ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] Broken in Silence .. (KyuMin)

    ลำดับตอนที่ #12 : Broken in silence .. // 6 //

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 681
      2
      20 ก.ย. 54

     

















    .. Chapter 6 ..





                   คนทั้งสามที่เข้ามาอาศัยอยู่ก็ไม่คิดจะกลับไปเสียที คุณเจ้าของบ้านที่ไม่ได้ยินดีนักก็ไม่คิดอยากจะพูดอะไร คิบอมได้แต่มองดูเจ้านายตัวเองกับคุณอีซองมินที่เป็นอีกหนึ่งประเด็นหลักของเรื่องทั้งหมด ชายหนุ่มรู้ดีว่าความรู้สึกของตัวเองนั้นเทียบไม่ได้กับความรักของคุณชายเลยแม้แต่นิด เขารู้ว่าคุณชายรักอีกฝ่ายมากแค่ไหน คนสองคนที่รักกันกลับต้องมามีอุปสรรคซึ่งเขากับรยออุครับรู้ทุกอย่าง

     

                 “ผมช่วย”


                
    คิบอมเอ่ยขึ้นในตอนเย็นก่อนจะออกไปข้างนอกกับรยออุคซึ่งรออยู่ข้างนอกแล้ว เขาอยากจะช่วยซองมินยกของก่อนจะปิดร้าน

                 “ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ” ใบหน้าหวานยิ้มบางๆให้ คิบอมถอนหายใจพลางมองตามร่างของซองมินไป แล้วเขาก็ตัดสินใจเดินไปหาใกล้กว่าเดิม

                 “นี่คุณอีซองมิน ผมมีเรื่องอยากจะบอก”

                 “อืม .. ว่ามาสิ” ซองมินหยุดเดินและพร้อมจะฟัง เขาสังเกตได้ว่าใบหน้าของคิบอมดูจะประหม่าเล็กน้อย

                 “คือ ผมขอโทษนะเรื่องวันนั้น วันที่เราดูพลุกันน่ะ”

                 “เรื่องนั้นน่ะเอง บอกกี่ทีแล้วไงว่าฉันไม่ได้โกรธ นายก็แค่คิดถึง..”

                 “ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมอยากขอโทษน่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น” คิบอมขัดขึ้นตรงๆ ทำให้คนฟังต้องเงียบไป

                 “คือ เรื่องแฟนเก่าที่บอกคุณไปน่ะ ผมโกหก .... ที่จริงแล้วผมไม่เคยมีแฟน ผมสร้างเรื่องขึ้นเอง”

                 “..............” คนฟังเงียบไปแทบจะในทันที ซองมินมองหน้าคิบอมโดยที่ยิ้มน้อยๆของเขากำลังเจื่อนลงไป ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งเพราะต่างฝ่ายต่างคิดไม่ออกว่าจะเอ่ยอะไร ซองมินไม่รู้ว่าจะยิ้มให้หรือว่าต้องเดินหนี เขาไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้หรอกนะว่ามันหมายถึงอะไร ก็หมายถึงว่าวันนั้นที่คิบอมจูบเขาเพราะอยากจะจูบน่ะสิ ซองมินทำหน้าไม่ถูกจึงหันไปมองทางอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิบอมที่เป็นฝ่ายผิดจึงรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                 “ผมขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณเองก็อย่าคิดมากเลย มันไม่มีอะไรหรอก”

                 “ไม่มีอะไร ทั้งที่นาย เอ่อ นายชอบฉัน .. ใช่ไหม” ซองมินเงยหน้าขึ้นถามจากใจไม่ได้เสแสร้ง

                 “ก็ คงงั้นล่ะมั้ง .. นี่คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ได้อยากให้คุณลำบากใจนะ”

                 “แต่ฉัน..”

                 “คุณไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าทำหน้าแบบนี้ได้มั้ย”

                 “..............”

                 คิบอมเห็นว่าอีกฝ่ายทำเหมือนรู้สึกผิดจึงพยายามบอกว่ามันไม่ใช่เลย

                 “คุณน่ะ ไม่ผิดตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด” คิบอมนึกย้อนไปทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องของเขา แต่มันเรื่องอื่นด้วย เพราะไม่อยากให้ซองมินลำบากใจกับความรู้สึกของเขา แต่ขณะเดียวกันคำพูดกำกวมมันก็ทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว


                
    “นายหมายความว่าไง ใครผิดแต่แรก”

                 “ผมหมายถึง .. เอ่อ ไว้เดี๋ยวคุณก็รู้เอง” คิบอมทำท่าจะเดินหนีแต่ซองมินก็ขวางเขาเอาไว้ก่อน ร่างสูงเลยได้แต่ด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าหลุดพูดอะไรออกไปเลยจริงๆ

                 “อะไรกันคิบอม มีอะไรทำไมไม่บอก”

                 “ก็บอกแล้วนี่ไงว่าผมชอบคุณ” คิบอมหมดทางจึงดึงเรื่องเก่ากลับมาใหม่เพราะไม่อยากให้ซองมินถามอะไรเขาไปไกลอีก และนั่นก็ได้ผล ใบหน้าของคนแสนดีกลับมารู้สึกผิดกับเรื่องเดิมอีกแล้วสิ

                 “ฉันต่างหากล่ะที่ต้องขอโทษ ไม่นึกว่านายจะคิดแบบนั้นกับฉัน ขอบใจสำหรับความรู้สึกดีๆนะ แล้วก็ขอบใจมากนะที่ดีกับฉัน”

                 “ไม่เป็นไรหรอก .. ผมทำไปตามหน้าที่น่ะ”

                 คิบอมยิ้มกว้างให้กับซองมิน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้จากคนตรงหน้า แม้ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกแต่ซองมินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ซองมินจะไม่นึกเรื่องแย่ๆเกี่ยวกับลูกน้องที่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย แต่เขารู้สึกขอบ

    คุณสำหรับทุกอย่างระหว่างกันมากกว่า คิบอมเองก็คงรู้สึกอย่างนั้น

                 “อันที่จริงแล้ว รยออุคเค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณนะ” เมื่อเอ่ยประโยคที่แทนการอธิบายสั้นๆจบคิบอมก็ยิ้มให้อีกทีแล้วรีบออกจากหน้าร้านไปหารยออุคที่ยืนรอด้านนอก ซองมินได้แต่มองตามโดยที่เข้าใจกับสิ่งที่คิบอมพูดดี เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดรยออุคหรอกนะ แค่เสียใจเท่านั้นเอง   

     

                 แม้ซองมินจะเข้าใจว่าคิบอมทำหน้าที่ดูแลแขกของคุณชาย แต่คำว่า ทำไปตามหน้าที่มันสะกิดใจของเขาให้นึกไปถึงใครอีกคนที่เคยพูด และหากมันจะเป็นเรื่องเดียวกัน ซองมินก็ชักสงสัยแล้วสิว่าทำไมรยออุคถึงแกล้งมาทำงานที่นี่ แล้วหลอกให้เขาเข้าใจว่าเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป  .. นั่นสิ ทำไมเขาเพิ่งจะนึกได้นะ มันเพราะอะไรกัน




     

                 ค่ำคืนที่ต้องอยู่ด้วยกันในห้องมาเยือนอีกครั้ง บอดี้การ์ดหนุ่มสองคนนั้นได้ออกไปทำธุระให้กับคุณชายอย่างเคย เหลือไว้เพียงคนสองคนที่แม้จะอยู่ด้วยกันแต่ภายในห้องก็เงียบเหลือเกิน ซองมินทำเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลกไป คยูฮยอนคิดว่าเอ่ยปากไล่หรือด่ากันยังดีกว่าทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนแบบนี้ ร่างสูงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัว เล็กมุมหนึ่งของห้องขณะที่กำลังใช้ผ้าเช็ดกระบอกปืนสีดำสนิทไปเงียบๆ ถึงกระนั้นสายตาก็จดจ้องอยู่ที่ร่างเล็กซึ่งเดินผ่านเขาไปมาเพื่อเตรียมจะเข้านอน ใบหน้าคมนิ่งกับตัวเองอย่างเคย เขาก้มมองวัตถุในมือก่อนที่สายตาจะพลันไปสะดุดกับอะไรบางอย่างที่ซุกอยู่บริเวณข้างกันกับหนังสือบนโต๊ะ

     

                 .. แหวน

                 คยูฮยอนหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ จ้องมันอยู่อย่างนั้น แล้วจึงมองไปที่เจ้าของมันซึ่งหลับตาลงไปแล้ว เขาเหนื่อยทั้งกายแต่หัวใจมันมากกว่าเป็นไหนๆ เข้าใจดีว่าซองมินคงจะรับมันไม่ทันหากเขาจะเริ่มทำอะไรลงไป เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ เขาอาจจะปรับความเข้าใจกับซองมินได้ง่ายขึ้นหากว่าวันนั้นอีกฝ่ายไปโผล่เข้าไปในงานแต่งงานของเขาเสียก่อน เหตุการณ์มันจึงบีบบังคับให้เขาต้องตัดเยื่อใยให้ขาดสะบั้นจนถูกเกลียดอย่างนี้ แล้วจู่ๆจะมาสารภาพเรื่องไม่เอาไหนออกไปมันก็คงจะดูไร้เหตุผลเกินไป เขาจึงคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปน่าจะเป็นการดีกว่า และถ้ามันจะต้องเริ่มใหม่เขาก็พร้อมและยินดี

