GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY( บทที่ 1 ) - GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY( บทที่ 1 ) นิยาย GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY( บทที่ 1 ) : Dek-D.com - Writer

    GERRARD: MY AUTOBIOGRAPHY( บทที่ 1 )

    ลิเวอร์พูลโดยกำเนิด

    ผู้เข้าชมรวม

    652

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    652

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 มิ.ย. 51 / 07:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทที่ 1
      ลิเวอร์พูลโดยกำเนิด
                 ถ้าลองกรีดเส้นเลือดผมออกดูก็จะเห็นเลือดสีแดงแบบลิเวอร์พูลไหลรินออกมาจากตัวผม ผมรักลิเวอร์พูลอย่างคลั่งไคล้ใหลหลง ความมุ่งมั่นของผมที่จะประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูลเพิ่มระดับความจริงจังขึ้นอีกเป็นทวีคูณเนื่องมาจากการจากไปของจอน-พอล
                 แต่ก่อนจะมาถึงจุดที่ยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ ความฝันของผมเคยต้องเผชิญอุปสรรคที่มาในรูปของอุบัติเหตุร้ายแรง เส้นทางสู่อาชีพนักฟุตบอลของผมเกือบจบสิ้นลงก่อนจะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ ความฝันของผมเกี่ยวกับลิเวอร์พูล ทีมชาติอังกฤษ หนทางสู่การได้สัมผัสถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ ได้วาดลวดลายในฟุตบอลโลก ทั้งหมดทั้งมวลเคยต้องฝากความหวังสุดท้ายไว้ในมือหมอผ่าตัดตอนที่ผมอายุได้เพียง 9 ขวบ
                 แอนฟิลด์คือรักแรกและบ้านหลังที่สองของผม ผมเริ่มไปหัดเล่นบอลร่วมกับไมเคิ่ล โอเว่นที่ศูนย์กีฬาศูนย์เวอร์นอน แซงก์สเตอร์ (Vernon Sangster Sports Centre)  ของสโมสรลิเวอร์พูลเพื่อเรียนรู้วิถีแห่งนักฟุตบอลอาชีพอยู่นานเกือบปีแล้วตอนที่เหตุการณ์เลวร้ายส่งผมเข้าโรงพยาบาลไปพร้อมๆ กับความประหวั่นพรั่นพรึงเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ทุกวันนี้ผมยังใจหายทุกครั้งที่นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในสนามหญ้าใกล้ๆ บ้านเก่าที่บลูเบล ในฮายตัน,เมอร์ซีย์ไซด์
                 แถบละแวกบ้านผมมีลานโล่งล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้รกๆ แห่งหนึ่ง เป็นที่ที่ชาวบ้านมักจะเหวี่ยงขยะและข้าวของที่ไม่ใช้แล้วทิ้งเอาไว้เป็นประจำ แต่สำหรับเด็กเล็กๆ อย่างผมกับเพื่อนๆ แค่ลานแห่งนี้มีสนามหญ้ากว้างพอจะใช้เป็นที่เตะบอลเล่นกันได้ก็ดีถมเถแล้ว ที่ทิ้งขยะแห่งนี้กลายมาเป็นสนามแอนฟิลด์,กูดิสัน ปาร์ค หรือแม้แต่เวมบลีย์ ที่เปรียบเหมือนสวรรค์บนดินในโลกของพวกผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช้าวันเสาร์วันหนึ่งผมออกไปเตะบอลเล่นกับมาร์ค ฮานแนน เพื่อนแถวบ้านคนหนึ่ง เราตกแต่งสนามนี้กันไว้นิดหน่อย ไม่หรูถึงขนาดสนามเบอร์นาบิวแต่ก็เป็นสนามของเรา เพื่อนคนหนึ่งเอาตาข่ายมาจากทีมในซันเดย์ ลีก ที่เขาเล่นอยู่ด้วยมาตัดแบ่งครึ่งแล้วทำโกล์เล็กขนาดฟุตบอล 7 คน ไว้ทั้งสองฟาก สุดแสนจะสมบูรณ์แบบ
                 วันนั้นมีแค่ผมกับมาร์คเล่นบอลกันสนุกสนานอยู่สองคน จังหวะหนึ่งลูกฟุตบอลลอยไปตกในพุ่มไม้คัน ไม่มีปัญหา  ผมวิ่งตามไปที่บอล “ฉันจะไม่แหย่มือเข้าไปหรอก” ผมตะโกนบอกมาร์ค “เดี๋ยวคัน” พุ่มไม้หนาจนผมมองไม่เห็นลูกบอล “ฉันจะเตะบอลออกไปแล้วกัน” ผมดึงถุงเท้าขึ้นสูงแหย่เท้าเข้าไปพยายามเขี่ยลูกบอล แต่ไม่เป็นผล ผมเลยหวดเท้าขวาเข้าไปในพุ่มไม้เต็มแรง ด้วยลูกเตะระเบิดกระป๋องแบบที่ผมใช้ยิงและส่งบอลเป็นประจำ ผมเหวี่ยงเท้าเร็วและแรงมากลึกเข้าไปในพุ่มไม้
      เจ็บ !!
                 เท้าผมเตะโดนอะไรก็ไม่รู้เข้าอย่างจัง วินาทีนั้นความเจ็บปวดก็พุ่งปรี๊ด ผมแทบหัวใจหยุดเต้น ล้มตัวลงบนพื้นตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ผมกล้าพูดได้เลยว่าถึงต่อมาในอาชีพค้าแข้ง ผมจะเคยได้รับบาดเจ็บหนัก กระดูกเท้าหักและกล้ามเนื้อโคนขาหนีบฉีกขาด แต่บอกตามตรง ไม่เคยมีการบาดเจ็บครั้งไหนเจ็บปวดเทียบเท่ากับครั้งนี้ได้เลย มันเหมือนถูกเข็มอาบยาพิษแทง เจ็บจี๊ดลามมาจนถึงหน้าแข้งเพียงแค่เสี้ยววินาที
      มาร์คกวดจี๋เข้ามาหา
      “ไม่รู้ฉันโดนอะไรมาร์ค” ผมโวยลั่น “มองไม่เห็นอะไรเลย ขาฉันก็ติดอยู่ในนี้ดึงออกมาไม่ได้ด้วย”
      มาร์คก้มมอง พระเจ้าช่วย ใบหน้าเขาซีดเผือดในเสี้ยววินาที
      “มาร์คจะอ้วกแน่ๆ” ผมคิด มันร้ายแรงแค่ไหนกันนี่?
                 ผมมองไปที่เท้าบ้างและก็แทบไม่เชื่อสายตา คราดอันเบ้อเริ่มเสียบทะลุพื้นร้องเท้าทะลุนิ้วหัวแม่โป้ง ใครบางคนขว้างคราดสนิมเขรอะอันนี้ทิ้งมาตกที่พุ่มไม้ ด้ามจับคราดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มีแค่ซี่โลหะซึ่งผมก็เตะใส่เข้าเต็มรัก  ผมรู้สึกได้ถึงโลหะที่เสียดสีกับกระดูก
      “ไปบอกใครมาช่วยเร็ว” ผมตะโกนใส่มาร์ค ทำให้มาร์ควิ่งจี๋ไปตามหาพ่อแม่ผม
       ตอนนั้นเอง นีล เวสตัน เพื่อนบ้านคนหนึ่งได้ยินเสียงร้องเลยรีบวิ่งมาดู นีลลากผมออกห่างจากพุ่มไม้ คราดติดมาด้วยเหมือนเป็นอวัยวะที่งอกออกมาจากเท้า
      “ฉันดึงคราดออกมาได้ไหม?” เพื่อนบ้านถาม
      “อย่าดึงนะ!!!! อย่าดึง” ผมร้องห้าม
      “ขอลองดูก่อน” นีลบอก แต่คราดไม่ขยับซักนิด
      “ฉันไปเรียกรถพยาบาลดีกว่า” เขาพูดแล้วก็หายไป
       ผมได้แต่นอนรออยู่บนพื้น น้ำตาไหลอาบหน้าความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบคลุม ผมจะยังเตะบอลได้อีกไหม?
      บ้าชะมัด!
