ซาเรเซลรา - ซาเรเซลรา นิยาย ซาเรเซลรา : Dek-D.com - Writer

    ซาเรเซลรา

    ผู้หนึ่งตามหาพรวิเศษ... ผู้หนึ่งตามหาดอกไม้สีขาวที่ไม่มีวันโรยรา เมื่อทั้งสองก้าวเท้าออกตามหา ปฐมบทแห่งเรื่องราวก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ...ดินแดนแห่งหนึ่ง ...ซาเรเซลรา... (ยังไม่จบนะ)

    ผู้เข้าชมรวม

    233

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    233

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 พ.ค. 50 / 21:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                      

      ผู้หนึ่งตามหาพรวิเศษ...

      ผู้หนึ่งตามหาดอกไม้สีขาวที่ไม่มีวันโรยรา

      เมื่อทั้งสองก้าวเท้าออกตามหา

      ปฐมบทแห่งเรื่องราวก็ได้เริ่มต้นขึ้น

      ณ...ดินแดนแห่งหนึ่ง

      ...ซาเรเซลรา...

      ___________________

                       "  เมเรีย นอนขี้เซาเช่นนี้ ไม่กลัวไฟไหม้บ้านแล้วไม่ตื่นบ้างหรือ  "

                       เสียงโหวกเหวกโวยวายของแม่ดังขึ้นเช่นเคย เฮ้อ... อะไรกัน... เช้าตรู่แบบนี้ อย่ามาปลุกข้าให้ยากเลย

                       " เมเรีย ! นี่มันจะเที่ยงแล้วนะลูก "
                
                       คำตอกย้ำจากแม่ช่วยให้เด็กสาวตระหนักว่า  เวลานี้เขาไม่เรียกกันว่าเช้าตรู่แล้ว ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงนอนอุตุอย่างเคย
                 
                      "วันนี้เจ้าจะต้องไปหาคุณปู่มิใช่หรือ เอาเถอะ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน ปลุกเจ้าแล้วเหนื่อยเต็มที"

                      ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง เด็กสาวที่เคยนอนขี้เซาบนที่นอนอันหนานุ่มกระโดดผลุงขึ้นมาโดยพลัน พลางวิ่งวนไปวนมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

                      " ตายล่ะ ! โดนคุณปู่สวดให้ฟังแน่ๆ "

                      จบคำร้องโหยหวน เมเรียก็เร่งผันตัวเองออกจากบ้านหลังเล็มุ่งตรงไปยังหุบเขาหลังหมู่บ้าน ที่ซึ่งปู่ของเธอพำนักอยู่ ไม่นานนักเมเรียก็มาถึงด้วยสภาพเหมือนนักวิ่งมาราธอนร้อยเมตรที่เพิ่งจะวิ่งเข้าสู่เส้นชัย

                     " เมเรีย " เสียงเรียกที่แฝงไว้ด้วยความดุดันเอ่ยขึ้นจากชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาด พาเอาเจ้าคนถูกเรียกผวาสุดตัว

                  " แหะๆ อะไรเหรอค่ะ ปู่" เด็กสาวเกาหัวแกรกๆแบบคนสำนึกผิดที่ทำให้หัวที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ยุ่งหนักเข้าไปอีก

                  " เจ้าตื่นสายอีกแล้วใช่ไหม " 

                  " ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ " คำแก้ตัวแบบนิดๆถูกส่งมาเป็นคำตอบแม้ว่านั่นจะทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์นัก

                  " ไปล้างหน้า แต่งตัวให้สมเป็นมนุษย์มนาเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน "

                  สายตาของชายชรากวาดมองสภาพของเจ้าหลานตัวดีที่ไม่ต่างอะไรกับขอทานหัวฟูยุ่งเหยิง พลางส่ายหน้าอย่างระอา

      ___________________________


                    ฟึ่บ!

