คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ลิ้มรสการถูกปฏิเสธ
ตอนที่9 ลิ้มรสการถูกปฏิเสธ
เจิ้งอี้จิงเดินมาใกล้ ๆ ร่างสูงโปร่งสบนัยน์ตาสีดำสนิทพลางเอ่ยออกมาอย่างลังเลใจ เฉินซื่อจวินเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายแล้วครุ่นคิดเงียบงันในใจ
“ดินแดนทางแถบเหนือ มีชาวเผ่าลับแลที่ซ่อนตัวเองอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าและนิยมสะสมพิษร้ายนานาชนิดอยู่ ตำนานเรื่องหนึ่งของพวกเขาเล่าว่าในรอบหนึ่งร้อยปี ชนเผ่าลับแลจะมีธิดาเทพองค์หนึ่งกำเนิดขึ้น และไม่มีพิษร้ายใดสามารถทำร้ายธิดาเทพตนนั้นได้ ชนเผ่าลับแลจะบูชาธิดาเทพและยึดถือเป็นดังเทพเจ้า...”
เฉินซื่อจวินฟังถึงตรงนี้ก็ลอบอุทานในใจ ไม่ใช่ว่านางจะสืบสายเลือดของชนเผ่าประหลาดนั้นมาหรอกนะ!
“มารดาของข้า หนีออกมาจากเผ่าเพราะถูกผู้อื่นตามล่า ระหว่างทางได้พบกับบิดา บิดาได้ยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือนาง นางจึงตอบแทนโดยการแต่งงานให้กับบิดา จนกระทั่งให้กำเนิดข้า”
พูดถึงตรงนี้ เจิ้งอี้จิงหลบสายตาที่จับจ้องมาอย่างพิจารณาของเขา
“ต่อมาไม่นาน มีมือสังหารบุกมาที่จวนอ๋อง เป้าหมายเพื่อจับมารดาข้า ทว่า... พอพวกมันรู้ว่ามารดาได้ให้กำเนิดข้าแล้ว จึงได้เปลี่ยนเป้าหมายจากนางมาเป็นตัวข้าแทน มารดาใช้ตัวเองปกป้องข้าจนกระทั่งถึงแก่ความตาย บิดาจึงพาข้าหนีมาและตั้งรกรากที่ต้าลี่แห่งนี้”
เฉินซื่อจวินเห็นนางไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที บังเกิดความหงุดหงิดในใจ เรื่องในอดีตของอ๋องเจิ้งนั้นเขาพอรับรู้มาก่อนบ้าง แต่ที่เขาอยากถามมิใช่เรื่องนี้
“เจ้าไม่สะดวกใจที่จะพูดออกมา?”
เจิ้งอี้จิงได้ฟังร่างพลันสะดุ้งโหยง รีบส่ายหน้าโดยไว นางบอกแล้วว่าจะบอกเขา เพียงแต่นางแค่... ลังเลใจเท่านั้น
“บอกความจริงต่อท่าน ที่จริงแล้ว มารดาของข้าก็คือธิดาเทพของขนเผ่าลับแล เมื่อธิดาเทพได้ให้กำเนิดบุตรธิดาแล้ว ความสามารถของนางจะถูกส่งต่อให้ทายาทและตนเองจะสูญเสียความสามารถนั้นทันที ดังนั้น....”
เฉินซื่อจวินตกตะลึง “ดังนั้น เมื่อครู่ที่ข้าดื่มกินเข้าไปนั้นเป็น...”