                 ส่วนคนที่กำลังข่มตาหลับอยู่นั้นก็อดจะคิดเรื่องที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ไม่ได้ เรื่องของคิบอมที่ซองมินก็ยังคงรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด ไม่ได้หวั่นไหวอะไรด้วยหรอกนะ ก็แค่วางตัวไม่ถูก ใครก็ใครลองถูกคนที่ไม่นึกว่าจะมาชอบ บอกว่าชอบทั้งที่ล่วงเกินกันไปแล้ว อย่างนี้มันก็พูดยากเหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะนะ ซองมินไม่อยากคิดอะไรที่ผ่านมาแล้วให้มากนัก ในตอนนี้กับใครอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยกันสิที่เขาควรจะคิด ไม่อยากจะมองแม้แต่หน้าแต่ดันต้องมานอนข้างกัน ผู้ชายคนนี้อยู่เหนือเขาตลอดหรือเพราะตัวเขาเองไม่ใจแข็งพอกันแน่

    ซองมินพยายามจะหลับและบอกตัวเองในใจว่าไม่เป็นไร เมื่อคืนก็ต่างฝ่ายต่างนอนไม่มีอะไรให้ต้องไปคิดถึง ไม่นานผู้ชายคนนี้ก็จะจากไป อย่าอยากรู้อะไรเลยดีกว่า เขาบอกกับใจตัวเองอย่างนั้นเพื่อลบความสงสัยที่ในตอนแรกตั้งใจว่าจะรู้ให้ได้ แต่นึกๆแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อไม่มีใครอยากให้เขารู้อะไรเลย .. มันคงไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้ล่ะมั้ง

                 แรงยวบลงของที่นอนทำให้ซองมินนอนนิ่งมากกว่าเดิมเพราะยังไม่หลับ เขารู้สึกได้ถึงเสียงหายใจของคยูฮยอนที่ห่างกันแค่เอื้อมมือ วินาทีนั้นเองที่จู่ๆสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ซองมินถูกร่างสูงโอบกอดเอาไว้จากทางด้านหลัง เขาตกใจแต่ก็นอนนิ่งให้เหมือนกับกำลังหลับไปแล้ว


                 “หลับเร็วอีกแล้วนะ คยูฮยอนเอ่ยอยู่ข้างหูของซองมินที่เขาเข้าใจว่าคงหลับไปแล้วจริงๆ ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ใจของคนในอ้อมกอดนี่สิที่เต้นตึกตักอยู่ในอก

                 แหวนวงนี้ไม่อยากใส่แล้วเหรอ คยูฮยอนยังคงเอ่ยเบาๆแต่ดูเหมือนเขาจะพูดอยู่กับตัวเองมากกว่า ไม่มีการตอบรับหรือคำด่าว่าอะไรเลยแม้แต่นิด และนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วจริงๆ และไม่มีทางที่คนซึ่งหลับไปจะได้เห็นแววตาเศร้าหมองของเขาในตอนนี้ วงแขนหลวมๆสวมกอดคนข้างกายเอาไว้ไม่ยอมปล่อยพร้อมกับแหวนในมือที่ไม่กล้าจะสวมใส่ให้คืนอย่างที่อยากจะทำ  


                 .. ทั้งที่เคยทำมาแล้ว

     

                 สองหัวใจที่แนบไว้ข้างกันในยามนี้ไม่ได้มีอะไรมากั้นเอาไว้หรอก เพียงแค่มันยังไม่พร้อมจะสื่อถึงกัน มันเหนื่อยจนล้า คืนนี้จึงน่าจะเป็นนิทราที่เงียบสงบและอบอุ่นอย่างยากจะปฏิเสธ 



      
                  

     

                                                       

     

                 ทุกอย่างเหมือนเดิมอย่างไม่ต้องคาดเดา คยูฮยอนตื่นมาก็พบว่าคนขยันลุกไปเปิดร้านแต่เช้าอย่างเคย อาหารเช้าแสนธรรมดาที่แม้ไม่ได้พิเศษหรือพิถีพิถันอะไรแต่เขาก็ยอมรับทุกครั้งว่ามันถูกปากตลอดไม่เคยเปลี่ยน คยูฮยอนอยู่กับตัวเองจนเริ่มจะคิดได้ว่าที่ผ่านมามัวทำบ้าอะไรอยู่ ไม่กี่วันมานี้ที่อยู่กันสองคนเขามัวทำอะไร

                 ในยามสายที่ลูกค้าเพิ่งกลับออกไปได้ จู่ๆร่างเล็กก็ดึงประตูร้านปิดลงก่อนจะขึ้นป้ายว่าไม่อยู่ตรงประตูกระจกด้านหน้า ไม่นานนักเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กก็แล่นออกไปจากหน้าบ้านเสียแล้ว คยูฮยอนตามออกมาดูก็พบว่าซองมินออกไปพร้อมกับดอกไม้หลายช่อของลูกค้า

                 “เฮ้อ ... จะไปทำไมไม่บอกกันเลยซักคำ”

                 ชายหนุ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่นึกเลยว่าผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งคนนี้จะทำให้เขาวิ่งตามอยู่ได้ไม่มีหยุดหย่อน คยูฮยอนเตรียมจะวิ่งออกไปยังรถเพื่อขับตามซองมินไปเพราะเขาไม่ไว้ใจ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน





     

                 Rrrrrrrrrrrrrrrrr

     

                 “ว่าไงคิบอม .. ตอนนี้ตำรวจเข้ามาถึงแล้วใช่ไหม อืมๆ.. ว่าไงนะ  ตอนนี้เลยเหรอ งั้นรออยู่นั่นแหละ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” คยูฮยอนวางสายไปก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายกลับไปที่โซลแทน คิบอมถามเขาเกี่ยวกับเรื่องทางนี้แต่คยูฮยอนคิดว่าในเมื่อมันจำเป็น คงไม่มีอะไรหรอก .. ใช่ เขาอาจคิดมากไปเอง  รีบไปรีบกลับจะดีกว่า

                 ซองมินจอดรถลงที่หน้าบ้านของลูกค้าในมุมหนึ่งของเมือง ร่างเล็กมองตามรถคันคุ้นตาที่วิ่งผ่านไปตามถนนอย่างรวดเร็ว คยูฮยอนไม่เห็นเขาหรอก เขากำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายไปไหนหรือว่าจะตัดสินใจไม่อยู่ที่นี่แล้ว ซึ่งมันน่าจะดีอย่างที่ซองมินต้องการ แต่เอาเข้าจริงกลับเหมือนกำลังหลอกตัวเองอยู่ รู้สึกเหมือนกับการจากลาแบบเดิมที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ .. ไม่ได้อยากให้ไปจากกัน


                 “ดีแล้วน่ะซองมิน เข้มแข็งสิ.....”

     

                 ความรู้สึกส่วนตัวปนเข้ากับงานอีกจนได้ แม้ว่าต้องแวะส่งของให้ลูกค้าหลายที่ แต่มันไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ซองมินทำไปด้วยใจที่บังคับร่างกายให้เอื่อยราวกับสายลม เวลาจึงล่วงเลยเข้าสู่ยามเย็นให้หมดวันไปโดยที่เขายังไม่ได้กลับไปที่ร้าน รู้ตัวอีกทีก็มานั่งเหม่ออยู่ริมแม้น้ำข้างสวนสาธารณะแล้ว ไม่ได้ตั้งใจมาให้คิดถึงว่าครั้งหนึ่งเคยมีความทรงจำที่ดีที่สุด ณ ที่นี่ แสงอาทิตย์อัสดงสะท้อนกับผืนน้ำให้ดูหมดหวังไปกว่าเก่า ร่างเล็กนั่งทิ้งตัวเองให้อยู่ที่เดิมตามลำพังก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปให้เขารู้สึกถึงความมืดรอบกายที่เริ่มก่อตัวขึ้น

                 ซองมินถอนหายใจสะบัดหัวตัวเองไล่น้ำตาที่ทำท่าจะไหลอยู่หลายครั้ง

                 “อย่าร้องนะ คนขี้แย....”

     






                 ค่ำแล้วสิ มอเตอร์ไซค์คู่ใจคันเล็กแล่นช้าๆไปตามถนนในเมืองออกสู่อีกเส้นทางซึ่งไม่ได้ห่างไกลเท่าไหร่นัก ถนนเล็กทอดยาวไปยังทางที่หากเลี้ยวอีกทีจะเป็นทางตรงเข้าไปยังที่ร้านดอกไม้ของตัวเอง เมื่อเริ่มค่ำทางก็เริ่มจะเปลี่ยวปลอดผู้คน รถยนต์คันหนึ่งขับผ่านหน้าเขาไปก่อนที่สักพักจะตวัดจอดขวางทางเขาเอาไว้



    ซองมินจอดรถแล้วมองตามภาพตรงหน้าที่เขาเห็น คนขับที่ดูท่าทางไม่ได้สติเท่าไหร่ผลักประตูออกมาแล้วตรงเข้าอาเจียนที่ข้างทางเพราะความเมามาย เสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มที่ดูก็รู้ว่าคงเพิ่งเลิกงานนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งซึ่งซองมินที่อยู่ห่างออก
    มายังได้กลิ่นมันดี นี่ล่ะนะที่คนเขาพูดว่าบางคนเมาแล้วเหมือนหมาข้างถนน อีซองมินก็เพิ่งเข้าใจวันนี้เองนี่แหละ           
     

                 “ฮึก .. ฮือ ผู้หญิงใจร้ายอย่างเธอ จิตใจทำด้วยอะไร ทำกับฉันแบบนี้ได้ไง อึก .. อย่าให้ฉันเจออีกเลย ....อ๊อก คร่อกๆ” เสียงทุ้มต่ำกำลังครวญครางต่อว่าตัดพ้อใครสักคนที่ซองมินไม่รู้จัก ขณะที่ก้มหน้าก้มตาอาเจียนในสภาพที่ดูแล้วมันแย่เกินจะทนในสายตาของคนที่เฝ้าดูอยู่ ซองมินพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงถูกใครหักอกมาเป็นแน่ เขาทนไม่ไหวจึงต้องลงจากรถแล้วเดินตรงเข้าไปหา หมายจะช่วย