                    ดวงไฟจากตะเกียงไม้เก่าแก่คร่ำคร่าลุกโชนขึ้นมาพร้อมกัน ไม่ใช่ฝีมือใครนอกจากปู่ของข้าผู้ศึกษาศาสตร์แห่งเวทอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครั้งยังหนุ่ม จนบัดนี้กลายเป็นจอมขมังเวทผู้เลื่องชื่อไปแล้ว...เฮ้อ...แต่ข้าเนี่ยสิ

                    เป็นแค่เด็กหญิงธรรมดาที่แสนจะธรรมดาจริงๆ

                    " ปู่ค่ะ วันนี้ท่านจะสอนตำราอะไรอีกล่ะค่ะ" ดวงตาสีฟ้าใสเจิดจรัสเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความอยากรู้ เสียงเล็กๆของเธอทำให้ผู้เป็นปู่รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา

                     " เอลราวารอฟ "             
                  
                      จบคำของชายชรา ผู้เป็นหลานก็แทบจะกระโดดกอดคอปู่ 

                      ตำราเอลราวารอฟที่ข้าใฝ่ฝันจะร่ำเรียนมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ทำไมน่ะหรือ ก็ตำรานี้ปู่ของเธอเป็นผู้เขียนขึ้นเอง ศาสตร์แห่งเวทที่ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจ 

                      พรึ่บ!!!

                     หนังสือตำราเล่มขาวปรากฎขึ้นท่ามกลางแสงสีเหลืองนวลของอุโมงค์ลับใต้หุบเขาที่เธอมักมาที่นี่เพื่อฝึกเวทกับปู่ของเธอเสมอ เมเรียคว้าหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในครอบครอง

                     " ว้าว! " เมเรียส่งยิ้มแก้มปริให้กับปู่

                     " ก่อนอื่น เจ้าจะต้องตระหนักให้ดีว่ามนตรานี้ร้ายแรงนัก จะใช้แต่ละครั้งให้คิดให้ดีเสียก่อน ที่สำคัญ ... " ชายชราเน้นคำแต่ละคำ " ห้ามท่องมนตร์ซี้ซั้วเด็ดขาด เพราะมันจะมีผลต่อสภาพรอบกาย เข้าใจรึเปล่า "

                      ที่ต้องย้ำแล้วย้ำอีกนั่ก็เพราะหลานสาวคนนี้เคยทำอะไรปกติแบบชาวบ้านเสียเมื่อไหร่ เผลอที่ไรหาเรื่องได้ทุกที

                    " เข้าใจค่ะ " คำตอบรับที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลยสำหรับผู้ฟัง

                         ปู่ส่งสายตาดุดันมาให้อีก น้ำเสียงก็ดูจริงจังนัก

                         " อย่าก่อเรื่องอีกล่ะ "
                  

                                                                 ______________________________________
                               
                          
                  "
      เซลราเรลรา...  เอ่อ...อะไรน้า.... อีซูโอมาเอล ....อีซูโอลมาเอลรา  แล้วไงต่อ อ้อๆ....เลรา " เสียงท่องมนตร์แบบ สเปะสปะ ของเมเรียทำเอาผู้เป็นปู่กลุ้มใจ นั่งหันหลังกุมขมับอยู่ที่เก้าอี้ไม้สีเบส นั่งจิบชาร้อนๆที่ไม่อาจทำให้ใจเย็นลงได้เลย

                 " ปู่ค่ะ มันไม่ยอมหยุดอะ " เด็กสาวชี้ไม้ชี้มือไปที่ตะเกียงไม้ที่ดวงไฟยังคงลุกโชนเช่นเดิม พลางส่งเสียงแบบผิดหวังปนเอาแต่ใจตามแบบฉบับ

                  
                 " ท่องให้มันถูกๆหน่อยเป็นมั้ย แล้วที่สำคัญน่ะคือต้องมีสมาธิ "

                 
                 " ก็ข้าท่องว่า ....เอ่อ เซลราเรลรา  อีซูโอมาเอลเล อีซูโอลมาเอลรา เลราไงล่ะค่ะ "  เธอพูดท้วงขึ้นพลางหมุนตัวกลับมาหาผู้เป็นปู่ที่กำลังอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง พลันเกิดมีแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งอุโมงค์ที่เคยมืดมิด จนครู่หนึ่งถึงหายไป

                       
                      เมเรียลืมตาที่ปิดลงเพราะแสงสว่างเมื่อครู่ เธอได้เห็นภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ตนต้องชะงักค้างในท่าชี้ไม้ชี้มือไปยังปู่ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง ใบหน้าที่เคยเรื่อสีชมพูอ่อนบัดนี้ซีดเผือกราวกระดาษ

                       
                        ชายชราที่ไว้เครายาวสีขาวโพลนเช่นพ่อมดทั่วไป ชุดคลุมยาวปิดข้อเท้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราภาพกำลังเอื้อนเอ่ยเตือนอะไรสักอย่างแก่หลานสาวตรงหน้า ทว่าตอนนี้

                             
                         ปู่ของเธอค้างแข็งเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว
      !!!