      พ่อกับแม่รีบวิ่งมาดู ทันทีที่เห็นพ่อก็รู้เลยว่าเรื่องมันร้ายแรงแค่ไหน
      “สตีเว่นจะต้องเสียเท้าไป”
       ผมได้ยินพ่อพูดกับแม่ ไม่นะ! พระเยซูทรงโปรด อาชีพที่ผมใฝ่ฝันจะต้องถูกฝังไว้ที่พุ่มไม้นี่แล้วหรือ?
                 ในที่สุดรถพยาบาลจากแอลเดอร์ เฮย์ก็มาถึง คงสักสิบนาทีแต่ผมรู้สึกราวกับรอนานเป็นสิบชั่วโมง บุรุษพยาบาลมองเท้าผมผ่านๆ ก็รู้ทันทีว่าคงจะเอาคราดออกตรงนี้ไม่ได้
      “ลองไปหาทางดูที่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่า” บุรุษพยาบาลคนหนึ่งออกความเห็น
      คนสี่คนจึงช่วยกันยกผมไปขึ้นรถพยาบาล แล้วเราก็เปิดหวอซิ่งไปตลอดทางจนถึงแอลเดอร์ เฮย์
                 การเดินทางไม่ต่างกับการถูกทรมาน ผมไม่รู้หรอกว่ามีเนินกั้นบนถนนในลิเวอร์พูลกี่เนิน รู้แต่ว่าผมแหกปากร้องลั่นทุกครั้งที่รถกระแทก เมื่อขยับตัวกระดูกนิ้วเท้าผมต้องรับน้ำหนักราว 1 สโตนจากคราดที่กดจนนิ้วงอ ผมน้ำตาไหลท่วมทุกๆ การเคลื่อนไหว สั่นไปทั้งตัว บุรุษพยาบาลคนหนึ่งคอยช่วยจับคราดไว้ไม่ให้แกว่งไปมาอีก แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับสุดแสนจะน่ากลัว ผมเอาแต่ร้องตะโกนใส่คนขับรถ
      “ไม่ใช่ความผิดคนขับนะลูก” พ่อกับแม่ปลอบผม
      ผมแค่อยากให้ความเจ็บปวดหยุดลง หยุดมันที ได้โปรดหยุดเถิด!!
                 ระหว่างทางไปโรงพยาบาลพวกเขาถึงกับต้องให้ออกซิเจนกับผมเพื่อช่วยหายใจ
      เมื่อไปถึงโรงพยาบาลผมก็ถูกนำตัวขึ้นเตียงเข็นตรงไปห้องฉุกเฉินทันที ทุกคนเห็นชัดเหมือนๆ กันว่าอุบัติเหตุร้ายแรงแค่ไหน ได้ยินชัดด้วยอีกต่างหาก  แม่ผมประสาทเสียไปเลย ส่วนผมก็ร้องโหยหวนเสียจนโรงพยาบาลแทบแตก
                 พอได้ฉีดยาแก้ปวดแล้วนั่นแหละผมถึงได้หยุดร้อง ผมรู้สึกมึนงงอ่อนแรงแต่ยังไม่หลับ ท่ามกลางเมฆหมอกผมได้ยินหมอพูด


      “คราดมีสนิมเยอะเลย อาจทำให้เกิดเนื้อตาย เราต้องตัดนิ้วเท้าออกไม่ให้เนื้อตายลามออกไป”
      “เดี๋ยวก่อน” พ่อขัด “สตีเว่นเล่นฟุตบอล คุณควรคุยกับทางลิเวอร์พูลก่อนลงมือรักษาจะดีกว่า ต้องบอกให้พวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
      จากนั้นพ่อก็โทรหาสตีฟ ไฮเวย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฟุตบอลเยาวชนลิเวอร์พูล ; อะคาเดมี่ (Academy) ; ผู้ซึ่งเร่งรีบขับรถมาโรงพยาบาลทันทีที่ทราบเรื่อง สตีฟเป็นคนแกร่ง พอมาถึงเขาก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด
      “ไม่ได้เชียวนะ พวกคุณจะตัดนิ้วเท้าเขาไม่ได้เด็ดขาด” สตีฟบอกพวกหมอ
      “เราต้องดูความร้ายแรงของแผลก่อนถึงจะตัดสินใจได้” หมอตอบ
      สตีฟยืนกราน “ไม่ อย่าตัดนิ้วเขา”
                 สตีฟชนะการโต้แย้งในที่สุด ขอบคุณพระเจ้า หมอก็เลยฉีดยาชาให้ผมก่อนจะดึงคราดออก นิ้วเท้าผมกลายเป็นรูใหญ่มาก ขนาดเกือบเท่าเหรียญ 20 เพนนี และลึกราวหนึ่งนิ้วครึ่ง วุ่นวายกันพอดูแต่อย่างน้อยหมอก็รักษานิ้วเท้าและอาชีพผมไว้ได้
      “เธอเป็นหนุ่มน้อยที่โชคดีเอามาก ๆ” สตีฟบอกกับผม
      พวกหมอต่างเห็นด้วยในเรื่องนั้น
      “เราแทบไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน” พวกหมอเล่า
                 แม้แต่พอลพี่ชายผมก็ยังดูห่วงใยเมื่อเขามาเยี่ยมผม ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพอลจะแหย่ผมได้ทุกเรื่องแท้ๆ
      มีเรื่องดีอยู่อย่างหนึ่งจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั่นก็คือผมไม่ต้องไปโรงเรียนอยู่ตั้งสามสัปดาห์ หมอสั่งห้ามชัดเจน
                 แหม! แล้วเด็กอย่างผมจะกล้าขัดคำสั่งคุณหมอได้อย่างไรกัน ทางโรงเรียนส่งการบ้านมาให้ทำด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้เสร็จ ไม่มีโอกาสเลยเพราะผมเอาแต่มัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการประคบประหงมรักษาแผล
                 ทุกคนในครอบครัวเอาใจผมเต็มที่ ผมก็เลยได้โอกาส นอนแช่บนเก้าอี้ยาวดูวีดีโอเทปเกมลิเวอร์พูลระหว่างรอคนมาทำแผลให้ ยอดเยี่ยมที่สุด ฮีโร่ทุกคนของผมยกขบวนกันมาโชว์ลีลาบนจอทีวี ทั้งจอห์น บาร์นส, เคนนี่ เดลกลิช หรือแม้แต่เอียน รัช สำหรับผมพวกเขาเหมือนยาวิเศษชั้นดีที่ช่วยให้แผลหายวันหายคืน
                 ทุกๆ วันจะมีพยาบาลมาล้างแผลให้ด้วยยาฆ่าเชื้อ เอาก้อนสำลียัดอุดแผลไว้ ใช้ผ้าตาข่ายปิดทับด้านนอก สุดท้ายก็พันผ้าพันแผลจากเท้าสูงไปจนถึงข้อเท้า  เมื่อแผลค่อยๆ ดีขึ้นๆ พยาบาลก็ลดขนาดก้อนสำลีที่ใช้อุดให้เล็กลงเรื่อยๆ
                 ในไม่ช้าผมก็ไปโรงเรียนได้ด้วยไม้ค้ำยัน แต่ผมยังไปเล่นที่สนามไม่ได้ รวมถึงต้องงดไปซ้อมฟุตบอลกับลิเวอร์พูลที่ศูนย์เวอร์นอน แซงส์เตอร์  นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ถูกห้ามไม่ให้ทำสิ่งที่รักที่สุดในชีวิต
                 ระหว่างใช้เวลารักษาตัวนานหลายสัปดาห์ทำให้ผมรู้ซึ้งว่าฟุตบอลสำคัญกับชีวิตผมมากแค่ไหน ผมเริ่มดูเกมฟุตบอลทางทีวีจริงจังขึ้น ผมมักจะนั่งดูทีวีที่เก้าอี้ยาวโดยนั่งโหม่งลูกบอล หรือเดาะบอลด้วยเท้าซ้ายไปด้วย บางทีผมจะกอดลูกบอลไว้แน่นเพื่อความอุ่นใจ ผมไม่อยากอยู่ห่างจากลูกฟุตบอลอีกเลย
                 บางครั้งแผลก็ปวดขึ้นมากะทันหัน แต่หลังจากรักษาอยู่ห้าสัปดาห์ผมก็เตะบอลได้จริงๆ อีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้า ปราศจากฟุตบอลชีวิตผมคงว่างเปล่า ผมไม่เคยลืมความว้าเหว่ที่ต้องอยู่โดยแยกจากฟุตบอลที่ผมรักคราวนั้น   นอกจากคำรับรองให้หยุดเรียนแล้ว หมอที่แอลเดอร์ เฮย์ ยังให้โบนัสอีกอย่างกับผมด้วย เมื่อแพทย์ผ่าตัดเห็นคราดสนิมเขรอะตัวก่อเรื่องก็ให้ความเห็นว่า
      “ขยะแบบนี้ไม่น่ามาอยู่ที่สนามหญ้าเลย”
                 พ่อกับแม่ของผมเลยเอารองเท้ากับคราดไปให้ทนายดู ซึ่งเขาแนะนำให้ฟ้องร้อง เราเลยฟ้องสภาเมืองด้วยว่าที่ว่างตรงนั้นเป็นพื้นที่ในความดูแลของหน่วยงาน เป็นคุณก็ฟ้องจริงไหมล่ะ?
