คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The 13 Prince...2 เดินทาง
The 13 Prince…2 เดินทาง
ย่ามใบขนาดย่อมภายในนั้นไม่ได้บรรจุเสื้อผ้าเอาไว้สักชิ้น แต่เอาไว้ใช้ใส่สมุนไพรป่าตามที่ผู้พบเห็นและให้ความสนใจต้องการ ด้วยเจตนาอย่างนี้ทำให้ผู้เต็มใจไปอย่างไปไม่ขัดขืน(หรอ)รีบเก็บข้าวเก็บของ เพื่อออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น เพื่อฝึกวิชาให้กับองค์ชายตัวน้อยๆอย่างโจวคยูฮยอนไปในตัวด้วย
หลังจากที่ทราบว่าผู้ที่ตนโยนออกไปนอกวังอย่างไม่ใยดีแถมทำร้ายร่างกายไปอีกด้วย คือองค์ชยรัชทายาทจากเมืองทางด้านเหนือของสวรรค์ ถึงกระนั้นเยซองที่ไม่เคยสนใจความเป็นไปของโลกเสียเท่าไร มีหรือจะสนใจใครที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้หรือเพราะตัวเองไม่ขวักไขว่ที่จะรู้ก็ ไม่ทราบ
มาต่อกันด้วยความซึ้งที่ไม่อาจจะลืมเลือนไปเมื่อสวรรค์นั้นลิขิตให้ทั้งคู่ เกิดมาเพื่อกันและกัน พระบิดาและมารดาจึงจัดการเป็นธุระให้ทั้งสองสมรสกันเป็นหมั้นเป็นเหมาะมา ตั้งแต่แบเบาะโดรที่ไม่มีใครรู้ตัว หนึ่งคนยินดีและเต็มใจที่จะร่วมชีวิต อีกหนึ่งเบื่อโลกอย่างกับแบกมันไว้ทั้งใบแต่ก็ไม่ได้ออกปากปฏิเสธอะไรไป เพราะถึงอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่เมืองไหนต่อเมืองไหนก็ต้องเสียหน้าก็เป็นได้
“ท่านพี่ท่าจะรีบเก็บไปใย เราออกเดินทางกันตั้งวันพรุ่ง”ใบหน้าเจ้าเล่ห์โผล่พ้นออกจากใต้โต๊ะไม้เนื้อ ดีก่อนพูดเหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน
“...”เยซองยังคงนิ่งเงียบมือเล็กๆจัดการเก็บมีดพกอาวุธมีคมทุกชนิดที่สามารถจัดการกับอันตรายที่รายล้อมอยู่รอบตัวของตนได้
“ท่านพี่ทำอะไรอยู่หรอ ข้าจะมาบอกท่านด้วยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามาถึงแล้วนะ ท่านเป็นถึงว่าที่สะใภ้จะไม่ไปต้อนรับหน่อยรึ”ยิ้นแป้นแล่นล้อเล่นคนแก้ม ป่องที่มาด้วยสายตาน่ากลัว แต่ก็ไม่กระทบระบบประสาทส่วนใดของคยูฮยอนเลยสักนิด ทั้งยังคิดอีกว่า ‘ใครจะได้ชายาที่สง่างามเช่นข้าบ้างเนี่ย ในใต้หล้าคงหาได้ยากยิ่ง’