                            
                               ตายแน่
      !!!

                               ตายแน่!!!

                               ตายแน่!!!

                       
                        ด้วยเหตุที่มนตร์ของเธอดันไปถูกปู่เข้าแทนที่จะเป็นดวงไฟในตะเกียงไม้ ปู่ที่กำลังจะกล่าวเตือนว่าไม่ควรจะชี้ไม้ชี้มือมาใส่คนอื่นก็กลับแข็งค้างไปด้วยมนตร์สะกด ที่สำคัญมันจะสะกดให้หยุดนิ่งไปชั่วกาลนาน.....

                   
                  " คุณปู่ !!!"

                        
                         ทันทีที่ได้สติเมเรียกู่ร้องด้วยความตกใจราวกับคนบ้า เสียงของเธอก้องสะท้อนไปมาทั่วทั้งอุโมงค์

                        
                          ทำไงดีล่ะเนี่ย.......


       ______________________

       


                          ตึก...ตึก...ตึก...

                         
                         เสียงรองเท้าคู่เล็กย่องไปตามพื้นไม้ของบ้านหลังหนึ่ง เป็นเมเรียนั่นเอง ดวงตาสีฟ้าของเธอเหม่อมองลอดออกไปทางหน้าต่างยังฟากฟ้าสีดำทะมึนอันประดับด้วยหมู่ราตรีและดวงจันทรานับสิบดวงที่ส่องแสงสีม่วงอ่อนเป็นประกายงดงามนัก

                                
                          นี่ข้าควรจะทำเช่นนี้จริงหรือ
      ?

                          
                          แล้วอะไรล่ะที่ข้าจะทำเพื่อแก้ไขความผิดนี้ได้ ตลอดมาข้าก็สร้างปัญหาให้กับแม่และปู่มามากมาย ครั้งนี้ก็ด้วย เฮ้อ........

                        
                          หรือนี่จะเป็นทางเดียวที่ข้าจะทำได้  ออกเดินทางไปทางเหนือ ....หามังกรสีรุ้งเพื่อขอพรจากมัน ทีนี้ปู่ก็จะหลุดพ้นจากมนตราหยุดนิ่ง

                         
                          ใช่แล้ว...มีทางเดียว

                                 
                                  กว่าหลายเพลาที่เด็กสาวนั่งศึกษาตำราเอลราวารอฟเล่มหนาแต่ก็ไม่อาจพบมนตร์แก้ไขที่มีเพียงผู้เดียวที่รู้วิธีคลายสะกด ปู่ของเธอนั่นเอง
      ก็คนที่เขียนตำราก็คือปู่ของเธอนี่นา

                          
                            แต่คนที่รู้วิธีคลายสะกดดันถูกสะกดเสียเอง แล้วทีนี้จะคลายสะกดยังไงล่ะ

                          
                           โอย...ยิ่งคิดยิ่งน่าปวดหัว

                            
                           เธออ่านตำราเล่มหนาเตอะมาจนถึงหน้าสุดท้าย   มันเอ่ยถึงตำนานของมังกรสีรุ้ง... มันมีอำนาจวิเศษ ให้พรแก่ผู้พบเจอ 3 ประการ มังกรที่อยู่ในดินแดนซาเรเซลราทางเหนือของเมืองเวย์ ...บ้านของเธอ

                                    
                                  ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเจ้ามังกรที่แสนน่ารักในความคิดของเมเรีย

                           
                           ข้าได้ตัดสินใจแล้ว...

      _______________________

                           

                         สายลมเย็นเฉียบของฤดูหนาวแห่งเมืองท่าเวย์พัดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลแดงของเด็กสาวสะบัดไปมาแผ่วเบา ใบไม้ที่ร่วงโรยตามพื้นดินก็ปลิวลอยพริ้วไหว เสียงกระซิบของผู้คนเบาบางจนแทบจะไม่มีให้ได้ยิน

                          
                          คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงปู่...

