ซาเรเซลรา
ผู้หนึ่งตามหาพรวิเศษ... ผู้หนึ่งตามหาดอกไม้สีขาวที่ไม่มีวันโรยรา เมื่อทั้งสองก้าวเท้าออกตามหา ปฐมบทแห่งเรื่องราวก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ...ดินแดนแห่งหนึ่ง ...ซาเรเซลรา... (ยังไม่จบนะ)
ผู้เข้าชมรวม
233
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผู้หนึ่งตามหาพรวิเศษ...
ผู้หนึ่งตามหาดอกไม้สีขาวที่ไม่มีวันโรยรา
เมื่อทั้งสองก้าวเท้าออกตามหา
ปฐมบทแห่งเรื่องราวก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ณ...ดินแดนแห่งหนึ่ง
...ซาเรเซลรา...
___________________
" เมเรีย นอนขี้เซาเช่นนี้ ไม่กลัวไฟไหม้บ้านแล้วไม่ตื่นบ้างหรือ "
เสียงโหวกเหวกโวยวายของแม่ดังขึ้นเช่นเคย เฮ้อ... อะไรกัน... เช้าตรู่แบบนี้ อย่ามาปลุกข้าให้ยากเลย
" เมเรีย ! นี่มันจะเที่ยงแล้วนะลูก "
คำตอกย้ำจากแม่ช่วยให้เด็กสาวตระหนักว่า เวลานี้เขาไม่เรียกกันว่าเช้าตรู่แล้ว ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงนอนอุตุอย่างเคย
"วันนี้เจ้าจะต้องไปหาคุณปู่มิใช่หรือ เอาเถอะ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน ปลุกเจ้าแล้วเหนื่อยเต็มที"
ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง เด็กสาวที่เคยนอนขี้เซาบนที่นอนอันหนานุ่มกระโดดผลุงขึ้นมาโดยพลัน พลางวิ่งวนไปวนมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
" ตายล่ะ ! โดนคุณปู่สวดให้ฟังแน่ๆ "
จบคำร้องโหยหวน เมเรียก็เร่งผันตัวเองออกจากบ้านหลังเล็มุ่งตรงไปยังหุบเขาหลังหมู่บ้าน ที่ซึ่งปู่ของเธอพำนักอยู่ ไม่นานนักเมเรียก็มาถึงด้วยสภาพเหมือนนักวิ่งมาราธอนร้อยเมตรที่เพิ่งจะวิ่งเข้าสู่เส้นชัย
" เมเรีย " เสียงเรียกที่แฝงไว้ด้วยความดุดันเอ่ยขึ้นจากชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาด พาเอาเจ้าคนถูกเรียกผวาสุดตัว
" แหะๆ อะไรเหรอค่ะ ปู่" เด็กสาวเกาหัวแกรกๆแบบคนสำนึกผิดที่ทำให้หัวที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ยุ่งหนักเข้าไปอีก
" เจ้าตื่นสายอีกแล้วใช่ไหม "
" ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ " คำแก้ตัวแบบนิดๆถูกส่งมาเป็นคำตอบแม้ว่านั่นจะทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์นัก
" ไปล้างหน้า แต่งตัวให้สมเป็นมนุษย์มนาเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน "
สายตาของชายชรากวาดมองสภาพของเจ้าหลานตัวดีที่ไม่ต่างอะไรกับขอทานหัวฟูยุ่งเหยิง พลางส่ายหน้าอย่างระอา
___________________________
ฟึ่บ!
