SF CHANBAEK - SF CHANBAEK นิยาย SF CHANBAEK : Dek-D.com - Writer

    SF CHANBAEK

    ฟิคเรื่องนี้เกิดจาก การแก้บนของผู้เขียน 5555

    ผู้เข้าชมรวม

    583

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    583

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    6
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ธ.ค. 55 / 20:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ONLY ONE DAY…

       

       

      นานๆทีพวกเรา EXO ถึงจะได้พักผ่อนยาวๆก่อนจะเริ่มงานในอัลบั้มชุดใหม่อย่างไม่หยุดพัก งานนี้ปาร์ค ชานยอลเลยชวนผมไปเทศกาลงานดอกไม้ไฟและอาหารพื้นบ้าน (เทศกาลนี้ไม่มีอยู่จริง : ผู้แต่ง) เรียกง่ายๆว่างานวัดนั่นแหละ

       

      แบคฮยอง ทำไมแค่จะไปงานวัดแบคฮยองต้องกรีดอาลไลเนอร์ไปด้วยล่ะฮะเจ้าหนูโอ เซฮุนวัย 18 หมาดๆถามขึ้นด้วยแววตาใสซื่อ

       

      เวลาไปเที่ยวฉันทำก็ทำออกจะบ่อย ไหงวันนี้มาถามล่ะผมตอบโดยที่ไม่หันไปมองหน้าคนถาม

       

      เหอะ ก็แค่งานวัด คิดว่าบยอน แบคฮยอนคนนี้จะตื่นเต้นงั้นหรอ

       

      ...

       

      ..

       

      .

       

      ขอตอบว่า

       

      ..

       

      .

       

      มาก!!!

       

       

      อายไลเนอร์หลากยี่ห้อถูกรื้อขึ้นมาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ผมใช้เป็นประจำตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว... สาบานได้ว่าปกติผมเป็นคนเขียนอาไลเนอร์ได้เร็วและสวยกว่าผู้หญิงอีก แต่วันนี้ให้ตายเถอะโรบิ้น โอริโอ้พันวอน! ผมเขียนๆลบๆเป็น10รอบได้แล้ว เริ่มแสบตาแล้วน้า T_T

       

       

      แบคฮยองอ่า ผมล่ะเป็นห่วงเปลือกตาฮยองจริงๆเล้ย โทนเนอร์ของฮยองหมดไปครึ่งขวดแล้วรู้มั้ยฮะ -_______-เซฮุนพูดพลางเล่นโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ราคาหลายแสนวอนอย่างไม่ละสายตา

       

       

      ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กวัย 18 เลยเงียบๆไป ภารกิจการเขียนอาไลเนอร์รอบที่ 11 ของผมยังต้องดำเนินการต่อ

       

      แอ๊ดเสียงประตูห้องถูกเปิดและปิดลงเบาๆโดยที่ผมไม่ได้สนใจ สงสัยเจ้าเซฮุนออกไปหาไรกินข้างนอก ไอเด็กนี่ไปไหนมาไหนไม่เคยบอกกล่าวกันหรอก

       

      ผมบรรจงกรีดอายไลเนอร์หนที่ 11 ด้วยความตั้งใจ เอาล่ะแบคฮยอน รอบนี้จะเบี้ยวไม่ได้ ฮึบ!

       

       

       

      เบค่อนเสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยแล่นเข้ามาในโสตประสาทของผม ผลก็คืออายไลเนอร์ที่ควรจะกรีดได้อย่างสวยงามกลับเบี้ยวจนจะถึงหูอีกข้างของผม ไม่จริงน่ะ ไอบ้านั่น!!

       

      ไอ้ด๊อบบี้!!!”ผมกรีดร้องชื่อคนที่ทำให้ผลการกรีดอายไลน์เนอร์รอบที่ 11 ของผมล้มเหลวอย่างไม่เชื่อสายตา ไหนมันบอกว่า มันนัด 6 โมงไงวะ!!!

       

      นี่ ... 6 โมง 15 แล้ว ขอโทษที่มาสาย แต่เอ่อ นาย ยังแต่งหน้าไม่เสร็จ?ชานยอลเดินเข้ามานั่งข้างๆผมช้าๆก่อนจะชูนาฬิกาข้อมือขึ้นมาให้ดู

       

      ขอเวลาผมสตั๊นแปปนะ ... ผมอาบน้ำอาบท่าใหม่รอบ 2 ตอนห้าโมง เริ่มแต่งตัวแต่งหน้าตอนห้าโมงครึ่ง บร๊ะเจ้า! เกือบชั่วโมงแล้วหรอเนี่ย!!