เจิ้งอี้จิงพยักหน้า หางคิ้วตกด้วยความจนใจ “เป็นเลือดของข้าเอง”
สีหน้าของอีกฝ่ายพอได้ยินกลับขาวซีดกว่าเดิม เจิ้งอี้จิงจึงจำเป็นต้องกล่าวต่อ เพื่อให้เขากระจ่างแจ้ง
“ตั้งแต่เกิดมาร่างกายของข้า เลือดของข้า...เหมือนยาวิเศษ สามารถขจัดพิษได้ทุกชนิด ที่มู่หลงต้องมาคอยดูแลข้าก็เพราะว่ามีกลุ่มคนที่รู้ความลับนี้ ต้องใช้ประโยชน์จากข้า”
“พวกมันตายด้วยน้ำมือข้าไปหมดแล้ว...” มู่หลงเสริม
แม้ว่าจะรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่พอได้ยินว่านางถูกตามล่า เขากลับรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เฉินซื่อจวินหันไปสบนัยน์ตาหวานฉ่ำอีกครั้ง “เช่นนั้นหมายความว่าข้าดื่มเลือดของเจ้าเข้าไป.... ทำให้พิษในกายสลายไปหมด ส่วนเจ้าเพราะสูญเสียเลือดในกายร่างกายจึงอ่อนแอลงฉับพลันอย่างนั้นหรือ”
นางพยักหน้า... ทว่าอีกเรื่องที่ไม่ได้บอกเขาออกไปนั้นก็คือ สภาพร่างกายยามที่นางถูกพิษแทนผู้อื่นนั้นนอกจากไม่ตาย ความทรมานที่ได้รับจะหนักหนาราวกับถูกพิษนั้นทั้งหมด ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก
“พิษของเสี่ยวถงถงเกิดจากการสัมผัส เพราะข้าสัมผัสตัวท่านจึงได้รับพิษบางส่วนมาด้วย ดังนั้นจึงสลบไป”
“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่...” ประโยคที่กล่าวสวนขึ้นมาทันควันแสดงความห่วงใยกังวลออกมาอย่างเปิดเผยทำให้เจิ้งอี้จิงรู้สึกปลาบปลื้มใจนัก ทว่า...
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” นางยิ้มเศร้าพลางเอ่ยออกไป
ร่างของเฉาเฟยติดตามเฉินซื่อจวินมาอย่างเร่งร้อน เขายื่นจดหมายลับที่ส่งมาทางนกพิราบให้ทันทีที่มาถึง เฉินซื่อจวินเปิดจดหมายออกดูก็คิ้วขมวด
“ข้าต้องกลับไปทำเรื่องบางอย่างในวัง...” เขาเงยหน้ามองนาง... ไม่รู้เพราะเหตุใดตัวเองถึงรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ พึ่งมาถึงได้คืนเดียวก็ต้องกลับไปแล้ว... ทั้ง ๆ ที่ครั้งนี้เขาอยากจะอยู่นานขึ้นอีกนิด...
“คุณหนูเจ้าคะ...” เสี่ยวถงถงรีบวิ่งมาเหมือนกัน พลางว่า “ภรรยาคนเลี้ยงหมูแซ่เป่ากำลังจะคลอดลูกเจ้าค่ะ ชาวบ้านให้มาตามคุณหนูไปเป็นกำลังใจ ตอนนี้รออยู่หน้าจวนแล้ว”
อีกแล้วหรือ...พวกชาวบ้านพวกนี้ จะคลอดลูกก็ยังต้องมาตามนางให้ไปช่วยเบ่ง ทุกเรื่องต้องให้นางยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหมดเลยเรือไร.... พวกขุนนางประจำท้องที่ไปไหนกันหมด นางเป็นแค่บุตรีอ๋องเท่านั้น ทำไมถึงได้กล้าทำให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย กลับวังเมื่อไหร่จะเรียกปลดเป็นรายคนเลยทีเดียว...