ดวงไฟจากตะเกียงไม้เก่าแก่คร่ำคร่าลุกโชนขึ้นมาพร้อมกัน ไม่ใช่ฝีมือใครนอกจากปู่ของข้าผู้ศึกษาศาสตร์แห่งเวทอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครั้งยังหนุ่ม จนบัดนี้กลายเป็นจอมขมังเวทผู้เลื่องชื่อไปแล้ว...เฮ้อ...แต่ข้าเนี่ยสิ
เป็นแค่เด็กหญิงธรรมดาที่แสนจะธรรมดาจริงๆ
" ปู่ค่ะ วันนี้ท่านจะสอนตำราอะไรอีกล่ะค่ะ" ดวงตาสีฟ้าใสเจิดจรัสเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความอยากรู้ เสียงเล็กๆของเธอทำให้ผู้เป็นปู่รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
" เอลราวารอฟ "
จบคำของชายชรา ผู้เป็นหลานก็แทบจะกระโดดกอดคอปู่
ตำราเอลราวารอฟที่ข้าใฝ่ฝันจะร่ำเรียนมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ทำไมน่ะหรือ ก็ตำรานี้ปู่ของเธอเป็นผู้เขียนขึ้นเอง ศาสตร์แห่งเวทที่ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจ
พรึ่บ!!!
หนังสือตำราเล่มขาวปรากฎขึ้นท่ามกลางแสงสีเหลืองนวลของอุโมงค์ลับใต้หุบเขาที่เธอมักมาที่นี่เพื่อฝึกเวทกับปู่ของเธอเสมอ เมเรียคว้าหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในครอบครอง
" ว้าว! " เมเรียส่งยิ้มแก้มปริให้กับปู่
" ก่อนอื่น เจ้าจะต้องตระหนักให้ดีว่ามนตรานี้ร้ายแรงนัก จะใช้แต่ละครั้งให้คิดให้ดีเสียก่อน ที่สำคัญ ... " ชายชราเน้นคำแต่ละคำ " ห้ามท่องมนตร์ซี้ซั้วเด็ดขาด เพราะมันจะมีผลต่อสภาพรอบกาย เข้าใจรึเปล่า "
ที่ต้องย้ำแล้วย้ำอีกนั่ก็เพราะหลานสาวคนนี้เคยทำอะไรปกติแบบชาวบ้านเสียเมื่อไหร่ เผลอที่ไรหาเรื่องได้ทุกที
" เข้าใจค่ะ " คำตอบรับที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลยสำหรับผู้ฟัง
ปู่ส่งสายตาดุดันมาให้อีก น้ำเสียงก็ดูจริงจังนัก
" อย่าก่อเรื่องอีกล่ะ "
______________________________________
" เซลราเรลรา... เอ่อ...อะไรน้า.... อีซูโอมาเอล ....อีซูโอลมาเอลรา แล้วไงต่อ อ้อๆ....เลรา " เสียงท่องมนตร์แบบ สเปะสปะ ของเมเรียทำเอาผู้เป็นปู่กลุ้มใจ นั่งหันหลังกุมขมับอยู่ที่เก้าอี้ไม้สีเบส นั่งจิบชาร้อนๆที่ไม่อาจทำให้ใจเย็นลงได้เลย
" ปู่ค่ะ มันไม่ยอมหยุดอะ " เด็กสาวชี้ไม้ชี้มือไปที่ตะเกียงไม้ที่ดวงไฟยังคงลุกโชนเช่นเดิม พลางส่งเสียงแบบผิดหวังปนเอาแต่ใจตามแบบฉบับ
" ท่องให้มันถูกๆหน่อยเป็นมั้ย แล้วที่สำคัญน่ะคือต้องมีสมาธิ "
" ก็ข้าท่องว่า ....เอ่อ เซลราเรลรา อีซูโอมาเอลเล อีซูโอลมาเอลรา เลราไงล่ะค่ะ " เธอพูดท้วงขึ้นพลางหมุนตัวกลับมาหาผู้เป็นปู่ที่กำลังอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง พลันเกิดมีแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งอุโมงค์ที่เคยมืดมิด จนครู่หนึ่งถึงหายไป
เมเรียลืมตาที่ปิดลงเพราะแสงสว่างเมื่อครู่ เธอได้เห็นภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ตนต้องชะงักค้างในท่าชี้ไม้ชี้มือไปยังปู่ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง ใบหน้าที่เคยเรื่อสีชมพูอ่อนบัดนี้ซีดเผือกราวกระดาษ
ชายชราที่ไว้เครายาวสีขาวโพลนเช่นพ่อมดทั่วไป ชุดคลุมยาวปิดข้อเท้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราภาพกำลังเอื้อนเอ่ยเตือนอะไรสักอย่างแก่หลานสาวตรงหน้า ทว่าตอนนี้
ปู่ของเธอค้างแข็งเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว !!!