“เจ้าออกไปซะ...อย่ามายุ่งกับข้า”น้ำเสียงนิ่งๆทำเอาคยูฮยอนเกิดในแป้วขึ้นมาเสียอย่างนั้น จู่ๆเสียงสวรรค์น้อยๆก็โผล่มาอีกระรอก
“ท่านแม่เสร็จมาหาถึงที่นี่เลยหรอขอรับ”มุดออกจากใต้โต๊ะวิ่งร่าไปหามารดาพร้อม กอดที่เอวอวบอย่างสุดรัก ส่วนอีกคนก็ละมือจากการจัดอุปกรณ์จำเป็นอย่างเสียไม่ได้ พร้อมทำความเคารพโดยการก้มหัวให้พอเป็นพิธีกับรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์อย่างที่ เจ้าชายควรจะมีส่งไปให้แก่ราชินี ซึ่งนางก็ยิ้มตอบกลับด้วยความเอ็นดู
“ถวายบังคมข้าเยซองรัชทายาทอันดับ2”
“อืม ข้ารู้แล้ว...รู้มาแต่เจ้าแบเบาะแล้ว”ยิ้มอย่างเป็นมิตร ซุบซิบบางอย่างกับลูกชายแสนซนก่อนเจ้าตัวจะล่าถอยออกไป
“เชิญนั่งก่อนขอรับ”ราชินีชิงจับมือเล็กแล้วจูงไปนั่งด้วยกัน เยซองก็ไม่ได้ขัดชืนอะไรเพราะไม่ชอบใช้กำลังอยู่แล้ว จะใช้ในเฉพาะเหตุจำเป็นเท่านั้น
“ที่มาที่นี่ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย เจ้าจะช่วยได้หรือไม่”กุมมือของเยซองแน่นอย่างมีความหวังนัยตาสีเข้าทอประกายอย่างอ้อนวอน
“เรื่องอันใดขอรับ”
“ดีมากข้าขอบใจเจ้าที่ช่วยข้า เจ้าก็รู้จักกับลูกชายของข้าแล้ว แล้วก็คงจะไม่ชอบใจสักเท่าไรที่ลูกข้านั้นมีนิสัยอย่างนี้ หนำซ้ำเจ้าต้องรับภาระดูแลลูกชายข้าอีกในฐานะคู่ครองอันนี้เจ้าต้องรู้ดี แต่เรื่องนี้สำคัญเจ้าก็เห็นคยูฮยอนไม่ได้มีฝืมือในด้านการรบหรือด้านไหน เลย...”เว้นระยะหายใจสักพักก่อนจะพูดต่อ
“เพราะลูกข้าเป็นโรคที่ไม่มีใครสามารถรักษาได้โหรบอกว่ารอเพียงเวลา แต่ข้ารอไม่ได้ข้ากลัวว่าคยูฮยอนจะจากเราไป แล้วไม่นานข้าก็ได้ข่าวว่าเซอิน(แม่เยซอง)ได้มีลูกที่ปราดเปรื่องเช่นเจ้า เพราะเจ้าสนใจทางพืชพรรณสมุนไพรดังนั้นช่วยคิดหาสูตรที่ช่วนรักษาลูกเข้าที่ ได้ไหมในเวลาแบบนี้เจ้าคือคนที่ข้าไว้ใจที่สุด...ได้หรือเปล่า”
แม้ไม่มีน้ำตาสักหยดมาให้เชยชมแต่หัวใจของคนเป็นมารดานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความ รักที่ยากจะหาที่ใดเปรียบ ทีนี้เยซองคงต้องคิดหนักเสียหน่อยมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรักษาเทพ แต่ไม่รู้เหตุที่แน่นอนของโรคแบบนี้มัน...