“เข้าใจแล้ว” เจิ้งอี้จิงตอบกลับเสี่ยวถงถง ทว่ายังอดเหลียวมามองร่างสูงโปร่งอีกครั้งไม่ได้ สายตาอาลัยอาวรณ์ของนางทำให้เขาไม่อย่างรีบร้อนจากไปเลย คิดถึงตรงนี้พลันได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา
“ท่าน... รอข้าก่อนสักครู่ได้หรือไม่” เจิ้งอี้จิงถาม เฉินซื่อจวินไม่อาจทานทนสายตาเว้าวอนของนางได้จึงพยักหน้าตอบรับ
จากนั้นหนึ่งชั่วยาม เจิ้งอี้จิงที่ไปช่วยทำคลอดให้ภรรยาคนแซ่เป่าก็กลับมาในสภาพที่ถูกเลือดของผู้อื่นท่วมตัว เฉินซื่อจวินเห็นแล้วยังอดส่ายหน้ามิได้ นางมีจิตใจดีมีเมตตา หากความลับของนางถูกแพร่งพรายออกไป นางจะต้องเดือดร้อนหนักกว่านี้ ไม่แน่ว่านางอาจยอมเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นที่มิเคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน กระทั่งทำให้ตนเองย่ำแย่ไปเลยก็ได้ เขาคงต้องหาวิธีป้องกันเรื่องเช่นนี้มิให้เกิดขึ้นกับนาง ให้นางได้ใช้ชีวิตสงบสุขเช่นนี้ต่อไป
เขารอจนกระทั่งนางเปลี่ยนชุดเสร็จ นางจึงได้ถือของบางอย่างออกมา ทั้งยังยืนกรานว่าจะเดินไปส่งเขาถึงหน้าหมู่บ้าน เฉินซื่อจวินมองหน้าเจิ้งอี้จิงที่ออกมาส่งโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว นางยังคงยิ้มแย้มสดใสให้เขาเหมือนในวันที่ได้พบกันครั้งแรก เขายังอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดตนจึงจดจำรอยยิ้มของนางได้ติดตานัก เป็นเพราะนางยิ้มอย่างอ่อนโยน หรือเพราะรอยยิ้มของนางมิใช่รอยยิ้มเสแสร้งแต่ออกมาจากใจจริงของนางกันแน่
ในความความคิดของเขา สตรีผู้นี้เต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน ก็ไม่แปลกที่ชาวบ้านจะรักบูชานาง เป็นเขาเสียอีกที่ทำให้นางต้องรู้สึกบีบคั้นและต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่า..ยังไงเสียเขาก็ยังมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้เรื่องของนาง
เฉินซื่อจวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางคิดว่าจะปล่อยวางเรื่องการหมั้นหมายกับนางไปก่อนก็คงไม่เสียหาย ยังไงซะถ้าเขายืนยันว่าเรื่องราชโองการไม่มีอยู่จริงย่อมไม่มีใครกล้าสงสัย ส่วนนางกับเขานั้นยังคงต้องใช้เวลาเรียนรู้กันอีกสักนิด เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นมองอีกฝ่ายต่างไปจากวันแรกพบมากนัก เพียงไม่นานนางทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองจากนางได้อย่างเหลือเชื่อ ยามที่ได้สบนัยน์ตาหวานฉ่ำของนางก็พบร้องรอยของความห่วงใยเสมอ
เรื่องแต่งงานนั้น ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นผู้เหมาะสมกับเขาที่สุด!
นึกถึงตรงนี้ เขาเพิ่งจะสังเกตว่าสายตาของอี้จิงที่มองเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ในแววตาของนางนั้นนอกจากความอ่อนโยนแล้วหลับมีรอยเศร้าเจือจางอยู่ ส่วนตัวเขานั้นยามนี้ที่เขามองนางมีแต่ความเลื่อมใสชื่นชมออกมาจากใจจริง เขาเลิกสวมหน้ากากเปื้อนยิ้ม และมักจะยิ้มออกมาอย่างจริงใจต่อหน้านาง
เจิ้งอี้จิงเหม่อมองแววตานั้นของอีกฝ่ายจนใจลอย พลางคิดไปว่าหากเขาแสดงท่าทางเช่นนี้ต่อนางก่อนหน้าที่นางจะเผยความลับของตัวเองออกไป นางอาจจะสามารถทำทุกทางให้เขาเปลี่ยนใจที่จะยกเลิกการแต่งงานได้ ทว่าในเมื่อนางตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับเขาไปแล้ว เห็นทีเรื่องของนางกับเขาคงได้แค่ฝัน เขาไม่ได้รักนาง... สิ่งที่ทำให้เขาดีต่อนางในเวลานี้ได้นั้นก็คือบุญคุณที่ช่วยชีวิต นางไม่อาจแสร้งทำเป็นว่าเรื่องดีดีเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้หรอก
แค่นางได้มีช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับเขาก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณเขา ที่ทำให้นางได้มีความฝันเล็ก ๆ ที่มีแต่ความสุขมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ฝ่าบาทเพคะ....” ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะขึ้นรถม้าไป เจิ้งอี้จิงก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเขา พลางยื่นจดหมายฉบับหนึ่ง
เฉินซื่อจวินมองจดหมายฉบับนั้นด้วยความสับสน นี่เป็นจดหมายใดกัน? แล้วเหตุใดจู่ ๆ ถึงเรียกเขาห่างเหินแบบนั้น?
