คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
ตอนที่ 6 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
ปัญหาเร่งด่วนที่ทำให้จักรพรรดิเฉินซื่อจวินต้องเดินทางกลับในทันทีทันใดนั้น มิใช่เรื่องความเดือดร้อนของราษฎร มิใช่เรื่องกิจการงานบ้านงานเมืองที่ไหนหรอก เป็นเพราะพระพันปีทรงปวดพระเศียรเป็นอย่างมาก กับเหล่าบรรดาสตรีชั้นสูงที่ต้องการเข้าเฝ้าพระนางเพียงเพื่อทวงสัญญาแห่งวันวานอันหวานชื่นของบุตรชายตัวดีของพระนางนั้นเอง หากเฉินซื่อจวินไม่กลับกลับมาในปัจจุบันทันที พระนางจะจับสตรีคนใดสักคนในที่นี้มาให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเขาเสียเลย
ที่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะพระนางสืบทราบว่าเฉินซื่อจวินเดินทางไปต้าหลี่เพื่อไปพบบุตรีของอ๋องเจิ้งก็ดีพระทัย รีบประกาศออกไปทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้จะกำหนดวันอภิเษกสมรสกับคู่หมั้นในเร็ววัน บรรดาเหล่าอดีตคนรักของบุตรชายต่างร้อนใจอยู่ไม่สุข ถึงขั้นพากันไปขอความเป็นธรรมกับพระนางถึงในวังหลวงแห่งนี้ พระนางเองก็ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรจึงรีบส่งพิราบสื่อสารไปให้เขารับรู้แล้วรีบกลับมาจัดการเรื่องราวก่อนที่มารดาผู้นี้จะอกแตกตายเสียก่อน!
เฉินซื่อจวินกลับถึงวังหลวง ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดก็รีบมาถวายพระพรพระมารดาในทันที เห็นพระพักตร์ของพระมารดาที่แม้จะแก่ชันษาแต่ความงดงามไม่ได้แห้งเหี่ยวร่วงโรยแต่ประการใดทำคิ้วขมวด แววตาโกรธขึงสีหน้าบึ้งตึงแล้ว ก็พลันยิ้มแย้มออกมาแล้วง้องอนพระมารดาสักหลายประโยค
“ถวายพระพรเสด็จแม่พะย่ะค่ะ”
พระพันปีหยวนเป็นพระมารดาแท้ ๆ ของจักรพรรดิเฉินซื่อจวิน รักและเอ็นดูเฉินซื่อจวินมาก แต่คำสั่งเสียของพระบิดา หรือก็คือจักรพรรดิองค์ก่อนนั้นจะหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงแม้ว่าพระบิดาจะหาทางออกเอาไว้รับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ล่วงหน้า ก็เพื่อประโยชน์ของบุตรีของทางฝ่ายอ๋องเจิ้งเท่านั้น หากฮ่องเต้มิยินยอมแต่ง นางจะได้มีทางหนีทีไล่ ไม่ต้องทนเสื่อมเสียชื่อเสียงห้ขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูลของอ๋องเจิ้งผู้นั้น
พอเห็นหน้าบุตรชายตัวดีก็อดหมั่นไส้มิได้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นมิใช่ว่าถอดแบบมาจากพระนางทุกกระเบียดนิ้วหรอกหรือ ถึงได้หลอกล่อให้บรรดาสตรีน้อยใหญ่ต่างหลงใหลหนักหนา ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย หากเป็นจักรพรรดิแคว้นอื่นก็คงมิต้องมีปัญหาปวดหัวให้มากความเช่นนี้ แต่นี่เพราะแคว้นเฉียนของพระนาง มีธรรมเนียมสืบทอดกันมาช้านานว่าจะต้องมีผัวเดียวเมียเดียว แม้นว่าจักรพรรดิองค์อื่นจะไม่ยึดถือธรรมเนียมข้อนี้ แต่จักรพรรดิองค์ก่อนยึดถือปฏิบัติเป็นอย่างดีและจักรพรรดิองค์นั้นย่อมต้องการให้ผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างบุตรชายผู้นี้ยึดถือเป็นแบบอย่างด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มีพระราชโองการเช่นนี้ออกมา ทว่า...
