ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] The 13 Prince ศึกชิงรักนิรันดร์ [BumYe HanKyu.Etc]

    ลำดับตอนที่ #3 : The 13 Prince…3 ปราสาทกลาง/ทดสอบสรรพคุณ

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 54









    The 13 Prince…3 ปราสาทกลาง/ทดสอบสรรพคุณ





    ณ ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางพื้นที่ห้าฤดู ที่มีสองส่วนคือฤดูหนาวและใบไม้ผลิอยู่ทางด้านดินแดนของชาวสวรรค์ และอีกสองด้านคืฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงอยู่ติดกับชายแดนของนรก

     

    อีกฤดูคือฤดูฝนจะอยู่ระหว่างกลางของดินแดนทั้งสองทางทิศเหนือ ซึ่งจะมีการยกทัพช่วงชิงกันอยู่หลายทศวรรษ หากไม่ได้ราชันจากปราสาทแห่งนี้ออกมาออกอ้างและประกาศตนอยู่จุดสูงสุดของโลก สงครามคงจะเกิดขึ้นตลอดไปอย่างไม่อาจหยุดได้

     

    ที่สำคัญปราสาทนี้ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสองดินแดนเพียงแต่มีแม่น้ำล้อมรอบเป็นบริเวณกว้างและเป็นเกาะขนาดใหญ่มีความลับต่างๆของโลกมากมายอย่างคาดไม่ถึง หากแต่ทำไมไม่มีใครคิดที่จะค้นหาคำตอบ เพราะว่าชะตา พรหมลิขิตยังไงล่ะ ปล่อยให้โลกดำเนินเวลาไปด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรอ?

     

    กฎอันมาเป็นอันดับ 1 ของโลกแห่งนี้คือการฝ่าฝืน ห้ามฝ่าฝืนต่อสิ่งต้องห้าม คำสั่ง หรือสิ่งเร้นลับสิ่งที่อยู่โลกที่สาม มิติที่สี่ หรือห้วงชะตา สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ต้องได้รับตราสัตย์ซึ่งเป็นกฎเก่าที่ถูกยกเลิกไปนานแล้วแต่ก็มีการนำไปใช้บ้างจะมีรูปร่างของหัวคอยกลับหัวนั่นหมายถึงชีวิตที่ถูกลิขิตตรีตราชีวิตไว้แล้ว

     

    แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นโลกยุคใหม่แล้ว(ไม่ใช่สมัยเราเด้อ) ยุคสมัยที่ของเทวดาและเทพจะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่แค่ในสวรรค์หรือนรก...

     









    “ท่านพี่ถึงรึยังเราเดินกันมาร่วมชั่วยามแล้วนะ”บ่นนำมาแต่ไกลเพื่อร้องเรียกความสนใจจากคนที่เดินอยู่ด้านหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ดังพอให้อีกคนได้ยินสักเท่าไรเพราะเสียงนั่นเบาจนแทบเป็นเสียงของลมที่พัดไสวไปกับทุ่งหญ้าสีเหลืองอ่อน

     

    “ท่านพี่ พึ่บ”ร่างโปร่งล้มลงไปกับพื้นทนไม่ได้กับสภาพร่างกายอันน่าอัปยศนี้เท่าไรนัก

     

    “อะไรของเจ้าอีกข้าไม่เข้าใจทำไมเจ้าถึงชอบเป็นภาระนักนะ เยียหลาน”ทันใดก้อนเมฆขนาดใหญ่ที่ลอยลงมาตามลมดั่งกับการอันเชิญก่อตัวขึ้นกลายเป็นสิ่งมีชีวิตมีแขนมีขาพอให้เยซองได้เห็นตัวก่อนจะกลายสภาพกลับเป็นเมฆดังเดิมไปโอบอุ้มคนที่ทรุดตัวลงกับพื้นขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุจนลอยคว้างกลางอากาศ พาตัวของคยูฮยอนลอยตามคนที่เริ่มต้นเดินต่อไปอย่างตั้งใจ

     

    “ข้าไม่ชอบความสูงเจ้าลอยต่ำๆหน่อยสิ”เริ่มโวยวายหัวใจเต้นระรัวขึ้นอย่างกลัวว่าจะตกลงไป

     

    “ข้าฟังคำสั่งขององค์ชายเท่านั้นไม่ใช่คนอย่างเจ้า”เยียหลานหรือเจ้าก้อนเมฆส่งเสียงตอบกลับได้อย่างเป็นมิตรที่สุด ทำเอาองค์ชายน้อยคยูฮยอนเกิดอาการช็อคค้างกลางอากาศที่สิ่งไม่ระบุว่ามีชีวิตกำลังพูดอยู่กับเขา

     