“จดหมายนี้มีตราประทับของจวนอ๋องด้วยเพคะ มอบให้ฝ่าบาทกับมือแล้ว เช่นนั้นหวังว่านี่คงจะใช้ได้แล้ว สำหรับ... เรื่องการยกเลิกการหมั้น” เจิ้งอี้จิงหลุบสายตาลงก้มหน้ามองพื้น จึงไม่เห็นสายตาตะลึงงันของอีกฝ่าย
เป็นเพราะเขาบอกว่ายอมรับไม่ได้หากนางไม่มาส่งจดหมายด้วยตนเอง นางถึงกับเขียนจดหมายขึ้นมาอีกครั้งแล้วส่งให้เขากับมือ เจิ้งอี้จิง! นางยังต้องทำเช่นนี้ให้ได้ด้วยหรือ!
“อี้จิง....” เขาเอ่ยชื่อนางพลางกัดฟันกรอด ไม่เคยมีสตรีคนใดปฏิเสธเขามาก่อน แต่เรื่องนี้จะโทษนางไม่ได้ เป็นเพราะเขาเองที่ไม่เอ่ยออกไปให้ชัดเจน ดังนั้นได้แต่รับจดหมายมาขณะเดียวกันก็ข่มกลั้นร่างของตนเองไม่ให้สั่นไหวจนผิดสังเกต
พอเห็นร่างของอีกฝ่ายผลุบหายเข้าไปในรถม้า นางก็รีบเอ่ยออกมาด้วยความร้อนใจ กลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของตัวเอง “เรื่องของข้ากับท่าน.... แม้ว่าจะไม่มีเรื่องการหมั้นหมายเข้ามาเกี่ยว แต่ก็นับว่ารู้จักคุ้นเคยกัน ข้า... ข้าจะคิดถึงท่านตลอดไป...”
ยามที่นางพูด นางมีถ้อยคำอยากจะเอ่ยมากมาย จดหมายที่นางเขียนให้เขา นางใช้ทั้งความพยายามตัดใจและหยดน้ำตามากมายเขียนลงไป นางอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า ชีวิตในอนาคตที่นางวาดหวังเอาไว้ร่วมกันกับเขาบัดนี้สูญสลายหายไปไม่เหลือแล้ว นางอยากให้เขารู้ว่านางเสียใจมาก
ทว่าสายตาที่บอกความรู้สึกไม่อาจส่งไปถึงเขาเพราะเขาไม่แม้แต่จะหันมามองนางอีก ขบวนเสด็จก็จากไปไกลโดยไม่ได้รับฟังคำรำลาใดจากเขาอีกเลย
ตั้งแต่เฉินซื่อจวินกลับมาวังหลวงได้เดือนเศษ หลังจากสะสางภารกิจเรื่องบ้านเมืองแล้ว ก็ทรงสั่งจัดงานรื่นเริงตลอดสามวันสามคืนติดต่อกัน ฉลองที่ตัวเองหลุดพ้นจากการหมั้นหมายแบบคลุมถุงชนมาได้อย่างเอิกเกริก แต่ไม่รู้ทำไมในหัวใจของพระองค์จึงเหมือนมีคลื่นใหญ่ซัดสาดอยู่ตลอด ไม่มีสักวันที่จะสงบนิ่งลงได้เลย
“เล่นต่อไป!” ทรงตวาดเสียงดังให้ดนตรีไม่มีวันหยุดเล่น ให้นางรำทั้งหลายไม่หยุดเต้นระบำ เขาจะฉลองไปจนกว่าจิตใจจะสงบลงได้!
“ฝ่าบาท....พอเถิดพะย่ะค่ะ” เฉาเฟยแทบจะทนไม่ไหวจนต้องทูลร้องขอ “ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อพระวรกาย... ได้โปรดสงบพระทัยลงบ้างเถิดพะย่ะค่ะ” ในเวลาเช่นนี้คำทูลของคนสนิทอย่างเฉาเฟยเหมือนแสงสว่างส่องลงมากลางใจขุนนางทั่วหล้าเหลือเกิน ทว่าพระพักตร์ของฮ่องเต้บูดบึ้งกว่าเดิมเสียอีก
“เล่นต่อไป! ใครกล้าหยุดข้าจะสั่งตัดหัวซะ!”
