คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ไม่รู้ตัว
ตอนที่ 7 ไม่รู้ตัว
“ยังให้พวกเจ้าเป็นคนเลือกจะดีกว่า....” จักรพรรดิเฉินซื่อจวิน ในที่สุดก็ยอมเอ่ยออกมา “ว่าจะอยู่รอข้าดี ๆ ที่บ้าน หรือจะให้ข้ารับเจ้าเป็นเมียน้อย....” ทรงตรัสออกมาตามตรงไม่อ้อมค้อม เพราะเล่นเกมมามากแล้วรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท!” ฟ่งเจินหยูร้องออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่หลี่หยงลู่ได้แต่ยืนนิ่งเก็ยงำสีหน้าตนเองเอาไว้
“ความจริงพวกเจ้าเป็นคนที่ข้าโปรดปรานมากที่สุด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เดี๋ยวนี้พวกเจ้ากลับทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย ความพิสุทธิ์สดใสที่พวกเจ้าเคยมี กลับเลือนหายไปกว่าครึ่ง”
“ฟ่งเจินหยู เจ้าเป็นสตรีที่มีความกล้าหาญ แต่บัดนี้กลายเป็นสตรีที่มีจิตใจอิจฉาริษยาไปแล้ว เพียงเพราะต้องการให้ตนเองเป็นหนึ่งในหัวใจของข้า ส่วนเจ้า หลี่หยงลู่ เจ้ามากความคิดมากแผนการเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ยามนั้นข้าเพิ่งครองบัลลังก์ไม่นาน เจ้ายังคอยให้คำปรึกษาแก่ข้า ในเรื่องสติปัญญาข้าล้วนชื่นชมเจ้า แต่บัดนี้เจ้าใช้สติปัญญาของเจ้าในทางที่ผิดไปแล้ว!”
เฉินซื่อจวินเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้หน้าสตรีทั้งสอง ก่อนหน้านี้สตรีทั้งสองล้วนน่ารักน่าทะนุถนอม แต่พอกลับมาพบกันอีกครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะรอคอยเนิ่นนานไปหรือไม่ พวกนางถึงได้แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
บุตรีของแม่ทัพใหญ่ ฟ่งเจินหยูนั้น เป็นแม่ทัพฟ่งให้นางมาอยู่ใกล้ชิดระหว่างที่เขาไปพบที่จวนบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงได้หมายมั่นว่าจะพิจารณานางเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นไม่นานก็ได้พบบุตรีของมหาเสนาบดี ที่พอได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อราชการบางเรื่องแล้ว นางได้แสดงให้เขาเห็นถึงระดับสติปัญญาที่สูงส่ง จนเขาเกิดความประทับใจขึ้นมา หากไม่เพราะฟ่งเจินหยูเข้ามาก่อน เขาอาจจะพิจารณาหลี่หยงลู่ให้ขึ้นเป็นอัครมเหสีหลังจากที่เขาจัดการเรื่องถอนหมั้นแล้วจริง ๆ
ทว่าความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาพบว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นล้วนผิดพลาดก็คือ ‘ระยะเวลา’ พวกนางทำให้เขาเกิดความประทับใจเวลาอันสั้น จากนั้นเขาก็ยุ่งกับภาระหน้าที่ ไม่มีเวลาจัดการเรื่องส่วนตัวจึงห่างหายจากพวกนางไปพักใหญ่ พอว่างจากการงานก็คิดจะไปจัดการให้เสร็จสิ้น ถึงกับเดินทางไปถอนหม้นด้วยตนเอง จึงได้พบกับสตรีอีกคนที่เปลี่ยนความคิดในเรื่องการมองคนของเขาไปแทบทั้งหมด
เห็นชัดว่า ความงดงาม ความกล้าหาญ และสติปัญญา ล้วนเป็นคุณสมบัติที่เขาต้องการ และสิ่งเหล่านั้นสามารถหาได้จากคนเพียงคนเดียว เขาไม่ต้องการหลี่หยงลู่ที่มีเพียงสติปัญญา แต่หาได้มีจิตใจดีงามอย่างแท้จริงไม่ เขาไม่ต้องการฟ่งเจินหยูที่มีแต่เพียงความกล้าหาญ หาได้มีความถ่อมตนและสติปัญญาไม่
ในตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไร... สตรีหนึ่งเดียวผู้นั้นในความคิดของเขา เขากลับถอนหมั้นนางไปแล้ว....