                  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผมเคยทำการฟ้องร้องอยู่แค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งคืออุบัติเหตุในแท็กซี่ซึ่งเราได้เงินชดเชยมา 800 ปอนด์ ส่วนครั้งนี้คราดที่เสียบเท้าทำให้เราได้เงินชดเชย 1000 ปอนด์ ไม่เลวเหมือนกัน แม่ใช้เงินที่ได้มาซื้อเสื้อฟุตบอล, กางเกง และข้าวของอีกเยอะแยะให้ผม
      “เจ็บตัวครั้งนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกันนะแม่” ผมหัวเราะขำเรื่องนี้กับแม่ตลอดเวลาที่ไปช็อปปิ้งวันนั้น
                 ทุกครั้งที่หวนนึกไปถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นผมยังสัมผัสความเจ็บปวด เหมือนเส้นกระตุก ภาพคราดที่เสียบติดรองเท้ายังติดตา และยังคงรู้สึกถึงโลหะที่เสียดสีอยู่กับกระดูก มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ผมเอ่ยกับพ่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ในภายหลัง แต่พ่อก็เช่นเดียวกับสตีฟ ไฮเวย์ ไม่เคยเอาหน้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
                 พ่อไม่เคยพูดทำนองว่า “พ่อตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าหมอจะไม่ตัดนิ้วเท้าแก” ตรงกันข้าม ตามแบบฉบับของเขาพ่อแค่พูดว่า “ลูกโชคดีเหลือเกินสตีเว่น”
                 เราต่างรู้ดีว่าถ้าเสียนิ้วหัวแม่โป้งไปโอกาสกับลิเวอร์พูลและทีมชาติอังกฤษก็คงยุติลงเพียงแค่นั้น จบสิ้นโดยถูกคราดเก่าๆ เขรอะสนิมจากที่ทิ้งขยะในฮายตันเสียบทะลุเท้า
      ทุกวันนี้พื้นที่ว่างๆ เหล่านั้นกลายเป็นบังกะโลมากมายผุดขึ้นมาแทนที่ แทบไม่มีลานว่างล้อมรอบด้วยพุ่มไม้ที่รอซุ่มทำร้ายเด็กๆ อ่อนเดียงสาหลงเหลือให้เห็นอยู่อีกซักเท่าไหร่ สนามฟุตบอลแห่งแรกๆ ในชีวิตของผมทุกวันนี้ถูกทดแทนด้วยพื้นคอนกรีต บางแห่งกลายเป็นที่จอดรถ มีคนเอารถมาจอดกันเต็มพื้นที่ว่างในย่านที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าบลูเบลล์ บนถนนไอร์ออนไซด์ ที่ผมเติบโตขึ้นมา
                 ในสมัยก่อนตอนผมยังเด็กลานคอนกรีตหน้าบ้านเลขที่ 10 ถนนไอร์ออนไซด์ ของผม เคยเป็นสนามบอลส่วนตัวของผม ที่แห่งนั้นว่างเสมอเพราะรถไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบริเวณ นอกจากในวันอากาศดีที่พวกเด็กๆ อย่างเราเลือกจะไปเตะบอลกันที่สนามหญ้า แต่ในวันปกติเราก็จะเล่นกันที่หน้าบ้านนี่แหละ แค่ออกมาพ้นประตูบ้านก็เริ่มเกมกันได้ทันที ยอดเยี่ยมที่สุด
                 มีคนทำพื้นคอนกรีตตรงนั้นเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่สำหรับผมลานแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเลือกชีวิตฟุตบอล เป็นสิ่งนำทางให้ผมมาอยู่ ณ จุดนี้ โชคชะตาช่างน่าฉงนดีแท้ ที่แห่งนั้นเป็นสนามของผม ในวันคืนเก่าๆ ถ้ามีเด็กคนไหนอยู่แถวนั้นตอนผมออกมาหน้าบ้านเราก็จะรวมตัวกันทันที เราเล่นเกมฟุตบอลฝ่ายละห้าคน,สิบคน,ยี่สิบคน,เล่นลิงชิงบอล,แข่งยิงประตู,วิ่งไล่ รวมไปถึงเกมสนุกๆ ที่เรียกกันว่า “โชว์บั้นท้าย- Bare Arse”
                 เกมนี้ฮามาก กฎคือถ้าใครทำเสียประตูมากเท่าจำนวนที่กำหนดเอาไว้ คนๆ นั้นก็ต้องเปิดก้น คนอื่นๆ ที่เหลือก็จะได้ยิงบอลไปที่บั้นท้ายเปลือยเปล่าของคุณฟรีๆ เกมนี้เป็นธรรมเนียมสเกาซ์ขนานแท้ที่สร้างผู้รักษาประตูฝีมือเยี่ยมรวมไปถึงศูนย์หน้าสุดแม่นมานักต่อนัก
                 สิบห้าปีให้หลังเมื่อปีเตอร์ เคราช์มีปัญหาเรื่องความแม่นยำที่ลิเวอร์พูล เราก็เล่นเกมนี้กันในการซ้อมเพื่อช่วยผมและเคราช์ชี่ในการซ้อมยิงประตู ผมถลกกางเกงลงปล่อยให้เคราช์ชี่เล็งยิงบั้นท้ายของผม มีคนแอบดูการซ้อมอยู่ที่กำแพงและถ่ายรูปเอาไว้ เพียงเท่านั้นทั้งผมและเคราช์ชี่ก็มีอันได้ไปโชว์บั้นท้ายหราใหนังสือพิมพ์  หนังสือพิมพ์ไม่อธิบายสักคำว่าพวกเราแค่เล่นเกมกัน เกมที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กและติดตัวผมมาตลอดชีวิต
      ไอร์ออนไซด์หรือที่ผมอยากเรียกว่าถนนแสนสุขนั้น  เป็นบ้านที่ผมอาศัยอยู่ตั้งแต่วันลืมตาดูโลก 30 พฤษภาคม 1980 พอออกจากโรงพยาบาลวิสตันก็ตรงดิ่งมาอยู่บ้านฟุตบอลบนถนนแสนสุขแห่งนี้ทันที บลูเบลล์เป็นย่านที่คึกคักพอสมควร มีผับสี่แห่ง เดอะสวอน, บลูเบลล์, โรส และโอ๊ค ทรี
                 บุคคลมีชื่อเสียงหลายคนมีพื้นเพมาจากที่นี่ ทั้งดาราตลกอย่างเฟรดดี้ สตารร์ และ สแตน บอร์ดแมน, นักแสดงอาวุโส เร็กซ์ แฮริสัน รวมไปถึงดาราสาวสวยจากภาพยนตร์ชุด เซ็กซ์แอนด์เดอะซิตี้ (Sex and the City)  คิม แคททรอล ก็เคยอยู่ที่ถนนวิสตัน เลน ในช่วงสั้นๆ นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีร็อค เดอะ ลา’ส (The la’s) , สเปซ แอนด์ แคสท์ ก็เติบโตที่ฮายตันด้วยเหมือนกัน นักแสดงชื่อดังหลายคนเคยอาศัยอยู่แทบทุกหัวถนนในย่านนี้
                 ผมรักชีวิตที่บลูเบลล์ อาณาจักรของผม สนามเด็กเล่นของผม ชมรมเด็กสองแห่งก็ดี แต่ปรกติเรามักออกไปเล่นนอกบ้าน วิ่งไล่จับกันสองคนริมแม่น้ำอัลท์ บางทีก็เล่นซ่อนหา ทางที่ดีเราต้องทำตัวให้ว่องไวอยู่ตลอด เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมกับพอลพี่ชายจะกลับบ้านในสภาพเลอะโคลนไปทั้งตัวทำเอาแม่เดือดดาล ส่วนพ่อได้แต่ยิ้ม
                 ไอร์ออนไซด์เป็นย่านที่มีชีวิตชีวาเสมอ ในหน้าร้อนครอบครัวก็จะพากันมานั่งนอกบ้านพูดคุยสัพเพเหระบางครั้งก็ดื่มด้วยกันส่วนพวกเด็กๆ ก็ได้วิ่งเล่น มีแต่ความสนุกสนานรื่นรมย์ ขนาบข้างบ้านผมมีเด็กผู้หญิงอยู่สองคนพอดี ลิซ่ากับแคโรลีน ผมชอบเล่นกับพวกเธอมาก ลงคลานเล่นรอบๆ บริเวณ ชวนกันเล่นโคลน ผมชอบพวกเด็กผู้หญิงจริงๆ พวกเธอทำให้ผมติดใจ ผมเองไม่มีพี่น้องผู้หญิงก็เลยสนุกที่มีเด็กผู้หญิงในชีวิตบ้าง แต่ลิซ่ากับแคโรลีนก็มีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่ง พวกเธอไม่เตะบอล