ตายแน่!!!
ตายแน่!!!
ตายแน่!!!
ด้วยเหตุที่มนตร์ของเธอดันไปถูกปู่เข้าแทนที่จะเป็นดวงไฟในตะเกียงไม้ ปู่ที่กำลังจะกล่าวเตือนว่าไม่ควรจะชี้ไม้ชี้มือมาใส่คนอื่นก็กลับแข็งค้างไปด้วยมนตร์สะกด ที่สำคัญมันจะสะกดให้หยุดนิ่งไปชั่วกาลนาน.....
" คุณปู่ !!!"
ทันทีที่ได้สติเมเรียกู่ร้องด้วยความตกใจราวกับคนบ้า เสียงของเธอก้องสะท้อนไปมาทั่วทั้งอุโมงค์
ทำไงดีล่ะเนี่ย.......
ตึก...ตึก...ตึก...
เสียงรองเท้าคู่เล็กย่องไปตามพื้นไม้ของบ้านหลังหนึ่ง เป็นเมเรียนั่นเอง ดวงตาสีฟ้าของเธอเหม่อมองลอดออกไปทางหน้าต่างยังฟากฟ้าสีดำทะมึนอันประดับด้วยหมู่ราตรีและดวงจันทรานับสิบดวงที่ส่องแสงสีม่วงอ่อนเป็นประกายงดงามนัก
นี่ข้าควรจะทำเช่นนี้จริงหรือ?
แล้วอะไรล่ะที่ข้าจะทำเพื่อแก้ไขความผิดนี้ได้ ตลอดมาข้าก็สร้างปัญหาให้กับแม่และปู่มามากมาย ครั้งนี้ก็ด้วย เฮ้อ........
หรือนี่จะเป็นทางเดียวที่ข้าจะทำได้ ออกเดินทางไปทางเหนือ ....หามังกรสีรุ้งเพื่อขอพรจากมัน ทีนี้ปู่ก็จะหลุดพ้นจากมนตราหยุดนิ่ง
ใช่แล้ว...มีทางเดียว
กว่าหลายเพลาที่เด็กสาวนั่งศึกษาตำราเอลราวารอฟเล่มหนาแต่ก็ไม่อาจพบมนตร์แก้ไขที่มีเพียงผู้เดียวที่รู้วิธีคลายสะกด ปู่ของเธอนั่นเองก็คนที่เขียนตำราก็คือปู่ของเธอนี่นา
แต่คนที่รู้วิธีคลายสะกดดันถูกสะกดเสียเอง แล้วทีนี้จะคลายสะกดยังไงล่ะ
โอย...ยิ่งคิดยิ่งน่าปวดหัว
เธออ่านตำราเล่มหนาเตอะมาจนถึงหน้าสุดท้าย มันเอ่ยถึงตำนานของมังกรสีรุ้ง... มันมีอำนาจวิเศษ ให้พรแก่ผู้พบเจอ 3 ประการ มังกรที่อยู่ในดินแดนซาเรเซลราทางเหนือของเมืองเวย์ ...บ้านของเธอ
ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเจ้ามังกรที่แสนน่ารักในความคิดของเมเรีย
ข้าได้ตัดสินใจแล้ว...
_______________________
สายลมเย็นเฉียบของฤดูหนาวแห่งเมืองท่าเวย์พัดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลแดงของเด็กสาวสะบัดไปมาแผ่วเบา ใบไม้ที่ร่วงโรยตามพื้นดินก็ปลิวลอยพริ้วไหว เสียงกระซิบของผู้คนเบาบางจนแทบจะไม่มีให้ได้ยิน
คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงปู่...
