ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] The 13 Prince ศึกชิงรักนิรันดร์ [BumYe HanKyu.Etc]

    ลำดับตอนที่ #5 : The 13 Prince…5 ตาย

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 54







    The 13 Prince…5 ตาย

     

     

     

              ลานประลองสวนดอกไม้หน้าประสาททางปีขวา

     

                “ข้าชักไม่แน่ใจว่ามันจะดี ==”คยูฮยอนรั้งอีกคนไว้แม่พวกตนเดินใกล้จะถึงสถานที่นัดหมายแล้ว คยูฮยอนเองก็เกิดกลัวขึ้นมากะทันหัน

     

                “...”เยซองยังเดินลากไปไม่แม้จะสนใจอีกคนเลย

     

                “ท่านพี่อ่ะ งือ... ปล่อยข้าสิ”

     

                “อืม”ถึงปล่อยตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่มาถึงสถานที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนำซ้ำยังมีคนดูอีกเรียกได้ว่ายกโขยงหันมาดูเลยก็ได้ จากหลายวันที่ไม่เจอใครเลยแต่วันนี้กลับเจอครบทุกคน

     

                “อ่า ในที่สุดก็มาสักทีนะองค์ชายน้อยคยูฮยอน”ชายหนุ่มหน้าสวยราวกับนางฟ้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     

                “สวัสดีท่าน...”คยูฮยอนเว้นช่วงให้อีกคนได้แนะนำตัวเอง

     

                “ข้าอีทึก เป็นเกียรติที่ข้าได้สู้กับท่าน”อีทึกยิ้มให้อีกครั้งหลังจากแนะนำตัวเองเสร็จ ด้วยหน้ายิ้มราวับนางฟ้าทำให้คยูฮยอนหายกลัวไปได้เยอะและคิดว่าคงจะไม่เท่าไร สู้ไปเพราะอาจจะไม่มีอะไรจะทำ คิดไม่ออกว่าจะไปสู้กับใครตนนั้นช่างเป็นคนสำคัญถ้าไม่มีตนแล้วอีทึกจะสู้กับใครล่ะ

     

                ฮีชอลที่แอบอ่านความคิดคยูฮยอนอยู่สักพักถึงกับอมยิ้มในความไร้เดียงสา คยูฮยอนเป็นเด็กช่างคิด ช่างสร้างสรรค์ แต่บางครั้งก็ชอบเข้าข้างตัวเองไปบ้าง รวมถึงครั้งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน

     

                “เริงร่าไปคยูฮยอนอีกเดี๋ยวเจ้าจะยิ้มไม่ออก”ฮีชอลหันไปมองคนที่พุดอย่างนั้น ซองมินแสยะยิ้มกลับมา ร่างบางไม่ได้ตกใจเลยสักนิดใครสักคนไม่มากก็น้อยที่จะรู้อนาคตและตนก็เป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

     

                “เจ้าคงรู้นะองค์ชายฮีชอล หึหึ”นั่งลงด้านข้างฮีชอลมองดูเทพสององค์มองหน้ากันด้วยแววตาที่มุ่งมั่น

     

                “เราคงฝ่าฝืนชะตาไม่ได้...ใช่มั้ยล่ะ”

     

                เยซองก้าวเดินออกจากสนามแล้วเป็นอันว่าการเปิดศึกก็ได้เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน อีทึกเรียกดาบด้ามยาวออกมาตรงส่วนปลายเป็นหัวมังกรสีทองเรืองรอง คยูฮยอนได้แต่ยืนมองดูตนไม่มีอาวุธเลยสักชิ้นแล้วมันคงจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เพราะตนเป็นบุตรของเทพเจ้าเกิดมาเพื่อดำรงค์ในท่วงทำนองของสรวงสวรรค์ ต่างไปจากคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง

     

                “เจ้าก็น่าจะรู้...ว่าน้องเจ้าสู้ไม่ได้”ชายร่างสูงโปร่งเดินมาเทียบกับเยซอง ร่างบางหันไปมองด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

     

                “เจ้าจะไปยุ่งกับคนอื่นเขาทำไม”ร่างโปร่งอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาเช่นกัน ดวงชาเย็นชาเสียจนน่าใจหาย

     

                “ใช่ ท่านอย่ายุ่งดีกว่าองค์ชายฮันคยอง ญาติท่านได้เตือนสติท่านแล้ว อย่าเปิดเผยให้มากนัก”

     

    ร่างบางกระโดดขึ้นไปบนต้นไม่ที่ไม่สูงมากนักเพื่อนั่งดูสถานการณ์ ตอนนี้ดูเหมือนอีทึกจะพูดอะไรสักอย่างกับคยูฮยอน และมีบุคคลสองคนคือองค์ชายซีวอนกับองค์ชายคังอินเดินไปอยู่ส่วนหนึ่งของสนามในด้านตรงข้ามกัน ผ่านไปสักพักม่านสีใสได้ทอดยาวปกคลุมไปทั่วพื้นที่ที่คยูฮยอนกับอีทึกยืนอยู่