       

      นายเนี่ยน้า บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ได้ขึ้นคอนเสริ์ตก็อย่ากรีดไอ้แท่งบ้าๆนี่”ชานยอลพูดพลางหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดรอยอายไลน์เนอร์ที่(โคตร)เบี้ยวออก

       

      “อ้ะ! เดี๋ยวฉันเช็ดเองได้หน่า อย่ายุ่งเด้!”ผมปัดมือหนาที่กำลังยุ่งแถวๆหน้าผมออก

       

      “อยู่นิ่งๆเลยเบค่อน”เจ้าของมือนั้นจ้องมองผมด้วยสายตาดุๆ ผมเลยจำต้องเงียบไป เถียงไปก็ไร้ค่า มันสูงกว่าตั้งเกือบครึ่งไม้บรรทัด!

       

      “บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าหน้าตอนไม่แต่งของนาย น่ารักกว่าตั้งเยอะ”ชานยอลบรรจงเช็ดคราบสีดำออกจากเปลือกตาของผมออกช้าๆ พร้อมกับบ่นประโยคเดิมๆที่ฟังจนท่องได้

       

      “ก็อายไลน์เนอร์มันเป็นเครื่องหมายการค้าของฉันนี่นา”ผมบ่นอุบอิบเบาๆ

       

      ผมหลับตารอให้หมอนี่เช็ดอายไลน์เนอร์ให้อย่างไม่สบายใจนัก คนอุตส่าห์แต่งตั้งเกือบชั่วโมง ลบออกง่ายๆแบบนี้ เสียใจนะเว้ย!

       

      “รู้หน่าว่าแต่งนาน แต่ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ จะไม่ทันที่ดูพลุนะ”เหมือนไอ้ด๊อบบี้นี่จะอ่านใจผมออก ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลืมตาซ้ายขึ้น

       

      “ว่าไงนะ? ดูพลุ?”

       

      “อื้อ ดูพลุ”ชานยอลพยักหน้าลงตรงคำว่าอื้อ

       

      “ฉันไม่ชอบเสียงดัง”ผมหลุบตาลงต่ำ อย่าบอกนะว่าหมอนี่จำไม่ได้ว่าผมไม่ชอบอะไรที่เสียงมันดังๆ

       

      “ฉันมีวิธีให้นายดูพลุโดยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยก็แล้วกัน”ชานยอลว่าพลางทิ้งทิชชู่เมื่อเช็ดคราบสีดำบนเปลือกตาของผมออกหมด ผมลืมตาขึ้นช้าๆ กะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับแสงเล็กน้อย ก่อนจะช้อนมองคนที่ยืนค้ำหัวผมด้วยสายตาไม่ค่อยเข้าใจนัก อะไร? ดูพลุแบบไม่ได้ยินเสียง? นายจะทำยังไงหรอ ปาร์ค ชานยอล…?

       

       

                                             

                                              - - - - - - - - CHANBAEK - - - - - - - -

       

       

       

      หลังจากที่ไอ้บ้าด๊อบบี้บุกเข้ามาเช็ดอายไลน์เนอร์ของผมถึงห้อง นี่เวลาก็ล่วงมาจนถึง 1 ทุ่มแล้ว แปลว่าเราเลทจากเวลานัดถึง 1 ชั่วโมงเต็มๆ

       

      “ว้า ฉันถึงบอกให้นายมาตอนหกโมงไง ดูสิตอนนี้คนเดินเบียดกันอย่างกับไส้เดือนดิน”ชานยอลบ่นๆๆๆๆๆๆตั้งแต่ออกจากหอพักมาจนถึงงานวัดต๊องๆนี่

       

      “แล้วทำไมนายไม่ชวนคยองซูมาล่ะ หมอนั่นตรงเวลาอย่างกับกินนาฬิกาเป็นอาหารว่าง!”ผมประชดใส่มันด้วยอารมณ์กับสีหน้าโคตรเหวี่ยง

       