    ตลอดทางคยูฮยอนเลือกที่จะสงบปากสงบคำยอมขี่เมฆอยู่ในที่สูงๆดีกว่าต้องมาคุยกับผีเมฆอย่างนี้

     

    “ลงมาได้แล้วเดี๋ยวเยียหลานของข้าจะเป็นอันตราย”ก้อนเมฆลอยต่ำลงจนติดกับพื้นดินเป็นขณะเดียวที่ก้อนเมฆจะกระจายออกแตกตัวกลายเป็นอากาศธาตุทำให้ร่างที่อยู่บนนั้นตกลงมาดังตุบ เจ้าตัวได้แต่เก็บเสียงเอาไว้ไม่ได้อยากโวยวายให้ผู้เป็นพี่บ่นว่าใจเสาะกับเรื่องแค่นี้

     

    “ละ..แล้วเราถึงไหนแล้วขอรับท่านพี่”

     

    “ท่าเรือน่ะ”ตอบเสร็จก็เดินไปหาพ่อค้าเร่คนหนึ่งที่ตั้งของเก่าขายอยู่ข้างทางพร้อมถามอะไรบางอย่างที่คยูฮยอนขี้เกียจรู้ ได้แต่มองทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่งและเยซองก็รักษาภาพพจน์เจ้าชายได้เป็นอย่างดี เพราะหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มสวยตลอดเวลาที่คุยกัน แล้วเดินกลับมาหาผู้ที่นั่งรออยู่ข้างทางอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่เห็นเมื่อสักครู่ใบหน้านั้นตึงไปถนัดตา

     

    “ไปกันเถอะ เราต้องไปยังเรือลำนั้น”นิ้วป้อมๆชี้ไปที่เรือที่อยู่ริมสุดสีน้ำตาลเข้าดูแล้วจะมีอายุไม่น้อยกว่า 500 ปี

     

    “ไม่เอาขี่เมฆ...เอ่อ ข้าหมายถึงเยียหลานอะไรของท่านน่ะไปดีกว่า เรือนั้นดูมีอันตราย”เมือเห็นอีกคนส่งสายตาอาฆาตมาให้จึงเปลี่ยนการเรียกเจ้าก้อนเมฆนั่นซะใหม่ รักก้อนเมฆมากกว่าข้าเสียอีก

     

    “เรื่องของเจ้าแต่ข้าจะไปเรือ...”เดินไปยังท่าเรือลำใหญ่นั่นทันทีทำเอาคยูฮยอนที่นั่งอยู่กับพื้นดีดตัวขึ้นวิ่งตามแทบไม่ทัน อาจเพราะไม่ทันระวังดันวิ่งไปชนชายร่างสูงที่ใส่ชุดคลุมสีดำยาวกร่อมเท้าที่เดินกันมาสองคนพอดิบพอดี

     

    “อุก/โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย TOT

     

    ร่างโปร่งที่ล้มลงไปรีบดีดตัวขึ้นอีกครั้งยืนมองอย่างตกใจ ชายชุดดำก็พยุงตัวขึ้นช้าแต่โดยที่ชายอีกคนได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ ด้วยความตื่นกลัวและไม่ไว้ใจใครนอกจากเยซอง คยูฮยอนรีบวิ่งหนีไปหาเยซองที่ลงเรือไปเรียบร้อยแล้วด้วยกลัวจะโดนฆ่าจากคนที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนดีได้

     

    คยูฮยอนวิ่งหอบไปหาผู้เป็นพี่ที่ยืนรับลมอยู่ด้านนอกอย่างสบายอารมณ์ แต่บัดนี้เยซองได้ไปเอาชุดคลุมของใครมาใส่ก็ไม่รู้เหมือนอย่างคนที่เขาชนไปเมื่อสักครู่นี้เลย

     

    “อ่ะนี่ของเจ้าใส่ซะที่นี่มีอันตราย เราต้องทำตัวให้กลมกลืนกันมากที่สุดอย่าไปโดนใครเข้าล่ะ เจ้าอาจตายได้นะข้าเตือนแล้วไปล่ะ”ไม่ทันแล้วววววววววววววววววววววว!!!

     








    ตลอดเวลาตั้งแต่เรือออกจนถึงกลางทางที่ให้เรือหยุดพักเพียวครู่แต่เวลานั้นมันยาวนานมากๆสำหรับคยูฮยอนผู้คิดมาก ตอนนี้ร่างโปร่งนั่งหลบอยู่แถวๆซอกหนึ่งในที่อับๆของเรือจะออกตอบหาเยซองก็ไม่ได้เพราะกลัวว่าเจ้าสองคนนั้นจะขึ้นตามมาด้วย(คิดมากไป)

     

    กึกๆๆ

     

    เสียงฝีเท้าเดินกระทบแผ่นไม้อยู่ไม่ไกลฟังดูก็รู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้มันคงจะไม่บังเอิญขนาดต้องเจอกับสองตนนั้นใช่มั้ย เอาน่าคยูฮยอนเจ้าเป็นบุรุษที่องค์อาจนะ อาจจะไม่ใช่สองคนนั้นหรอก ใช่มั้ย?