“แล้วที่มีของโรคหรือลักษณะของโรคจะเป็นอย่างไรขอรับ”
“ไม่รู้สิข้าไม่รู้อะไรเลย ในหนึ่งวันคยูฮยอนนั้นไปมาหลายที่นัก เค้าหนีออกไปโดยพนักการจึงไม่รู้เหตุที่มา แต่อาการของโรคก็คล้ายๆโรคหอบ นอกนั้นข้าไม่รู้แล้ว”บีบมือเล็กแน่นเข้าไปอีกหวังว่าคนตรงหน้าจะยอมช่วย เหลือหรือไม่ก็ช่วยบรรเทาอาการลงไปบ้างเพื่อรอเวลาตามที่โหรบอก
เยซองมองที่ใบหน้าอวบเหมือนอยากจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง อันที่จริงนั้นช่วยได้อยู่แล้วเพียงแต่ติดว่าข้อมูลที่ได้ไม่เพียงพอ ยังไงก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ตัวเขาเองก็เคยเพียงปรุงยาจากสมุนไพรและมันใช่ยาที่ดีนักแต่ก็เป็นที่ต้อง การไปทั่วทรราชกับแค่ปลูก รักษา ดูแลต้นสมุนไพรให้เจริญเติบโตด้วยไข่มุกชีวิต การช่วยชีวิตคงจะไม่ยากเท่าไรหรอกมั้งลอกสักครั้งในชีวิตเพื่อเป็น ประสบการณ์คงไม่เสียหาย
“ข้าจะพยายาม”
ขบวนม้าขนาดย่อยค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากปราสาทขนาดใหญ่จุดมุ่งหมายคือปราสาทกลาง ที่ที่เรียกประชุมการใหญ่เกี่ยวกับเรื่องดินแดน การสานสัมพันธ์กันระหว่างสวรรค์กับนรก
ขบวนม้ายังคงเคลื่อนตัวออกมาเรื่อยๆจนถึงป่าขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างจะไร้แสงสว่าง เพราะเป็นป่าทึบมีเพียงต้นไม้สูงๆปลกคลุมไปทั่วพื้นที่ แล้วเป็นการยากที่รถม้าจะสามารถเคลื่อนออกไปตามทางจึงต้องใช้ทางอ้อมซึ่งไกล พอสมควร
“ไม่ต้องอ้อมหรอกที่เหลือเราจะเดินทางไปเอง”เยซองชะโงกศีรษะออกมาพูดทำเอาทหาร ที่ติดตามมาด้วยมองหน้ากันเลิกลั่น เพราะนอกจากจะกลัวว่าองค์ชายของพวกตนจะได้รับบาดเจ็บแล้วก็ยังกลัวโดนอาญา เมื่อกลับไปสู่วังหลวงในเวลาที่ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ
“แต่องค์ชายหน้าที่ของกระหม่อนคือคุ้มครององค์ชายเพื่อเดินทางไปสู่ปราสาทกลางนะ ขอรับ กระหม่อมมิอาจละจากหน้าที่ของพวกกระหม่อมได้”ทหารนายหนึ่งทลบอก มีหรือที่อีกคนจะให้ความสนใจรีบออกมาจากรถม้าหลวงทันทีโดยมีคยูฮยอนตามมา ติดๆ
“งั้นนำนี่ไป หวังว่าคงพอสำหรับพวกเจ้าทุกคนในการหาที่พักแรมกันสักวันสองวันแล้วค่อยกลับ สู่วังหลวง”โยนถุงที่บรรจุแก้วมรกตนับสิบเม็ดไปให้ แก้วมรกตคือเงินตราที่เทพในสรวงสวรรค์ใช้ในการสัญจรซื้อขาย มูลค่าของแต่ล่ะเม็ดมีมากกว่าทองคำหนึ่งแท่งเสียอีก
เหล่าทหารก็ต้องหันหน้ากลับมามองกันอีกครั้งราวกลับจะปรึกษาถึงเรื่องนี้ไอ้ได้ รับเครื่องประทานเป็นแก้วมรกตก็ดีอยู่หรอก ถึงยังไงหน้าที่ก็คือหน้าที่ เป็นทหารรับใช้กษัตริย์ก็ต้องรับใช้ให้ถึงที่สุดนั่นคือความภาคภูมิใจสูงสุด ของพวกเขามื่อการปฏิบัติหน้าที่ต้องมาเป็นลำดับหนึ่งทำให้คนทั้งหมดเลี่ยง ที่จะรับแก้วมรกต
“ข้าดูแลตัวขอข้าเองได้ตอนนี้เจ้าได้ส่งข้าถึงที่แล้วเชิญเจ้ากลับไปได้แล้ว”
“แต่...อ้อ ก ขอรับกระหม่อมทูลลา”เหล่าทหารคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า คยูฮยอนที่เงียบอยู่นานมองด้วยความสงสัยเหตุใดพวกทหารถึงได้เปลี่ยนใจง่าย ดายเช่นนี้ เมื่อมองไปที่เยซองก็พอกับคฑาสีขาวบนยอดประดับด้วยเพชรสีนวลที่ตอนนี้เปล่ง ประกายเรืองรองงดงามก่อนละอองเพชรจะหายไป
“ท่านพี่ทำอะไรคนพวกนั้น?”ถามด้วยความสงสัย คยูฮยอนเองนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องนั่งรถม้าตลอดการเดินทาง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญเท่าทำไมต้องไปด้วยตนเอง?