                 “คุณครับๆ เป็นอะไรมากมั้ย คุณเมามากแล้วนะครับผมว่ารีบกลับบ้านดีกว่ามั้ย” มือสองข้างคว้าเข้าที่แขนคนตรงหน้าอย่างเกรงใจอยู่บ้าง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

                 “อย่ามายุ่ง ปล่อยโว้ย.....” ชายคนนั้นสะบัดแขนแล้วผลักซองมินออกมา คนหวังดีเลยถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว

                 “คุณครับ คุณมีอะไรให้ผมช่วยมั้ย”

                 “บอกแล้วไงวะอย่างมายุ่ง อึก .. อย่ามายุ่งกับฉันเลย ผู้หญิงใจร้ายอย่างเธอก็ดีแต่หลอกลวงคนอื่น” ร่างสูงใหญ่ที่เอาแต่เซจนแทบจะยืนไม่อยู่หันมาตวาดใส่ราวกับว่าเขาเป็นผู้หญิงคนนั้น ซองมินทำหน้าไม่ถูกไปพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาเพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเมาไม่รู้เรื่องไปใหญ่แล้ว

                 “คุณดูคนผิดแล้วล่ะครับ ผมเป็นผู้ชายนะแล้วก็ไม่ใช่เค้าคนนั้นด้วย .. มาเถอะ ผมว่าคุณรีบกลับบ้านดีกว่า” คนหวังดีที่พยายามไม่ใส่ใจหารู้ไม่ว่ากำลังเดินเข้าหาความไม่ปลอดภัย ซองมินเข้าพยุงร่างใหญ่ที่ยังคงยืนเอนไปเอนมา มือหนาของคนเมาตวัดเข้าที่ข้อมือของเขาแทนอย่างรวดเร็ว

                 “หึ .. ดูผิดงั้นเหรอ ทำกันไว้ขนาดนี้แล้วเธอยังมีหน้ามาบอกว่าดูผิด มากเกินไปแล้ว...” ใบหน้าแดงก่ำยื่นเข้าหาคนที่ดันตัวเองเอาไว้เพราะควากตกใจ ซองมินตัวแข็งทื่อไปในทันทีกับสถานการณ์ที่คิดว่าคงจะคุมไม่อยู่เสียแล้ว

                 “เอ่อ ..คุณครับ คุณ ผมไม่ใช่นะ ผมแค่จะพาคุณไปส่งที่บ้าน”

                 “หยุดพูดได้แล้ว!! อย่ามาบอกฉันว่าเราไมรู้จักกันเลย อึก ...” กลิ่นเหล้ากระแทกเข้าหน้าซองมินจนฉุนไปหมด แววตาดุดันซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาทำให้คนมองพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงเจ็บปวดมาก

                 “ผะ ผมเข้าใจคุณนะครับ แต่ แต่ว่าผมไม่ใช่เค้า คุณฟังนะว่าผมแค่จะพาคุณกลับบ้าน” ซองมินพยายามเกลี้ยกล่อมคนที่ยังล็อคเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าไม่ได้สติห่างกันแค่คืบจนคนตัวเล็กเริ่มจะกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับตนเสียแล้ว ถึงกระนั้นซองมินก็ยังทำใจดีสู้เสือเข้าไว้

                 “กลับบ้านงั้นเหรอ เออ!! งั้นก็กลับเลยแล้วกัน เธอจะได้รู้ว่าบทลงโทษของคนหลอกลวงอย่างเธอมันเป็นยังไง” ว่าแล้วชายคนนั้นก็ฉุดกระชากร่างของซองมินเพื่อจะพาขึ้นรถ ซองมินตกใจเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเมามากจนไม่รู้เรื่องแล้วทำกับเขาอย่างนี้ ร่างเล็กขืนตัวไว้พลางดึงมือตัวเองออกแต่มันก็ไม่หลุดเสียที

                 “ปล่อยผมนะคุณ ผมไม่ใช่แฟนคุณนะ คุณดูดีๆสิ”

                 “ดูดีๆงั้นเหรอ ได้ .. งั้นฉันจะพิสูจน์ดูเดี๋ยวนี้เลย” ใบหน้าของคนเมาเข้าซุกไซร้ไปตามร่างกายขาวเนียนที่สติในตอนนี้มันบอกว่าคือคนของตัวเอง ซองมินปัดป้องตัวเองเป็นพัลวันเพื่อให้หลุดพ้นจากการกระทำแบบนี้ เขาร้องบอกหลายครั้งว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นแต่พยายามเท่าไหร่มันก็สายไปอยู่ดี คนเราเวลาที่ไม่ได้สติแค่เสียงร้องเท่านี้มันไม่ได้ช่วยให้สติกลับมาหรอก คนหวังดีตอนนี้เลยกลายเป็นเหยื่อไปเสียเอง ให้ตายสิ เขาไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้เลย แม้จะกลัวแต่ในใจก็ภาวนาให้พระเจ้าดลใจผู้ชายคนนี้ให้หยุดทำเรื่องไม่ดีเสียที เขาเข้าใจนะเวลาที่เจ็บจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ .. ไม่ใช่



     

                 ซองมินหมดแรงเสียแล้ว น้ำตาพาลจะไหลเพราะน้อยใจในความโดดเดี่ยวของตัวเอง ทำไมเขาต้องมาเจอแต่เรื่องเจ็บช้ำน้ำใจตลอดเวลากันนะ ใครว่าเขาไม่กลัว ความกลัวแผ่ไปทั้งร่างของซองมินแล้ว เขากลัวจับใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ร่างของผู้ชายที่ไม่รู้จักรัดรึงเขาเอาไว้ทั้งตัว ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งโดนรวบไว้แนบตัวอีกฝ่ายมากขึ้น ใบหน้าแดงก่ำของคนเมาซบลงฉวยโอกาสที่ซอกคอขาวน่าสัมผัสจนเกิดรอยแดง ไม่ต่างกับเรียวแขนที่ถูกกำไว้จนช้ำ ซองมินกลัวจับใจและเริ่มจะขวัญเสียเข้าจริงๆ


                 หมดหวังแล้วสิ ตอนที่หัวใจมันช้ำหนักหนา ก็ไม่พ้นจะถูกซ้ำลงไปอีก


                 “ฮึก....”

     





                 แต่ในตอนที่หมดหวัง .. ใครบอกว่าพระเจ้าทอดทิ้งเขากันล่ะ

     




                 แสงไฟสว่างสาดส่องมาจากหน้ารถคันสีดำสาดส่องกระทบกับร่างของคนทั้งสองที่ยื้อยุดอยู่ตรงประตูรถ รถทั้งคันที่มาใหม่เบรกลงอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าของมันจะรีบรุดวิ่งลงมา



                 “ทำอะไรน่ะ!!


                 โจวคยูฮยอนตะโกนแทรกผ่านเข้ามา ภาพที่เขาเห็นนั้นมันช่างน่าโมโหอย่างที่สุด ผู้ชายหน้าตาไม่เอาไหนแถมสภาพดูไม่ได้คนนี้เป็นใคร ทำไมถึงบังอาจมาแตะต้องคนของเขาได้ ซองมินอึ้งไปเพราะไม่นึกว่าจะได้เจอคยูฮยอนในเวลานี้ ร่างสูงไม่รอช้าตรงเข้ากระชากคนทั้งสองออกจากกัน หมัดหนักๆเหวี่ยงเข้าที่หน้าของชายที่เมาไม่รู้เรื่อง ก่อนจะกระทืบลงไปอีกที และหากซองมินไม่ห้ามเอาไว้คนที่นอนกองอยู่กับพื้นก็คงจะได้เจ็บตัวมากกว่านี้

                 “โอย....”

                 คยูฮยอนยืนมองคนใต้ร่างที่ร้องโอดโอยไม่นานก็หันกลับมาหาคนที่เกาะแขนเขาไว้แน่น แรงสั่นจากมือของซองมินยิ่งบ่งบอกว่ากำลังกลัวแค่ไหน ใบหน้าคมก้มลงมองอีกฝ่ายไปทั้งร่างเพื่อดูว่าเจ็บอะไรตรงไหนหรือไม่ รอยแดงช้ำตามจุดต่างๆปรากฏแก่สายตาเขาทำเอาแทบพูดไม่ออกจึงทำได้เพียงข่มใจไม่ให้โมโหเข้าไว้

                 “เป็นไรมากมั้ยฮะ ใครให้กลับบ้านเวลานี้ รู้มั้ยว่าฉันเป็น...” คยูฮยอนพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นเองเรียวแขนของซองมินก็ตวัดขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แน่น แรงสั่นเทิ้มจากร่างเล็กที่โผเข้ากอดทำเอาคยูฮยอนพูดต่อไม่ออก ซองมินซบหน้าลงกับไหล่กว้างพร้อมหยดน้ำตามากมายที่กลั้นเอาไว้นั้นไหลลงซึมผ่านเข้าไปถึงผิวเนื้อของคยูฮยอน ซองมินสะอื้นเบาๆอย่างไม่ได้ตั้งใจจะให้อายเลยแม้แต่นิด จะให้บอกไหมว่าซองมินคิดว่าจะไม่ได้เจอคยูฮยอนอีกแล้ว คิดว่าจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก อ้อมแขนแกร่งค่อยๆยกขึ้นกอดรัดร่างอีกฝ่ายเอาไว้ คยูฮยอนแนบใบหน้าลงไปอย่างหวงแหน

                 “เงียบซะ ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกน่ะ”

                 “แต่ถ้าคุณไม่ผ่านมา ผม ผม...”