      “ฮ่ะๆ นายนี่เหวี่ยงได้ไม่ดูเวลาเล้ย ดูสิคนเขามองเราแล้วนะ”มือหนาจับหัวผมให้หันไปรอบทิศก็ปรากฏว่า ผู้คนนับ 10 หันไปซุบซิบๆๆกับคนรอบข้าง เจริญเถอะ จะไม่ให้คนมองได้ยังไงล่ะในเมื่อ

       

      30 นาที ที่แล้ว

       

      “ไอ้ปาร์ค ชานยอล ถอดแว่นดำและเสื้อโค้ทออกเดี๋ยวนี้!”ผมแผดเสียงลั่นห้องเมื่อพบว่า ไอ้คนที่ชวนผมไปเที่ยวงานมันทำตัวได้น่าจับตามองเป็นที่สุด!!

       

      “เบค่อนน้อย เราเป็นไอดอลนะ ถ้าใส่ชุดธรรมดาไปเดิน เขาก็จำเราได้สิ”ชานยอลพูดพลางพันผ้าพันคออีกชั้น

       

      โถ! แบบนี้ไม่มีใครรู้เลยนะว่ามึงเป็นไอดอล!

       

      ผมหัวเสียกับสภาพของไอ้บ้านี่อยู่พักหนึ่งจนเริ่มทำใจ(ไม่)ได้ ผมตัดสินใจเกินไปกระชากผ้าพันคอมันออก

       

      “อนุญาตให้ใส่แค่แว่นดำกับเสื้อโค้ทเท่านั้น ถ้านายคิดจะใส่ผ้าพันคอไปเดินด้วยล่ะก็ ฉันจะบอกว่าฉันจะไม่ไป!

       

      เท่านั้นแหละ ไอ้หมอนี่เลยเลิกคิดจะหยิบผ้าพันคอมาใส่

       

      แต่

       

       

      สภาพของมนุษย์เพศชาย 2 คนเดินมาด้วยกัน อีกคนตัวสูงเฉียด 190 มาพร้อมกับสภาพที่เหมือนมัมมี่ กับอีกคนที่สูง 170 กว่าๆ มาพร้อมกับสภาพหน้าที่ไร้เครื่องสำอางใดๆทั้งสิ้น โอเค คนรอบข้างอาจจะจำเราไม่ค่อยได้ว่าเราเป็นใครเพราะคนที่นี่ค่อนข้างเยอะ แต่ทว่า ไอ้พฤติกรรมง้องแง้งๆของไอ้คนสูง 190 นี่สิ มันเป็นเป้าสายตาที่ดีที่สุดเลยนะ!

       

       

      “ก็ใครเขาสั่งให้นายใส่แอสแซสเซอรี่เยอะขนาดนี้ละโว้ยยย ดูสิคนรอบข้างต้องจำฉันได้แน่เลยอะ งื้อออ T_T”ผมดึงตัวไอ้คนก่อปัญหามาที่มุมที่ไม่ค่อยมีคน

       

       

      ไม่มีสัญญาณตอบรับของหมายเลขที่ท่านเรียก

       

      ผมเงยหน้าไปมองคนตัวสูงนี่ที่อยู่ดีๆก็เงียบไป

       

       

      มือปริศนาช้อนคางผมขึ้นช้าๆให้สบกับดวงตาหวานที่ใครๆก็กล่าวขานว่ามีเสน่ห์ที่สุด..

       

       

      “ขอแค่วันเดียวนะ สนใจฉันมากกว่าคนรอบข้างนั้น ฉันที่เป็นด๊อบบี้ของนาย ที่ไม่ใช่ปาร์ค ชานยอลบนเวทีคอนเสิร์ต”

       

      ผมนิ่งเหมือนถูกดวงตาคู่นั้นสตั๊นไว้

       

      “ได้มั้ยเบค่อน?”ชานยอลเอื้อมไปจับมือของผมเบาๆ เรียกสติน้อยๆของผมคืนมา คำว่าเบค่อนกับด๊อบบี้เป็นชื่อเรียกที่มีแค่เรา 2 คนที่เรียกกันเท่านั้น

       

      “วันเดียวเท่านั้นที่เราจะไม่มีคำว่าไอดอลกั้นระหว่างเรา ที่ตรงนี้มีแต่ฉันกับนาย”มือหนากำมือของผมแน่นขึ้น