“ทรงเสด็จมาหาได้แล้วหรือ... มิใช่ไปเที่ยวเล่นเสียจนไม่อยากจะกลับมาสะสางเรื่องราวที่ตัวเองทำเอาไว้ ปล่อยให้เป็นภาระของมารดา หึ!”
เห็นพระมารดากระเง้ากระงอด เฉินซื่อจวินถลาไปประคองพระหัตถ์พระมารดาด้วยตนเองทันที
“พระมารดาอย่าได้ทรงกริ้ว หม่อมฉันไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ทว่าตั้งใจจะสะสางปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะพะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นพระพันปีหยวนหันพระพักตร์มาสบนัยน์ตาสีดำสนิทของคนข้าง ๆ ทันที
“สะสางอย่างไร? ไม่ใช่ว่า พบหน้าว่าที่เจ้าสาวแล้วหรือ?” พระนางถาม ออกอาการงุนงงเล็กน้อย
“พบแล้วพะย่ะค่ะ” เฉินซื่อจวินบอก “แต่นางไม่ใช่นางในอุดมคติของหม่อมฉัน ก็เลย...”
“ก็เลย...” พระนางหน้าซีดลงทันทีที่เดาคำตอบของบุตรชายออก แต่อีกฝ่ายมิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อยยังคงบอกออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื้น
“หม่อมฉันให้นางถอนหมั้นเรียบร้อยแล้ว ต่อไปหม่อมฉันสามารถเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเอง พระมารดาไม่ต้องเกรงว่าจะไม่มีสตรีใดคู่ควร หม่อมฉันคิดวิธีเอาไว้แล้ว”
ถึงกับคิดวิธีเอาไว้แล้ว? โอย พระนางจะเป็นลม พอได้ยินบุตรชายกล่าวออกมาด้วยความปิติแล้วพระนางแทบจะลมใส่ เหตุใดฮ่องเต้จึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ ก็รู้กันอยู่ว่าบ้านเมืองในตอนนี้ขาดอ๋องเจิ้งได้เสียที่ไหน ไปถอนหมั้นบุตรีของเขาแล้ว ต่อไปจะไว้วางใจเขาได้อีกหรือ!
“เจ้า!” พระนางเซซวนจวนจะล้มพับ ทว่าเฉินซื่อจวินก็ประคองร่างของพระมารดาเอาไว้ได้ก่อน แต่พระพันปีหยวนไม่หายกริ้ว ทรงยึดพระกรของฮ่องเต้เอาไว้แล้ว ลากพระองค์เดินออกไปด้วยกัน พลางว่า
“ตามข้าไปศาลบุพกษัตริย์!”
พอมาถึงศาลบุพกษัตริย์ พระพันปีหยวนก็พาร่างของทั้งสองวางพระชานุลงบนแท่นรองที่พื้น จากนั้นประนมพระกรทั้งสองข้างขึ้นภาวนา
“ขอบรรพชนได้โปรดให้อภัยในการกระทำของบุตรชายของข้าด้วย หากราชวงศ์ของเราถึงคราวเคราะห์ก็ขอให้บรรพชนได้โปรดคุ้มครอง...”
ได้ยินคำปวารณาของพระมารดา เฉินซื่อจวินถึงกับกุมขมับ “พระมารดากังวลพระทัยเกินไปแล้ว..”
“อย่าพูดกับข้า ในเมื่อเรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นต้นเหตุ ก็สำนึกตัวอยู่ที่นี่ให้ดี ๆ คิดทบทวนว่าตนเองกระทำเรื่องราวร้ายแรงอันใดลงไป!”
คราวนี้พระมารดาทรงกริ้วจริง ๆ แล้ว เฉินซื่อจวินจึงได้แต่ถอนพระทัยในใจ จากนั้นคุกเข่าอยู่ในศาลบุพกษัตริย์เป็นเวลาสองชั่วยาม
ในระยะเวลาสองชั่วยามนี้ ทรงอดคิดถึงเรื่องราวที่เมืองต้าลี่ไม่ได้ ป่านนี้สตรีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายจะฟื้นตัวหรือยัง หากฟื้นขึ้นมาแล้วไม่พบเขา... นางจะกังวลบ้างหรือไม่ ไม่แน่ว่า นางอาจไม่รู้ว่ามู่หลงน่าตายผู้นั้นเอาราชโองการมาให้เขาแล้ว ถึงแม้จะเป็นคำสั่งของนางก่อนหน้านี้ ว่าให้มอบให้แก่เขายามที่เขาต้องการจากมาก็จริงอยู่ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะจากมาเสียหน่อย เป็นสถานการณ์บีบบังคับต่างหาก...