                        
                          เด็กสาวออกจากบ้านเดินทางมาโดยลำพัง ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับบนเตียงนอนสุดโปรดของเธอ

         
         เรียนคุณแม่....

                                     อยากออกไปเที่ยวที่ไกลๆดูบ้าง หนูโตแล้ว 
                             ดูแลตัวเองได้ค่ะ
      เอ่อ....ดูแลคุณปู่ด้วยนะค่ะ
                             เพราะเราก็มีกันแค่ 3 คนมาตลอด แหะๆ ....
       
                             ขอโทษที่สร้างปัญหาให้แม่นะค่ะ แต่หนูจะรีบ
                             กลับบ้านให้เร็วที่สุด

                                                                                               เมเรีย...

                         
                          ความสิ้นหวังเปล่าเปลี่ยวทับถมสะสมขึ้นภายในใจของเมเรีย ทั้งความเงียบงันของเมืองท่าเวย์....ลมเย็นเยือกและภาพของปู่ที่ถูกสะกดไว้ด้วยมนตรากดทับจิตใจที่เคยร่าเริงเช่นดอกไม้เบ่งบานสดใสกลับเหี่ยวเฉาใกล้ตายเพียงนั้น

                              
                                 คงเหลือไว้แต่ประกายกล้าลึกเข้าในดวงตาสีฟ้าเจิดจรัสนั่น มันยังคงเปี่ยมไว้ด้วยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด


                          เมเรียหลับตาลง ปากกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง ทว่า...ไม่นานนักเธอก็หยุดการกระทำนั้น

                         
                         คำพูดของปู่เวียนเข้ามาในหัว...

                         
                        เวทเคลื่อนย้ายอาจให้ความสะดวกสบายในการเดินทางและรวดเร็วฉับพลัน แต่พลังที่ใช้นั้นมากนัก คนฝึกเวทใหม่ๆห้ามใช้เวทเคลื่อนย้ายเด็ดขาด มัน...อันตรายถึงชีวิตทีเดียว

                        
                        นั่นคือคำที่ปู่พร่ำบอกอยู่เสมอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเดินทางโดยเรือที่เมืองท่าแห่งนี้  ถัดจากมหาสมุทรนี่ไปก็คือป่าทึบทางใต้ของเมืองซาเรเซลรา ส่วนมังกรสีรุ้งน่ะหรือ...

                         
                        หึหึ...อยู่ทางเหนือสุดของดินแดนซาเรเซลรา

                            
                              จะบ้าตาย ... ทำไมมันไกลอย่างนี้นะ จะไปอยู่ที่ไหนไม่อยู่ดันไปอยู่เหนือสุด
       
      มีหวังปู่ได้แข็งตายก่อนที่ข้าจะได้ขอพรจากมังกรกระมัง

                        
                        อีกประการหนึ่งคือผู้ใช้เวทย์มักถูกมองเป็นตัวประหลาด เข้าข่ายคนไม่น่าไว้ใจ สมควรอยู่ให้ห่างที่สุด รวมไปถึงความเกลียดชังที่ก่อตัวขึ้นแม้ไม่มากแต่สำหรับเมเรีย  สายตาที่ถูกส่งมาให้นั้นช่างเหยียดหยามราวกับตัวเธอไม่ใช่คน  และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เธอไม่มีเพื่อนเลยสักคน

                     
                         เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แปลกแยก ...แตกต่าง...

                     
                        สมัยเด็ก เธอพูดกับแม่... เธอเกลียดเวทมนตร์  เพราะมัน...เธอถึงไม่มีเพื่อน

                    
                        แม่ส่งสายตาคมกริบมาให้ราวกับจะเฉือนเธอให้เป็นชิ้นๆ  แม่ชกเข้าที่ท้องของเธอพลางตวาดสุดเสียง

                     
                        ...เพราะมันงั้นหรือ เมเรีย เป็นเพราะมันหรือที่ทำให้เพื่อนหวาดกลัวเจ้า ...ถ้าเช่นนั้นสมควรเรียกว่าเพื่อนงั้นหรือ  เจ้าเกลียดมัน เกลียดพลังที่มีมาแต่สายเลือด... อาจเพราะแม่เองที่ผิด เป็นเช่นนั้นหรือ

                     
                        เธอนึกถึงอดีต เด็กสาวตัวเล็กที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่หมัดที่แม่ต่อยมาหรอก แต่เป็นเพราะเธอที่เกลียดตัวเองแบบนั้น

                      
                       ...เมเรีย  ปู่เองก็เคยเกลียดตัวเองที่แปลกแยก แต่เพื่อนน่ะ...จริงๆแล้วมีความหมายมากกว่าที่เจ้ารู้จัก บางทีสักวันหนึ่งเจ้าคงจะได้พบเพื่อนแท้ของเจ้า เชื่อปู่สิ...