                 แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะผมหาเพื่อนเล่นเกมได้ไม่ยาก ที่บลูเบลล์มีเด็กที่กระหายจะเล่นฟุตบอลอยู่ดาษดื่น ฮายตันเป็นแหล่งกำเนิดนักเตะชื่อดังมานับไม่ถ้วนอย่างสตีฟ แมคมาน, โจอี้ บาร์ตัน, ลี ทรุนเดล, ปีเตอร์ รีด, โทนี่ ฮิบเบิร์ต, เคร็ก ฮิกเน็ต และเดวิด นูเจนท์
                 ในเมืองคลาคล่ำไปด้วยสโมสรฟุตบอลวันอาทิตย์นับแทบไม่ถ้วน ฟุตบอลเปรียบได้กับศาสนาประจำท้องถิ่นนี้ ที่บลูเบลล์ผมรวมทีมกับพรรคพวกวัยไล่เลี่ยกันอีกเจ็ดถึงแปดคนและกลายมาเป็นเพื่อนที่ดี เรามักจะเล่นเตะบอลกันไม่หยุดหย่อนจนแม่ๆ มาเรียกเข้าบ้านถึงจะยอมสลายตัว
      แต่มีปัญหาอย่างหนึ่งรบกวนผม ผมไม่ค่อยได้เล่นฟุตบอลดีๆ กับเพื่อนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะผมเก่งกว่าพวกเขาเกินไป ด้วยเหตุนี้ ผมจึงชอบเล่นฟุตบอลกับพอลพี่ชายและพวกเพื่อนๆ ของเขาซึ่งรุ่นใหญ่กว่าผมถึงสามปีมากกว่า พอลมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ราวสิบห้าคนได้และพวกเขาเล่นฟุตบอลกันเต็มสูตร ตอนอายุหกขวบผมตัวคนเดียวรับมือพอลกับเด็กเก้าขวบอีกคนได้สบายๆ ทั้งพอลและเพื่อนๆ ของเขาจะเลือกผมให้เล่นทีมเขาเสมอ ผมชอบแข่งกับพวกเขาซึ่งยอมรับในฝีเท้าผม
                 เพื่อนๆ พอลเล่นบอลเก่งๆ กันทั้งนั้น  พอลเองเคยไปทดสอบฝีเท้ากับโบลตัน วันเดอเรอรส์ เด็กอีกคนชื่อแดนนี่ วอ์ลคเกอร์ก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนฟุตบอลที่ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ปกติแก๊งของพอลจะเล่นอยู่ในทีมชุดอายุต่ำกว่า 10 ปี ในลีกท้องถิ่นชื่อทีมโทลเกท (Tolgate) ซึ่งชายสองคนจากฮายตันเป็นผู้ดูแล วันหนึ่งผมตามพอลไปที่แมตช์การแข่งขันของทีมโทลเกทและก็เลยลองขอลงเล่นบ้าง
      “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา?” คนดูแลถาม
      “เจ็ดขวบ” ผมตอบ
      “เด็กเกินไป” พวกเขาตัดบทในที่สุด
                 ผมน้ำตาไหลพราก “พวกคุณไม่รู้อะไร ผมเก่งพอจะเล่นลีกนี้” ผมคร่ำครวญ หมดสนุกในทันที การถูกปฏิเสธแผดเผาจิตใจของผมอย่างร้ายกาจ
                 สนามพื้นคอนกรีตกับสนามหญ้าแข็งกระด้างที่บลูเบลล์เป็นสังเวียนแข้งที่เหล่านักเตะรุ่นเยาว์จะหลั่งเลือดได้ง่ายๆ การเลี้ยงบอลให้เชื่องเท้าและความแคล่วคล่องว่องไวเป็นสองทักษะที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด ผมพัฒนาทักษะทั้งสองด้านขึ้นมาได้เร็วเหลือเชื่อ มันจำเป็น เพราะพอลกับพวกเด็กโตไม่เคยยั้งเวลาเข้าแท็คเกิล ถึงจะกับเด็กรุ่นน้องสามปีอย่างผมก็ตาม อัดกันตลอด ทำเอาผมกลิ้งประจำ ไม่มีการปรานีปราศรัย
                  แต่ผมก็ชอบ ไม่เคยถอย นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พวกเด็กโตยอมให้ผมเล่นด้วย บ่อยครั้งที่ผมวิ่งกลับเข้าบ้านไปทำแผลก่อนมาเล่นต่อ จนถึงทุกวันนี้ผมยังมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นที่ระลึกจากเกมฟุตบอลข้างถนนจากการโดนเบียดอัดกับรั้ว ตะปูกรีดหน้าเป็นรอย แต่ผมไม่เดือดร้อน ผมวิ่งห้อไปบ้านปู่โทนี่ที่เลขที่ 35 ถนนไอร์ออนไซด์ คุณปู่ทำแผลให้อย่างประณีตแล้วผมก็วิ่งกลับมาเล่นเกมต่อ
              “เร็วๆ เข้า” เพื่อนร่วมทีมตะโกนเรียก แล้วก็ตูม ตูม สงครามเริ่มอีกครั้ง
      ทุกวันนี้ผมซื้อทั้งบ้านเลขที่ 10 และเลขที่ 35 เก็บเอาไว้ บ้านสองหลังนี้จะเป็นทรัพย์สินของครอบครัวเราตลอดไป ตอนนี้พี่ชายผมเองก็อาศัยอยู่ที่บ้านเก่าของเราที่บ้านเลขที่ 10 ไอร์ออนไซด์จะเป็นถิ่นของพวกเจอราร์ดเสมอ
                 คุณปู่โทนี่เป็นพ่อของพ่อผม ฝ่ายแม่มีคุณตาซิดนีย์ ซัลลิแวน คุณตากลายมาเป็นคนพิการในตอนสูงวัย ท่านจึงมาอยู่ด้วยกันกับครอบครัวเราอยู่ถึงแปดปี ตลอดช่วงชีวิตวัยเรียนของผม ตอนซิดนี่ย์กลับจากโรงพยาบาลหลังจากเข้ารักษาตัวเมื่อมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบครั้งแรก มีจดหมายจากทางการส่งมาถึงเรา เนื้อหาในจดหมายโหดร้ายมาก มันมีเนื้อความสรุปว่าถ้าไม่มีใครในครอบครัวของเราดูแลคุณตาตลอดเวลาได้ ทางสภาเมืองก็จะให้คุณตาไปอยู่บ้านสงเคราะห์ คุณยายของผมอยู่ที่ถนนมอสครอฟท์ ห่างไปอีกสองช่วงตึก คุณยายไม่สามารถรับภาระดูแลซิดนีย์ได้โดยลำพัง ถ้าคุณยายออกไปข้างนอกคุณตาก็จะต้องอยู่บ้านคนเดียว
      “คุณตาจะไม่ไปอยู่บ้านสงเคราะห์” แม่บอกพวกเราและให้คุณตาย้ายมาอยู่กับเราด้วย
                 เราเลยต่อห้องให้คุณตาใหม่เป็นห้องชุดที่มีครบทั้งห้องน้ำและพร้อมอุปกรณ์ช่วยเหลือ คุณตามีห้องนั่งเล่นพื้นที่กว้างกว่าห้องนอนตัวเองสองเท่าด้วย ปกติซิดนีย์จะอยู่แต่ในห้อง นานๆ ทีจึงจะเดินออกมาดูทีวีกับเรา แต่โดยส่วนใหญ่คุณตาจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องด้านหลังคนเดียว
                 คุณตามีอาการเส้นเลือดในสมองตีบอยู่ถึงสี่ครั้ง ผมเกลียดผลต่อเนื่องของความเจ็บป่วยที่เกิดกับท่าน มันทำให้คุณตาเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว พอลกับผมยังพอคุยกับคุณตาได้หลังท่านป่วยครั้งแรก แต่การสื่อสารก็ยากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากครั้งต่อๆ มา อาการที่ทรุดลงเรื่อยๆ ของคุณตาทำให้พวกเราเจ็บปวด คุณตาเคยเป็นคนน่ารักก่อนจะล้มเจ็บ ผมอยากจะจดจำท่านในภาพที่ท่านยังแข็งแรงดี ยิ้มง่ายและชอบคุย