เด็กสาวออกจากบ้านเดินทางมาโดยลำพัง ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับบนเตียงนอนสุดโปรดของเธอ
เรียนคุณแม่....
อยากออกไปเที่ยวที่ไกลๆดูบ้าง หนูโตแล้ว
ดูแลตัวเองได้ค่ะเอ่อ....ดูแลคุณปู่ด้วยนะค่ะ
เพราะเราก็มีกันแค่ 3 คนมาตลอด แหะๆ ....
ขอโทษที่สร้างปัญหาให้แม่นะค่ะ แต่หนูจะรีบ
กลับบ้านให้เร็วที่สุด
เมเรีย...
ความสิ้นหวังเปล่าเปลี่ยวทับถมสะสมขึ้นภายในใจของเมเรีย ทั้งความเงียบงันของเมืองท่าเวย์....ลมเย็นเยือกและภาพของปู่ที่ถูกสะกดไว้ด้วยมนตรากดทับจิตใจที่เคยร่าเริงเช่นดอกไม้เบ่งบานสดใสกลับเหี่ยวเฉาใกล้ตายเพียงนั้น
คงเหลือไว้แต่ประกายกล้าลึกเข้าในดวงตาสีฟ้าเจิดจรัสนั่น มันยังคงเปี่ยมไว้ด้วยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด
เมเรียหลับตาลง ปากกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง ทว่า...ไม่นานนักเธอก็หยุดการกระทำนั้น
คำพูดของปู่เวียนเข้ามาในหัว...
เวทเคลื่อนย้ายอาจให้ความสะดวกสบายในการเดินทางและรวดเร็วฉับพลัน แต่พลังที่ใช้นั้นมากนัก คนฝึกเวทใหม่ๆห้ามใช้เวทเคลื่อนย้ายเด็ดขาด มัน...อันตรายถึงชีวิตทีเดียว
นั่นคือคำที่ปู่พร่ำบอกอยู่เสมอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเดินทางโดยเรือที่เมืองท่าแห่งนี้ ถัดจากมหาสมุทรนี่ไปก็คือป่าทึบทางใต้ของเมืองซาเรเซลรา ส่วนมังกรสีรุ้งน่ะหรือ...
หึหึ...อยู่ทางเหนือสุดของดินแดนซาเรเซลรา
จะบ้าตาย ... ทำไมมันไกลอย่างนี้นะ จะไปอยู่ที่ไหนไม่อยู่ดันไปอยู่เหนือสุด มีหวังปู่ได้แข็งตายก่อนที่ข้าจะได้ขอพรจากมังกรกระมัง
อีกประการหนึ่งคือผู้ใช้เวทย์มักถูกมองเป็นตัวประหลาด เข้าข่ายคนไม่น่าไว้ใจ สมควรอยู่ให้ห่างที่สุด รวมไปถึงความเกลียดชังที่ก่อตัวขึ้นแม้ไม่มากแต่สำหรับเมเรีย สายตาที่ถูกส่งมาให้นั้นช่างเหยียดหยามราวกับตัวเธอไม่ใช่คน และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เธอไม่มีเพื่อนเลยสักคน
เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ แปลกแยก ...แตกต่าง...
สมัยเด็ก เธอพูดกับแม่... เธอเกลียดเวทมนตร์ เพราะมัน...เธอถึงไม่มีเพื่อน
แม่ส่งสายตาคมกริบมาให้ราวกับจะเฉือนเธอให้เป็นชิ้นๆ แม่ชกเข้าที่ท้องของเธอพลางตวาดสุดเสียง
...เพราะมันงั้นหรือ เมเรีย เป็นเพราะมันหรือที่ทำให้เพื่อนหวาดกลัวเจ้า ...ถ้าเช่นนั้นสมควรเรียกว่าเพื่อนงั้นหรือ เจ้าเกลียดมัน เกลียดพลังที่มีมาแต่สายเลือด... อาจเพราะแม่เองที่ผิด เป็นเช่นนั้นหรือ
เธอนึกถึงอดีต เด็กสาวตัวเล็กที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่หมัดที่แม่ต่อยมาหรอก แต่เป็นเพราะเธอที่เกลียดตัวเองแบบนั้น
...เมเรีย ปู่เองก็เคยเกลียดตัวเองที่แปลกแยก แต่เพื่อนน่ะ...จริงๆแล้วมีความหมายมากกว่าที่เจ้ารู้จัก บางทีสักวันหนึ่งเจ้าคงจะได้พบเพื่อนแท้ของเจ้า เชื่อปู่สิ...