                 “ก็บอกแล้วไงว่าฉันอยู่นี่” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆอย่างอ่อนโยนข้างแก้มเนียนที่ยังร้องไห้ไม่หยุด คยูฮยอนกอดซองมินเอาไว้อย่างนั้น จะว่าโกรธก็โกรธหรอกนะที่อีกฝ่ายไม่ดูแลตัวเองทำให้เขาเป็นห่วง แต่คนที่สมควรให้โกรธมากที่สุดก็คือตัวเขาเองต่างหาก คลาดสายตาหน่อยก็เป็นแบบนี้ไปได้ ไม่น่าปล่อยไว้เลยจริงๆ

                 ซองมินเริ่มจะนิ่งแล้ว ร่างเล็กรู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่จึงดันคยูฮยอนออกห่างจากตัว มือบางยกปาดน้ำตาตัวเองไปมาภายใต้สายตาของคนที่มองอยู่ คยูฮยอนใจหายเล็กน้อยเวลาที่ตัวเองถูกผลักให้ออกห่าง ถึงอย่างนั้นมือของเขาก็ยังรั้งเอวบางเอาไว้อยู่ดี

                 “ไหนบอกมาซิว่าทำไมไม่รีบกลับบ้าน”

                 “คุณจะรู้ทำไมล่ะ คุณจะไม่กลับมาแล้วนี่ แล้วมันเรื่องของผมทำไมต้องบอกคุณด้วย” ดวงตาช้ำๆตวัดมองค้อนคนตัวสูงกว่า ท่าทีอวดเก่งแบบนี้แหละที่คยูฮยอนเหนื่อยจะเถียงด้วย

                 “ใครบอกว่าจะไม่กลับ

                 ก็ผมเห็นคุณไม่อยู่แล้ว

                 ก็กลับมาแล้วนี่ไง แล้วจะตอบได้รึยังว่ามาทำอะไรตรงนี้

                 เรื่องของผม

                 หึ ช่วยเอาไว้แล้วยังมาพูดแบบนี้อีกนะ”

                 “ก็แค่ผ่านมาไม่ใช่รึไง” ซองมินยังคงตั้งท่าต่อว่าคยูฮยอนอย่างเดิมทำเอาคนฟังแทบจะต้องส่ายหน้ากับความดื้อนี้เหลือเกิน ก็บอกไปแล้วไงว่าเขาไม่ได้ไปไหนแล้วยังจะไม่ยอมฟังกันอีก

                 “ใครบอกล่ะว่าแค่ผ่าน ฉันน่ะ......” คยูฮยอนกำลังจะบอกว่าเขารีบแค่ไหน เหยียบคันเร่งมาแบบคิดถึงทุกวินาทีขนาดนี้แล้วยังมาบอกว่าแค่ผ่าน แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ชายหนุ่มจะพูดไปก็พูดไม่ทันจะได้จบดีเมื่อเขาเห็นสีหน้าตกใจของซองมินที่มองผ่านไปทางด้านหลังของเขา

                 “คุณคยูฮยอน ระวังนะ!!” ซองมินร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งได้หมัดไปแค่หมัดเดียวจะลุกขึ้นมาหมายจะแก้แค้น ชายคนนั้นยกมือวิ่งเข้ามาหมายจะต่อยคยูฮยอนที่หันหลังให้ มันเร็วมากเสียจนร่างสูงไม่นึกจะป้องกันตัวเองก่อน คยูฮยอนโอบร่างของซองมินเอาไว้แล้วเบี่ยงหลบไปอีกทาง หน้าของเขาเลยถูกชกเข้าไปเต็มๆ ซองมินตกใจแต่สำหรับคยูฮยอนแค่นี้มันเล็กน้อยนัก เขาปล่อยอีกฝ่ายให้ยืนรอก่อนจะหันไปเล่นงานคนไม่ได้เรื่องให้ล้มลงไปกองกับพื้นอีกที คยูฮยอนเจอแค่หมัดเดียวแต่อีกฝ่ายกลับได้รับคืนหลายเท่านัก ซองมินเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเข้าห้ามเอาไว้ก่อน

                 “พอเถอะคุณ เค้าเจ็บมากแล้วล่ะ”

                 “เหอะ .. ให้มันเจอซะมั่งเหอะ เผื่อจะหายเมา” คยูฮยอนถอยออกมาตามคำขอร้องของซองมิน ชายหนุ่มยังเจ็บใจไม่หาย ก่อนจะนึกได้หันมาหาคนตัวเล็กที่ดูจะห่วงไอ้กร๊วกนั่นเหลือเกิน

                 “ทำไม ห่วงมันนักรึไง”

                 “ก็เค้าเจ็บมากแล้ว คุณยังจะไปซ้ำอีกทำไมเล่า”

                 “เหอะ!! จะถูกมันลากขึ้นรถแล้วยังจะมาทำสงสารมันอีกนะ”

                 “ก็เค้าไม่ได้ตั้งใจ เค้าเมามากคุณก็เห็น”

                 “แล้วไง .. แล้วถ้ามันพานายขึ้นรถไปแล้วล่ะ ถ้าฉันมาไม่ทันล่ะจะทำไง” คยูฮยอนเริ่มขึ้นเสียงและเขย่าร่างของซองมินอย่างโมโห และนั่นก็ทำให้อีกคนได้แต่เงียบไปเพราะปรับตัวไม่ทันกับอารมณ์ของคนตรงหน้าที่ก่อนหน้านี้ยังอ่อนโยนกันอยู่เลย คยูฮยอนรู้ตัวจึงถอนหายใจแล้วพยายามใจเย็นลง


                 โธ่เว้ย ..


                 คยูฮยอนไม่สบตาซองมินก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกมา



                 “ก็ถ้าฉันหานายไม่เจอขึ้นมาจะทำไง”

     

                                    

                       

     

                 เหตุการณ์เมื่อครูผ่านพ้นไปแล้ว คยูฮยอนจัดการทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์ซึ่งป่านนี้ตำรวจก็คงมาลากคนเมาที่นอนไม่รู้เรื่องไปสอบสวนแล้ว จากสภาพที่ชายคนนั้นไม่ได้แค่เมาแล้วหลับไปตำรวจจึงอยากให้เขาทั้งสองไปให้ปากคำ แต่คุณชายคยูฮยอนก็เลี่ยงที่จะไปจึงบอกแค่ว่าป้องกันตัวเท่านั้น ที่เหลือให้ไปจัดการกันเอาเอง ถ้าขาดเหลืออะไรวันรุ่งขึ้นไว้เขาจะส่งคิบอมกับรยออุคไปให้ปากคำแทน

                 หน้าร้านที่ปิดไปแล้วกลับมาทำหน้าที่บ้านหลังหนึ่งในยามค่ำคืนได้อย่างปกติ แสงไฟสว่างขึ้นไปทั่วทั้งบ้านโดยมีคนสองคนนั่งอยู่ที่โซฟามุมหนึ่งของร้าน ซองมินแม้จะยังไม่พอใจกับท่าทีของกันและกันแต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่รู้บุญคุณคนหรอกนะ


                
    “นั่งนิ่งๆสิ” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วอย่างเอาเรื่องเมื่อคนที่เขาจะทำแผลตรงมุมปากที่ถูกชกให้นั้นขยับไปมาอย่างไม่อยากให้ทำนัก เพราะหลังจากที่ซองมินเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าคยูฮยอนจะหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที แต่เขาก็ยอมนั่งนิ่งๆให้อีกฝ่ายทำแผลให้ ร่างสูงทนนั่งนิ่งไปพลางมองคนตรงหน้าที่ก้มอยู่กับกล่องยาแล้วเงยขึ้นทาอะไรสักอย่างลงที่แผลของเขา คยูฮยอนไม่เจ็บเลยแม้แต่นิด เขามองซองมินจนลืมเรื่องอื่นไปแล้ว เวลาอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะหยุดมันเอาไว้ได้ เขาจะสามารถซื้อช่วงเวลานี้เอาไว้ได้ด้วยอะไร

                 “เสร็จแล้ว .. ขอบใจคุณมากนะที่ช่วยผมเอาไว้ เลยต้องมาเจ็บเสียเอง” ซองมินก้มปิดกล่องยาแล้วทำท่าจะลุกขึ้นเอาไปเก็บแต่ก็ถูกคยูฮยอนดึงมือเอาไว้เสียก่อนและก็ยังไม่ยอมปล่อยด้วย ร่างสูงยังคงจับจ้องและไล่สายตาไปตามรอยแดงๆที่มาจากผู้ชายคนนั้น ซึ่งเขาไม่อยากจะคิดเลยว่ารอยเก่าที่ยังเกิดจากเขาก็คงยังไม่หายไปแน่ๆ

                 “มีอะไรอีกล่ะ ผมง่วงแล้ว จะรีบไปนอน”

                 “ฉันยังไม่ได้ดูเลยนะว่านายมีแผลตรงไหนรึเปล่า”

                 “ไม่มากหรอก ก็แค่เจ็บนิดหน่อย”

                 “ไม่ได้ ไหนดูซิ” คยูฮยอนบอกให้ซองมินนั่งนิ่งๆเพื่อที่เขาจะได้ตรวจดูได้สะดวก คนตัวเล็กไม่อยากทำแต่ก็ต้องยอมนั่งเฉยๆ ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้พลางสำรวจตัวเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ความห่วงใยที่คยูฮยอนแสดงออกมาทำให้ในใจของซองมินเริ่มจะอ่อนไปตามสายตานั้น แต่เขาก็ยังไม่ปักใจอยู่ดี ใครจะรู้ล่ะว่าผู้ชายคนนี้อาจจะแค่กำลังเล่นละครเพราะไม่มีอะไรจะทำแก้เบื่ออยู่ก็เป็นได้ ใจดวงน้อยพอจะเริ่มหวั่นไหวจึงรีบดึงความคิดตัวเองกลับคืนมา

                 “พอเถอะ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกไม่ต้องมาทำเหมือนห่วงก็ได้” มือบางดันอกกว้างที่ใกล้จนแทบแนบกันออกช้าๆ แต่คยูฮยอนไวกว่าที่มือยังโอบรอบเอวของคนตรงหน้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