                 ตอนที่ท่านป่วยหนักถ้าแม่เห็นผมกับพอลไม่ได้เข้าไปหาคุณตานานไปแล้ว แม่ก็จะกระตุ้นเราทันที “เอาน้ำชาไปให้คุณตาเสียสิ” แม่มักจะสั่ง “ไปนั่งดื่มน้ำชากับท่าน”
                 คุณตาดีกับผมและพอลมาก ท่านคอยดูให้แน่ใจเสมอว่าผมกับพอลมีรองเท้าและชุดกีฬาที่อยากได้ “เอาเงินนี่ให้เด็กๆ นะ พวกแกจะได้มีเสื้อผ้าเครื่องใช้เล่นฟุตบอลให้ครบ” คุณตามักจะยัดเยียดเงินให้แม่เป็นประจำ
      “ไม่ค่ะ” แม่ปฏิเสธเสมอ
      “เอาไปเถอะ” คุณตายืนยันทุกครั้ง เอาเงินวางไว้บนโต๊ะให้แม่ คุณตาเป็นคนใจกว้างที่สุด “ดูให้พวกหลานๆ มีทุกอย่างครบนะ” ท่านสั่งแม่เสมอ
                 คุณตาไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่มีเงินชดเชยการเจ็บป่วยกับเงินบำนาญ คุณตาทำงานหนักมาตลอดชีวิตทั้งในกองทัพและทำงานบนเรือ
                 ในการดูแลความเป็นอยู่ให้คุณตาแม่ได้เงินตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง พอลกับผมเห็นได้ถึงความเอาใจใส่ที่คุณแม่มีให้กับตาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่แน่นแฟ้น แต่คุณตาซิดนีย์เป็นเครื่องยึดให้เราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
                 ผมกับพอลเคยต้องช่วยประหยัดเมื่อพ่อเลือกทำแค่งานพาร์ทไทม์ พ่อจะทำงานประจำก็ได้แต่ก็ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ซึ่งท่านไม่อยากทำเพราะต้องการอยู่ใกล้ๆ บ้านเพื่อที่จะคอยเป็นหูเป็นตาดูแลคุณตาเวลาที่แม่ต้องออกไปซื้อของหรือไปรับผมกับพอลกลับจากโรงเรียน พ่อเป็นคนงาน เพื่อนของพ่อที่ผับมักจะหางานกับคนต่างชาติมาให้พ่อ บางครั้งเมื่อมีงานช่วงสั้นๆ ตามแต่จะมีคนจ้างในลิเวอร์พูลพ่อก็จะได้ไปทำงานที่โน่นที่นี่กับเพื่อนเป็นพักๆ
                 พอลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมตลอดมาและจะเป็นตลอดไป แม้ว่าเรื่องที่เขามีห้องนอนใหญ่กว่าจะทำผมไม่ชอบใจ ห้องผมเล็กสุดๆ จนแม้แต่คนตัวจิ๋วจะเหยียดแขนเหวี่ยงแมวตัวเล็กๆ ไปมาในห้องก็ยังทำไม่ได้ ห้องพอลมีฮีทเตอร์ มีเตียงนอนใหญ่ที่สุด ล้วนแล้วแต่ของดีๆ แต่ผมไม่สนหรอก พอลคือฮีโร่ของผม ผมแค่อยากเตร็ดเตร่กับเขาและพวก
      “ไปไกลๆ เลยไป “ พอลคอยไล่ผม “กลับบ้านไป”
                 เขาไม่ว่าที่ผมไปเตะบอลด้วย แต่ไม่ชอบให้ผมไปยุ่งวุ่นวายเวลาพวกเขากับเพื่อนไปเที่ยวเล่นหรือคุยกัน บางครั้งผมกับพอลทะเลาะกันรุนแรง เราลงไม้ลงมือกันไม่มียั้ง
      “ฉันเกลียดพี่” ผมตะโกนใส่หน้าพอล ยืนเอามือลูบหน้าหรือไม่ก็ซี่โครงที่เจ็บเพราะถูกพอลต่อยเอา “ฉันอยากฆ่าพี่ให้ตาย”
                 แต่หลังจากนั้นโทสะของผมก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเหลือแต่ความกังวลว่าพอลจะโกรธเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ยอมให้ผมไปเล่นบอลกับเขาและเพื่อนๆ อีก
      ราวชั่วโมงหลังจากการวิวาทพอลก็โผล่เข้ามา “สตีวี่อยากไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ด้วยกันไหม?”
      “ได้เลย” ผมตอบอย่างลิงโลด ปลาบปลื้มเป็นที่สุดที่ได้กลับเข้าไปในโลกของพี่ชายอีกครั้ง
                 จากนั้นเรานั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ด้วยกันเหมือนไม่เคยลงไม้ลงมือกันมาก่อน ถ้าเราทะเลาะกันเราก็จะคืนดีกันเร็วมากเสมอ ผมชื่นชมพี่ชายของผม ถ้าได้เจอพอลตอนนี้คุณจะเห็นเลยว่าเขาดูเด็กกว่าผมเสียอีก ถ้าไม่รู้จักกันคงไม่มีใครทายว่าเขาอายุมากกว่าผมแน่ แปลกดี
                 พอลเล่นบอลได้ดีเหมือนกัน เพียงแต่เขายังขาดความแข็งกร้าวซึ่งเป็นหนึ่งในบุคลิกที่ผมไม่เคยถูกมองว่าขาด พอลไม่เคยฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเล่นบอลเพื่อจะได้สนุกกับเพื่อนเท่านั้น
      “ตั้งใจมากกว่านี้สิ” พ่อเคยตะโกนใส่พอล
      “มันหนาวนี่นา” เขาตอบ “ผมอยากอยู่บ้านมากกว่า”
                 พอลไม่ได้เป็นประเภทอยู่เพื่อฟุตบอล แต่ถ้าลองจับเขาเข้าโรงยิมเล่นเกมฟุตบอลห้าคนเขาก็ทำได้ดี พี่ชายของผมรู้แทคติคและสามารถเป็นนักเตะที่ดีได้ ทุกวันนี้หลังเกมการแข่งขันผมมีโอกาสได้คุยกับพอลบ่อยๆ และเราคุยกันสนุกรู้ใจ คุยถูกคอกันเป็นอย่างดี
      เพื่อนของครอบครัวและพวกญาติๆ บอกผมเสมอว่าพ่อของผมเคยเป็นนักเตะที่ดีคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
      พ่อไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “ลูกก็ได้เชื้อนักบอลมาจากพ่อนี่ล่ะสตีเว่น” พ่อหัวเราะใหญ่
                 น่าเสียดาย ตอนเด็กๆ เขาเล่นให้กับทีมแอสโทรเทิร์ฟและได้รับบาดเจ็บที่เข่า ทำให้หมดโอกาสที่จะได้เล่นฟุตบอลอาชีพ โทนี่พี่ชายพ่อเคยเล่นได้ดีกับทีมฮายตัน บอยส์ ตอนอายุ 10-15 ปี หลายคนคิดว่าเขาจะได้เล่นอาชีพ ฟุตบอลฝังรากลึกในครอบครัวของผม
                 ผมมีญาติและลูกพี่ลูกน้องที่มักมาที่ไอร์ออนไซด์เพื่อเกมฟุตบอลเป็นประจำ ญาติคนหนึ่ง แอนโธนี่ เจอราร์ด เล่นได้ดีจนครั้งหนึ่งเคยได้รับสัญญาอาชีพเล่นให้เอฟเวอร์ตัน หลังจากนั้นเขาก็ย้ายจากเอฟเวอร์ตันไปเล่นกับวอลซอลล์จนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นฟุตบอลซันเดย์ ลีกในท้องถิ่นนี้ก็มีญาติพี่น้องของผมร่วมเล่นอยู่ด้วยไม่น้อย
                 ความรักต่อฟุตบอลฝังแน่นอยู่ในครอบครัวของผมเหมือนรอยสลักบนพื้นหิน แอนฟิลด์และกูดิสันเป็นสถานที่หย่อนใจประจำ ลองเดินเข้าไปดูบ้านญาติผมที่ไหนๆ ก็ตามก็จะมีคนเปิดทีวีดูเกมฟุตบอลอยู่เรื่อย เราชอบนั่งเฮกันหน้าทีวี ดื่มไปด้วย นั่งดูเกม น่าตื่นเต้นเสมอ  ทุกคืนวันเสาร์เป็นวันที่พ่อจะออกไปหย่อนใจที่ผับ แต่พ่อก็จะกลับมาดูรายการ แมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ทางบีบีซีเสมอ