       

       

       

      “ก็ได้ แต่ต้องไม่กลับไปที่ที่คนเยอะๆนะ”

       

      สิ้นเสียงผม ไอคนตัวสูงก็ยิ้มกว้างออกมาทันที

       

       

      - - - - - - - - CHANBAEK - - - - - - - -

       

       

      สุดท้ายไอ้ด๊อบบี้เปรตตัวนี้ก็ไมยอมปล่อยมืออกจากผม พอผมหัวไปมองก็ขยับปากพูดเป็นเชิงว่า เอาหน่า วันเดียวเอง ต่อไปนี้ก็จะมีแต่งานๆๆ เราจะไม่ได้อยู่แบบนี้แล้วนะรู้มั้ย

       

      ผมเดินเตร็ดเตร่กับมันมาแถวๆปลายงาน แถวๆนี้จะเป็นพวกเด็กน้อยซะมากกว่าและแน่นอน เจ้าเด็กน้อยไม่รู้จักเราแน่ๆ แถมเกมแต่ละเกมก็มีแต่ลุงๆป้าๆมีอายุคอยนั่งคุม พนันได้เลยว่างานนี้ปลอดภัย!

       

      “ถอดแว่นดำออกได้รึยัง”คราวนี้ผมไม่รอให้มันพูด ผมจัดการเขย่งขึ้นไปดึงแว่นดำออกมาก่อนจะเหน็บมันเข้ากับคอเสื้อตัวเอง

       

      “เราไม่ใช่ไอดอล1วันนะ”ผมยิ้มหวานๆเชิงล้อเลียนให้ตัวไอคนที่คำพูดกลับมาทำร้ายตัวเอง

       

      ชานยอลยิ้มแหยๆคืนมา นั่นทำให้ผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังได้พักหนึ่ง

       

      - - - - - - - - CHANBAEK - - - - - - - -

       

      “มองตาเป็นมันขนาดนั้น อยากได้หรือไง?”นิ้วเรียวชี้ไปยังตุ๊กตาหมาหน้าตาโง่ๆตัวนึงที่แขวนอยู่

       

      “ใครบอก ตุ๊กตาหน้าโง่แบบนั้นใครมันจะไปอยากได้”ผมพูดพร้อมกับเสหน้าและเดินไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า มือที่คอยจับอยู่หลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?

       

       

       

      “ด๊อบบี้”ผมเดินมาเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่ร้านขนมโมจิร้านหนึ่ง โอ้ววว มันน่ากินมากเลยอะ!!

       

      “เฮ้ย ยอล!!!”ผมหันมองรอบกายก็ต้องสะดุ้ง เฮ้ย ไอบ้านี่หายหัวไปหนายยยยย!!!!

       

       

      ผมยืนคว้างอยู่สักพักหนึ่งก็นึกได้ จึงเดินกลับไปยังจุดที่มีไอหมาโง่นั่น อย่าบอกนะว่า ….

       

       

       

      “พ่อหนุ่มเอ้ย เล่นมาตั้งหลายรอบแล้วยังปาไม่โดนเลย อยากได้ตัวไหนล่ะ เดี๋ยวลุงขายให้”ลุงท่าทางใจดีคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะที่ผมกำลังเดินหาร้านที่มีไอหมาหน้าโง่

       

      ผมหันไปตามเสียงลุงคนนั้น

       

      “ผมว่าเขาอยากได้เพราะฝีมือผมมากกว่านะฮะ”เสียงทุ้มต่ำตอบลุงคนนั้นไป

       

      “ชานยอล เอ่อ คือ นาย?”ผมพูดจาติดๆขัดๆเมื่อพบว่า คนที่ลุงคุยด้วยเมื่อกี้มันคือไอ้ด๊อบบี้นี่เอง!!