มันช่างเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกดีแท้ พอคิดได้เช่นนั้นก็ทรงถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นมา
“สตรีที่ข้าจะยอมรับนั้น... จะต้องมีคุณสมบัติต่อไปนี้....”
หนึ่ง มีคุณธรรมน้ำใจ
สอง มีสติปัญญา
สาม มีจิตใจเมตตากรุณา
“ทั้งสามข้อนี้ พวกเจ้าลองแสดงออกมาให้ข้าได้เห็นสักหน่อย... เผื่อว่าข้าจะตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่งได้ในทันที”
สามคุณธรรมนี้เป็นหลักง่าย ๆ แต่ระหว่างพวกนางทั้งสองกลับไม่มีใครกล้าประกาศตนออกมาด้วยความมั่นใจเลยสักคน
เห็นพวกนางเงียบก็ทรงถอนหายใจอีกครั้ง พลางว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าฟังคำถามของข้าแล้วตอบมา”
สตรีทั้งสองหันไปมองหน้ากันด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเฉินซื่อจวินคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ทันไรก็ได้ยินเขาเอ่ยคำถามออกมาจริง ๆ
“พ่อลูกยาจกคู่หนึ่งเข้ามาในโรงเตี้ยมเพื่อขอรับประทานอาหาร แต่ขณะนั้นโต๊ะไม่ว่างเลย พวกเขากวาดตามองไปพลางส่งสายตาขอความกรุณา แต่กลับไม่มีใครยอมให้สองพ่อลูกนั่งร่วมโต๊ะด้วย หากพวกเจ้าอยู่ในโรงเตี้ยมนั้นด้วยจะทำอย่างไร”
หลี่หยงลู่เงียบขรึมลง นางเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ย่อมไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับยาจกสองพ่อลูก แต่จะอย่างไรก็ต้องมีคำตอบให้ฝ่าบาท จึงต้องการคิดทบทวนให้ถี่ถ้วน ส่วนฟ่งเจินหยู นางเชื่อว่าตนเองมีคุณธรรมน้ำใจพอ จึงรีบเอ่ยออกมาว่า
“หม่อมฉันจะลุกขึ้นยกโต๊ะอาหารให้สองพ่อลูกนั้น ส่วนตัวหม่อมฉันจะออกไปเอง” นางเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ เชื่อว่านี่คือคำตอบที่ดีที่สุด
“แล้วเจ้าล่ะ...” เฉินซื่อจวินเอ่ยถามหลี่หยงลู่ นางจึงเงยหน้าสบพระเนตรพลางว่า
“หากข้าเสียสละโต๊ะอาหารให้พวกเขาสองพ่อลูกก็ไม่แน่ว่า เจ้าของโรงเตี้ยมอาจจะยอมให้พวกเขานั่งลงับประทานอาหารได้ ดังนั้นข้าคิดจะเลี้ยงอาหารพวกเขาสักมื้อ ให้เขานำติดตัวกลับไปรับประทานที่บ้านของตนเอง”
เฉินซื่อจวินได้ฟังคำตอบของทั้งสองก็พอใจ เริ่มคำถามข้อต่อไป
“ผัวเมียคู่หนึ่งทะเลาะกันหน้าโรงเตี้ยม ภรรยาจับได้ว่าสามีกำลังนอกใจขณะที่สามีอยู่ในหอนางโลม ส่วนสามีปฏิเสธ เขาบอกว่าหญิงนางโลมบอกให้เขาเข้ามา เขาก็ตามเข้ามาเท่านั้น หากต้องการให้สามีภรรยาคู่นี้สงบลง พวกเจ้าจะทำอย่างไร”
ฟ่งเจินหยูไม่ทันคิดโผล่งออกไปทันที “สามีเช่นนี้ไร้คุณธรรม ไว้ใจมิได้ สมควรถูกภรรยาด่าว่าแล้ว!”
หลี่หยงลู่จึงฉวยโอกาสนี้ แสดงสติปัญญาที่เหนือกว่าออกมา “หม่อมฉันจะเกลี้ยกล่อมผู้เป็นภรรยาให้ฟังเหตุผลเสียก่อน การดุด่าสามีมิใช่เรื่องที่ภรรยาสมควรกระทำ ยิ่งในที่ที่คนพลุกพล่านแล้วยิ่งไม่สมควร ฉะนั้นภรรยาควรมีสามในสี่คุณธรรม เชื่อฟังเคารพสามีเป็นที่ตั้ง”
ความเห็นของหลี่หยงลู่ตรงกับใจของเขายิ่ง ทว่า... หากเป็นสตรีผู้นั้นนางจะทำเช่นไร...