                     
                      เมเรียยิ้มออกมานิดหนึ่งที่มุมปากก่อนจะมองไปที่เรือโดยสารสีขาวขนาดใหญ่พอควรกำลังเข้าเทียบท่า จนในที่สุดมันก็หยุดลง เด็กสาวก้าวเท้าเข้าไปในตัวเรือ

                       
                      ผืนน้ำของมหาสมุทรสีครามมรกตนี้กระเพื่อมพลิ้วไหว  ที่สุดขอบฟ้านั้น... มังกรสีรุ้งกำลังเฝ้ารออยู่

      ______________________

                         
                         โลกนี้ช่างวกเวียนว่ายวนว้าวุ่นไววับวุบแวมวาววิ๊งวิ๊ง.....

                               
                                เด็กสาวดวงหน้าขาวเรื่อสีชมพุอ่อนได้รูปกับดวงตาสีน้ำทะเลสดใส บัดนี้กำลังเกิดอาการ 
       ' มึน ' ละ  ' เมา '
      นื่องจากเรือที่สั่นคลอนไปมาอยู่ตลอดเวลา

                       
                         แล้วที่นั่งช้าน...อยู่ไหนกันน้า.... ใครก็ได้พาช้าน...ไปที

                              
                         โอย
       ~
      ไม่ไหวๆ

                  
                   " โอ๊ย ! "   สองเสียงประสานเมื่อเกิดการชนกันเข้าอย่างจัง เมเรียกุมหัวที่เริ่มนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็บาดเจ็บมิใช่น้อย

                   
                  " ขะ...ขอโทษด้วยค่ะ "  เมเรียพูดขึ้นแม้น้ำเสียงจะฟังดูอู้อี้ด้วยอาการเมาเรือพลางเงยหน้าขึ้นมาสบบุคคลเบื้องหน้า

                        
                         ดวงตาสีดำกลมโตอย่างคนดีอาห์ คิ้วเข้มหนา ใบหน้าคมสัน ช่วยขับให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นกอง ถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีบาดแผลมาประดับอยู่บนใบหน้าด้วย เมเรียยังคงมองเขาอยู่เช่นนั้นนานประหนึ่งว่าเวลาได้ก้าวผ่านไปไกลแสนไกลแล้ว ขณะนั้นเด็กหนุ่มก็ยันตัวลุกขึ้นและเตรียมที่จะหันหลังเดินจากไป ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งหยุดไว้ก่อน

                  
                  " เดี๋ยวค่ะ ! "

                       
                       เป็นเมเรียที่ส่งเสียงออกมาพลางลุกขึ้นอย่างยากลำบากพร้อมกับเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่มองการกะทำของเธอด้วยความประหลาดใจ

                 
                 " คือ...ฉันต้องขอโทษ… "  ยังไม่ทันจบคำ ของบางอย่างก็ทะลักออกจากปากของเด็กหญิง พุ่งเข้าหาคู่สนทนาอย่างไม่พลาดเป้าแม้แต่น้อย

                 
                 " อ้อก !"

                        
                      ...ขนมปังที่ขโมยมาจากครัวเมื่อคืนนี้บ้างล่ะ แป้งทอดที่ซื้อมาจากลุงแก่ๆข้างทางบ้างล่ะ แล้วไหนจะผลราสเบอร์รี่ที่เพิ่งจับยัดเข้าปากมาไม่นานนี้ ได้ผลุดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

                               
                        และที่สำคัญที่สุด
      !

                        
                        ดันอ้วกใส่คนที่ตนเพิ่งชนจนเขาล้มไปเต็มพิกัด

                              
                       โอ้ ~
        พระเจ้า...ช่วยเมเรียคนนี้ทีเถิด...

