไอ้อาการที่เอาแต่มองไปยังอีกมุมของห้องเล็คเชอร์แบบนี้มันคืออะไร

    “เฮ้ยมินซอก นายดูมันสิ ดูมัน”

    “เห็นแล้ว จงอินมองแพคฮยอนตลอดเลย ให้ตายสิ ทะเลาะกันแบบนี้แล้วที่ต้องช่วยติวให้เค้าจะรอดมั้ยเนี่ย”

     

    ทั้งสองแอบกระซิบนินทาเพื่อนรักข้างกายโดยไม่ให้เจ้าตัวได้ยิน จงอินสูดหายใจเข้าก่อนจะปล่อยมันออกเสียงดังแล้วหันกลับมา สักพักก็มองไปใหม่

     

     

    ทางฝั่งคนที่ถูกมองมาก็กลับไม่รู้ตัวอะไร แพคฮยอนนั่งเงียบๆฟังอาจารย์อยู่ข้างกับเพื่อนสองคน คยองซูที่นั่งอยู่ตรงกลางจึงเอ่ยขึ้นก่อน

    “ไงล่ะแพคฮยอน คนที่พวกกูหามาติวให้มึงน่ะ”

    “ใคร”

    “ก็คิมจงอินไง”

    “........... มึง ว่าไงนะ!

    “ชู่วววว เบาๆสิมึง”

    “ก็มึงพูดอะไรน่ะคยองซู”

    “อ้าว .. มึงไม่รู้รึไง เค้าไม่ได้บอกมึงหรอกเหรอ” คยองซูขมวดคิ้วกับท่าทางตกใจยกใหญ่ของเพื่อนตัวเอง เขาปล่อยให้แพคฮยอนอ้าปากค้างเหมือนคิดอะไรอยู่คนเดียว เซฮุนที่นั่งถัดไปจึงเอ่ยตามบ้าง

    “ก็เค้ากับมึงดูสนิทกันดี แล้วพวกเราก็ไม่มีใครแล้วนะเว้ยที่จะเก่งแล้วพอจะช่วยมึงได้น่ะ กูคิดว่าคนๆนี้เหมาะสุดแล้ว มึงไม่พอใจอะไรรึเปล่า”

    “...................”

     

    แพคฮยอนไม่ตอบอะไรนอกจากเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรงให้ดูเหมือนกับว่าเขารู้สึกเฉยๆกับมันมาก

     

     

    คลาสเรียนวิชานี้ได้จบลงไปแล้ว นักศึกษาทยอยเดินออกจากห้องเรียนขนาดใหญ่รวมถึงแพคฮยอนด้วย เขาเดินก้มหน้าตามหลังคยองซูและเซฮุนออกไปติดๆ แต่แล้วแขนข้างหนึ่งก็ถูกมือใครสักคนคว้าเอาไว้และเมื่อหันไปก็พบว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าที่สุด

     

    จงอินไม่รอให้แพคฮยอนพูดอะไร เขาดึงร่างนั้นให้หลบมายังผนังอีกทางเพื่อไม่ให้ขวางทางใคร คยองซูและเซฮุนที่ผิดสังเกตจึงหันมาเห็นเข้า รวมถึงลู่หานและมินซอกที่ตามจงอินมาเช่นกัน เพื่อนของทั้งสองฝ่ายเงยหน้ามองกันด้วยอย่างมีคำถามแต่ทุกคนก็ต้องเบนความสนใจไปยังสองคนที่ดูจะมีปัญหากันต่อ

     

    “เป็นอะไร” จงอินถามสั้นๆ ใบหน้านิ่งๆยังคงแสดงออกอย่างเคยทั้งที่มือก็ยังไม่ปล่อยออกไป
     

    “เป็นอะไร .. อะไรยังไง”
     

    “ก็ที่หลบหน้าฉันไง”
     

    “ไม่ได้หลบ นายนั่นแหละจะเอาอะไร รายงานก็เสร็จแล้ว หรือว่าต้องให้ฉันแก้อะไรอีก” แพคฮยอนเชิดหน้าถามเรียบๆ ท่าทางแบบนั้นจงอินก็พอเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ แต่เพราะไม่มีอะไรนี่แหละที่มันทำให้เขารู้สึกติดขัดแปลกๆอยู่ในใจ ใบหน้าคมเข้มถอนหายใจแล้วปล่อยมือออกจากแขนข้างนั้น
     

    “แล้วเพื่อนนายไม่ได้บอกเหรอว่าฉันจะช่วยติวให้นาย”
     