“มีขบวนการค้าขบวนหนึ่งหนีตายมาจากโจรร้าย กลับมีเด็กชายคนหนึ่งกับผู้ติดตามอีกคนหนึ่งรอดชีวิต ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ของเขานั้นตายสิ้น พวกเขาหนีมาอย่างทุลักทุเลมาจนถึงหน้าบ้านของพวกเจ้า จากนั้นร้องขอความช่วยเหลือ พวกเจ้าจะตัดสินใจทำเช่นไร”
ฟ่งเจินหยู ครุ่นคิดเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เสียท่าหลี่หยงลู่เหมือนข้อที่แล้ว นางค่อยบอกออกไปว่า
“หม่อมฉันจะให้ความช่วยเหลือไปตามกำลังที่มี มอบเงินและเสื้อผ้าให้พวกเขาได้มีหนทางไปต่อเพคะ”
หลี่หยงลู่เองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่เสริมขึ้นมาอีกหน่อยคือ “หม่อมฉันไม่เพียงจะมอบทรัพย์สินมีค่าให้พวกเขา ยังจะหาที่พักและหางานให้พวกเขาทำด้วย เพื่อที่จะแน่ใจได้ว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีและเลี้ยงดูตนเองได้ในอนาคต”
เฉินซื่อจวินคิดพลางเคาะนิ้วที่โต๊ะไปพลาง เขามองไปยังหลี่หยงลู่และฟ่งเจินหยู คำตอบของพวกนาง ข้อแรก เขาคิดทดสอบคุณธรรมน้ำใจ พวกนางตอบได้ดีแต่ก็เหมือนยังขาดอะไรไปสักอย่าง ข้อที่สองคิดจะทดสอบเรื่องสติปัญญา ฟ่งเจินหยูนั้นแง่งอนเกินไป ทำให้หลี่หยงลู่ได้แสดงความสามารถในส่วนนี้มากกว่า ส่วนข้อสามนั้นเป็นความเมตตากรุณา แม้ทั้งคู่จะตอบได้ดีแล้ว แต่พระองค์กลับครุ่นคิดไปถึงสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นจนได้ หากเป็นนางจะทำอย่างไร... ทำไมผู้คนถึงสำนึกในบุญคุณของนางนัก แม้กระทั่งยอมถวายชีวิตให้ก็มี...
หากเป็นเจิ้งอี้จิง นางคงไม่ใช่แค่มอบที่อยู่อาศัย และเครื่องประทังชีวิต นางคงทุ่มทั้งแรงกายแรงใจเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าได้มีชีวิตอยู่... เด็กชายกำพร้าผู้นั้นคงเลิกร้องไห้ คนรับใช้ผู้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นคนดี อาจนำเงินที่ได้มาหนีไปก็ได้ แต่นางคงไม่สนใจเรื่องเงิน นางคงจะให้คนรับใช้ผู้นั้นหางานทำ สอนทำเพาะปลูก สอนการเลี้ยงสัตว์ สอนหนังสือให้...
ก็ในเมื่อนาง...เป็นคนนิสัยแปลกเช่นนั้นเอง ช่างไม่เหมือนใครเลยจริง ๆ ในบรรดาสตรีทั้งหมดที่เขารู้จัก
คิดพลางเผลอฉายแววตาที่หม่นหมองของตนเองออกมาแวบหนึ่ง ทำให้เฉาเฟยที่อยู่ข้างกายมาโดยตลอดรู้สึกได้ ตนเห็นได้ชัดว่าการทดสอบนี้มีเอาไว้เพื่อเปรียบเทียบสตรีเหล่านี้กับสตรีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือ คุณหนูเจิ้ง ฝ่าบาททรงวางนางเอาไว้ในใจนับตั้งแต่แรกแล้วโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นความรู้สึกของฝ่าบาทที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว หวังว่าจะทรงรู้สึกตัวแล้วไปแก้ไขเรื่องราวที่ผิดพลาดนี้เสีย
เฉินซื่อจวินไม่อยากครุ่นคิดสืบต่อ จะอย่างไรเขาก็ยังคงต้องจัดการเรื่องที่เขาสร้างเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก แม้จะเป็นคำถามสั้น ๆ แต่เขาก็ได้เห็นน้ำใสใจจริงของพวกนางไม่มากก็น้อย
“ฟ่งเจินหยู หลี่หยงลู่ ข้าตกลงว่าจะพิจารณาพวกเจ้าทั้งสองคนในเรื่องนี้ และนอกจากพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาพบพระพันปีหยวนในวังหลวงนี้อีก เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเพคะฝ่าบาท!”