                 เราตั้งนาฬิกาโดยดูจากพ่อได้เลย ถ้าออกไปข้างนอกพ่อก็จะกลับเข้าบ้านมาตอนรายการแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ เริ่มฉายทุกครั้ง มันเป็นเหมือนพิธีกรรมประจำวันเสาร์ที่พ่อ ผมและพอลนั่งเบียดกันบนโซฟาดูทีวี ผมตื่นเต้นเมื่อรายการเริ่มฉาย เราทุกคนร้องเพลงตามตอนเปิดรายการ ครอบครัวเจอราร์ดไม่เคยพลาดรายการแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ไม่เคยสักครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดประจำสัปดาห์
                 ที่บ้านของผมฟุตบอลเป็นใหญ่ รายการอย่างโคโรเนชั่น สตรีท  หรือ อีสเทนเดอร์ ไม่เคยโผล่มาบนจอได้ถ้าเวลาชนกับฟุตบอล พ่อไม่เคยยอมเรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าแม่เกิดอยากดูละครตอนแข่งฟุตบอลล่ะก็แทบจะเกิดการฆาตกรรมขึ้นในบ้านผมเชียว
                 บางครั้งบางคราวพ่อจะตบรางวัลผมกับพอลด้วยการพาไปดูถ่ายทอดสดเกมฟุตบอลวันอาทิตย์ในเมืองผ่านจอทีวีขนาดใหญ่ และฆ่าเวลาด้วยการพาไปเล่นปาลูกดอก เราได้ดื่มโค้ก เล่นเกมปาเป้า และดูเกมฟุตบอล ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ จนกระทั่งถึงหกโมงเย็นเวลาแห่งความสนุกก็จบลง เรามุ่งหน้ากลับบ้านด้วยหัวใจหนักอึ้ง  ช่วงเวลาของโรงเรียนที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในเช้าวันรุ่งขึ้นดูไม่ต่างจากเมฆหนาทึบที่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมในวันที่อากาศดี
                 จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงเกลียดคืนวันอาทิตย์ มันยากจะสลัดความทรงจำแย่ๆ จากการต้องเตรียมตัวให้พร้อมไปโรงเรียนในตอนเช้าวันจันทร์ให้หมดไป  มันคือการลงฑัณท์ที่มาพังทลายช่วงเวลาสุดท้ายแห่งสุดสัปดาห์แสนสุข ในปฏิทินของคนทั่วไปสุดสัปดาห์มีเวลาสองวัน แต่ที่บ้านเลขที่ 10 ถนนไอร์ออนไซด์แห่งนี้สุดสัปดาห์มีเวลาแค่วันครึ่งเท่านั้น
                 แม่ยื่นคำขาดว่าเราต้องกลับถึงบ้านให้ทันหกโมงเย็นกลับมาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ เพื่อเตรียมพร้อมไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ เมื่อเรารีบตะลีตะลานกลับมาบ้านก็จะพบชุดนักเรียนแขวนรอเราอยู่ที่โต๊ะรีดผ้าเรียบร้อยแล้ว ชุดนักเรียนสะอาดเอี่ยมอ่องเรียบแปล้ไร้ที่ติจ้องมองเราอยู่ แค่เห็นชุดนักเรียนก็ทำเอาผมเซ็งแล้ว มันชวนให้นึกถึงชุดนักโทษหลังจากจบสิ้นวันแห่งเสรีภาพตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เกลียดโรงเรียน แต่ผมรักช่วงเวลาสุดสัปดาห์ที่ได้ตะลอนๆ ไปทั่วย่านบลูเบลล์
                 แม่จริงจังกับเรื่องโรงเรียนมากกว่าพอลกับผมมาก ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แม่ต้องแน่ใจเสมอว่าชุดนักเรียนของลูกๆ ไม่มีที่ติ แม่คอยขัดรองเท้านักเรียนของเราให้มันวับจนแทบส่องหน้าได้ คุณแม่ที่น่าสงสาร รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าตอนออกจากบ้านชุดนักเรียนจะเนี๊ยบแค่ไหนตอนกลับถึงบ้านชุดของพวกเราก็จะเละเทะเสมอ รองเท้าก็ด้วยทุกวันมันจะกลายเป็นก้อนโคลน งานของแม่ไม่ต่างจากเข็นครกขึ้นภูเขา
      การเดินทางของผมผ่านระบบการศึกษาของเมอร์ซี่ย์ไซด์เรียบๆ ตรงไปตรงมา ผมมองโรงเรียนเป็นสนามฟุตบอลแสนวิเศษที่มีตึกหน้าตาน่าเบื่อล้อมรอบ ป้ายแรกของผมคือโรงเรียนเซนต์ส ไมเคิล ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นโรงเรียนประถมฮายตัน-วิธ-โรบี้ เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Huyton-with-Roby Church of England Primary) แม้จะอยู่ห่างจากบ้านแค่เดินไม่กี่นาทีถึง แต่แม่ก็ยืนยันที่จะไปรับไปส่งผมที่โรงเรียนทุกวัน
                 ตอนเรียนอนุบาลและประถมต้นก็สนุกดี ผมซนบ้างเป็นบางครั้ง บางทีถ้าผมดื้อคุณครูก็จะลงโทษให้ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ไปยืนนับอิฐที่รายเรียงบนผนังอยู่สัก 5 นาที ผมไม่เคยมีเรื่องกับเด็กอื่น ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยและไม่กล่าวคำสบถ บางครั้งผมก็ดื้อและซนบ้าง ความผิดของผมมีอยู่อย่างเดียว ผมชอบเถียงและชอบวิ่งไปคลุกโคลนบนสนามหญ้าเวลาถูกสั่งให้อยู่บนพื้นคอนกรีต ก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป
                 สำหรับผมการเรียนไม่น่าพิสมัยนัก ผมแค่นั่งในห้องเรียนรอให้ถึงเวลาพักซึ่งพวกนักเรียนก็จะได้เล่นเตะบอลกัน ช่วงเวลาพักกลางวันเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดเพราะมันนานถึงหนึ่งชั่วโมงซึ่งก็หมายถึงว่าจะเล่นฟุตบอลได้นานขึ้น ผมไม่ค่อยรอทานอาหารกลางวันของโรงเรียนเพราะมันเสียเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องเข้าแถวรอตักอาหารผมมักจะร้องตะโกนอย่างหงุดหงิด
      “เร็วหน่อยๆ บิ๊กแมทช์รออยู่ข้างนอกนะ”
      บางครั้งผมจะขอให้แม่เตรียมอาหารกลางวันไปให้
      “ลูกควรกินอาหารกลางวันร้อนๆ ของโรงเรียนมากกว่า” แม่ไม่เห็นด้วย “ไม่อย่างนั้นก็กลับมากินที่บ้านถ้าไม่ชอบอาหารที่โรงเรียน”
                 เราพบกันครึ่งทางด้วยห่ออาหารกลางวัน แซนด์วิช,ช็อคโกแลต เครื่องดื่ม และผลไม้นิดหน่อย ผลไม้จะกลับมาบ้านในสภาพเดิมเป็นประจำ แอ๊ปเปิ้ล,กล้วย หรือส้มไม่ใช่ตัวผมแน่ แซนด์วิชก็ไม่ใช่ของชอบผมในตอนนั้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่ผมจะโปรดอาหารพวกขนมปัง,เนื้อ หรืออาหารอื่นๆ ที่กินระหว่างเล่นบอลได้
      “สตีวี่ ลูกไม่กินแซนด์วิชเลย” แม่มักจะบ่นถ้าเห็น “ทำไมกินแต่ช็อคโกแลตล่ะ””