เฉินซื่อจวินยังคงไม่อาจสงบใจได้ ยามเขามองสตรีงามมากมายตรงหน้า ร่างกายของเขาตอบสนองก็จริง แต่หัวใจไม่ตอบสนองอีกแล้ว มันไม่คึกคัก มันไม่หลงใหลได้ปลื้ม ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่าอยากแตะต้อง เขาเอาแต่นึกเปรียบเทียบสิ่งงดงามภายนอกกับจิตใจที่งดงามของนาง หัวใจของพระองค์บีบรัดตัวแน่นจนแทบหายใจไม่ออกเมื่อนึกถึงใบหน้าขาวนวลไร้การแต่งแต้มนั้น จึงพาลให้ทรงหงุดหงิดในพระทัยตลอดเวลา
แม้ว่าจะจัดงานรื่นเริงเพื่อให้ตนเองรู้สึกสบายใจขึ้น สามวันสามคืนผ่านไปแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ความรู้สึกยังไม่ต่างจากวันที่ได้รับจดหมายคืนกลับมาในตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย
ฉับพลัน พระสุรเสียงก้องกังวานทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงัก
“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดให้หมด!!!” น้ำเสียงทรงอำนาจของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับขบวนนางกำนัลยาวเป็นพรวน
“เสด็จแม่...” ร่างของจักรพรรดิที่เอนกายอยู่บนบัลลังก์ขยับขึ้นมานิดหนึ่ง เผยให้มารดาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้ม และแววตาอิดโรย
“ถวายบังคมพระพันปี!” ขุนนางทั้งหลายต่างโล่งใจ ในที่สุดพระพันปีก็กลับมาพร้อมกับความหวัง...
พระพันปีหยวนพิศดูสีหน้าซังกะตายของบุตรชายแล้วทนไม่ได้พลางว่า “ฝ่าบาท! ตามข้าไปคุยกันที่ตำหนักของพระองค์เดี๋ยวนี้!”
ฮ่องเต้ที่ไม่ยอมดูแลพระพักตร์ หนวดเครายาวรุงรัง ใบหน้าซูบตอบ ทำให้มารดาอย่างเขาอดสูใจเป็นอันมาก ถ้าหากไม่เพราะเห็นอาการแปลก ๆ ในช่วงที่กลับมาจากต้าลี่ นางก็คงทำอะไรไม่ถูกเช่นกันที่อยู่ดี ๆ เขาก็เกิดบ้าคลั่งจัดงานเฉลิมฉลองไม่หยุดถึงสามวันสามคืนเช่นนี้
“กลุ้มใจอะไรทำไมไม่บอกแม่... บางทีปัญหาของเจ้าแม่อาจช่วยเจ้าได้” น้ำเสียงที่อ่อนโยนช่วยปลอมประโลมจิตใจที่บอบช้ำของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ทว่าเจ้าของกลับไม่ต้องการยอมรับความจริง
ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำ ปัญหางั้นหรือ... กลุ้มใจงั้นหรือ...