                        
                      คำรำพึงรำพันจากเด็กสาวก่อนที่สติอันเลือนรางจะดับวูบลงไป  กระนั้น...เรือก็ยังคงแล่นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง


      ______________________

                  
          
                  " จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ "

                             
                        เสียงนกนี่ฟังแล้วเพลินดีแฮะ
      ....
      ว่าแต่บนเรือโดยสารจะไปมีนกได้ยังไงล่ะ

                       
                       คิดได้เช่นนั้นเด็กสาวก็รีบเปิดเปลือกตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าแลดูอ่อนโยนแต่ก็ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวไปในคราเดียวกัน

                        
                       ภาพของยักษ์ขมูขียืนหน้ามู่ทู่เป็นลิงบาบูนลอยเด่นมาให้เห็นเป็นสิ่งแรก ก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันมาสบเด็กสาวด้วยดวงตาสีดำน่าพิศวง

                       
                        พลัน...ความทรงจำบนเรือโดยสารแล่นเข้ามา นายคนข้างหน้านี่คุ้นๆแฮะ

                 
                  " ตายล่ะ !"  เมเรียเผลอสบถออกมาเสียเสียงดัง เมื่อนึกได้ว่าตนดันไปปล่อยอาหารเลิศรสที่สวาปามเข้าไปออกมาเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยใส่ชายตรงหน้า

                 
                  " คือ...ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆเรื่องนั้น "  เมเรียผลุนผลันลุกขึ้นพูดด้วยเสียงรัวเร็วระดับคลื่นแสงยังอาย

                 
                  " ข้าฟังไม่รู้เรื่อง "  คนตรงหน้าเธอตอกกลับอย่างตรงประเด็น

                  
                  " คือ...เอ่อ... ข้าต้องขอโทษท่าน ….. "  เมเรียเปลี่ยนระดับเสียงมาเป็นความเร็วเต่าคลาน ยังพูดไม่ทันถึงครึ่ง ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมา

                 
                  " ไม่เป็นไร "

                 
                  " ขอบคุณมากค่ะ "  เมเรียก้มหัวน้อยๆด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทว่า...

                 
                  " ข้าจะคิดซะว่าถูกตัวบาบิอ้วกใส่ก็แล้วกัน "

                              
                        หา ! 
      ว่าไงนะ ตัวบาบิ ...เอ่อ...มันตัวอะไรกันหว่า

                        
                        คิดแล้วเธอก็ส่งคำถามทันที

                 
                  " ตัวบาบินี่มันตัวอะไรกัน "

                 
                  " ตัวบาบิก็คือตัวบาบิ "

                       
                        เด็กชายตอบอย่างไร้อารมณ์ โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นกำลังทำให้คู่สนทนารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวที่ถูกกล่าวหาจะเลิกสนใจแล้วหันไปมองรอบๆแทน

                 
                  " เอ่อ...นี่ข้าอยู่ที่ไหน "

                 
                  " ทางเหนือของท่าเรือโดยสาร "

                 
                  " แล้วทำไม... "

                 
                  "  เจ้าหลับเป็นตายมา 2 วันเต็ม ตอนแรกข้าก็กะจะทิ้งไว้แถวๆนั้น แต่เห็นแล้วก็เวทนา เลยพามาด้วย "

                      
                        จบคำพูดที่พาให้เมเรียรู้สึกคันมือคันไม้ยิบๆ พลางพูดขอบคุณในแบบที่ไม่จริงใจที่สุด น้ำเสียงนั้นก็ปนการประชดประชันเต็มที่

                
                 " อ๋อ ! งั้นเหรอ ขอบคุณม๊ากมากที่อุตส่าห์เวทนา "

                
                 " งั้นเจ้าก็ไปทางของเจ้าเถอะ แยกกันตรงนี้ "

                 
                 "เฮอะ ! ข้าก็ไม่ได้อยากไปกับเจ้านักหรอก " เมเรียพูดเจือความไม่พอใจนิดๆ

                     
                      คนอะไรใจดำเป็นบ้า แถมยังมาไล่กันอีก

                     
                     เธอคิดได้เพียงเท่านั้น เด็กชายก็ออกเดินทางตรงไปข้างหน้าได้ระยะทางไกลโขแล้ว

                            
                      อืม...แล้วข้าล่ะ  จะไปทางไหน จริงด้วย
      !!!