นางดื้อรั้นถึงเพียงนั้น หากรู้ความจริงแล้วยังจะเปลี่ยนใจมาขอราชโองการคืนหรือไม่...
อ๋องเจิ้งนั้นเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินก็จริงอยู่ แต่เรื่องที่พระมารดาเป็นกังวลตนหาได้เป็นกังวลไม่ เพราะเขารู้ว่าอ๋องเจิ้งไม่เพียงแต่จงรักภักดี แต่ยังมีสายสัมพันธ์ผูกพันอยู่กับพระบิดาอย่างลึกซึ้ง หาไม่แล้วพระบิดาจะออกราชโองการลับเอาไว้เพื่ออะไร เพราะต้องการไม่ให้ทางอ๋องเจิ้งนั้นต้องโทษขัดราชโองการอย่างไรเล่า ตนคาดว่าอ๋องเจิ้งนั้นแท้จริงก็ไม่ประสงค์ที่จะฝืนบังคับจิตใจของบุตรี จึงมิได้เอ่ยเรื่องอภิเษกสมรสขึ้นมาเลยนับตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์ ตัวอ๋องเจิ้งเองนั้นมีภารกิจอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ จึงห่างจากเมืองหลวงและบ้านเกิดไปนานหลายปี แต่ก็มิได้คิดจะฝากฝังบุตรีเอาไว้ให้เขาดูแล เห็นได้ชัดว่าตัวอ๋องเจิ้งเองนั้นก็มิได้ต้องการให้เกี่ยวดองกันโดยวิธีนี้ ในเมื่อเวลานี้เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ คนผู้นั้นอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่กับเขาต่อไปในอนาคต ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินทางไปหาวิธีถอนหมั้นเสีย เพื่อที่จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอ๋องเจิ้งผู้นี้คิดอย่างไรกับเขากันแน่ ไหนเลยพอได้ไปพบว่าที่เจ้าสาวผู้นั้นแล้ว จะได้พบกับความแปลกใหม่ น่าค้นหา น่าติดตามชมดูเช่นนั้นกันเล่า คิดถึงสีหน้ายามโกรธขึงของสตรีชุดขาวโพลนผู้นั้นพลันเผลอแย้มยิ้มออกมา
เฉินซื่อจวินไม่รู้ตัวเลยว่าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเจิ้งอี้จิงจนเวลาผ่านล่วงเลยไปนานแค่ไหน ไม่ทันที่จะเปลี่ยนพระอิริยาบถให้หายเมื่อย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาแต่ไกล ดูท่าทางคนที่มาร้อนใจนัก ไม่แน่อาจเกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก คิดได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงขันทีน้อยดังขึ้น
“ทูลฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพะย่ะค่ะ พระพันปีตรัสให้ฝ่าบาทเข้าเฝ้าโดยด่วน ตอนนี้มีสตรีมากมายพากันรวมกลุ่มมาขอเข้าเฝ้าอยู่ที่ตำหนักพระพันปี...”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้...” ทรงตรัส พลางหยีพระเนตรเรียวงามเล็กน้อย ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมา
“กระหม่อมจะไปทูลพระพันปีเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ!” ขันทีน้อยรีบไปทันที
เฉินซื่อจวินยืดกายลุกขึ้นมาเชื่องช้า จากนั้นกลับไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสีเหลืองทองงามสง่าค่อยเดินทางไปพบสตรีงามเหล่านั้น โดยมีเฉาเฟยเป็นองครักษ์คอยติดตามอยู่ไม่ห่างเช่นเคย
ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก เจิ้งอี้จิง สตรีคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางก็ได้นี่นา ลืมไปได้อย่างไรว่าสตรีงดงามมากมายกำลังรอให้เขาไปหาอยู่
พอมาถึงตำหนักพระพันปี ก็เห็นพระมารดานั่งอยู่บนบัลลังก์รายล้อมไปด้วยสตรีมากมาย มีคนที่ทั้งคุ้นตาและรางเลือน ร่างในชุดสีทองอร่ามดูสุขุมก็ย่างเท้าเข้ามาพวกนางพอเห็นเขาก็อดพากันย่อตัวลงเพื่อถวายความเคารพอย่างดีใจมิได้
“ฝ่าบาท!!!”