เมเรียยิ้มออกมานิดหนึ่งที่มุมปากก่อนจะมองไปที่เรือโดยสารสีขาวขนาดใหญ่พอควรกำลังเข้าเทียบท่า จนในที่สุดมันก็หยุดลง เด็กสาวก้าวเท้าเข้าไปในตัวเรือ
ผืนน้ำของมหาสมุทรสีครามมรกตนี้กระเพื่อมพลิ้วไหว ที่สุดขอบฟ้านั้น... มังกรสีรุ้งกำลังเฝ้ารออยู่
______________________
โลกนี้ช่างวกเวียนว่ายวนว้าวุ่นไววับวุบแวมวาววิ๊งวิ๊ง.....
เด็กสาวดวงหน้าขาวเรื่อสีชมพุอ่อนได้รูปกับดวงตาสีน้ำทะเลสดใส บัดนี้กำลังเกิดอาการ ' มึน ' และ ' เมา ' เนื่องจากเรือที่สั่นคลอนไปมาอยู่ตลอดเวลา
แล้วที่นั่งช้าน...อยู่ไหนกันน้า.... ใครก็ได้พาช้าน...ไปที
โอย ~ ไม่ไหวๆ
" โอ๊ย ! " สองเสียงประสานเมื่อเกิดการชนกันเข้าอย่างจัง เมเรียกุมหัวที่เริ่มนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็บาดเจ็บมิใช่น้อย
" ขะ...ขอโทษด้วยค่ะ " เมเรียพูดขึ้นแม้น้ำเสียงจะฟังดูอู้อี้ด้วยอาการเมาเรือพลางเงยหน้าขึ้นมาสบบุคคลเบื้องหน้า
ดวงตาสีดำกลมโตอย่างคนดีอาห์ คิ้วเข้มหนา ใบหน้าคมสัน ช่วยขับให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูดีขึ้นเป็นกอง ถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีบาดแผลมาประดับอยู่บนใบหน้าด้วย เมเรียยังคงมองเขาอยู่เช่นนั้นนานประหนึ่งว่าเวลาได้ก้าวผ่านไปไกลแสนไกลแล้ว ขณะนั้นเด็กหนุ่มก็ยันตัวลุกขึ้นและเตรียมที่จะหันหลังเดินจากไป ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งหยุดไว้ก่อน
" เดี๋ยวค่ะ ! "
เป็นเมเรียที่ส่งเสียงออกมาพลางลุกขึ้นอย่างยากลำบากพร้อมกับเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่มองการกะทำของเธอด้วยความประหลาดใจ
" คือ...ฉันต้องขอโทษ
" ยังไม่ทันจบคำ ของบางอย่างก็ทะลักออกจากปากของเด็กหญิง พุ่งเข้าหาคู่สนทนาอย่างไม่พลาดเป้าแม้แต่น้อย
" อ้อก !"
...ขนมปังที่ขโมยมาจากครัวเมื่อคืนนี้บ้างล่ะ แป้งทอดที่ซื้อมาจากลุงแก่ๆข้างทางบ้างล่ะ แล้วไหนจะผลราสเบอร์รี่ที่เพิ่งจับยัดเข้าปากมาไม่นานนี้ ได้ผลุดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
และที่สำคัญที่สุด !
ดันอ้วกใส่คนที่ตนเพิ่งชนจนเขาล้มไปเต็มพิกัด
โอ้ ~ พระเจ้า...ช่วยเมเรียคนนี้ทีเถิด...