     

                “หึหึ คยูฮยอนนำอาวุธออกมา”

     

                “อาวุธน่ะข้าไม่มีหรอกข้าเป็นบุตรของเทพเจ้า”อีทึกนิ่งไปเพียงครู่

     

                “สุดแล้วแต่ฟ้าจะกำหนด”พูดเพียงแค่นั้นก่อนะจะวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปหาคยูฮยอนแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

     

                 คยูฮยอนหลบคมดาบได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็สร้างเลือดให้เขาได้ไม่ยากเมื่อพลังภายในของดาบตีกระทบกับสายลมก็สามารถทำให้เกิดพลังใหม่ได้

     

                “หวอ!! ท่านคงไม่เอาข้าถึงตายหรอกใช่มั้ย?”



    50%



    “ฮึๆ”อีทึกหัวเราะในลำคอราวกับจะเยาะเย้ยกับความไร้เดียงสาของคู่ต่อสู้ตอนนี้เขามีชัยไปมากกว่าครึ่ง

     

    “แค่นี้ทำไมต้องเยาะเย้ยข้าด้วย”ร่างโปร่วงถอยหลังออกมาหลายก้าวเพื่อตั้งหลักและดูท่าทีว่าทำยังไงต่อไปจากนี้ แววของชัยชนะแทบจะมองไม่เห็นช่างลิบหรี่เหลือเกิน

     

    “ได้สติสักทีนะว่าอะไรเป็นอะไรน่ะคยูฮยอน”ดวงตาสวยหวานของร่างบางตรงหน้าเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุจดั่งพญาปีศาจที่กระหายเลือด

     

    เมื่อมารู้ตัวอีกทีคยูฮยอนก็ถอยมาจนติดกับม่านกำแพงสีใสที่ถูกสร้างไว้อย่างหนาแน่น วินาทีนี้แม้แต่จะกระพริบตายังทำได้ยากเลย นาทีชีวิตของข้าช่างสั้นเหลือเกิน ตากลมคมโตมองไปที่ร่างบางของใครอีกคนที่อยู่ไกลออกไปเพื่อจะขอความช่วยเหลือเมื่อรู้ว่าตัวเองจนมุมแล้วจริงๆ

     

    หากแต่เยซองไม่แม้จะทำอะไรอย่างที่คยูฮยอนต้องการกลับนั่งนิ่งเฉยอย่างดูดาย

     

    “ท่านเยซองยังไงนั่นก็คู่หมั่นของท่านนะไม่คิดจะช่วยบ้างหรือไง!!”ฮันคยองตะโกนอย่างเหลืออดกับภาพที่ได้เห็นแต่ก็โดนคิบอมเยื้อเอาไว้ เพราะไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับใครในที่นี้ให้เสียเวลาอีก

     

    ร่างบางกระโดดลงมายืนต่อหน้าร่างสูงแม้ดวงตาหวานจะกระสับกระส่ายไปบ้างแต่ก็เข้าที่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง

     

    “ข้าควรบอกท่านให้เข้าใจใช้มั้ยดูนั่นสายลมแห่งโชคชะตาใกล้หยุดทำงานของมัน อีกไม่นานมันจะทำงานอีกครั้ง” นิ้วเล็กชี้ไปที่คยูฮยอนซึ่งกำลังจะแย่ไปในทีก่อนหันกลับมาพูดกับร่างสูงต่อ

     

    “หมายความว่ายังไง”

     

    “เรื่องนี้ท่านได้มีส่วนช่วยอย่างแน่นอนข้าขอตัว” เยซองเดินผ่านไปราวกับสายลม มันดูต่างจากวันแรกที่ร่างสูงได้เจอนักตอนนั้นเหมือนคนที่รู้เพียงภาษา แต่ตอนนี้...



    “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!

     

    สิ้นเสียงสุดท้ายดับสิ้นลงพร้อมกับร่างหนึ่งที่ล้มลงไปกองกับพื้น เลือดสีสดไหลลงสู่ธรณีน่าเสียใจที่ผู้อ่อนแอต้องเป็นผู้แพ้อยู่วันยังค่ำ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่ไม่สามารถกำหนดความแน่นอนนี้ได้

     

    ไม่มีประโยชน์ที่จะอ่อนแอ

     

    ไม่มีเลย...