                      ซาเรเซลรามันต้องไปทางไหนล่ะ  ... อย่าบอกนะว่าเราต้องไปง้อนายใจดำนั่น

                     
                      เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางอื่นให้เลือก...เธอจึงวิ่งไล่ตามเด็กชายเบื้องหน้าไป

                
                 " นี่ๆ นายน่ะ หยุดก่อนเซ่ "

                     
                      เมเรียตะโกนเรียก ทว่าบุคคลที่ว่ายังคงเดินอาดๆอย่างไม่สนใจเสียงของเธอสักนิดเดียว

                
                 " นี่ช่วยบอกทางไปซาเรเซลราหน่อยสิ "

                      
                       จบคำของเธอ เด็กชายหยุดกึกทันที พลางทำหน้าระคนตกใจ

                
                 " ว่าไงนะ "

      .

                 " ข้าจะไปซาเรเซลรา ช่วยบอกทางหน่อย "

                      
                       เธอพูดซ้ำอีกครั้ง

                 
                 " บ้ารึเปล่า ?"

                
                 " เจ้าน่ะแหละที่บ้า เรื่องอะไรมาว่าข้าแบบนั้น "

                
                 " ตอนนี้ซาเรเซลราติดสงคราม บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เจ้าจะเข้าไปตายหรือยังไง "

                
                 " ข้า... "  ดวงตาสีฟ้าหลุบต่ำลง " จะไปหามังกรสีรุ้ง "

                
                 "  มังกรสีรุ้ง ! "

                
                 " ใช่ "

                 
                 " เพื่ออะไร "

                
                 " ขอพรน่ะสิ "

                 
                 " ขอพร ?"

                
                 "  ในตำราของปู่ข้ามันบอกไว้ว่ามังกรสีรุ้งน่ะอยู่ทางตอนเหนือของซาเรเซลรา มันจะให้พรวิเศษแก่ผู้ที่หามันพ  3 ข้อเชียวนะ "

                
                 " เจ้าจะขอพรอะไรจากมังกรนั่นล่ะ "

                 
                 " ยังไม่ได้คิดหรอก "


                       เมเรียยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าหมองที่บังเกิดขึ้น ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด

                
                 " เจ้าชื่ออะไร "

                 
                 " คิม "

                
                 " หืม ชื่อเจ้าสั้นจัง "

                
                 " ข้าชอบชื่อนี้ แล้วก็ต้องการให้เจ้ารู้จักข้าในชื่อนี้ "

                     
                      น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเรือนผมสีดำฟังดูดุดัน ทำให้เมเรียคิดไปว่า เขาจะจริงจังอะไรหนักหนากับแค่ชื่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงแนะนำตัวเองไปตามมารยาท

                
                 " ข้าชื่อเมเรีย "

                      
                       แรงลมพัดพาเอาเส้นผมของทั้งสองปลิวไสว กระโปรงตัวโคร่งของเด็กสาวพัดโบก รวมถึงเสื้อคลุมสีดำของคิมก็สะบัดราวกับเริงระบำล้อเล่นไปกับสายลม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไป มืดหม่นราวกับจักรวาล แม้กระนั้นก็ยังสุกใสไปด้วยดวงดารา เสียงของนกร้องไม่มีให้ได้ยินอีกแล้ว ดังนั้นทุกสรรพเสียงที่เหลือยู่ตอนนี้ก็มีเพียงเสียงลมพัด

                      
                      เมเรียหลับตาลง หายใจรับเอาลมอันเย็นชื่นเข้าเต็มปอด ส่วนคิมยังคงทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ทั้งสองยืนอยู่บนยอดเขา มองไปที่ใดก็เห็นแต่เส้นขอบฟ้า ทัศนียภาพที่แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความงดงาม

                      
                       เด็กหญิงพูดขึ้นราวกระซิบ

                 
                 " คิม... แล้วเจ้าล่ะ จะเดินทางไปที่ใด "

                
                 " ซาเรเซลรา "

                      
                       คำตอบแผ่วเบาจากคิมเข้ามากระทบหูของเมเรีย  คำตอบที่ทำเอาเมเรียประหลาดใจก่อนจะพูดขึ้น

                 
                 " ฮึ ! งั้นเจ้าก็บ้าพอๆกับข้าแหละน่า "

      __________________________

        (ยังไม่จบฮับ )









       


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×