คำรำพึงรำพันจากเด็กสาวก่อนที่สติอันเลือนรางจะดับวูบลงไป กระนั้น...เรือก็ยังคงแล่นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
______________________
" จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ "
เสียงนกนี่ฟังแล้วเพลินดีแฮะ.... ว่าแต่บนเรือโดยสารจะไปมีนกได้ยังไงล่ะ
คิดได้เช่นนั้นเด็กสาวก็รีบเปิดเปลือกตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าแลดูอ่อนโยนแต่ก็ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวไปในคราเดียวกัน
ภาพของยักษ์ขมูขียืนหน้ามู่ทู่เป็นลิงบาบูนลอยเด่นมาให้เห็นเป็นสิ่งแรก ก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันมาสบเด็กสาวด้วยดวงตาสีดำน่าพิศวง
พลัน...ความทรงจำบนเรือโดยสารแล่นเข้ามา นายคนข้างหน้านี่คุ้นๆแฮะ
" ตายล่ะ !" เมเรียเผลอสบถออกมาเสียเสียงดัง เมื่อนึกได้ว่าตนดันไปปล่อยอาหารเลิศรสที่สวาปามเข้าไปออกมาเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยใส่ชายตรงหน้า
" คือ...ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆเรื่องนั้น " เมเรียผลุนผลันลุกขึ้นพูดด้วยเสียงรัวเร็วระดับคลื่นแสงยังอาย
" ข้าฟังไม่รู้เรื่อง " คนตรงหน้าเธอตอกกลับอย่างตรงประเด็น
" คือ...เอ่อ... ข้าต้องขอโทษท่าน
.. " เมเรียเปลี่ยนระดับเสียงมาเป็นความเร็วเต่าคลาน ยังพูดไม่ทันถึงครึ่ง ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมา
" ไม่เป็นไร "
" ขอบคุณมากค่ะ " เมเรียก้มหัวน้อยๆด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทว่า...
" ข้าจะคิดซะว่าถูกตัวบาบิอ้วกใส่ก็แล้วกัน "
หา ! ว่าไงนะ ตัวบาบิ ...เอ่อ...มันตัวอะไรกันหว่า
คิดแล้วเธอก็ส่งคำถามทันที
" ตัวบาบินี่มันตัวอะไรกัน "
" ตัวบาบิก็คือตัวบาบิ "
เด็กชายตอบอย่างไร้อารมณ์ โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นกำลังทำให้คู่สนทนารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวที่ถูกกล่าวหาจะเลิกสนใจแล้วหันไปมองรอบๆแทน
" เอ่อ...นี่ข้าอยู่ที่ไหน "
" ทางเหนือของท่าเรือโดยสาร "
" แล้วทำไม... "
" เจ้าหลับเป็นตายมา 2 วันเต็ม ตอนแรกข้าก็กะจะทิ้งไว้แถวๆนั้น แต่เห็นแล้วก็เวทนา เลยพามาด้วย "
จบคำพูดที่พาให้เมเรียรู้สึกคันมือคันไม้ยิบๆ พลางพูดขอบคุณในแบบที่ไม่จริงใจที่สุด น้ำเสียงนั้นก็ปนการประชดประชันเต็มที่
" อ๋อ ! งั้นเหรอ ขอบคุณม๊ากมากที่อุตส่าห์เวทนา "
" งั้นเจ้าก็ไปทางของเจ้าเถอะ แยกกันตรงนี้ "
"เฮอะ ! ข้าก็ไม่ได้อยากไปกับเจ้านักหรอก " เมเรียพูดเจือความไม่พอใจนิดๆ
คนอะไรใจดำเป็นบ้า แถมยังมาไล่กันอีก
เธอคิดได้เพียงเท่านั้น เด็กชายก็ออกเดินทางตรงไปข้างหน้าได้ระยะทางไกลโขแล้ว
อืม...แล้วข้าล่ะ จะไปทางไหน จริงด้วย !!!