เฉินซื่อจิ้นเหลียวมองไปรอบกาย ข้างซ้ายข้างขวามีสตรีให้โอบล้อม รู้สึกสำราญพระทัยยิ่งนักหลังจากที่ห่างหายไปนาน
“ฝ่าบาทจะอภิเษกกับใครกันเพคะ... ไหนทรงสัญญาว่าจะเป็นหม่อมฉันยังไงล่ะ”
“หยูอี้... เจ้าก็อย่าร้อนใจไปเลย”
“เยรินหยูอี้ เจ้าอย่ากำเริบไปนักนะ ฝ่าบาททรงพบข้าก่อนเจ้า คำสัญญาของฝ่าบาทย่อมต้องมีให้กับข้า....”
“สี่ซินฉิง เจ้า!”
ไม่ทันไรพวกนางถึงกับกล้าตีฝีปากกันต่อหน้าพระพักตร์เสียแล้ว เฉินซื่อจวินมองดูสงครามระหว่างสาวงามที่มักเกิดขึ้นเสมอ จนกลายเป็นเรื่องชินตา ทำให้เขาไม่เคยใส่ใจมาก่อน ทว่าความรู้สึกตอนนี้กลับแปลกไป เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเสียงออดอ้อนของบรรดาสตรีเหล่านี้นี้มันช่างน่ารำคาญเกินไปแล้ว สีหน้าของเขาเริ่มขุ่นข้องหมองใจโดยไม่รู้ตัว
“หุบปากเจ้า!” น้ำเสียงเป็นของสตรีหนึ่งในสองคนที่อยู่ใกล้ชิดกับพระพันปีหยวนที่สุด ทำให้เสียงน่ารำคาญเหล่านั้นเงียบลงในพริบตา
บรรดาสตรีที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงสองคนที่ได้ตำแหน่งยืนอยู่ใกล้กับพระพันปีหยวนที่สุด เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งการยืนนั้นมีความหมายเพียงไร เพราะหนึ่งในนั้นคือบุตรีมหาเสนาบดี ‘หลี่หยงลู่’ กับ บุตรีแม่ทัพใหญ่ ‘ฟ่งเจินหยู’ พวกนางคือโฉมงามสะคราญที่สุดในเมืองหลวง ทั้งยังเป็นตัวเก็งตำแหน่งอัครมเหสีขององค์จักรพรรดิที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีทั้งนั้น เพียงแต่สองคนนี้ คนหนึ่งอ่อนนอกแข็งใน ส่วนอีกคนแข็งนอกอ่อนใน พวกนางเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิมาก่อน แต่เฉินซื่อจิ้นไม่ถึงกับกล้าแตะต้องพวกนางแม้พวกนางจะเต็มใจ นั่นเพราะตำแหน่งของบิดาของทั้งสองนั้นใหญ่โต เขาไม่ต้องการรับผิดชอบใด ๆ หากตนเองมิได้เลือกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ขึ้นมา
ไม่รู้ว่าพวกนางมีจิตพิสมัยต่อเขาจริงอย่างที่แสดงออกหรือไม่ หรือเพียงเพราะต้องการอำนาจในวังหลวงเท่านั้น... หากแม้นมีจิตพิศวาสจริง เขาก็คงได้แต่ต้องทำให้พวกนางเสียใจแล้ว
หลี่หยงลู่เป็นคนฉลาดสุขุม สติปัญญาดียิ่งนัก สามารถเป็นคู่คิดให้กับพระองค์ได้ทุกเรื่อง ทรงจำได้ว่าที่เกี้ยวพาราสีนางครั้งแรกก็เพราะนางงดงามและเฉลียวฉลาด ส่วนฟ่งเจินหยู เป็นดังกุหลาบมีหนามแหลม นางเก่งวรยุทธ เกรี้ยวกราดไม่ยอมคน เหมือนม้าพยศที่เขาจะต้องปราบลงให้ได้ ช่างมีเสน่ห์ตราตรึงยิ่งนัก พวกนางทั้งสองล้วนมีความดึงดูดใจเขาไปคนละแบบ ทว่าในเวลานี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุอันใด ที่ทำให้อารมณ์ของเขาไม่เพียงไม่เบิกบานสำราญใจแล้ว ยังรู้สึกเหมือนเบื่อหน่ายไปเสียทุกเรื่อง
“ถวายพระพรพระมารดาอีกครั้งพะย่ะค่ะ” เขายิ้มให้พระมารดาอย่างไม่เป็นกังวล หากแต่อีกฝ่ายถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ
“ในเมื่อมาแล้วก็จัดการให้ดี อย่าทำให้ข้าต้องปวดหัวเพราะเรื่องของฝ่าบาทอีก วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว จะขอตัวไปพักก่อน” ตรัสจบก็ลุกขึ้นปลีกตัวเข้าไปในที่ส่วนพระองค์
เฉินซื่อจวิน และ สตรีเหล่านั้นต่างถวายทูลลา จากนั้น เขาก็ยึดบัลลังก์ของพระพันปีเอาไว้เสียเองแล้วกวาดตามองพวกนางเหล่านั้นที่พากันส่งรอยยิ้มและสายตาหวานฉ่ำมาให้เขา
“นึกไม่ถึงว่า พวกเจ้าจะคิดถึงข้ามาก จนไม่อาจทนรออยู่ที่บ้านตนเอง ต้องรีบเร่งเข้ามาหาข้า มีใครจะบอกได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพราะเหตุใดกัน” ทรงฉีกยิ้มก็จริงอยู่ แต่นัยน์ตานั้นไม่ได้มีริ้วรอยแห่งความสำราญพระทัยสักนิด เฉาเฟยเห็นสีหน้าของเจ้านายแล้วยังต้องกลืนน้ำลายเอือกหนึ่ง จำได้ว่าสีหน้าเช่นนี้เหมือนตอนที่ทรงกำลังวางแผนการยึดชายแดนได้สำเร็จพร้อมกับสั่งตัดหัวเชลยสงครามตอนนั้นเลย
“ทูลฝ่าบาท ข้ามีเรื่องสงสัย” ฟ่งเจินหยูเป็นคนกล้าพูดกลาทำ นางเอ่ยปากถามเป็นคนแรก สายตาของเฉินซื่อจวินที่มองไปทางนางนั้นเป็นประกายวาววับจนน่าหลงใหล ทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว แต่ก็ต้องข่มใจให้ได้เพื่อจะได้คำตอบที่แน่ชัดก่อน
“เรื่องพระคู่หมั้น หม่อมฉันขอถามว่าฝ่าบาทได้จัดการถอนหมั้นนางเรียบร้อยแล้วหรือยังเพคะ”
แน่ล่ะ ก็ทรงตกปากรับคำเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะจัดการเรื่องการยกเลิกการหมั้นแล้วยกใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นอัครมเหสีแทน ทว่าเมื่อคำถามหลุดออกมา เหมือนกลายเป็นตอกย้ำสิ่งที่กำลังเจ็บปวดในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทำให้ใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งลอยเด่นชัดขึ้นมาในสมองของเขา น่าตายนัก!
“ที่เจ้าถามข้าเช่นนี้เป็นเพราะมั่นใจว่า ข้าจะต้องเลือกเจ้าขึ้นเป็นมเหสีแทนนางอย่างแน่นอน?” น้ำเสียงราบเรียบปราศจากการคุกคาม ทว่าถ้อยคำเสียดสีชัดเจนนัก
ได้ฟังคำพูดเหน็บแนมอย่างที่ไม่เคยหลุดจากปากคนเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างเขามาก่อน ทำให้หลี่หยงลู่แม้ไม่ใช่คนถามคำถามอดขนลุกขนชันมิได้ ส่วนฟ่งเจินหยูผู้ไม่รู้จักกลัวตายนั้นยังกล่าวต่อ
“หากไม่ใช่เพราะทรงสัญญาเอาไว้ หม่อมฉันก็ไม่คิดจะทวงถามหรอก” จิตใจของนางห้าวหาญมาแต่เกิด เรื่องแค่นี้นับเป็นอย่างไรได้
“เช่นนั้นให้ข้าตอบเข้าอย่างไรดี...” ทรงทำท่าทางครุ่นคิด จากนั้นหันไปสบตาหลี่หยงลู่คนงามอีกด้าน
“แล้วเจ้าล่ะ... คิดจะถามคำถามเดียวกันกับนางหรือไม่”
หลีหยงลู่กลืนน้ำลายอึกหนึ่งค่อยตอบออกไป “มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงต้องการพบหน้าฝ่าบาทเท่านั้น พอทราบข่าวว่าฝ่าบาทกลับวังหลวงแล้ว หม่อมฉันก็เลยมาขอเข้าเฝ้าพระพันปี เผื่อว่าจะได้พบฝ่าบาท..”