     

    “ใครอยู่ตรงนั้น”เสียงก้องดังไปทั่วห้องแต่รัศมีที่ควรจะเป็นจุดมุ่งหมายก็คือที่ที่คยูฮยอนนั่งหลบภัยอยู่ งานเข้า TT

     

    ชายหนุ่มที่ถามเดินเข้าใกล้ที่ซ่อนตัวเรื่อยๆคนที่หลบอยู่อยากจะบินหนีหรือไม่ก็หายตัวไปจากตรงนั้นเสียจริงๆ จ้ากกกกกกกกก ลืมใส้ผ้าคลุม TT

     

    “เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”พูดแนวข่มขู่คยูฮยอนผู้กลัวทุกสิ่งรีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อนทันที เหงื่อยใสๆไหลพราวเต็มใบหน้าคมน่ามองนั่นเต็มไปหมด

     

    “เอ่อ ข้ามาหาที่นอน”รีบแก้ตัวพลันวัน หลีกสายตาที่มองมาถึงจะไม่เห็นดวงตาที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั่นแต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกคนมองอยู่เหมือนเพ่งเสียด้วยซ้ำ

     

    “นี่คนที่ชนเจ้านี่”บอกซิว่าข้าฟังผิดน่ะ ฮือๆๆๆนับว่าสวรรค์ไม่รักข้าแล้ว ท่านพี่ลาก่อนข้ายังไม่ได้บอกรักท่านเลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าคงจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปหาท่านแล้วรอรับข้าด้วย~~~

     

    “อ่อ ที่แท้ก็เจ้าชายจากแดนสวรรค์นี่เอง ขี้กลัวแบบนี้ก็หมดสนุกน่ะสิ หึหึ ไม่นึกว่าข้าจะได้สะสางกับเจ้าเร็วขนาดนี้ รู้มั้ยแค่เจ้าชนข้าเนี่ยข้าก็ฆ่าเจ้าได้แล้นะ เตรียมตายไว้รึยัง”ชายหนุ่มร่ายยาวมองไปที่ร่างที่สั่นเป็นลูกนก ตวัดดาบคมขึ้นส่องกับแสงแดดที่สาดส่องลอดเข้ามากระทบลดดาบลงจ่อกับศีรษะวาดขึ้นเหนือหัวก่อนจะตวัดลงมา

     

    กริ๊ง ควับ

     

    ทุกอย่างเงียบสนิท เมื่อคฑาสีขาวพุ่งไปที่ดาบอย่างรวดเร็วอย่างกับนกเหินทำให้ดาบที่จะฟันลงไปหลุดจากมืออย่างง่ายดายแต่สิ่งที่ต้องเสียไปคือคฑาที่ขาดออกเป็นสองท่อนราวกับไร้ความศักดิ์สิทธิ์

     

    “คยูฮยอน!!!”ด้วยความตกใจเยซองถลาวิ่งเข้ามาให้ไม่ได้ระวังลำแขนแกร่งที่กางหว่างคอของเค้าทำให้ล้มหงายไปข้างหลังศีรษะกระแทกกับบรรไดผ้าที่คลุมไว้เปิดออกจนเห็นใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด เลือดแดงฉานไหนลงบนพื้นไม้หยดลงไปยังพื้นเบื้องล่าง คยูฮยอนเงยมองด้วยความอึ้ง เลือด!!

     

    “ไม่คิดว่าเจ้าจะผลุนผลันเข้ามาในนี้นะ”เสียงเย็นๆพูดขึ้นก้าวเดินเข้ามาใกล้ดวงหน้าหวานจดจำรายละเอียดของเจ้าของร่างบางไว้จนละเอียดถี่ถ้วน

     

    “ช่างไร้คุณสมบัติจริงๆ”อีกเสียงดังตามกันมาก้าวยาวๆไปยังร่างที่นั่งสั่นใช้มือข้างเดียวในการยกตัวขึ้นมาพาดบ่า ซึ่งทั้งชายทั้งสองก็กระทำไม่ต่างกันเท่าไรนักก็คือการแบก

     

    “องค์ชายคิบอม องค์ชายฮันคยองท่านจะพาองค์ชายทั้งสองพระองค์ไปไหนขอรับ”ชายร่างผอมบางที่ดักรออยู่ด้านหน้ามาสักพักถามในขณะที่ทั้งสี่กำลังจะผ่านไป แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรผิดปกตินอกจากชายร่างเล็กสองคนที่สลบอยู่บนบ่าแกร่งเพราะได้ใช่ชุดคลุมใส่ให้เรียบร้อยแล้ว