                 แม่ไม่เข้าใจหรอก ตอนพักทานอาหารผมต้องรีบทำเวลา ผมทานอาหารที่แม่เตรียมไปจากบ้านระหว่างเล่นฟุตบอลหรือไม่ก็ขย้ำรวดเดียวหมดระหว่างวิ่งกลับเข้าห้องเรียนรวมไปถึงน้ำชา เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเล่นบอลกันที่ไอร์ออนไซด์หรือมีเพื่อนรอเล่นบอลอยู่ผมก็จะเอาของกินยัดใส่กระเป๋าเผ่นออกประตู โยนอาหารให้สุนัขข้างบ้านระหว่างทางวิ่งไปเล่นฟุตบอล พอเล่นเสร็จผมก็หิวโซกลับบ้าน มาค้นหาบิสกิต ขนม หรือช็อคโกแล็ตทานทีหลัง
                  กลับไปเรื่องที่โรงเรียนกันบ้าง ครูที่เคยเห็นผมเขียนอะไรยุ่งไปหมดด้วยลายมือไก่เขี่ยในชั้นเรียน ปั่นจี๋แทบเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากแท่งดินสอที่ผมรีบเร่งเขียนคงคิดว่าผมต้องตั้งใจกับบทเรียนแหง
                 แต่ขอโทษจริงๆ ครับคุณครู เปล่าเลย สมุดถูกใช้เขียนจัดชื่อทีมสำหรับเกมฟุตบอลตอนพักกลางวัน ที่ปกหลังของหนังสือผมเขียนรายชื่อนักบอลของผมเอาไว้ ทันทีที่กริ่งเวลาพักดังขึ้น ผมก็พุ่งปราดไปที่สนามจัดการแบ่งทีมพวกผู้ชาย และกันพวกเด็กหญิงออกนอกสนาม
      “พวกเธอจะนั่งดูก็ได้” ผมแสดงความใจกว้าง “แต่ว่าตรงนี้เป็นพื้นสนามจะเข้ามาเดินเพ่นพ่านไม่ได้หรอก”
                 ขอบเขตสนามใช้กระเป๋าวางกำหนดจุดเอาไว้รวมถึงทำเป็นเสาโกล์ เกมฟุตบอลที่โรงเรียนเซนต์มิคส’ ถือเป็นเรื่องจริงจังมาก เกมชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่เวมบลีย์ยังไม่เข้มข้นเท่านี้เลย ทุกวันนี้บนใบหน้าผมยังมีร่องรอยแผลเป็นที่ผมได้มาจากสนามแห่งนี้ตอนที่ผมชนเข้ากับรั้วจากการแย่งบอลในเกม ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแพ้ ใครชนะก็อวดได้เต็มปากส่วนผู้แพ้ก็ต้องสงบปากสงบคำจนกว่าจะถึงเกมแก้มือ
                 ผมกับแบรี่ แบนซิคเป็นผู้ล่นที่เก่งที่สุดที่เซนต์มิคส’ แบรี่กับผมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ในสนามความเป็นอริของเราเป็นคนละเรื่องกันเลยเราเล่นกันหนักจริงๆ เรามักจะเป็นคนเลือกทีมมาแข่งกัน การแข่งขันระหว่างทีมของผมกับทีมของแบรี่นั้นดุเดือดเสมอ
                 แบรี่เองเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีคนหนึ่ง เขาได้ไปเล่นทีมชุด ยู-13 กับทีมเดนเบอร์นที่พ่อผมช่วยดูแลทีมอยู่ เดนเบอร์นเป็นทีมที่ดีทีมหนึ่ง ไมเคิล บรานช์และโทนี่ ฮิบเบิร์ตเคยเล่นกับทีมนี้ด้วย ผมไปเล่นให้พวกเขาช่วงสั้นๆ และช่วยให้ทีมชนะในเอดจ์ฮิล จูเนียร์ ลีก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะให้ผมหยุดเล่น แบรี่กับผมนับเป็นผู้เล่นสำคัญในทีมโรงเรียน มีอยู่ปีหนึ่งเราช่วยทำผลงานให้ทีมเซนต์มิคส’ เป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยระดับท้องถิ่นและเรามีโอกาสจะไปแข่งที่เวมบลีย์โดยที่ต้องเอาชนะทีมจากตำบลต่างๆ ในทัวร์นาเมนต์ก่อน
                 รางวัลสำหรับชัยชนะนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน เวมบลีย์ แค่นึกถึงชื่อสนามเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ทำเอาผมหลับไม่ลงเอาแต่นอนคิดว่าจะเป็นยังไงที่ได้ลงแข่งในสนามที่โด่งดังที่สุดในโลก ผมตั้งใจแข่งตลอดทัวร์นาเมนต์ แต่ในเกมหนึ่งผมโดนห่วงกระป๋องโค้กคมๆ บาดหัวเข่า ผมโดนเย็บ 5 เข็ม ไม่มากมายอะไรแต่ก็ทำให้ผมอดร่วมทีมไปแข่งที่เวมบลีย์
                 เรื่องนี้ทำเอาผมร้องไห้ฟูมฟาย ดูเหมือนโชคร้ายแบบนี้จะติดตัวผมอยู่เสมอ คิดดู เพื่อนร่วมทีมได้หยุดโรงเรียนไปแข่งฟุตบอลที่เวมบลีย์ แต่ผมกลับต้องหยุดโรงเรียนเข้าโรงพยาบาล เวลาผ่านไปแม้รอยแผลเป็นบนเข่าจะจางลงแต่ความทรงจำเจ็บปวดที่ต้องพลาดเกมสำคัญที่เวมบลีย์ยังคงแจ่มชัด
      ตอนที่ผมจบจากโรงเรียนเซนต์มิคส์’ ผมก็มาถึงทางเลือกครั้งใหญ่สำหรับโรงเรียนมัธยม เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมบาวริ่ง หรือโรงเรียนโนว์สลีย์ ไฮ พอลเองเรียนอยู่ที่บาวริ่งผมก็เลยอยากไปเรียนที่นั่นเพียงแค่จะได้ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ชาย
                 ส่วนโนว์สลีย์ ไฮ มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง ทีมฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญของโรงเรียน ทุกๆ คนรู้ดีว่าผมจริงจังเรื่องฟุตบอลเพราะฉะนั้นโรงเรียนที่จะช่วยผมให้พัฒนาในด้านฟุตบอลได้จะเหมาะสมที่สุด คุณครูของผมที่เซนต์มิคส์’ ครูแชดวิคได้ให้คำแนะนำกับผม
      “เธอน่าจะเลือกไปเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน นะสตีเว่น” ครูแนะ “ที่นี่เหมาะสมกว่าในเรื่องฟุตบอล”
                 โรงเรียนมัธยมคาทอลิกคาร์ดินัล ฮีแนน เป็นโรงเรียนหนึ่งที่ผมรู้จักดีมานานแล้ว ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องฟุตบอลอาจจะดีที่สุดในแถบนี้เลยก็เป็นได้ สามีของครูแชดวิค-ครูเอริก- สอนวิชาพละศึกษาอยู่ที่นั่น
      “ดูแลสตีเว่นด้วยนะคะ” ครูแชดวิคบอกกับสามี “เขาเล่นฟุตบอลเก่งเหลือร้าย เขาจะต้องเป็นนักเรียนที่น่าชื่นชมที่คาร์ดินัล ฮีแนนได้แน่”
                 หลายคนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่ บลูเบลล์อยู่นอกเขตพื้นที่ของคาร์ดินัล และผมไม่ใช่คาทอลิก แต่ใครจะสนล่ะ ฟุตบอลมาเป็นที่หนึ่งเสมอ คำรับรองของครูแชดวิคที่ว่าผมเรียนดีพอใช้ และทักษะฟุตบอลของผม ช่วยให้ผมเดินเข้าสถาบันคาร์ดินัล ฮีแนน ได้ในที่สุด อาชีพในอนาคตของผมบงการให้ผมเข้าเรียนที่นั่น