       

      “เอาไปให้แฟนหรือไงพ่อหนุ่ม?”เหมือนชานยอลและลุงยังไม่เห็นผม ทั้งสองเลยคุยกันต่อไปโดยมีผมยืนอยู่ห่างๆ

       

      “ครับ”คนตัวสูงยิ้มรับ

       

      “ใครนะ จะโชคดีได้แฟนดีๆแบบนี้”ลุงยิ้มกว้างก่อนจะยื่นลูกดอกให้ชานยอลอีก 3 อัน “ถ้าปาโดนหมด 3 อันนี้ลุงให้เลยแล้วกัน”

       

      ผมเดินยิ้มออกมาช้าๆ ไม่อยากจะดูสักเท่าไหร่ว่าจะโดนหรือไม่โดนแต่ผมมีความรู้สึกว่า ผมจะได้ตุ๊กตาตัวนั้นนะ

       

       

      - - - - - - - - CHANBAEK - - - - - - - -

       

       

      ผมนั่งรออยู่สักพักก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็ โป๊ะเช๊ะ เจอหน้าตุ๊กตาหมาโง่ๆตัวนึง

       

      “อะ เอามาให้”ชานยอลโยนตุ๊กตาใส่หัวผมชึดีที่ผมรับทันไม่งั้นมันคงได้ไปจุ๊ปป้าจุ๊ปกับพื้นดินเรียบร้อย

       

      “เล่นไปกี่รอบล่ะ”ผมพูดขัดซีนที่มันควรจะหวานด้วยการที่นางเอกพูดว่า อุ้ย นายเอามาทำไม ฉันไม่ได้อยากได้หรอกนะ แล้วก็กอดตุ๊กตาเดินไปอย่างมีความสุข …. เสียใจผมคือแบคฮยอน ไม่ใช่นางเอกละครหลังข่าว!

       

      “ฮ่าๆ รู้ดีสมเป็นนาย นายคงไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะเล่นหรอกใช่มั้ยล่ะ คงจะคิดว่าฉันเอาเงินไปให้ลุงนั่นแล้วก็เอาตุ๊กตาตัวนี้มาเลยใช่มั้ยล่ะ”ชานยอลพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะ ไอ้บ้านี่ตีความหมายโคตรผิดเลยว่ะ!

       

      ผมวางตุ๊กตาหมานั่งแทนตัวเองก่อนจะลุกยืนบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วคว้ามือของไอคนที่ยืนตัดพ้อให้เดินไปด้วยกัน

       

      2 ที่ครับ”ผมยื่นบัตรให้ป้าคนหนึ่งตรงประตูทางเข้า ชิงช้าสวรรค์ ที่คนน้อยนิด(มากๆ)

       

      ประตูชิงช้าสวรรค์เปิด ผมดันให้ไอคนตัวสูงเข้าไปก่อน ก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปนั่งอีกฝั่งนึง

       

      “แกร๊ก”เสียงล็อกจากข้างนอกเพราะบรรยากาศเงียบๆของทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย

       

      “งี่เง่าว่ะ”ผมพูดเบาๆ แต่เพราะความเงียบเราจึงได้ยินไม่ยาก

       

      ชิงช้าสวรรค์เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เรายังไม่มองหน้ากัน

       

      “อย่าคิดไปเองดิวะ”เหมือนชานยอลจงใจให้ผมพูดคนเดียว

       

      “รู้นะว่าพยายามจะเอาไอหมาหน้าโง่ตัวนี้มาให้อะ”

       

      “แล้วรู้รึเปล่าว่าคนรับน่ะดีใจขนาดไหน?”

       

      “ขอบใจนะ”

       

      ทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบ ผมก็ถูกรวบตัวเข้าไปกอดอย่างมึนๆ เฮ้ยยยยยย

       

      ผลก็คือผมดิ้นขลุกขลักๆอยู่ในอ้อมแขนนั้น

       

      “อย่าดิ้นสิ บอกแล้วไงว่าวันนี้วันเดียว”เสียงต่ำๆที่ไม่ได้ยินมาเกือบ 5 นาทีดังขึ้นข้างๆหูผม ให้ตายเถอะ มามุกนี้ควรจะบอกกันบ้าง!

       

      โชคดีที่ชิงช้าสวรรค์นี้ค่อนข้างมืดและสูงหน่อยๆ ทำให้คนมองไม่เห็นว่าเราทำอะไรกัน -/-

       

      “นายยืนหน่อยได้มั้ย”ชานยอลคลายวงแขนออกพลางดันตัวผมให้ยืนขึ้น คิดอะไรอยู่น่ะ?