นางพูดพลางทำสีหน้าเอียงอายไปพลาง เห็นแล้วสร้างความหยิ่งผยองให้แก่ฝ่ายที่ถูกคิดถึงนั้นได้หลายส่วน หากเป็นเขาเมื่อก่อนก็คงคิดเช่นเดียวกัน แต่ในยามนี้ เขากลับมองตัวตนที่เสแสร้งอย่างไม่น่าเชื่อนั้นของหลี่หยงลู่ผู้นี้ออกอย่างชัดเจน
“อ้อ... เช่นนั้นทำอย่างไรดี... ข้าเพียงเปรยออกมาว่า หากต้องการยกพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นอัครมเหสี ข้าจะต้องถอนหมั้นกับคู่หมั้นแต่กำเนิดผู้นั้นเสียก่อน แต่ข้าจดจำไม่ได้เลยว่าเคยให้คำสัญญาใดเอาไว้ ว่าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ”
พอได้ยินถ้อยพระดำรัส พวกนางในที่นั้นต่างอกสั่นขวัญหาย ใบหน้างดงามซีดขาวและมีเหงื่อตกออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ...”
“หม่อมฉันมานานแล้ว ต้องกลับแล้วเช่นกัน ทูลลาเพคะ”
“หม่อมฉันด้วย...”
สาวงามพากันทยอยออกไปทีละคนสองคน ในที่สุดก็เหลือแต่ฟ่งเจินหยูผู้ตรงไปตรงมา และหลี่หยงลู่ที่กล้าเอาตนเองวางเดิมพัน
เฉินซื่อจวินมองคนทั้งสองพลางยิ้มกริ่มในใจ ยังคงเป็นพวกนางที่ไม่กลัวว่าเขาจะหักคอพวกนางทิ้ง นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะมีทั้งความกล้าและความทะเยอทะยานถึงเพียงนี้ เอาเถิด ในเมื่อเขาเองก็ไม่เคยมองคนพลาดมาก่อน จะอย่างไรพวกนางก็ได้ชื่อว่าเป็นคนโปรดของเขานี่นะ
“ฟ่งเจินหยูคนงาม ในเมื่อเจ้ากล้าถาม ข้าก็จะตอบเจ้าให้ว่า ข้ายังมิได้ถอนหมั้นกับสตรีผู้นั้น เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าคิดอย่างไร”
ฟ่งเจินหยูได้ฟังคำตอบก็เดือดดาลยิ่ง นางชักสีหน้าบึ้งตึงแล้วะบัดใบหน้างามเพริศพริ้งหนีไปอีกทาง
“เช่นนั้นทรงใช้คำหวานมาหลอกลวงหม่อมฉันทำไมกัน! ฝ่าบาทย่อมรู้จักหม่อมฉันดีอย่างยิ่ง หากไม่จริงใจต่อหม่อมฉันแต่แรก ก็อย่าทรงตรัสอะไรกับหม่อมฉันเลยจะดีกว่า”
ฟ่งเจินหยูยังคงเป็นตัวของตัวเอง คิดถึงอดีตเมื่อครั้งพบกับนาง นอกจากความงดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองแล้ว เขายังชอบในความเย่อหยิ่งถือตัวของนางมากนัก สตรีผู้ยากจะกำราบผู้นี้ในที่สุดก็ยกหัวใจให้เขาแล้วทั้งดวง
“เจ้ากล่าวหาว่าข้าหลอกลวงเจ้า?” เขาปรายตามองไปยังราชินีผึ้งตัวนั้นที่จ้องจะต่อยเขาให้น่วมไปทั้งตัว
ลบหลู่เบื้องสูงมีโทษสถานใดกัน เหตุใดนางถึงกับกล้ากำเริบเสิบสานใช้ถ้อยคำล่วงเกินองค์จักรพรรดิ! ฟ่งเจินหยูเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป นางทรุดตัวลงคกเข่าอ้อนวอน
“ขอฝ่าบาทให้อภัยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันมิได้ตั้งใจพูดออกไปเช่นนั้น!”