                 “งั้นสัญญามาก่อนสิ ว่าจะไม่ไปหวังดีแบบนั้นกับใครที่ไหนอีก” ใบหน้าจริงจังจ้องตาซองมินอย่างรอคำตอบที่ตั้งใจจะเอาให้ได้

                 “อะไรของคุณเนี่ย การที่ผมทำไปมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

                 “ก็ใช่น่ะสิ ถึงนายจะหวังดีแต่คนอื่นมันอาจไม่ได้คิดแบบนั้นนะ ยิ่งดันไปเจอคนเมาในตอนงี่เง่าแบบนั้นอีก คิดว่าเรื่องเมื่อกี้มันดีนักรึไงล่ะ โธ่เอ๊ย .. ฉันบอกแล้วก็ฟังบ้างได้มั้ยฮะ”

                 “คุณบอกงั้นเหรอ ชอบออกคำสั่งแบบนี้ทุกทีแล้วใครเค้าจะอยากฟัง”

                 “ไม่ฟังก็เรื่องของคนอื่นเค้าสิ แล้วฉันก็ไม่ได้ออกคำสั่ง ฉันกำลังขอร้องอยู่รู้รึเปล่า” คยูฮยอนเอ่ยคำว่าขอร้องออกมาทำให้ซองมินนิ่งไปเพราะคำๆนี้ จากที่เถียงกันไปคยูฮยอนก็เป็นฝ่ายเสียงอ่อนลงเสียเอง


              
       “แล้วฉันก็ไม่ได้ขอร้องใคร นอกจากนายนะซองมิน”

                 “งั้นเหรอ .. แล้วมาขอร้องทำไมล่ะ”

                 “ก็เพราะว่าฉันเป็นห่วง”

                 “..................”

                 “นายมันดีเกินไปอีซองมิน ดีเกินไป .. ตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกันแล้ว” คยูฮยอนเอ่ยออกมาตรงๆ ดวงตาเรียวนิ่งจ้องมองมาอย่างแน่วแน่เสียจนคนฟังหวั่นไหว ซองมินหันหน้าหนีถ้อยคำบ้าๆพวกนี้ก่อนจะดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม

                 “ดีจนโง่ล่ะสิท่า”

                 “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นายฟังก่อนจะได้ไหม เรื่องทั้งหมดนั้นฉันอธิบายได้” คยูฮยอนเชยคางมนให้หันมาสบตากับเขา ความรักที่เคยมีมันไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ แค่สื่อไม่ถึงกันเสียที สองสายตาสบกันเนิ่นนานจนใจบางคนเริ่มจะสั่นไหว ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมานอกจากสายตาที่จ้องมองกันอยู่อย่างนั้น



    ราวกับจะสื่อถึงกันได้ แต่ก็ได้ไม่หมดเสียที


    คยูฮยอนเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่เขาหวงแหนทีละนิด และใจคนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปทั้งที่รักเต็มหัวใจจึงเกิดหวั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว ซองมินโอนอ่อนตามแรงรั้งของคยูฮยอนที่ดึงให้เข้าไปใกล้เพื่อรับจุมพิตอันหอมหวาน ความลึกซึ้งแผ่ผ่านริมฝีปากที่แนบชิดกดย้ำลงมาอย่างอบอุ่น ใบหน้าคมผ่อนปรนลมหาย
    ใจช้าๆก่อนที่เรียวลิ้นจะแทรกผ่านความหวานในรสจูบเข้าหาคนในที่เขารั้งให้เข้ามาแนบชิด

     

                 คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน .. นายจะรู้บ้างไหมว่าฉันคิดถึงมากแค่ไหน

     

                 คนตัวเล็กถูกหัวใจพาให้ต้องโอนอ่อนไปกับรสจูบอันดูดดื่ม เวลาไม่กี่นาทีดึงให้เขาแทบจะลืมทุกอย่าง .. แต่มันไม่ง่ายนะ จะให้ลืมความเจ็บและลืมว่าตัวเองแค่ถูกหลอกเพราะคำพูดพวกนี้น่ะเหรอ

     

                 .. ไม่มีวัน เขาจะต้องไม่หลงเชื่อลมปากของผู้ชายคนนี้อีกแล้ว


     

                 ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบจากมือของคนตรงหน้าหลังจากที่จู่ๆก็ผลักเขาออก ซองมินตบหน้าคยูฮยอนก่อนที่ความเงียบจะเกิดขึ้นระหว่างกัน คยูฮยอนปรับอารมณ์แทบไม่ทันเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังนั่งนิ่งรับจูบอันดูดดื่มของเขาอยู่เลย แล้วทำไม..

                 “เก็บคำหลอกลวงแล้วก็จูบที่ทำให้หลงเชื่อพวกนี้ของคุณไว้ดีกว่านะ ถึงผมจะโง่แค่ไหนมันก็คงไม่มีครั้งที่สองอีกเด็ดขาด มากพอแล้วสำหรับการที่ผมต้องยอมมาตลอด ต้องวิ่งตามความรักที่มีให้คุณตลอดเวลา ทั้งที่คุณไม่เคยมีให้ผมเลย คุณมองความรักของผมเป็นเรื่องล้อเล่น” พูดไปน้ำตาเม็ดโตที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้ก็ร่วงเผาะลงมาตามแก้ม คยูฮยอนมองหน้าซองมินพร้อมกับยอมรับในสิ่งที่ได้ฟังอย่างไม่มีการปฏิเสธ แต่รู้ไหมว่าคำต่อว่าตัดพ้อพวกนี้มันจะตอกย้ำหัวใจเขามากแค่ไหน

                 “ในเมื่อเราตกลงกันแล้ว คุณก็บอกว่าไม่รักผมแล้ว แล้วยังจะต้องการอะไรอีก คุณออกไปจากชีวิตผมเถอะนะ ยิ่งคุณยังมาล้อเล่นอย่างนี้ผมยิ่งตัดใจไม่ขาด ผมสัญญาแล้วไงว่าแค่ได้ยินจากปากคุณผมก็จะไปจากชีวิตคุณ และจะไม่มีวันผิดคำ

    พูดแน่”

     


               “เพราะผมเกลียดคุณ”


                 ซองมินเอ่ยประโยคสุดท้ายจบก็ไม่คิดจะหันมามองคยูฮยอนอีก เขาไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจหรอกนะ แต่ละวินาทีที่ลุกเดินออกมามันก็รวดร้าวไปทั้งใจแล้ว คนที่รักมากแค่ไหนยังไงก็ต้องตัดใจให้ได้ เอ่ยปากไล่ขนาดนี้ก็เพราะไม่อยากให้ยังรักอย่างเดิม คนที่นั่งอยู่ที่เดิมตั้งใจว่าจะพูดอะไรหลายอย่างให้ฟังแต่แล้วก็แทบไม่ได้เอ่ยอะไรเลย คยูฮยอนเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปให้ซองมินต้องเจ็บปวด แล้วตอนนี้คนที่เจ็บไม่แพ้กันคือตัวเขาเสียเอง ตอนนี้ที่ไม่อาจจะรั้งเอาไว้เพราะความผิดที่ค้ำคออยู่ ไม่นึกว่าเรื่องจะเลยเถิดมาขั้นนี้เลย มันสายเกินไปแล้วหรือยังไงกัน


     

                 พระเจ้า .. ลูกไม่ได้ตั้งใจ

                 คยูฮยอนนั่งอยู่กับตัวเองที่เดิมสักพัก ชายหนุ่มนั่งหลับตาลงเพื่อพักใจให้นิ่งก่อนจะพยายามใหม่อีกครั้ง เขาไม่ยอมง่ายๆหรอก ยังไงวันนี้อีซองมินที่ไม่รู้อะไรเลยต้องได้รู้ในสิ่งที่เขาอยากจะบอกบ้าง ซองมินไม่ได้โง่หรอกนะ เขาเองต่างหากล่ะที่โง่ทำในสิ่งซึ่งตั้งใจปิดบังทั้งที่ไม่คิดให้ดีก่อน ถ้าซองมินไม่โผล่เข้าไปในงานวันนั้น เหตุการณ์มันก็คงไม่เข้าขั้นน่าวิตกอย่างตอนนี้ แต่ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขาต่างหากที่ใจร้ายปล่อยเรื่องเอาไว้เพราะความเห็นแก่ตัวที่กลัวจะเสียคนที่รักไป คยูฮยอนลุกขึ้นตรงไปยังห้องนอนที่เขามั่นใจว่ามันยังไม่ได้ล็อค แต่ก็คิดผิดถนัดเพราะเขาเปิดมันไม่ออก คยูฮยอนควานหากุญแจห้องที่เขาพกติดตัวไว้ออกมาเพื่อจะไขมันเข้าไปแต่แล้วก็ต้องหยุดเอาไว้

     


                 Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr

     

                 โทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องสำคัญที่เขาให้ลูกน้องสองคนไปติดตามน่าจะรู้ผลแล้ว คยูฮยอนจำใจผละออกจากประตูห้องอย่างเสียไม่ได้

                 “ว่าไงรยออุค พรุ่งนี้แต่เช้าเลยใช่ไหม .. อืม บอกพ่อให้ทีว่าจะรีบไป ไงพวกนายก็ช่วยกลับมาที่นี่ก่อนละกัน ถึงไม่ใช่พวกมันแต่ฉันก็ไม่ไว้ใจ”

                 การสนทนาอย่างจริงจังผ่านโทรศัพท์พักใหญ่ได้จบลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนทางนี้ คยูฮยอนอยากขว้างโทรศัพท์มือถือให้ออกไปพ้นๆตัวแล้วตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างที่อยากจะทำ แต่ก็แค่ความคิดเท่านั้นแหละ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง เรื่องวุ่นวายพวกนี้ใกล้แล้วสินะที่มันจะจบ แต่เวลานี้สิ่งที่เขาไม่รออีกแล้วคือยังไงก็ต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่อง คยูฮยอนเข้าไปในห้องนอนเพื่อจะพูดกับซองมิน