ทันทีที่ทรงตรัสจบ ก็ชวนพวกนางทั้งสองออกไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ พอได้ออกมาจากตำหนักของพระพันปีหยวนแล้ว พวกนางทั้งสองรู้สึกได้ชัดเจนว่าบรรยากาศรอบกายองเฉินซื่อจวินเปลี่ยนไป รู้สึกได้ถึงความเป็นกันเองและคลายกังวลมากขึ้น
“พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าเหมือนเมื่อครู่แล้ว ที่ทำไปนั้นก็เพื่อแสดงให้พระพันปีเห็นว่าข้าจัดการปัญญาหาของข้าได้ไม่ต้องให้พระมารดามาเป็นกังวลอีกเท่านั้น”
“ฝ่าบาท.. ทรงเปลี่ยนไปนะเพคะ” ฟ่งเจินหยูบอกเขา พวกนางทั้งสองถูกยกเว้นคำราชาศัพท์ยามเมื่ออยู่กับเขาในที่ลับตา ดังนั้นจึงพูดออกมาอย่างเป็นกันเองโดยไม่กังวลอีกต่อไป
นางรู้สึกว่าเขาเริ่มเป็นคนมีเลือดมีเนื้อมากขึ้นแล้ว... ทั้งยังคิดทดสอบอะไรประหลาด ๆ เช่นนี้ออกมาได้ด้วย...
“หรือว่า... ทรงไปพบเจอเหตุการณ์อะไรเข้าระหว่างเดินทางงั้นหรือเพคะ?” หลี่หยงลู่แสนฉลาด แต่พระองค์ไม่ให้นางจับได้หรอก
พวกนางยังไม่รู้เรื่องการถอนหมั้น แม้จะยังไม่เข้าใจในตนเองนักว่าทำไมไม่บอกความจริงออกไป แต่เขาก็ไม่ต้องการให้พวกนางรู้อยู่ดี
“ข้ารู้มาว่านางคือบุตรีท่านอ๋องเจิ้งใช่หรือไม่” ฟ่งเจินหยูกล่าว... ฮ่องเต้จึงแสร้งถามกลับ “ใช่หรือไม่กันนะ...”
“ท่านอย่ามาล้อเล่น!” นางจริงจังกับคำถามนี้มากนะ “หากเป็นนางจริง ข้าจะได้ไปประกาศสงครามกับนาง!”
“เจ้าจะไปประกาศสงคราม?” ความเลือดร้อนของนางทำให้เขาเหนื่อยใจจริง ๆ
“ข้าจะจัดการนางเสีย ไม่ให้กล้ามาตอแยท่านอีกต่อไป” น้ำเสียงของนางดุดันเหลือเกิน... แต่พอคิดว่าสตรีบอบบางเช่นนั้นมาพบกับแม่เสือสาวนางนี้ เขาก็อดเสียววาบในใจมิได้ ตอนนี้นางยังป่วยอยู่เลย...
“ไม่ต้องให้ถึงมืออันเรียวงามพวกเจ้าหรอก...” ทรงแสร้งยิ้มแย้มออกมาเสียหวานฉ่ำ พวกนางก็ผ่อนคลายอารมณ์ลงทันที “เรื่องของนางให้ข้าจัดการก็พอแล้ว..”
หลี่หยงลู่ทำสายตาตำหนิอีกฝ่าย พลางว่า “เจ้าก็โวยวายไปได้ ฝ่าบาทจะรำคาญเอานะ” นางยังกล่าวต่อไป
“คู่หมั้นที่ฝ่าบาทไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าไม่สนใจนางเท่าไหร่หรอก... หากนางไม่ได้หัวใจของฝ่าบาทไป นางก็เหมือนไร้ตัวตนสำหรับข้า” ท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนี้ของหลี่หยงลู่ เมื่อก่อนสามารถกระตุ้นเร้าหัวใจของเขาได้รุนแรง แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย... ยามที่เห็นความมุทะลุของฟ่งเจินหยูเขากลับเห็นความอ่อนหวานของเจิ้งอี้จิง ยามเมื่อเห็นความเย่อหยิ่งของหลี่หยงลู่เขากลับอยากเห็นใบหน้าอ่อนโยนของสตรีคนนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว
วัวคลอดลูกนางตื่นเต้นเหมือนตนเองคลอดเอง...