     

    “ข้ากำลังจะพาองค์ชายจากแดนสวรรค์ทั้งสองไปพักผ่อนน่ะสิ”

     

    “เรือจอดเทียบท่าเมื่อไรช่วยเรียกเราด้วยแล้วกันองค์ชาย”

     

    ที่ใช้สรรพเป็นองค์ชายก็ไม่แปลกเพราะในเรือลำนี้มีเพียงองค์ชายแค่ 12 พระองค์ เรือใช้การบังคับตามทิศทางลมก็สามารถถึงปราสาทกลางได้โดยไม่ต้องใช่แผนที่หรือสิ่งที่ใช้คนหาทิศทาง

     

    “ไม่บอกท่านก็รู้อยู่แล้วนี่องค์ชายทั้งสองคงจะอยู่ผิดส่วนแล้วล่ะมั้ง องค์ชายจากแดนสวรรค์ทุกคนอยู่ทางหัวเรือ แต่พวกเราอยู่ท้ายเรือกันนี่”บอกอย่างเย่อหยิ่งไม่เข้ากับหน้าสวยๆราวกับนางฟ้านั่นเลย

     

    คิบอมและฮันคยองไม่ตอบแต่เดินออกไปเลยโดยไม่สนใจใครจากไหนอีกจุดมุ่งหมายคือที่พักสำรองที่อยู่ใต้ท้องเรือตลอดทางเดินกลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้งไปทั่ว สิ่งประหลาดเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

     

    “แล้วจะเอายังไงกับซากคฑานี้ล่ะ”ฮันคยองถามขึ้นควงคฑาครึ่งท่อนเล่นไปมา

     

    “เรื่องของเจ้า”คิบอมตอบอย่างไม่ใส่ใจเสียเท่าไร กำลังรอคอยเวลาที่คนสองคนที่กำลังหลับใหลตื่นขึ้นจากนิทราแสนขมขื่น

     

    “อืม”คนที่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างที่จะสาหัตลืมตาตื่นช้าๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นช้าแต่ก็ยังไม่ทันมองสำรวจห้องก็ทำตามที่ตนต้องการก่อนเป็นลำดับแรก

     

    “เยียหลาน”เมฆก้อนใหญ่ลอยล่องเข้ามาตามความต้องการอีกครั้งแต่คราวน้กลายร่างเป็นเทพธรรมดามีแขนมีขาดูเป็นชายผู้องอาจ

     

    ละอองเมฆกระจายตัวจนทั่วห้องเหมือนรู้หน้าที่ของตัวเอง สร้างความผ่อนคลายให้คนที่อยู่ด้านในได้เป็นอย่างมาก แล้วเมฆผู้จงรักก็หายไปอีกครั้งเนื่องด้วยบรรยากาศด้านในไม่มากพอต่อการสร้างตัวตนของมัน

     

    “พวกเจ้าต้องการอะไรจากเค้า”คนที่ร่างบางพูดถึงก็คือคยูฮยอนที่ยังคงพยุงตัวขึ้นอย่างงงๆแต่ก็เลิกตกใจ(ได้สักที)ไปแล้ว

     

    “เราก็แค่ทดสอบพวกเจ้า แต่สำหรับข้าเจ้าอยู่ในระดับย่ำแย่”

     

    “พวกเจ้าเห็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว”ทำถ้าจะลุกออกไปก่อนมือเล็กเอื้อมไปจับแผลที่ท้ายทอยพบว่าเลือดมากมายเริ่มไหลอีกครั้ง มันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับการเจ็บตัวแผลของเขาสามารถหายได้ด้วยตัวเองเพียงแค่เวลาเท่านั้นที่ต้องการ

     

    “ตอนนี้ แฮ่กๆ เราควรไปรวมที่หัวเรือก่อนนะ ข้าว่ามีใครมาเยี่ยมเรา”ทุกคนที่รู้สึกเหมือนกับคยูฮยอนไม่มีผิดรีบนำพาร่างของตัวเองออกไปในทันที โดยที่ยังคงต้องแบกร่างบางทั้งสองด้วยความจำเป็นอีกครั้ง

     

    เปรี๊ยง!!! โครม!!! คราม!!! อ้ากกก!!!





      

     

     



       





    แหงะจบแย้วนะงิ๊กว่าจะเสร็จรากงอกแล้ว

    มึนไหมอ่ะรับประกันมึนกันใช่มะ ==
    กว่าตัวละครเอกของเราจะได้เจอกันเนอะไรเตอร์ไส้ปริ้นไปหลายรอบแล้ว TT









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×