    “ลำบากใจมั้ยล่ะ หรือแค่คิดว่าทำบุญกับคนโง่ๆ”
     

    “นี่! .. นายเลิกพูดอะไรแบบนี้ได้แล้ว ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบประชดนักฮะ” จงอินหมดความอดทนขึ้นมาดื้อๆ ส่วนแพคฮยอนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะประชดอีกฝ่ายออกไปทำไม จงอินไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วเขาเป็นอะไรไป ไม่พอใจอะไร
     

    “เลิกไม่พอใจฉันได้แล้ว เรื่องจะติวให้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ” จงอินเอ่ยอย่างใจเย็น

    “แล้วฉันไปเป็นเพื่อนกับนายเมื่อไหร่กันเล่า!

     

    แพคฮยอนหลุดตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายเสียงดังแล้วเดินแหวกกลุ่มเพื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    “เดี๋ยวสิ แพคฮยอน เดี๋ยว....”

    “เฮ้ยจงอิน หยุดก่อนเว้ย!” ลู่หานเข้าดึงแขนเพื่อนตัวเองเอาไว้ไม่ให้วิ่งตามไป มีเพียงเซฮุนเท่านั้นที่วิ่งตามแพคฮยอนไป คยองซูหันมาหากลุ่มของจงอินและพูดบางอย่างใบหน้าปกติ

    “ฉันไม่รู้ว่าพวกนายเป็นอะไรกับเพื่อนของฉันหรอกนะ แต่ว่าแพคฮยอนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้ายังไงค่อยๆพูดกันก็คงไม่มีอะไรหรอก .. คิมจงอิน ไม่รูว่าที่ขอร้องให้นายช่วยติวให้หมอนั่นจะลำบากนายมั้ย ถ้ายังไงก็แล้วแต่นายเลยนะ ขอบใจมากเลย ถ้าแพคฮยอนทำอะไรไม่ดีก็ขอโทษแทนด้วย ฉันขอตัวล่ะ” คยองซูยิ้มให้พวกเขาแล้วรีบเดินจากไปอีกคน

     

    จงอินไม่พูดอะไรนอกจากสะบัดแขนออกจากเพื่อนตัวเอง ร่างสูงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา

    “นายโอเคมั้ยจงอิน” มินซอกถาม

    “นั่นสิ ทะเลาะกันกับแพคฮยอนเนี่ยนะ” ลู่หานถามขึ้นอีกคน

    “ทะเลาะอะไร วันนั้นฉันผิดนัดหมอนั่นเรื่องงาน แต่ก็ขอโทษไปแล้ว แล้วรายงานมันก็เสร็จแล้วด้วย แต่เค้าก็เอาแต่หลบหน้าเหมือนไม่พอใจฉัน แบบนี้หมายความว่าไงล่ะ” จงอินถอนหายใจ

     

    ภาพแบบนี้เพื่อนทั้งสองไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต นอกจากคริสตัลแล้วพวกเขาไม่เคยเห็นใครที่คนอย่างจงอินจะคิดตามได้ขนาดนี้ กรณีของคริสตัลน่ะมันไม่แปลก แต่นี่แค่เพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จัก

     

    “นายดูร้อนรนเรื่องของแพคฮยอนจังเลยนะ” ลู่หานถามเบาๆ และนั่นก็ทำให้คนฟังต้องชะงัก จงอินมองเพื่อนทั้งสองก่อนจะปั้นหน้าเรียบเฉย

    “ก็ฉันต้องติวให้คนไม่ได้เรื่องแบบนั้น แล้วมาเดินหนีกันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน” จงอินอธิบาย

    “แล้วถ้าไม่มีเรื่องติว นายก็จะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม”

    “.................”

     

    จงอินเงียบไปอีกครั้งเมื่อคำถามนั้นมันดูเหมือนจะจี้บางจุดในใจของเขา ไม่มีการตอบอะไรนอกจากเบือนหน้าหนีสายตาของเพื่อน

     

    “ช่างมันเถอะ ไม่คิดจะสนหรอกนะเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ .. ไปเรียนกันต่อแถอะ”

     

    ร่างสูงเดินผ่านเพื่อนทั้งสองที่มองตามหลังไปอย่างไม่เข้าใจ ลู่หานสบตากับมินซอกพลางส่ายหน้าช้าๆ

    “มันคิดว่าเรากินหญ้าล่ะมินซอก ..”