                 “หลับแล้วเหรอเนี่ย..เฮ้อ” เขาจ้องมองแหวนวงเดิมที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กนั่น คงมีสักวันที่เจ้าของมันจะหยิบขึ้นมาสวมไว้ที่นิ้วอีกครั้ง คยูฮยอนเบนหน้าหนีมันไปจดจ้องคนที่คิดถึงแทน ใบหน้ายามหลับก็ยังคงเศร้าไม่ต่างจากตอนที่ต่อว่าเขาเลย ดวงตาคู่นี้ร้องไห้มากี่ครั้งแล้วล่ะ ใบหน้าคมโน้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนของคนที่หลับอยู่อย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งไล้ไปตามพวงแก้มที่เคยมีน้ำตาไหลผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง




                 “รู้บ้างไหม ..ความรักของฉันก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเหมือนกัน”


     

              

     

                 เช้าอันแสนเงียบเหงาเวียนเข้ามาบรรจบอีกครั้ง เช้านี้ที่อย่างน้อยก็เข้าใจว่าอีกคนยังคงนอนอยู่ข้างกันแต่ความจริงกลับไม่ใช่ อีซองมินลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวโดยที่ข้างกายว่างเปล่า เขารู้สึกแปลกใจและด้วยอาการที่ไม่ได้ตั้งใจมันเลยสั่งให้ร่างกายทำตามอย่างไม่มีเหตุผล เขาลุกเดินออกไปเพื่อจะหาใครอีกคน .. แต่แล้วกระดาษแบบเดิมที่เคยได้รับก็วางอยู่ที่โต๊ะในห้อง

     

                 แผ่นกระดาษมีข้อความบางอย่างเขียนเอาไว้พร้อมกับแหวนวงนั้นที่วางทับอยู่ ซองมินอ่านมันอย่างไม่รอช้า

     

    - ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป  รอฉันหน่อยนะ  จะกลับมาบอกเองอีกครั้ง ว่าฉันรักนาย

     

                 ใจดวงน้อยแทบจะหยุดเต้นไปในทันที รักอย่างนั้นเหรอ ไหนบอกว่าไม่รักยังไงล่ะ แล้วทำไมถึงได้มาบอกกันอย่างนี้ สรุปแล้วอะไรคือสิ่งที่เชื่อได้ ซองมินกำลังสับสนอย่างหนักแม้ว่ามันจะเป็นแค่ลายมือที่เขียนออกมาไม่กี่ตัวอักษรก็ตาม ร่างเล็กในชุดนอนซึ่งไร้ความอดทนอีกต่อไปแล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้องเพื่อหาเจ้าของลายมือคนไม่ดีที่ทำให้เขารู้สึกโง่เง่าอยู่ตลอดเวลา

                 “โจวคยูฮยอน ! คุณอยู่ไหน คุณอย่าหลบผมนะ คุณออกมาหาผมเดี๋ยวนี้” ซองมินเที่ยววิ่งไปตามห้องน้ำและห้องครัว สุดท้ายคือส่วนของหน้าร้านดอกไม้ของเขา ใบหน้าหวานกวาดมองหาอีกคนราวกับคนบ้าเพราะทำไปทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว พอกันที ซองมินหมดความอดทนที่ต้องเก็บไว้คนเดียวแล้ว หากที่ทำไปมันยังไม่เด็ดขาดพอเขาก็อยากจะให้คยูฮยอนออกมาอธิบายให้เข้าใจกันเสียที

                 “ฮึก .. คนใจร้าย คุณเห็นผมเป็นตัวอะไรกัน” น้ำตานองหน้าอีกครั้งพร้อมกับกอดเอากระดาษแผ่นเล็กและแหวนเพชรเอาไว้แนบอก ซองมินทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างคนหมดแรง น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสาย คนโง่ที่พยายามฉลาดอย่างเขาสุดท้ายก็หมดท่าเพราะรักที่ตัดไม่ขาดอยู่ดีสินะ ทำเหมือนว่าไม่แคร์แต่แล้วก็วิ่งตามอยู่ฝ่ายเดียว




     

                 “อย่าร้องเลยนะครับคุณซองมิน”

                 เสียงหนึ่งดังขึ้นในเวลาต่อมา ซองมินเงยหน้ามองก็พบว่ารยออุคกับคิบอมยืนอยู่ข้างหน้าเขาเสียแล้ว ไม่นึกมาก่อนว่าสองคนนี้จะอยู่ที่นี่ด้วย รยออุครีบตอบความสงสัยจากสายตาคู่นั้นโดยไม่ต้องรอให้ถาม

                 “เรานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้ามืดแล้วล่ะ .. เป็นคำสั่งของคุณชายน่ะ” คำตอบแทนที่จะช่วยให้คนฟังหายข้องใจกลับยิ่งทวีความไม่เข้าใจมากไปกว่าเก่า จมูกแดงๆที่รั้นขึ้นจากการร้องไห้กำลังมองคนทั้งสองสลับกันไปมา สองบอดี้การ์ดหนุ่มจึงอดสงสารคนที่ไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่ต้นไม่ได้ กว่าคุณชายของพวกเขาจะเสร็จธุระก็อีกแค่ไม่กี่วัน แต่ถ้าต้องรอแล้วล่ะก็ มีหวังผู้ชายที่ชื่ออีซองมินคนนี้ต้องขาดใจตายก่อนแน่ๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นทั้งคู่จึงต้องถอนหายใจแล้วระบายยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกับซองมินคนละฝั่ง

                 “พวกนายมีอะไร” คุณเจ้าของร้านดอกไม้ขยับกายอย่างไม่ไว้ใจนักแต่กลับถูกมือของหนึ่งในนั้นเอื้อมมาวางเบาๆที่ตักของเขา

                 “อย่าเพิ่งตกใจอะไรไปครับ เรามีเรื่องจะอธิบายให้คุณฟัง หมายถึง เอ่อ ก่อนที่คุณชายจะกลับมาบอกคุณเอง เราคิดว่าคุณควรจะรับรู้ได้แล้ว” รยออุคพูดโดยมีคิบอมพยักหน้าตาม

                 “ที่สำคัญนะ เราไม่อยากให้คุณร้องไห้อีกแล้ว” ใบหน้านิ่งเฉยฉายแววเป็นห่วงผ่านดวงตามาให้ คิบอมพยักหน้าให้รยออุคพูดต่อไปโดยที่เขาจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ ส่วนคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็รอฟังในสิ่งที่จะได้ยินเช่นกัน คราวนี้เขาจะยอมฟังดีๆแต่หากว่าสิ่งที่คนพวกนี้พูดออกมาแล้วมันยิ่งกว่านิทานหลอกเด็กที่เชื่อไม่ได้แล้วล่ะก็ เขาก็จะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้อีกต่อไป

                 “ผมเข้าใจนะว่าคุณถูกทำร้ายจิตใจเพราะคำหลอกลวงของคุณชายมามาก แต่สิ่งที่คุณคิดว่าคุณชายโกหก จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เรื่องที่ทำให้คุณเจ็บช้ำต่างหากล่ะที่คุณชายแสร้งแกล้งทำขึ้นมา” ได้ยินอย่างนั้นลมหายใจของซองมินก็ต้องสะดุดไป เขาสับสนกับเรื่องที่กำลังจะได้ยินเหลือเกิน แต่ไม่ทันได้คิดอะไรเขาก็ต้องตั้งใจฟังต่อไป

                 “ฟังนะ ก่อนอื่นเลยคือผมขอโทษที่หลอกคุณมาตลอด ผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณเลย ตรงกันข้าม ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานที่นี่ ผมมาเพื่อปกป้องคุณ .. ตามคำสั่งของคุณชายคยูฮยอน”

                 ความเงียบเข้าแทรกระหว่างคนทั้งสามเป็นระยะ ซองมินขมวดคิ้วเพราะความไม่เข้าใจมากกว่าเก่า

                 “แล้วคุณชายของนายทำแบบนั้นไปทำไม” ท่าทางสับสนระคนสงสัยใคร่รู้ทำให้คนอธิบายต้องรีบกล่าวต่อไป

                 “นั่นสิ คุณชายทำแบบนั้นไปทำไม ก็เพราะเวลาที่เค้าไม่อยู่ข้างๆคุณแล้วใครจะดูแลคุณ แล้วทำไมถึงต้องดูแลคุณด้วย คุณกำลังจะถามแบบนี้อีกใช่มั้ยล่ะ” รยออุคแกล้งเอ่ยคำถามอย่างรู้ทันคนฟัง ซึ่งมันก็จริง ซองมินไม่เข้าใจทำไมต้องมาดูแลเขา เขาไม่ใช่เด็กที่ไม่มีผู้ปกครองนะ

                 “นายจะบอกอะไรฉันก็รีบๆบอกมาซักทีสิ”

                 “ครับๆ ใจเย็นสิ” รยออุคยิ้มให้เพราะอยากให้บรรยากาศไม่เครียดจนเกินไป แต่คิบอมที่มองมากลับส่งสายตาตำหนิให้เป็นเชิงบอกว่านี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น รยออุคไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นจึงรีบพูดต่อ