“นี่เป็นโอกาสดีนะคยูฮยอนที่ข้าและเจ้าจะได้ศึกษานอกสถานที่แบบนี้”พูดอย่างมีความนัยไม่ได้สนใจอีกคนเลยสักนิด
“ข้ารู้ว่าท่านชอบศึกษาแต่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
“ข้อแรก คือทำไมข้าต้องปกป้องเจ้าตลอดเวลา ข้าไม่จำเป็นต้องปกป้องเจ้าตลอดเวลาที่ข้าบอกว่าเป็นโอกาสดีเพราว่าทั้งข้า และเจ้าจะได้ฝึกตัวเองไปด้วย เพื่อประสบการณ์ ความรู้ในการรบทั้งเจ้าและข้าต้องออกรบด้วยกันทั้งคู่”
“ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้ารบหรอก”คยูฮยอนค้านขึ้น
“เมื่อเจ้าโตขึ้นกว่านี้เจ้าจะรู้ว่าชีวิตจริงๆของเจ้าชายมันเป็นอย่างไร”
“ข้าจะใช่ชีวิตตามปกติของข้า”ตอบหน้าตายแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องที่เยซองสอน
หาก จะกล่าวตามจริงแล้ว คยูฮยอนแทบจะไม่ต้องทำอะไรเมื่ออยู่ที่ปราสาทของตัวเอง วันๆก็เอาแต่เที่ยวเล่นไปทั่ว เรียกได้ว่าสร้างแต่ปัญหา พอถึงเวลาเรียนเข้าจริงๆจังๆก็ไม่เคยที่จะตั้งใจเรียนเหมือนคนอื่นเขาดีแต่ แกล้งทวยเทพไปวันๆ ส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่สร้างล้วนเป็นเรื่องใหญ่โตทั้งนั้นตามจัดการตามแก้กัน แทบจะไม่ทัน
“แต่ ชีวิตปกติของเจ้าคือชีวิตที่วุ่นวายของข้าตอนนี้เจ้าอยู่กับข้าช่วยสงบ เสงี่ยมด้วย หากเมื่อใดถึงปราสาทกลางเจ้าจะใช่ชีวิตยังไงนั่นก็อีกเรื่อง”มองหน้าผู้อ่อน เยาว์กว่าด้วยสายตาเย็นชา
“ไม่ๆๆ พอถึงปราสาทกลางข้าจะปกป้องท่านพี่เอง ได้ข่าวว่าที่นั่นมีแต่บุรุษข้าไม่ยอมให้ท่านพี่เป็นอะไรหรอก”พูดได้เต็มปาก เต็มคำแบบไม่ยั้งคิด อย่างนั้นเมื่อถึงปราสาทกลางคยูฮยอนจะดูแลแต่นี่อยู่ที่ใดก็ไม่รู้แสดงว่า ตอนนี้เยซองต้องดูแลคยูฮยอนว่าอย่างนั้นเถอะ
“ท่านพี่คิดถูกแล้ว”ใบหน้ากลมเงยมองอย่างสงสัยนี่คยูฮยอนรู้ความคิดของเค้าด้วยอย่างนั้นหรือ?