ผู้คนล้มป่วยนางก็ทุ่มเทช่วยเหลือเหมือนเป็นญาติของนางเอง...
อยู่ ๆ เขาอยากเห็นนาง อยากเห็นรอยยิ้มของนางขึ้นมา รวมถึงท่าทางอื่น ๆ ของสตรีที่ทำอะไรเชื่องช้าคนนั้นด้วย
หลังจากจัดการส่งพวกนางทั้งสองออกนอกวัง เฉินซื่อจวินก็กลับเข้าวังเพื่อทำราชกิจต่าง ๆ ต่อไป จนกระทั่งมีประชุมเช้าในวันหนึ่ง พวกขุนนางกลับรื้อฟื้นเรื่องการอภิเษกสมรสของเขาขึ้นมาจนได้ หนึ่งในนั้นเป็นอำมาตย์จ้าวที่เป็นสหายกับอ๋องเจิ้ง ถามขึ้นมา
“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงจัดการเรื่องคู่ครองได้แล้ว ไม่ทราบว่าจะทรงเลือกใครและจะทรงเลือกช่วงใดเป็นฤกษ์อภิเษกพะย่ะค่ะ”
“ได้ยินมา?” ทรงปรายตามองไปยังขุนนางที่ต่างรอคอยคำตอบของเขาหน้าสลอน
“พระพันปีทรงประกาศว่า หลี่หยงลู่บุตรีของท่ามหาเสนาบดีหลี่เจิน กับฟ่งเจินหยูบุตรีท่านแม่ทัพฟ่งผิงจง เป็นผู้เหมาะสม และทรงตรัสว่าจะพิจารณาคุณหนูทั้งสองให้ขึ้นเป็นอัครเมหสี”
พอพูดถึงบุตรีของตน ขุนนางผู้ถูกเอ่ยชื่อทั้งสองต่างก็ขยับตัวออกมาเพื่อให้ฝ่าบาททรงอดพระเนตรเห็นตนเองชัดชึ้น และกดดันผู้คนให้น่าหนักใจอีกด้วย พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เฉินซื่อจวินก็ไม่คิดอยากแส่หาความยุ่งยากให้ตัวเอง จึงเอ่ยออกมาว่า
“ขอถามท่านอำมาตย์จ้าว แล้วบุตรีของท่านอ๋องเจิ้งแม่ทัพปราบชายแดนของข้าล่ะ ท่านเอาไปวางไว้ที่ไหนกัน”
“เอ่อ...เรื่องนี้” คนถูกถามไม่อาจตอบกลับได้ มีใครไม่รู้บ้างว่ากับคู่หมั้นคนนี้ฝ่าบาทไม่คิดจะอภิเษกสมรสด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเองก็คิดเช่นน้น ถึงกล้าเสนอความคิดออกไป ทำไมจู่ ๆ วันนี้ถึงได้ตรัสถึงขึ้นมาเองเล่า พอเฉินซื่อจวินเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกอักก็ทำพระพักตร์บูดบึ้งลงทันที
“ข้ายังมีเรื่องค้างคาใจอยู่ ยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบพวกท่านตอนนี้ พวกท่านก็รู้ว่าอัครมเหสีของข้า ข้ามีได้เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงจะใช้เวลาเลือกนานอยู่บ้าง เห็นใจข้าหน่อยเถอะนะ”
ไม่คาดอำมาตย์จ้าวผู้นั้นไม่กลัวตาย ถึงกับพูดขึ้นมาอีกอย่างไม่เกรงใจว่า
“ทูลฝ่าบาท ได้ยินมาว่า อดีตพระจักพรรดิได้มอบราชโองการที่เอ่ยถึงเรื่องการถอนหมั้นกับบุตรีของอ๋องเจิ้งให้แก่พระองค์แล้วไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ”
เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางที่ประชุม บรรยากาศอึมครึมแผ่ออกมาทั่วบริเวณ เพราะสีหน้าของฮ่องเต้ของพวกเขาเคร่งขรึมลงและเครียดเกร็งจนแทบจะฆ่าคนตายได้ในพริบตา
“ข้ายังไม่ได้ให้นางลงชื่อยอมรับ นั่นหมายความว่า นางยังมิได้ปฏิเสธ” ตอนที่พูดประโยคนี้ใบหน้าแย้มยิ้มได้น่ากลัวนัก อำมาตย์จ้าวผู้นี้ถึงกับเหยียบแผลในใจของเขา ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมา ไม่อาจห้ามอารมณ์แปรปรวนที่พลุ่งพล่านพรวดพราดขึ้นมาได้ ได้แต่ตวาดออกไปด้วยความฉุนเฉียว