     

     

     

     

     

     

     

    แพคฮยอนยืนเหม่ออยู่ในผับที่เขามาทำงานพิเศษ เสียงเรียกและใบหน้าตำหนิของผู้จัดการคนเดิมทำให้เขาต้องรีบเรียกสติคืนมา ตอนนี้ในหัวมันเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขานึกถึงคำถามของเซฮุนที่บอกว่าเขาไปโกรธอะไรคนๆนั้น นอกจากเรื่องผิดนัดแล้วมันมีอะไรอีกหรือไง

     

    .. นั่นสินะ หมอนั่นขอโทษแล้ว งานจบไปแล้ว อุตส่าห์จะช่วยติวให้อีก แล้วเราเป็นอะไร ทำไมรู้สึกไม่อยากเจอหน้าเค้าล่ะ โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

     

    “เฮ้อ ...........”

     

    แพคฮยอนเดินหลบมาพ่นลมหายใจอยู่ในส่วนด้านนอกของตึก เขาถอนหายใจจนตัวจะลีบอยู่แล้ว มือเล็กๆควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วจัดการกับมันอย่างเคย

     

    ควันสีเทาพวยพุ่งออกจากริมฝีปาก ที่สูบเพราะไม่อยากคิดถึงแต่แล้วไอ้บุหรี่นี่แหละที่ทำให้ต้องคิดมากกว่าเก่า ทั้งตอนถูกจับได้ว่าขายบุหรี่ ทั้งตอนที่ถูกยึดไปเก็บไว้ก่อนจะคุยเรื่องงานเสร็จ เรื่องราวมากมายที่มีไอ้บุหรี่นี่เข้าไปติดอยู่ด้วยกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัว ไหนจะตอนที่ไปทวงคืนกับเด็กพวกนั้นแล้วถูกพวกมันลากไปทำร้าย คนที่มาช่วย .....

     

    “โว้ยยยยย ........”

     

    แพคฮยอนโยนมวนบุหรี่ที่ติดไฟอยู่ตรงปลายลงไปกับพื้นปูน เท้าข้างขวารีบเหยียบลงไปแล้วขยี้ๆมันจนแหลก

     

    “บ้าเอ๊ย .. อะไรวะแบบนี้ หยุดคิดสิวะแพคฮยอน!

     

     

    เมื่อคิดจะระบายอารมณ์แต่ผลกลับตรงกันข้าม แพคฮยอนจึงเดินเร็วๆเพื่อจะกลับไปทำงานต่อ แต่ระหว่างทางก็มีผู้ชายหน้าตาดีสองคนเดินสวนเขามา มันไม่แปลกอะไรหรอกแต่จะอดมองได้ที่ไหน คนทั้งสองเดินตัวติดกันพลางจับมือในแบบที่เพื่อนกันเขาไม่ทำกัน

     

    แพคฮยอนเดินผ่านมาก่อนจะเหลียวหลังไปมองภาพแบบนั้นอีกครั้ง หัวใจของจู่ๆก็นิ่งไปก่อนจะค่อยๆเต้นเร็วขึ้น ชายหนุ่มสะบัดไล่ความคิดก่อนจะรีบเดินเข้าไปทำงานต่อ

     

     

     

     

     

    ดึกดื่นแบบนี้ปกติแพคฮยอนกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้เจอแม่นักหรอก แต่นี่ดูท่าว่าเจ้าหล่อนจะยังอยู่ในช่วงลางานหรือเปลี่ยนเวลาร้องเพลงอะไรทำนองนี้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ด้วยเท่าไหร่

     

    ไฟในบ้านเปิดอยู่ แพคฮยอนมองรถคันหนึ่งที่หน้าบ้านอย่างสงสัยก่อนจะเดินเข้าไป แต่แล้วแขกที่คิดว่าเป็นเจ้าของรถคันนั้นก็เดินผ่านเขาออกมา ชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีสะอาดส่งยิ้มให้เขานิดหน่อยแล้วเดินไปยังรถของตัวเอง แพคฮยอนเดินเข้ามาในบ้านพบกับแม่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

    “แหม .. หนุ่มที่ไหนมาหาอีกล่ะ”

    “ไอ้ลูกบ้า หนุ่มที่ไหนจะมาสนฉัน เรื่องแบบนี้ไม่คิดหรอกน่ะ”

    “แต่แม่ออกจะสวย” แพคฮยอนว่าพลางนั่งลงโซฟาฝั่งตรงข้าม

    “ขอบใจ แต่เมื่อกี้ไม่ใช่”

    “งั้นใคร”

    “รุ่นน้องน่ะ มาปรึกษาปัญหาหัวใจ”

    “อ้อ .. เรื่องใหญ่สินั่น ดูหน้าติดจะเครียด” ลูกชายเอ่ยกับแม่ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ มือบางเอื้อมไปยกขวดน้ำที่วางบนโต๊ะอยู่แล้วขึ้นดื่ม

    “ก็ไม่เชิงว่าใหญ่อะไรหรอก มันกำลังวิตกว่าผัวมันนอกใจน่ะสิ”

     

    พรืด!!!