     

     

     

    วันรุ่งขึ้น

     

    ดวงตาคมหวานทอดมองออกไปยังป่ามืดดำถึงแม้ตอนนี้จะแสงจ้าขนาดไหนก็ไม่อาจมองเห็นทะลุไปไหนต่อไหนได้

     

    “องค์ชาย” เสียงหวานดังขึ้นด้านหลัง

     

    “องค์ชายฮีชอลเมื่อคืนหลับสบายรึไม่” คนถูกถามมองหน้าอีกคนนิ่งเมื่อคืนตนนั้นแทบจะนอนไม่หลับแม้เตรียมใจกับการจากไปของคยูฮยอนแล้ว แต่จิตมันกลับกกระส่ายไม่น้อย

     

    “ก็ดีแล้วท่านล่ะองค์ชายเยซอง”

     

    “อยู่ที่นี่แล้วเราไม่จำเป็นต้องนับยศถือศักดิ์กันหรอกเรียกข้าเยซองก็พอ” น้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงมามากแล้วไม่มีแววใดๆ ปนเปมาสักนิดแต่ก็ทำให้ฮีชอลสามารถยิ้มออกมาได้

     

    “ข้าทำแบบนั่นได้ด้วยหรอ” เยซองพยักหน้า “งั้นท่านก็เรียกข้าว่าฮีชอลนะ” ใบหน้ากลมผงกลงอีกครั้ง

     

    เยซองหันไปสนใจกับการสำรวจพืชพรรณต่อว่าพอมีอะไรจะนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่มีความแปรปรวนทางอากาศเป็นอย่างมากจึงเป็นการยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ไม่ได้รวมถึงป่ามืดสีดำแห่งนั้น ไม่แน่ตามตำนานอาจจะมีประตูฝ่าไปถึงที่ใดที่หนึ่งก็ได้

     

    ครึมๆ

     

    แปะๆ

     

    คนหน้าสวยเงยหน้ามองฟ้ามือยื่นออกไปเพื่อรองเอาน้ำฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างบ้าคลั่งจนต้องลากเยซองเข้าไปหลบที่ต้นไม้แห่งหนึ่งไม่ไกลจากปราสาทมากนักและใกล้กับป่ามืดเข้าไปอีก

     

    “บ้าจังอากาศที่นี่...ข้าไม่ชอบเอาซะเลยว่ามั้ยเยซอง”ไม่มีเสียงตอบกลับทำให้ฮีชอลต้องหันกลับไปมองว่ามีอะไรเกิดขึ้น

     

    เยซองนั่งหันหลังให้กับตนดวงตาหวานมองไปยังทิศทางเดียวกันก็เจอกับองค์ชายซองมินกำลังขุดหาอะไรบางอย่างซึ่งเยซองนั่นจำได้ดีว่าจุดตรงนั้นมันมีอะไร แต่ก็ไม่ได้เข้าไปห้ามหรือขัดขวางอะไรทั้งสิ้น

     

    “อ๊ะ ตรงนั้นมันนี่เจ้าจะไม่ไปห้ามรึ”

     

    “กว่าจะขุดขึ้นมาได้ก็อีกนานนัก ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลาหามันด้วยสู้ให้องค์ชายโง่องค์นั้นขุดมันขึ้นมาไม่ดีกว่าหรือ” ฮีชอลคิดตามด้วยความอึ้งจากนั้นก็ได้แต่นั่งรอไปสักพักหลุมที่ตอนแรกเล็กเพียงนิดกลับใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง

     

    “ข้าว่าน่าจะพอได้แล้วมั้ง”

     

    คนที่ตั้งหน้าตั้งตาขุดอย่างขะมักเขม้นหันมามองด้วยความตกใจ ปากอวบอิ่มอ้าค้างไว้เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเจอตนในเวลาฝนตกเช่นนี้

     

    “ฝนตกแบบนี้ท่านขุดให้ตายคงจะหาไม่เจอ” เยซองเดินไปใกล้กลุ่มดินที่กลายเป็นโคลนในไม่ช้าหยิบกล่องสีแดงสดที่กลายเป็นสีดำของโคลนเป็นที่เรียบร้อยขึ้นมาชูให้ซองมินดู ร่างอวบได้แต่หายใจกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจทำถ้าจะมาชิงกล่องนั้นไปถ้าไม่ติดว่าฮีชอลเดินเข้ามากั้นไว้

     

    “ถอยออกไปองค์ชายฮีชอล...อ๊ะ อย่างมายุ่งกับข้านะ” ร่างโปร่งได้แต่ต้อนซองมินออกไปอีกทางทำให้เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้กับกล่องนั้นอีก

     

    อันที่จริงนั้นซองมินขุดกล่องนี้ได้ตั้งนานแล้วแต่เยซองเลือกที่จะปล่อยไปจนฝนใกล้จะหยุดจึงเปิดเผยตัวขึ้นมา กว่าจะได้รู้ซองมินได้เสียโอกาสสำคัญไปเสียสิ้น

     

    “งั้นข้าจะไปรอที่ห้องของคยูฮยอนแล้วกันนะท่านฮีชอล” เดินออกไปมุ่งหน้าสู่ห้องของคยูฮยอนในทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปเสียก่อน



     


    100%















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×