“หากต่อให้นางลงชื่อจริง นางควรจะส่งมอบมันมากับมือ มิใช่ให้เจ้าคนน่าตายนั่นเป็นผู้มอบให้แก่ข้า!” พระสุรเสียงตวาดก้อง ทำเอาขุนนางทั้งหมดอกสั่นขวัญหาย ยามดีฮ่องเต้องค์นี้ก็ดีใจหาย ยามร้ายก็ฆ่าคนไม่กระพริบตา ทางที่ดีอย่าทำให้ทรงกริ้วเช่นตอนนี้เป็นดีที่สุด
จบการประชุมเช้าวันนั้นไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายขององค์จักรพรรดิอีกเลย
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้ข่าวคราวของนางว่านางหายดีแล้วจากเฉาเฟย เฉาเฟยผู้นี้วันวันไม่ทำอะไร เที่ยวส่งพิราบสื่อสารไปยังจวนอ๋องเจิ้งตลอดเวลา จนกระทั่งได้ข่าวสำคัญจึงรีบเสนอหน้ามารายงานต่อเขา แม้ว่าตอนที่ได้ยินครั้งแรกว่านางฟื้นคืนสติแล้ว เขาจะโล่งใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจรีบร้อนเดินทางตามใจนึกได้ รอจนกระทั่งไดรับข่าวว่านางหายดีแน่แล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองต้าลี่อีกครั้งดังที่เคยประกาศก้องเอาไว้ในที่ประชุมเช้าวันนั้นว่า หากต้องการถอนหมั้นแล้วจะต้องเป็นนางที่มามอบราชโองการยกเลิกการหมั้นหมายด้วยตนเอง!
ไม่รู้เพราะเหตุใดระหว่างทางพอเดินทางมาจนเกือบจะถึงเมืองต้าลี่แล้ว เส้นทางตามปกติกลับมีหมอกลงมาหนาทึบเหมือนกับครั้งแรก พวกเขาพากันพลัดหลงเข้าไปในป่า และโผล่มายังน้ำตกอันคุ้นเคยอีกครั้ง พอเฉินซื่อจวินเห็นทัศนียภาพคุ้นตาก็อดนึกถึงสตรีในชุดขาวมิได้ ตอนนั้นนางใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเขาราวกับเห็นเป็นของประหลาด ผมดำยาวสยาย เปลือยท่อนขาและปลายเท้า ดูเหมือนภูตผีนางไม้ไม่ผิด
แต่ครั้งนี้กลับว่างเปล่าไร้ผู้คน
“ฝ่าบาท...” เป็นเฉาเฟยที่รู้ตัวก่อน พลันสะกิดให้อีกฝ่ายมองขึ้นไปด้านบน เฉินซื่อจวินได้แต่เงยหน้าขึ้นไป จึงมองเห็นปลายเท้าขาวผ่องที่ห้อยลงมาจากบนต้นไม้ เห็นร่างในชุดขาวราวหิมะทรงตัวอยู่บนกิ่งไม้อย่างน่าหวาดเสียว นางขึ้นไปนอนหลับใหลอยู่บนกิ่งไม้ที่แม้ว่ามันจะแข็งแรงแต่นางอาจกลิ้งตกลงมาเมื่อไหร่ก็ได้นั้นได้อย่างไร เขาขนลุกขนพองไปทั่วร่าง กลัวเหลือเกินว่าร่างบอบบางนั้นจะตกลงมาคอหักตายโดยไม่รู้ตัว
เหตุใดไม่เห็นบุรุษน่าชังผู้นั้นเสียเล่า เฉินซื่อจวินหันไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครอื่นอีก แต่กลับมั่นใจว่ามู่หลงต้องอยู่แถวนี้แน่ จะอย่างไรนางก็ช่างวางใจในตัวองครักษ์ผู้นี้เหลือเกินนะ ถึงได้หลับเหมือนแมวสบายใจเช่นนี้