     

     

    แพคฮยอนสำลักน้ำเมื่อได้ยินที่แม่พูด แพคฮาส่งสายตาตำหนิมาให้ลูกชายที่ไม่เอาไหน

    “ระวังหน่อยสิ แกนี่นอกจากไม่มีมารยาทแล้วยังจะมาทำพิเรนทร์อีกนะ”

    “ปะ เปล่านี่ .. ก็ที่แม่บอกว่าผัวอะไรนั่นน่ะ ผู้ชายคนนั้นมีผัว”

    “ก็เออสิ ถามเหมือนเรื่องแปลกอะไร”

    “ก็......”

    “มันก็งอนเค้าแล้วเอาแต่หลบหน้า แต่พอเค้าไม่มามันก็เสียใจอยู่นั่น พอเค้ามาก็เอาแต่หลบหน้าอีก ... เฮ้อ จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็มีอารมณ์แบบนี้กันทั้งนั้นสินะ ฉันก็ให้คำปรึกษาได้เท่าที่พอจะช่วยแหละ นอกนั้นมันก็เรื่องของคนสองคน”

     

     

     

    ระหว่างที่แม่กำลังพูดเรื่องอื่นต่อ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงานพิเศษของเขา เรื่องอะไรต่อมิอะไร แต่แพคฮยอนกลับรับมันเข้ามาในหัวแล้วทะลุออกหูอีกข้างไป ชายหนุ่มได้เพียงแค่นั่งนิ่งไปกับความคิดที่ระเบิดอยู่ในหัว

     

     

     

     

    คนสองคน เรื่องของคนสองคน


    เรื่องของผู้ชายกับผู้ชาย

     

     

    ไม่หรอก ... ไม่ใช่หรอกน่ะ ไม่มีทาง

     

     

    ไม่

     

     

    กูไม่ใช่เกย์โว้ย!!!!

     

     

     

     

     

    หลังจากที่ความคิดทั้งหมดตรงเข้ามาครอบจิตใจ พยอนแพคฮยอนคนนี้จึงเรียกสติทุกอย่างกลับมา เขาพยายามหาจุดนั้นที่ว่าทำไมต้องไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่าย ในสมองเหมือนทำทีหาเหตุผลแต่หัวใจลึกๆมันรู้อยู่แล้ว แต่ต้องทำยังไงล่ะ ไม่หรอก มันต้องไม่ใช่แบบนั้น

     

     

     

     

    นั่นสิ ฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องหลบหน้านายนี่นะ เพราะงั้นไว้เจอกัน .. คิมจงอิน

     

     

     

    .

    .

    Tbc. Part 9








     

     

      

     

    สวัสดีค่ะ ยอมให้ฟาดแรงๆที่ดองนานเกือบสองเดือน คือครั้งแรกโดน Lonely Flower ตัดหน้าให้ดอง
    ครั้งที่สองโดน
    White Wolf ลัดคิวอีก ..... งือออ ขอโทษนะคะ เรื่องนี้เลยไม่ต่อกันดีๆสักที
    ไม่ทันแล้วด้วยเพราะอาจจะจบแล้ว หงิ
    ! เขียนๆมาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจสุดว่ามันจะดี ;___; 

     

    ช่วงนี้คนเขียนนางป่วยค่ะ เลยอาจไม่ได้ตอบใครที่เมนชันมาทวงฟิคนะคะ ไม่ไหวจริงๆ ไว้กลับมาฟิตแล้วคงจะดีขึ้น

     

    พาร์ทนี้เป็นอะไรที่ ... ประมาณว่าทำให้ค้างกว่าเดิมไหม?? แล้วน้องแพคงอนอะไรพี่เสี่ยล่ะคระ น้องแพคอย่าทำแบบนี้สิ มาดแมนมันจะดรอปลงนะคะขุ่นลูก TvT / ใบ้ให้เล็กน้อยว่า พ่อพระเอก(น่าจะ)เป็นฝ่ายชัดเจนก่อน มันถูกปั่นหัว 5555 

     

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ จริงๆนะ ><!!





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×