                 “เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟัง บางจุดผมอาจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ทุกอย่างผมรู้ดี ครั้งแรกคุณอาจสงสัยว่าคุณชายเป็นใครมาจากไหน ซึ่งตอนนี้คุณก็คงรู้แล้ว แต่เรื่องอื่นๆคุณคงยังไม่รู้จักเค้ามากพอ ตั้งแต่วันนั้นที่คุณชายซมซานมาล้มลงที่หน้าบ้านของคุณก็เพราะถูกลอบทำร้ายจากฝ่ายตรงข้าม คนพวกนี้นอกจากจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของคุณท่านซึ่งเป็นพ่อของคุณชายแล้ว ธุรกิจมืดของพวกมันยังได้รับผลกระทบจากการทำงานด้านการเมืองของคุณท่านอีกด้วย นี่ยังไม่นับเรื่องธุรกิจโดยตรงของตระกูลที่คุณชายดูแลอยู่ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญที่พวกมันสู้ไม่ได้ ผลเลยมาตกที่คุณชายเต็มๆเมื่อพวกมันหมายตาไว้อย่างนั้น เรื่องปัญหาพวกนี้ผมจะขอไม่พูดถึงแล้วกัน เอาเป็นว่าคุณเข้าใจตามนั้น” รยออุคหยุดเรื่องที่เกริ่นเอาไว้แค่นั้นพร้อมกับมองปฏิกิริยาคนฟังซึ่งตอนนี้ดูจะเครียดไปด้วยกับเรื่องที่เขาเล่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าคนตรงหน้าที่แสนดีแม้จะพยายามตาขวางใส่พวกเขายังไงแต่เอาเข้าจริงความอ่อนโยนในจิตใจก็ทำให้ตั้งใจฟังที่เขาเล่าอย่างไม่ต่อว่าอะไรสักคำ และหากจะต่อว่าก็คงหนีไม่พ้นเพราะเขาไม่รีบพูดต่อนี่ล่ะนะ


                 “เรื่องนั้นมันธรรมดาของวงการนี้ที่มีด้านแข่งขันและเอาเปรียบกันเพื่อฝ่ายตัวเอง แต่เรื่องในด้านมืดที่ไม่คิดว่าจะเกิดกับคุณชายนี่สิ ว่ากันว่าเจ้านายใหญ่ของพวกมันแค้นคุณชายเป็นอย่างมาก คนพวกนี้ฉากหน้าดูดีแต่เบื้องหลังราวกับมาเฟียกิจการมืด จึงไม่แปลกเลยที่มันจำทำลายกันโดยไม่แคร์ซึ่งความรู้สึกใดๆ พวกมันไม่ใช่เพียงแค่การลอบทำร้าย หรือลอบฆ่าเพราะมันไม่ได้ผลและสะใจเท่าไหร่ มันจึงเลือกที่จะทำกับคนที่คุณชายรักมากกว่า นอกจากคุณท่านทั้งสองที่พวกมันทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เหลือพี่ชายที่คุณคยูฮยอนรักมาก มันลอบทำร้ายคุณชายทงเฮที่เป็นลูกชายคนโตของคุณท่านจนอาการสาหัส แต่โชคดีที่สามารถหายดีได้หลังจากที่รักษาอยู่นาน

    หลังจากนั้นคุณทงเฮจึงไปเรียนต่อเมืองนอกตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ต่อมาพวกมันจึงเบนเข็มไปหาคนใกล้ตัวคุณชายอีกครั้ง เช่น เพื่อนสนิท หรือแม้แต่คนรักของคุณชายที่ผ่านมา คนแรกคุณชายรักเธอมากแต่พอเธอรู้เรื่องอย่างนี้ก็รับไมได้เลยขอเลิกกันไป ส่วนคนที่สองเธอเป็นถึงลูกสาวของนักธุรกิจใหญ่ที่เคยเรียนอยู่เมืองนอกกับคุณชาย หลังจากนั้นหลายปีต่อมาทั้งสองก็เริ่มชอบพอกันระหว่างที่ต้องติดต่อกันทางธุรกิจ แต่คบกันได้ไม่นานเธอก็เจอเหตุการณ์อันตรายเหมือนกับคนแรก พอคุณ

    ชายบอกความจริงแม้ว่าเธอจะเข้าใจเรื่องเลวร้ายของด้านมืดในวงการนี้แต่เธอก็เป็นอีกคนที่ไม่ขอเสี่ยงจึงต้องยุติความสัมพันธ์แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างเก่า


    คุณชายเสียใจมากกับเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นมากพอที่เขาไม่อยากจะอดทน และเมื่อการอยู่เฉยๆไม่ได้ทำให้คนพวกนั้นรามือไป คุณชายก็ไม่คิดจะทนอีก แต่การจะจัดการกับคนพวกนี้ก็เป็นไปได้แค่ในขั้นตอนต้นๆเพราะเราไม่สามารถสาวไปถึงนายใหญ่ของมันได้ เพราะฉะนั้นต่อให้พวกไม่ได้เรื่องตามรังควานเราแค่ไหนก็ได้แค่จับพวกมันในข้อหาทั่วไปไม่มีผลอะไรถึงคนบงการที่แท้จริงที่พวกเรารู้ดีว่าเป็นใคร การกลั่นแกล้งกันแบบนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นที่พอใจของพวกมันอยู่มาก ยิ่งเห็นคุณชายเจ็บเท่าไหร่ก็ยิ่งพอใจเท่านั้น หลายคนอาจคิดว่าคุณชายตระกูลเก่าแก่แถมเป็นทายาทนักการ
    เมืองชื่อดังจะเป็นที่น่าอิจฉาของใครหลายคน แต่ความเข้มแข็งภายนอกก็แลกกับภายในที่เหนื่อยล้ากับปัญหาและภาระหน้าที่มากมาย ถึงอย่างนั้นคุณชายก็ไม่เคยบ่นสักคำ คุณท่านมีลูกชายสองคน คนโตคือคุณทงเฮที่ร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงนักที่สำคัญคือยังชอบไปในงานทางด้านอื่นด้วยจึงไม่ได้มารับผิดชอบเรื่องกิจการทางนี้ แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดดูท่าทางว่าคุณทงเฮที่กำลังจะเรียนจบอาจเข้ามาช่วยคุณชายอีกแรง อืม

    ก็เรื่องครอบครัวเค้าผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะงั้นอย่างที่เล่ามา ชีวิตของคุณคยูฮยอนเลยต้องคลุกคลีอยู่กับแวดวงแบบนี้ที่หลายครั้งจะมีฝ่ายที่ใช้วิธีสกปรกเข้าต่อสู้ คุณชายเลยอาจดูน่ากลัวไปบ้างแต่จริงๆแล้วเค้าไม่ได้คิดอะไรหรอก นอก
    จากครอบครับแล้วก็ไม่ได้ยึดติดกับใครอีก จนได้มาเจอคุณนี่แหละ”


    พูดมาเสียยืดยาวรยออุคก็หยุดเอาไว้เท่านั้นเพื่อให้เวลาคนฟังคิดตาม ซองมินถอนหายใจกับเรื่องราวของผู้ชายคนนั้นที่ตลอดมาเขาไม่เคยรู้เลยสักนิด ตอนนี้รู้เพียงว่าในใจมันคิดว่าตัวเองทำไมถึงได้ไม่เข้าใจอะไรแต่แรกเลย เขาไม่เคยรู้จริงๆ


                 “แล้วทำไมพวกนายต้องคอยมาอยู่กับฉันแบบนี้ด้วยล่ะ”

                 “ก็เพราะพวกมันจ้องจับตาคุณอยู่ตลอดเวลาไงล่ะ มันจ้องจะเล่นงานคนที่คุณชายยุ่งด้วยและแน่นอนโดยเฉพาะคุณยิ่งเข้าข่ายไปใหญ่ .. คนที่คุณชายรักหนักหนา”สถานะของเขาสำหรับเจ้านายที่รยออุคเอ่ยออกมาทำให้ซองมินอดจะคิดตามไม่ได้ คยูฮยอนรักเขาอย่างนั้นหรือ มันคือความจริงรึเปล่าล่ะ รยออุคเริ่มเห็นแววตาเศร้าๆของคนฟังจึงมองหน้าคิบอมเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ

                 “มันส่งคนตามมาตลอด แต่คุณชายรู้ตัวเลยตัดสินใจจากคุณไป ส่วนงานแต่งงานมันคือเรื่องทางธุรกิจ และคุณท่านทั้งสองพอจะรู้เรื่องเลวร้ายนี้อยู่บ้างจึงสนับสนุนคุณชายให้แต่งงานกับคุณหนูคิมคนนั้นเพื่อให้พวกมันเข้าใจว่าคนที่คุณชายรักคือเธอ แต่เธอจะไม่เป็นอะไรเพราะไม่นานก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก กว่าจะกลับมาพวกมันคงรออีกนาน เป็นแผนง่ายๆที่ใช้คั่นเวลาระหว่างที่เราเตรียมจัดการกับพวกมัน ที่สำคัญก็เพื่อไม่ให้ใครหรือคุณต้องมารับเคราะห์ตรงนี้ด้วย ส่วนเรื่องของคุณ ตามแผนแล้วเมื่อเสร็จพิธีเมื่อไหร่คุณชายจะเคลียร์ทุกอย่างกับคุณ แต่มันดันพังเอาตอนที่คุณโผล่เข้าไปในงานเสียก่อนทำให้คุณชายทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะ

    แล้วจู่ๆเสียงปืนก็ทำให้ทั้งงานเกิดโกลาหลขึ้นมาและคาดว่าพวกมันอาจตั้งใจแกล้งกันเฉยๆ คุณชายห่วงคุณมากแต่พอเจอหน้ากันจะบอกความจริงก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในสายตาพวกมัน ขณะที่คุณเองก็จะเอาคำตอบให้ได้ คุณชายไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจจบปัญหาด้วยการบอกตัดขาดกันกับคุณเพื่อให้พวกมันเลิกตามคุณอีก แผนของเราอาจไม่ถึงกับพังเพราะพวกมันคงเข้าใจตามที่คุณชายเล่นละคร แต่ที่แย่คือเค้าไม่สามารถรักษาความรู้สึกของคุณเอาไว้ได้อีกแล้ว ก็อย่างที่เห็น พอคุณชายหมดความอดทนกับแผนบ้าๆของตัวเองเพราะนึกถึงแค่คุณเค้าก็มาหาเพื่อจะอธิบายแต่คุณก็เกลียดเค้าไปแล้ว”



                “...............”