“ให้ปลุกนางหรือไม่พะย่ะค่ะ” เฉาเฟยถาม แต่เฉินซื่อจิ้นกลับยกมือห้าม จากนั้นกระโดดขึ้นไปเหยียบกิ่งไม้อย่างแผ่วเขา ด้วยน้ำหนักของเขาทำให้กิ่งไม้โน้มตัวลงมาหน่อย ทำให้ร่างแบบบางขยับจนเกือบร่วงตกลงไป แต่เขาก็รวบร่างแบบบางนั้นไว้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสายตาพลันเหลือบมองไปด้านล่าง ก็เห็นมู่หลงที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร่ เขามายืนคอยรับนางอยู่ด้านล่างด้วยเช่นกัน พอเห็นนางปลอดภัยดีคนผู้นั้นก็พลันพริ้วตัวหายตัวไปอีก เฉินซื่อจวินถอนหายใจพลางเหงื่อตก ไม่คุ้นชินกับการปรากฏตัวแบบไร้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้เหมือนเคย แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่มู่หลงยอมรามือจากเขาอย่างง่ายดาย เพราะเมื่อก่อนอย่าว่าแต่โอบอุ้มนี่เลย แทบจะไม่ยอมให้นางถูกใครแตะต้องด้วยซ้ำ
แต่พอพิศดูร่างแบบบางนี้ นางก็ช่างหลับลึกยิ่งนัก... ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าตนเองถูกรวบเอาไว้ในอ้อมกอดของเขาอย่างแนบแน่นในเวลานี้
“ไม่พบกันหลายวัน... นางใช่ดูผุดผ่องขึ้นหรือไม่กันนะ...” หรือเพราะเขาเพิ่งเคยสังเกตใบหน้าของนางใกล้ ๆกันแน่ เฉินซื่อจวินเปรยออกมาเบา ๆ ขนตาของนางดำยาว คิ้วเข้มดกยาวจรดหางตา ผิวพรรณเปล่งปลั่งอมชมพูนิด ๆ ริมฝีปากแดงเหมือนผลซิ่ง ดูน่ากิน เอ้ย! น่ารัก
“แต่นางก็ยังไม่ใช่นางในฝันอยู่ดี..” เขาบอกตัวเองทั้ง ๆ ที่รู้สึกไหววูบในใจ...
เสียงลมหายใจของนางสม่ำเสมออยู่ในอ้อมอกของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของเขาพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้น นี่มันช่างต่างจากตอนที่เขาอยู่ในวังหลวงที่แสนจะวุ่นวายนั่นเหลือเกิน...
ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสงบเงียบ... มีเพียงเสียงน้ำไหล กับเสียงนกร้อง สตรีที่หลับใหลอยู่ในอ้อมอก... เหมือนเขาเป็นเจ้าของทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้.... อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ให้นานเหลือเกิน ความยุ่งเหยิงทั้งหมด ความคิดทั้งหมดสงบลงอย่างเรียบง่าย... เฉินซื่อจิ้นเหม่อมองใบหน้าขาวผ่องตรงหน้าแล้วอดยิ้มออกมามิได้... เขาคิดถึงนางตลอดตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่วังหลวงจนกระทั่งมาถึงที่นี่...
เฉาเฟยรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งเคยเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก... ฮ่องเต้ของเขา มีรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนทั้งยังมีให้กับสาวน้อยนางนี้เสียด้วย... หากใครมาเป็นเขาก็ต้องเดาออก การทดสอบหญิงงามทั้งสามข้อนั้น ฮ่องเต้ล้วนเอาต้นแบบมาจากสตรีนางนี้ทั้งสิ้น คุณธรรมน้ำใจ สติปัญญา และความเมตตา ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติของเจิ้งอี้จิงผู้นี้ทั้งสิ้น แม้ฝ่าบาทจะไม่รู้ตัว แต่เขารู้... เมื่อเขารู้แล้ว...เขาก็ต้องทำให้ฮ่องเต้รู้สำนึกเสียก่อนที่จะสายเกินไป
ความคิดเห็น