                 สิ่งสำคัญคือการลงทะเบียนเป็นนักเรียนที่คาร์ดินัล ฮีแนน จะทำให้ผมได้เข้าร่วมเล่นกับทีมเยาวชนลิเวอร์พูล-ลิเวอร์พูล บอยส์- ไม่ใช่ทีมเยาวชนโนว์สลีย์  ทีมลิเวอร์พูล บอยส์มีภาษีดีกว่ามาก พวกแมวมองทั้งจากลิเวอร์พูลและเอฟเวอร์ตันมักจะไปมองหาเด็กๆ ฝีเท้าดีในเกมการแข่งขันของลิเวอร์พูล บอยส์เสมอ โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนนจึงเหมาะสมกับผมที่สุดแล้ว
                 การเลือกโรงเรียนมัธยมด้วยเหตุผลเรื่องฟุตบอลมีส่วนช่วยให้ผมได้ฝึกความอดทนด้วย คาร์ดินัล ฮีแนนเป็นโรงเรียนใหญ่ มีนักเรียนกว่า 1,300 คน ตอนแรกผมไม่อยากไปเรียนที่นั่นแม้จะรู้ว่าโรงเรียนนี้มีจุดแข็งที่ทีมฟุตบอล ผมนอนร้องไห้เกือบทุกคืน ความคิดที่ว่าต้องย้ายไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเขย่าขวัญผมไม่น้อย คาร์ดินัล ฮีแนน อยู่ห่างจากบ้านไปแค่ 3 ไมล์ แต่สำหรับผมมันเหมือนอยู่คนละประเทศ
                 พ่อกับแม่คอยให้กำลังใจผม โดยการบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นฟุตบอลของผม แม้จะไม่เต็มใจผมก็ต้องไปเรียนที่นั่น ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะคุ้นเคยแต่ในที่สุดโรงเรียนแห่งนี้ก็กลายมาเป็นฉากสำคัญในชีวิตผม ตอนเรียนปีสามผมได้นั่งรถบัสไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ ผมรักช่วงเวลานี้ เป็นครั้งแรกที่แม่ยอมให้ผมไปโรงเรียนเอง สุดยอดจริงๆ ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี พระเจ้าทรงโปรด รู้สึกเหมือนกลายเป็นผู้ใหญ่ในทันที ผมออกจากบ้านพร้อมเงินค่ารถและค่าอาหารกลางวันอุ่นในกระเป๋า ผมรู้สึกเหมือนเป็นราชา เดินอาดๆ ออกจากบ้านไปตามถนนบลูเบลล์ไปเรียกเพื่อนอีกสองคน เทอรี่ สมิธ กับฌอน ดิลลอน จากนั้นเราสามคนก็ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ เดินยืดราวกับเป็นพวกแก๊งในเมือง
                 ฌอนนั้นแย่ที่สุด เขาตื่นสายเสมอ ผมกับเทอรี่ต้องไปที่บ้านเขาเอาก้อนหินขว้างขอบหน้าต่างปลุกเขาตอนแปดโมงสี่สิบห้า รอยแตกเล็กๆ หลายรอยที่หน้าต่างห้องนอนของฌอนเป็นผลมาจากความเป็นคนไม่รู้เวลาของเขานี่เอง
                 ในที่สุดเมื่อลากฌอนออกมาจากบ้านได้เราก็ต้องวิ่งหน้าตั้งไปขึ้นรถ เด็กสามคนลากกระเป๋านักเรียนวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปขึ้นรถ เราหัวเราะกันเสมอ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน ตอนนนี้ฌอนทำงานเป็นคนงานอิฐซึ่งชีวิตไปได้สวย และทุกวันนี้ผมก็ยังได้เจอเทอรี่บ่อยๆ เทอรี่เป็นแฟนเอฟเวอร์ตัน เราก็เลยได้ยั่วแหย่กันเสมอ
                 ตอนที่ฌอน,เทอรี่ และผมอยู่ที่โรงเรียนคาร์คินัล ฮีแนน ช่วงเวลาสำคัญที่ผมรอคอยในแต่ละวันคือเวลาของเกมฟุตบอลในระหว่างพักสองรอบๆ ละ 25 นาที และเกมหนึ่งชั่วโมงในตอนพักกลางวัน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันเอาแต่คิดถึงเกมฟุตบอล ผมชอบเรียนวิชาพละกับคุณแชดวิค แต่โชคร้ายที่วิชาพละไม่มีฟุตบอลหรอก เราได้เล่นแต่รักบี้,ยิมนาสติก หรือคริกเก็ต
                 ผมเองสนใจแต่ฟุตบอล จะเล่นในร่มหรือกลางแจ้งก็ไม่เกี่ยง หรือไม่ก็เทนนิส ผมชอบเล่นเทนนิสด้วยเหมือนกัน ที่คาร์ดินัล ฮีแนน เราได้เล่นมินิเทนนิส แบบที่ใช้ตาข่ายขนาดเล็กและแรคเก็ตไม้ เรามักจะตกแต่งไม้เป็นสัญญลักษณ์ไนกี้ หรือลายเส้นแบบอดิดาสคอยประกวดประขันกันว่าใครจะตกแต่งไม้ได้สวยกว่ากัน อย่างไรก็ตามฟุตบอลก็ยังเป็นวิชาสำคัญในหลักสูตรการศึกษาของผม
                 ที่โรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน ไม่ค่อยโหดนัก มีเรื่องวิวาทกันในสนามบางเป็นครั้งคราว ผมเองมีกลุ่มเพื่อนซึ่งเราคอยดูแลกันและกัน พวกเรามีเรื่องชกต่อยซึ่งผมเข้าไปมีส่วนร่วมบ้างไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องกับผม ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือพวกเด็กโต บางครั้งผมก็ปากแตกกลับบ้านเพราะร่วมวงชกต่อย แต่โดยส่วนใหญ่ชุดนักเรียนของผมจะเปื้อนโคลนมากกว่าเปื้อนเลือด ผมรักที่จะอยู่ในสนามคลุกฝุ่นคลุกโคลนไปตามเรื่องตามราว ผมรักช่วงเวลาที่ได้เล่นฟุตบอล สำหรับผมชั้นเรียนเป็นแค่สิ่งคั่นเวลาระหว่างเกมฟุตบอลเท่านั้น
                 เรื่องเรียนสำหรับผมไม่โดดเด่นอะไร ผมเรียนปานกลาง แต่ละวิชาก็ให้อารมณ์แตกต่างกันไป เช่นถ้าเรียนเลขได้ไม่ดีผมก็จะเกลียดวิชานี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าเรียน แต่ผมทำได้ดีเป็นพิเศษในวิชาภาษาอังกฤษที่มีครูผู้หญิงใจดีคอยช่วยผมก็เลยชอบเรียนภาษา ผมชอบเขียนเรียงความ ชอบแต่งเรื่อง ครั้งหนึ่งผมเขียนเรียงความเรื่อง “วันหนึ่งผมจะชนะฟุตบอลโลกได้อย่างไร”  ผมชอบเรียงร้อยถ้อยคำ ชอบอ่านด้วย หนังสือที่ผมชอบมากที่สุดที่ได้อ่านตอนเรียนคือ Of Mice and Men เป็นเรื่องเศร้าถ้าคุณรู้จักตัวละครในเรื่องลึกซึ้ง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบหลายรอบจนหนังสือแทบหลุดเป็นส่วนๆ เราดูวีดิโอเรื่องนี้ เล่นละคร และสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
                 ตอนสอบประเมินผล (GCSE - General Certificate of Secondary Education) ผมได้ C วิชาภาษาอังกฤษ D 6 วิชา และ E อีก 2 วิชา (การประเมินผลประกอบไปด้วยระดับ A*,A,B,C,D,E,F,G)เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดผมมีความทะเยอทะยาน ความฝัน และเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว – ฟุตบอล

      **** จบบทที่ 1 ****



      ขอขอบคุณ คุณ jigij, คุณ yumesan, คุณ Finnegan 'Finn' Bell, คุณ sumire, คุณ araika และคุณ AUDAC!TY

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×