       

      ผมไม่ได้ถามออกไปแต่ก็ยืนขึ้นโดยดี

       

      มือหนาจับเอวผมให้ไปนั่งบนตักกว้างๆของอีกคน ผมไม่ดิ้นแล้วรอบนี้เพราะถูกอ้อมแขนแกร่งของอีกคนรัดไว้ซะแน่น

       

      “ดูสิ พลุจะเริ่มแล้วนะ”ว่าแล้วผมก็มองออกไปข้างนอก พลุหลากสีเริ่มจุดขึ้นมาเป็นระยะ ส่วนผมกำลังรอ ดูบางคนว่าจะทำอะไรต่อ

       

      ชานยอลยกมือขึ้นมาปิดหูของผมไม่เบาแต่ก็ไม่แน่นมาก อย่างน้อยผมก็ได้ยินเสียงเขา แต่ไมได้ยินเสียงพลุ

       

      “แค่นี้ นายก็ไม่ได้ยินเสียงพลุแล้วสินะ”เสียงกระซิบที่ข้างหูดังขึ้น

       

      ผมจ้องมองพลุที่ไม่ได้ดูมานานมากๆตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองไม่ชอบเสียงดัง แต่ตอนนี้ผมกลับนั่งมองมันด้วยสายตาลุกวาว มันสวย สวยมาก มากกว่าตอนเด็กๆที่ผมร้องไห้จ้าที่ได้ยินเสียงมัน

       

       

      ไม่นานนัก พลุก็ถูกจุดขึ้นฟ้าจนหมด มือหนาค่อยๆปล่อยอกช้าๆ พร้อมกับดันให้ผมไปนั่งฝั่งตรงข้ามเช่นเดิม

       

      “วิธีของฉันได้ผลใช่มั้ยล่ะ”เจ้าด๊อบบี้ตัวโตยิ้มกว้างกับผลงานของตัวเองเมื่อครู่

       

       

      ผมยิ้มให้โดยไม่พูดอะไร ภาพของชานยอลวันนี้ทำให้ผมยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

       

       

      “ขอบคุณนะวันนี้ฉันสนุกมาก”

       

      ชานยอลยิ้มให้ผม พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ๆ ริมฝีปากร้อนๆห่างจากปากของผมเพียงแค่ 1 เซน!

       

      “ชอบนายนะบยอน แบคฮยอน”

       

      ฮะ! อะไรนะ

       

      ชอบนายนะบยอน แบคฮยอน

       

      ชอบนายนะบยอน แบคฮยอน

       

      ชอบนายนะบยอน แบคฮยอน

       

      !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

       

       

       

      ผมนิ่งสตั๊นพร้อมกับใบหน้าที่พนันได้ว่าแดงซ่านล้านเปอร์เซ็นต์กับคำสารภาพรักของคนตรงหน้า

       

      “เฮ้ เบค่อนน้อย”ชานยอลโบกมือหย็อยๆตรงหน้าผม ดูหน้าเสียไปนิดหน่อย เพราะผมไม่ได้พูดไรต่อ ก็คนมันอึ้ง!!!

       

      “นะนาย ว่าไงนะ??!!”ผมถามอีกครั้ง โดยที่สายตายังคงจับจ้องดวงตาหวานๆนั้นไม่กะพริบ

       

      “ชอบนายนะ”ริมฝีปากร้อนคลอเคลียกับริมฝีปากผมเบาๆ

       

      “ชอบมานานแล้วล่ะ”คนตัวโตกดจูบหนักๆครั้งนึงก่อนจะพูดต่อ

       

      “นายมันซุ่มซ่าม งี่เง่า เอาแต่ใจ แต่ทำไมฉันยิ่งชอบนายมากขึ้น”ชานยอลรั้งท้ายทอยผมให้รับสัมปัสที่รุกล้ำมากกว่าเมื่อกี้ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ก่อนจะถอนจูบออกช้าๆเมื่อผมทุบอกประท้วงว่าไม่มีอากาศหายใจ

       

      “นายล่ะ ชอบฉันบ้างรึเปล่า?”

       

       

      “แกร๊ก”เสียงประตูเปิด สัญญาณหมดรอบชิงช้าสวรรค์ ผมเดินนำออกมาโดยไม่หันไปมองคนตามหลัง ก่อนจะตะโกนใส่หน้าคนตามหลังดังๆว่า

      ….

      ..

      “คิดเองบ้างก็ได้นะ ไอด๊อบบี้งี่เง่า!

       

       

      Thanks for reading

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×