“หม่อมฉันแค่อยากสนุกเท่านั้น... ตั้งแต่ครองราชย์มา ยังไม่เคยจัดงานรื่นเริงสังสรรค์... หรือแค่นี้เสด็จแม่ก็ยังไม่ยอม...” ทรงปรายตามองพระมารดาที่ทำสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ใช่ไม่ยอม... แต่นี่มันเกินไป เจ้าดูเหมือนทรมานมากกว่านึกสนุกนะฮ่องเต้”
“เช่นนั้นก็เลื่อนกำหนดวันอภิเษกออกไป หม่อมฉันจะได้หายใจสะดวกขึ้นบ้าง” ทรงยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่หัวใจบีบรัดแน่นยามที่นึกถึงเรื่องแต่งงาน
พระพันปีลอบถอนใจพลางว่า “คนเจ้าชู้ไก่แจ้เช่นเจ้า คงจะอึดอัดใจมากสินะที่จะต้องแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าทดสอบบรรดาผู้หญิงของเจ้า และคนที่ผ่านการทดสอบนั้นมีเพียงสองคนเท่านั้น หมายความว่า เจ้าตกลงที่จะเลือกหนึ่งในสองคนนั้นแล้วสินะ” พระมารดาถาม ตอนนี้ไม่อยากพูดถึงเรื่องบุตรีอ๋องเจิ้งคู่หมั้นหมายคนนั้นให้อีกฝ่ายหงุดหงิดสักเท่าไหร่
“สองคน... สองคนไหน... อ้อ.... ฟ่งเจินหยูกับหลี่หยงลู่..” เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก “หากหม่อมฉันจะบอกว่าหม่อมฉันเริ่มเบื่อพวกนางแล้ว ได้หรือไม่พระมารดา” สีหน้าของเขาเหมือนปีศาจร้าย ปีศาจที่ชอบทำร้ายหัวใจสตรีให้บอบช้ำ พระมารดาอดทอดถอนใจมิได้ เพราะเหตุใดนางจึงให้กำเนิดปีศาจร้ายเช่นนี้ออกมาได้นะ
“เรื่องอื่นเจ้าล้วนดีหมด เสียแต่เรื่องตัณหาของเจ้านี่แหล่ะ ข้าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าดีแน่ คู่หมั้นที่เสด็จพ่อเลือกให้เจ้าก็ไม่ชอบ อุตส่าห์ดั้นด้นไปขอยกเลิกด้วยตนเอง พอมาวันนี้ก็ยังไม่ยอมตัดสินใจเลือกอีก จะเอาอย่างไรกันแน่ เฉินซื่อจวิน” พระนางเผลอเอ่ยชื่อบุตรชายออกไปด้วยความโกรธ พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
“เสด็จแม่รู้หรือไม่ เพราะการแต่งงานของแคว้นจ้าวเรา มีภรรยาได้แค่คนเดียว มันทำให้ข้าจำต้องทอดทิ้งสตรีงามมากมายตรงหน้า ต้องทำให้พวกนางเจ็บช้ำน้ำใจแค่ไหน... ดังนั้นเพื่อหาคนที่ดีที่สุดแล้ว ข้าไม่เกี่ยงวิธีที่จะได้มา..”
ทว่า... เพราะเหตุใดตัวเขาถึงยังรู้สึกไม่พอใจกันเล่า! เฉินซื่อจวินคิดพลางเอ่ยต่อ “การทดสอบพวกนั้น หม่อมฉันแค่ทำขึ้นมาเล่น ๆ อยากจะให้พวกนางเลิกคิดที่จะได้เป็นมเหสีของข้าเสีย เพราะข้าไม่ได้พอใจในตัวพวกนางเลย”
“แค่เล่น ๆ อย่างนั้นหรือ...” พระมารดาถอนหายใจ “กับฟ่งเจินหยู กับหลี่หยงลู่ด้วยหรือ” นั่นบุตรีของมหาเสนาบดี กับแม่ทัพใหญ่คุ้มบ้านคุ้มเมืองเลยนะ
“พวกนางก็แค่หมากตัวหนึ่ง...” ทรงตรัส “ไม่มีใครทำให้หม่อมฉันพึงพอใจได้... แม้แต่...”
แม้แต่นาง... เจิ้งอี้จิง! นางเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมยามรู้สึกถึงนาง ตัวเขาจึงเต็มไปด้วยโทสะยากที่จะควบคุมตนเองนัก
พระนางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเสีย ยามนี้เห็นชัดว่าบุตรชายโมโหโกรธาจนไม่เปิดใจรับฟังคำใด ๆ ของพระนางแล้ว
“อายุเจ้าจวนจะสามสิบแล้ว... ยังไม่อภิเษกสมรส ยังไม่มีทายาทสืบบัลลังก์ หากเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้นจะทำอย่างไร”
“ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอกพะย่ะค่ะเสด็จแม่...” ทรงตรัสเช่นนั้นพระมารดาจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือก
“กำหนดเส้นตายการอภิเษกคือในวันเกิดครบ 28 ปีของเจ้า หากจะให้เลื่อนไปอีก พวกขุนนางจะต้องไม่ยอมเป็นแน่ หากจะเอาราชโองการลับเรื่องปฏิเสธการหมั้นหมายออกมาใช้ ก็จงรีบใช้เสีย... ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกบีบบังคับให้อภิเษกสมรสอยู่ดี ครานี้ไม่ว่าจะกับใครเจ้าก็ไม่มีทางเลือกได้อีกแล้ว”
ความคิดเห็น