                “ถึงพวกเราจะเริ่มทำงานคืบหน้ากันไปมาก แต่สำหรับคุณชายแล้วมันเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องของคุณ” คิบอมบอกทั้งหมดต่อจากรยออุค เรื่องที่ได้ยินทำให้ซองมินอึ้งไปก่อนจะก้มหน้าอยู่กับตัวเองอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องคิดยังไงต่อไป ใจที่บอกว่ารักมากมันเรียกร้องขอให้เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เรื่องที่เจอกับตัวก็ยังทำให้เขาไม่มั่นใจ

     

                 คนที่นั่งอยู่ตรงกลางนิ่งไปกับเรื่องที่ได้ยิน อีกสองคนที่นั่งขนาบข้างอยู่จึงเงียบไปด้วยเพื่อให้เวลาได้คิด

                 “แล้วฉันจะเชื่อพวกนายได้งั้นเหรอ”

                 “ก็แล้วแต่คุณนะ ผมเข้าใจว่าที่ผ่านมาคุณอาจจะเสียใจมากจนลืมมองอะไรไป ลองนึกดูสิว่าวันนั้นคุณชายจะให้คิบอมตามคุณมาทำไม แล้วผมปลอมตัวมาอยู่กับคุณเพื่ออะไร ถ้าเค้าเห็นคุณเป็นของเล่น .. ก็คงเป็นของเล่นราคาแพงที่คุณชายไม่ยอมเสียไปแน่ๆ” รยออุคทิ้งท้ายเอาไว้ให้ซองมินได้คิดตามไปอีก คนฟังปฎิเสธไม่ออกหรอกว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณเจ้าของร้านดอกไม้ยังคงก้มหน้าอยู่กับตัวเองก่อนที่น้ำตาเม็ดโตจะกลิ่งหล่นลงมาตามแก้มหลังจากที่เหือดแห้งไปหลายนาที คิบอมเห็นจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ซองมิน

                 “ขอบใจนะ ..ฮึก ฉันนี่มันงี่เง่าจริงๆ ร้องไห้ตลอด น่าอายชะมัด” ถึงอย่างนั้นคนมองก็ไม่คิดว่ามันน่าอายเลยสักนิด

                 “เค้าน่าจะบอกฉันบ้างนะ”

                 “เพราะคุณชายเค้ากลัวไงล่ะ เค้ารักคุณมากและถ้าคุณรู้แล้วรังเกียจเค้าก็คงต้องเสียคุณไป เพราะงั้นเลยตั้งใจว่าจะรอให้ทุกอย่างพร้อมถึงจะบอกคุณเอง และก็ใช่ว่าเค้าไม่กลัวนะ คุณชายกลัวมากว่าคุณอาจเป็นเหมือนคนก่อนๆ เค้าจะทำยังไงต่อไปถ้ากลับมาบอกความจริงแล้วคุณจะทิ้งเค้าไป” คิบอมอธิบายบ้าง ซองมินควรจะดีใจสินะ เขาบอกตัวเองอย่างนั้น

                

                 .. ที่ผ่านมาคุณไม่ได้โกหกใช่ไหม ว่าคุณรักผม



                 เรื่องที่ไม่คาดคิดยังคงทำให้ใจดวงนี้ตั้งรับไม่ทันสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยซองมินก็พร้อมจะเชื่อ เขาจะกลับไปเริ่มใหม่เพื่อรอเวลาให้คยูฮยอนเลือก



    ซองมินจะอยู่ตรงนี้ที่เดิมไม่หนีไปไหนอีกแล้ว








     

                 บรรยากาศชวนอึดอัดก่อนหน้านี้ผ่านไปได้สักพัก สองเพื่อนรักย้ายที่จากเก้าอี้ภายในร้านมานั่งอยู่ตรงข้ามกันที่โต๊ะอาหารตัวเล็กเพื่อรอคุณเจ้าของบ้านทำอาหารเช้ามาให้ คิบอมหมั่นไส้ไอ้เพื่อนตัวดีนิดหน่อยที่เริ่มจะยิ้มออกเพราะคุณซองมินเข้าใจและยอมพูดด้วย ขณะที่ตัวเองก็โดนเหน็บเรื่องเดียวกันเสียอย่างนั้น

                 “เหอะ .. คิดว่าตัวเองไม่น่าหมั่นไส้รึไงวะคิบอม อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะเว้ยที่นายทำอะไรคุณซองมินเอาไว้ สุดท้ายก็ไปขอโทษเค้าแถมสารภาพรักอีก น่าสงสารเป็นบ้าว่ะ” รยออุคได้ทีเลยเปิดปากออกมาเสียหมด และนั่นก็ทำให้ไอ้คนที่ทำเฉยได้ตลอดต้องร้อนตัวรีบบอกปัดไปพัลวัน

                 “ไม่ใช่อย่างที่คิดนะรยออุค”

                 “อย่ามาโกหกเลย เห็นเงียบๆแบบนี้ร้ายไม่เบานะ ไว้จะฟ้องคุณชายอีกทีเลย....” ถึงตรงนี้จากที่แหย่กันอยู่ทั้งสองก็เงียบไปเมื่อเอ่ยถึงบุคคลที่สาม บรรยากาศแปลกๆเริ่มกล้ำกรายเข้ามาระหว่างกันก่อนที่คนพูดจะรีบพากลับเข้าอารมณ์เดิมเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องยิ้มไม่ออก รยออุคไม่อยากจะเอาอารมณ์อกหักของเพื่อนมาล้อเล่นนักหรอก แต่เขาก็ไม่วายจะเบนไปเรื่องอื่นแทน

                 “เออน่ะ .. นั่นมันไม่สะใจเท่าไหร่เพราะคุณชายคงไม่คิดว่าอะไรนาย งั้นไว้เดือนหน้าคุณทงเฮกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะเล่าให้เค้าฟังแทนแล้วกัน ฮ่าฮ่า” เท่านั้นแหละคิบอมที่ได้ยินก็หน้าตื่นขึ้นมาอีก

                 “เกี่ยวอะไรกับเค้าล่ะ รายนั้นน่ะไม่มาฟังเรื่องไร้สาระของนายหรอกน่ะ” นึกถึงคุณชายคนโตที่ชอบเอาแต่ใจแล้วคิบอมก็ต้องส่ายหน้า แม้จะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่แต่เวลาเจอหน้ากันทีไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบแยกเขี้ยวใส่กันนัก ใบหน้าคมหันไปยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ แต่มีหรือรยออุคจะดูไม่ออก

                 “นอกจากคุณซองมินที่ทำให้นายดูเหมือนเป็นคนขึ้นมาบ้างแล้ว ฉันว่าก็มีแต่คุณทงเฮนี่แหละที่ทำให้ไอ้หน้านิ่งขรึมอย่างนายปวดหัวได้” รยออุคยังไม่หยุดพูด คนฟังเลยชักจะหน้างอเข้าจริงๆ และก่อนที่คิบอมจะทนไม่ได้และอาจจะได้เอาคืนเพื่อนตัวแสบ อาหารเช้าที่พวกเขารอมานานก็วางลงที่ตรงหน้าเสียก่อน

                 “ขอโทษที่ให้รอ เชิญตามสบายนะ” ซองมินว่าก่อนจะถือถาดเปล่าเพื่อจะเอาเข้าไปเก็บในครัว โดยไม่ทันฟังที่รยออุคเรียกให้นั่งลงข้างกันเลย

     

                 ร่างเล็กเดินออกมาด้วยความรู้สึกเศร้าแปลกๆ ซองมินไม่เข้าใจตัวเอกนักหรอกว่ากังวลอะไร แต่จะให้ตอบเขาก็สามารถบอกได้อยู่ดีว่าใจมันเต้นไม่เป็นส่ำกับการรอคอยนับจากนี้ วันสองวันมันไม่มากไปหรอก แต่ถ้าทั้งหมดคือความจริงเขาก็จะรอ


                 เสียงโทรศัพท์ของใครสักคนที่โต๊ะอาหารดังขึ้นแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ซองมินยืนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในครัว คิดถึงใบหน้านิ่งๆที่เวลาล้อเล่นมันช่างน่าหมั้นไส้เกินจะทน แต่เวลาเอาจริงเอาจังบางครั้งก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เรื่องราวทั้งหมดถูกร้อยเรียงเข้ามาในหัวของเขาช้าๆ ยิ้มเศร้าๆระบายผ่านใบหน้าของคนที่ตั้งใจรอคอยกับบางสิ่ง แต่แล้วจู่ๆเสียงใครสักคนด้านนอกที่ดังขึ้นนั้นจะทำให้เขาต้องสะดุ้งออกจากความคิด

     

     







     

                 “ว่าไงนะ คุณชายถูกยิงงั้นเหรอ!







    .
    .

    Tbc. Chapter 7








                    พาร์ทนี้จัดหนักกว่าเดิม ไงก็หวังว่าคงไม่งงกันนะคะ กลัวตาลายแฮะ

                    อยากจะอัพเป็น % ก็ติดว่าไม่ค่อยมีเวลามาลง ที่สำคัญมันรวมเล่มแล้ว กอนไม่อยากกั๊กไว้ เลยคิดว่าคนที่อยากตามคงไม่อยากจะรอนาน .. ไงก็เอาใจช่วยพระนายให้ลงเอยกันได้ด้วยดีทีนะคะ

     

                    ปล.อีกสามวันจะปิดจองรอบพิเศษ ปณ. แล้วนะคะ ใครที่แจ้งอะไรมาเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วันได้ของปุ๊บก็จะส่งให้เลยค่ะ มีอะไรจะเมล์แจ้งไปนะคะ ไม่ค่อยสะดวกอัพเดทอะไรมากมาย ^^

     

                     ขอบคุณค่ะ






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×