เฉินซื่อจวินถอนหายใจเฮือก เขาไม่ได้คิดจะว่ากล่าวอะไรนางหรอกก็แค่ทำไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าฟ่งเจินหยูก็ร้อนใจกลัวตายเป็นเช่นกัน
“ข้ายังมิได้พูดอะไร เจ้าก็กระโตกกระตากโวยวายให้ข้าอภัยให้เจ้าเสียแล้ว ฟ่งเจินหยู เจ้าพิจารณาตัวเองเถิดว่าคู่ควรเป็นอัครมเหสีหรือไม่”
หลี่หยงลู่ที่คอยดูสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดนั้น ลำพองในใจ ในเมื่อฟ่งเจินหยูมิคู่ควรแล้วจะเหลือใครอีกเล่าที่คู่ควร พระทัยของฝ่าบาทย่อเอนเอียงมาทางนางแน่แล้ว
“ทูลฝ่าบาท น้องเจินหยูเพียงแต่คำนึงถึงฐานะของนางกับฝ่าบาทเท่านั้นถึงได้ร้อนรนใจเช่นนี้ อย่าได้ทรงกริ้วเลยเพคะ น้องเจินหยูเป็นคนหนักแน่น ไม่เปลี่ยนความคิดแม้ว่าฝ่าบาทจะให้คำตอบที่นางมิต้องการฟังก็ตาม”
ได้ยินหลี่หยงลู่เสนอความคิดเห็น และยังผ่อนหนักเป็นเบาด้วยถ้อยคำเป็นกันเองแล้ว เฉินซื่อจวินรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“พวกเจ้าเรียกขานเป็นพี่น้องกันแล้ว?” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลี่หยงลู่ถึงกับวางตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่น น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ผู้อื่นล้วนไร้ความคิด มีแต่นางผู้เดียวที่มีสติปัญญา รู้จักคิด?
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ได้ติดใจเอาความอะไร เพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น ระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง ข้ายังต้องเลือกเพียงหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มีสตรีงดงามมากมายในแผ่นดิน แต่ข้ากลับต้องเลือกเพียงหนึ่งคน ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้” ทรงแสร้งพูดพลางทำสีหน้าอับจนหนทางไปพลาง ดูแนบเนียนนัก
“อันที่จริง บุพกษัตริย์ของแคว้นเฉียนเรา ก็มิได้เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมผัวเดียวเมียเดียวสักเท่าไหร่นัก หม่อมฉันคิดว่า หากฝ่าบาทดำริจะเพิ่มพระสนมหรือเจ้าจอมเข้ามาในวัง ก็สามารถกระทำได้เพคะ หม่อมฉันแม้จะไมได้รับคัดเลือก ก็เห็นสมควรว่า สนมนางในไม่ควรมน้อยหรือมากเกินไปนัก เพื่อการสืบสันติวงศ์แล้ว ฝ่าบาทจำเป็นต้องมีโอรสธิดาเพคะ”
หลี่หยงลู่ออกความเห็นได้ตรงประเด็น ทั้งยังวางตัวเองไว้วงนอก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของความคิดเห็นนั้นด้วย
มีหรือเขาจะไม่รู้ทันนาง “อ้อ... เช่นนั้น ข้าสมควรยกเลิกธรรมเนียมนี้เสีย หลังจากอภิเษกกับคู่หมั้นผู้นั้นแล้ว จากนั้นรับพวกเจ้าทั้งสองเข้าวังมาพร้อมกันเสียเลย ข้าก็จะไม่ลำบากใจ และได้สมหวังกันทุกฝ่าย”
ฟ่งเจินหยูเข่นเคี้ยวในใจ นางไม่อาจยอมแบ่งปันจักรพรรดิให้ใครได้ นางยึดมั่นในความรักเดียวใจเดียวของบรรพบุรุษ และหยิ่งเกินกว่าที่จะใช้สามีร่วมกับหญิงใด
ความคิดเห็น