ซาเรเซลรามันต้องไปทางไหนล่ะ ... อย่าบอกนะว่าเราต้องไปง้อนายใจดำนั่น
เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางอื่นให้เลือก...เธอจึงวิ่งไล่ตามเด็กชายเบื้องหน้าไป
" นี่ๆ นายน่ะ หยุดก่อนเซ่ "
เมเรียตะโกนเรียก ทว่าบุคคลที่ว่ายังคงเดินอาดๆอย่างไม่สนใจเสียงของเธอสักนิดเดียว
" นี่ช่วยบอกทางไปซาเรเซลราหน่อยสิ "
จบคำของเธอ เด็กชายหยุดกึกทันที พลางทำหน้าระคนตกใจ
" ว่าไงนะ "
.
" ข้าจะไปซาเรเซลรา ช่วยบอกทางหน่อย "
เธอพูดซ้ำอีกครั้ง
" บ้ารึเปล่า ?"
" เจ้าน่ะแหละที่บ้า เรื่องอะไรมาว่าข้าแบบนั้น "
" ตอนนี้ซาเรเซลราติดสงคราม บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เจ้าจะเข้าไปตายหรือยังไง "
" ข้า... " ดวงตาสีฟ้าหลุบต่ำลง " จะไปหามังกรสีรุ้ง "
" มังกรสีรุ้ง ! "
" ใช่ "
" เพื่ออะไร "
" ขอพรน่ะสิ "
" ขอพร ?"
" ในตำราของปู่ข้ามันบอกไว้ว่ามังกรสีรุ้งน่ะอยู่ทางตอนเหนือของซาเรเซลรา มันจะให้พรวิเศษแก่ผู้ที่หามันพบ 3 ข้อเชียวนะ "
" เจ้าจะขอพรอะไรจากมังกรนั่นล่ะ "
" ยังไม่ได้คิดหรอก "
เมเรียยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าหมองที่บังเกิดขึ้น ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด
" เจ้าชื่ออะไร "
" คิม "
" หืม ชื่อเจ้าสั้นจัง "
" ข้าชอบชื่อนี้ แล้วก็ต้องการให้เจ้ารู้จักข้าในชื่อนี้ "
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเรือนผมสีดำฟังดูดุดัน ทำให้เมเรียคิดไปว่า เขาจะจริงจังอะไรหนักหนากับแค่ชื่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงแนะนำตัวเองไปตามมารยาท
" ข้าชื่อเมเรีย "
แรงลมพัดพาเอาเส้นผมของทั้งสองปลิวไสว กระโปรงตัวโคร่งของเด็กสาวพัดโบก รวมถึงเสื้อคลุมสีดำของคิมก็สะบัดราวกับเริงระบำล้อเล่นไปกับสายลม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไป มืดหม่นราวกับจักรวาล แม้กระนั้นก็ยังสุกใสไปด้วยดวงดารา เสียงของนกร้องไม่มีให้ได้ยินอีกแล้ว ดังนั้นทุกสรรพเสียงที่เหลือยู่ตอนนี้ก็มีเพียงเสียงลมพัด
เมเรียหลับตาลง หายใจรับเอาลมอันเย็นชื่นเข้าเต็มปอด ส่วนคิมยังคงทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ทั้งสองยืนอยู่บนยอดเขา มองไปที่ใดก็เห็นแต่เส้นขอบฟ้า ทัศนียภาพที่แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความงดงาม
เด็กหญิงพูดขึ้นราวกระซิบ
" คิม... แล้วเจ้าล่ะ จะเดินทางไปที่ใด "
" ซาเรเซลรา "
คำตอบแผ่วเบาจากคิมเข้ามากระทบหูของเมเรีย คำตอบที่ทำเอาเมเรียประหลาดใจก่อนจะพูดขึ้น
" ฮึ ! งั้นเจ้าก็บ้าพอๆกับข้าแหละน่า "
__________________________
ผลงานอื่นๆ ของ wind and cloud ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ wind and cloud
ความคิดเห็น