“อื้ม ข้ารู้นี่อย่าบอกนะว่าตลอดมาท่านคิดว่าข้ายังเรียนไมจบเวทย์ขั้นที่ 3 น่ะ”คยูฮยอนรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาในทันทีเมื่ออีกคนพยักหน้า เวทย์ขั้นที่สามเป็นที่แยกหวมดออกไปจากเวทย์พื้นฐานก็คือเวทย์การอ่านใจคน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฝึกเพียงแค่พลังจิตที่แน่วแน่และพลังแห่งการหยั่งรู้ เป็นส่วนผสมเข้าด้วยกันก็สามารถที่จะอ่านใจใครก็ได้ไม่เว้นแม้แต่ชาวนรกหรือ สัตว์ป่า
“เจ้า รู้ไหมว่าข้าเชื่อว่าเจ้าจบเวทย์ขั้นที่ 3 แล้วแต่ขั้นที่ 1 และ 2 เจ้ายังไม่จบ”รู้ได้ยังไง? นี่คือความคิดของคยูฮยอนซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าตนก็กำลังโดนอ่านใจอยู่ เช่นเดียวกันซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เยซองใช้พลังในการยับยั้งการอ่านใจ ของคยูฮยอน พอมารู้ตัวอีกทีร่างบางๆก็เดินตัวปลิวเข้าไปในป่าเสียแล้ว
ป่า แห่งนี้ไม่น่ากลัวนักหากเทียบกับป่าในดินแดนนรก ป่าแห่งนี้อยู่มายาวนานไม่แพ้เวลาการก่อเกิดสวรรค์และนรก ป่าแห่งนี้มีพลังมากกว่าที่ใครๆคิดเพราะป่าแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตและมีชีวิต ข้อนี้คือสิ่งที่ใครๆต่างก็รู้ดีแต่กับองค์ชายทั้งสองแล้วประสบการณ์ก็ยัง ไม่มาก จะใช้ชีวิตอยู่ในบรรทัดฐานที่จะล่วงไปในภายภาคหน้าอย่างไร
“ข้า เริ่มจะเบื่อแล้วที่เจ้าพูดมาก ในเมื่อเจ้ายังเรียนไม่จบหลักสูตรพื้นฐานข้าจะสอนเจ้าไหนลอง....”แล้ว อาจารย์จำเป็นก็ต้องตากตรำสอนลูกศิษย์ผู้มีสมองช้ายิ่งกว่าลาเสียอีก ==
“ชาวสวรรค์สติไม่เต็มแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย ==”ร่าง หนึ่งรำพันกับตัวเอง ใบหน้าคมรับได้รูปกับจมูกโด่งเป็นสรร ริมฝีปากบางเฉียบเผยอขึ้นเล็กน้อยทำให้ภาพนั้นน่ามองอย่างไม่ต้องสงสัย เขาค่อยๆร่อนลงจากต้นไม้สูงจรดลงสู่พื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าพุ่มเตี้ยๆ มองตามสองร่างที่เดินทำเลาะกันไปตลอดด้วยความนึกขันในความเด็กและด้อย ประสบการณ์
“ท่าน พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะองค์ชาย”ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายอีกคนเดินออกมาจาก หลังต้นไม้สูงอายุหลายพันปี ก่อนจะเดินมายืนเคียงคู่กับชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเขาเล็กน้อย
“ข้านึกว่าท่านจะล่วงไปปราสาทกลางแล้วเสียอีก”เดินสะบัดผ้าคลุมออไปในทันทีเพื่อเดินทางสู่จุดหมายปลายทาง
...ปราสาทกลาง...
เเฮ่ๆในที่สุดก็แต่งจบตอนแล้วนะคะดีใจเพียงใดไม่มีใครรู้
อ่านแล้วก็เม้นกันบ้างนะคะเม้นน่ะเม้น
ปีใหม่แล้วคนที่ไม่ค่อยเม้นกลับตัวกลับใจซะนะคะ
ความคิดเห็น