ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงน่ารักกับจักรพรรดิเจ้าเล่ห์

    ลำดับตอนที่ #6 : ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 58


    ตอนที่ 6 ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

    ปัญหาเร่งด่วนที่ทำให้จักรพรรดิเฉินซื่อจวินต้องเดินทางกลับในทันทีทันใดนั้น  มิใช่เรื่องความเดือดร้อนของราษฎร  มิใช่เรื่องกิจการงานบ้านงานเมืองที่ไหนหรอก  เป็นเพราะพระพันปีทรงปวดพระเศียรเป็นอย่างมาก  กับเหล่าบรรดาสตรีชั้นสูงที่ต้องการเข้าเฝ้าพระนางเพียงเพื่อทวงสัญญาแห่งวันวานอันหวานชื่นของบุตรชายตัวดีของพระนางนั้นเอง   หากเฉินซื่อจวินไม่กลับกลับมาในปัจจุบันทันที  พระนางจะจับสตรีคนใดสักคนในที่นี้มาให้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเขาเสียเลย 

    ที่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะพระนางสืบทราบว่าเฉินซื่อจวินเดินทางไปต้าหลี่เพื่อไปพบบุตรีของอ๋องเจิ้งก็ดีพระทัย  รีบประกาศออกไปทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้จะกำหนดวันอภิเษกสมรสกับคู่หมั้นในเร็ววัน  บรรดาเหล่าอดีตคนรักของบุตรชายต่างร้อนใจอยู่ไม่สุข  ถึงขั้นพากันไปขอความเป็นธรรมกับพระนางถึงในวังหลวงแห่งนี้  พระนางเองก็ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรจึงรีบส่งพิราบสื่อสารไปให้เขารับรู้แล้วรีบกลับมาจัดการเรื่องราวก่อนที่มารดาผู้นี้จะอกแตกตายเสียก่อน! 

    เฉินซื่อจวินกลับถึงวังหลวง  ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดก็รีบมาถวายพระพรพระมารดาในทันที  เห็นพระพักตร์ของพระมารดาที่แม้จะแก่ชันษาแต่ความงดงามไม่ได้แห้งเหี่ยวร่วงโรยแต่ประการใดทำคิ้วขมวด  แววตาโกรธขึงสีหน้าบึ้งตึงแล้ว  ก็พลันยิ้มแย้มออกมาแล้วง้องอนพระมารดาสักหลายประโยค

    “ถวายพระพรเสด็จแม่พะย่ะค่ะ” 

    พระพันปีหยวนเป็นพระมารดาแท้ ๆ ของจักรพรรดิเฉินซื่อจวิน  รักและเอ็นดูเฉินซื่อจวินมาก  แต่คำสั่งเสียของพระบิดา  หรือก็คือจักรพรรดิองค์ก่อนนั้นจะหลีกเลี่ยงมิได้  ถึงแม้ว่าพระบิดาจะหาทางออกเอาไว้รับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ล่วงหน้า  ก็เพื่อประโยชน์ของบุตรีของทางฝ่ายอ๋องเจิ้งเท่านั้น  หากฮ่องเต้มิยินยอมแต่ง  นางจะได้มีทางหนีทีไล่  ไม่ต้องทนเสื่อมเสียชื่อเสียงห้ขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูลของอ๋องเจิ้งผู้นั้น 

    พอเห็นหน้าบุตรชายตัวดีก็อดหมั่นไส้มิได้  ใบหน้าหล่อเหลานั้นมิใช่ว่าถอดแบบมาจากพระนางทุกกระเบียดนิ้วหรอกหรือ  ถึงได้หลอกล่อให้บรรดาสตรีน้อยใหญ่ต่างหลงใหลหนักหนา  ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย  หากเป็นจักรพรรดิแคว้นอื่นก็คงมิต้องมีปัญหาปวดหัวให้มากความเช่นนี้  แต่นี่เพราะแคว้นเฉียนของพระนาง  มีธรรมเนียมสืบทอดกันมาช้านานว่าจะต้องมีผัวเดียวเมียเดียว  แม้นว่าจักรพรรดิองค์อื่นจะไม่ยึดถือธรรมเนียมข้อนี้  แต่จักรพรรดิองค์ก่อนยึดถือปฏิบัติเป็นอย่างดีและจักรพรรดิองค์นั้นย่อมต้องการให้ผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างบุตรชายผู้นี้ยึดถือเป็นแบบอย่างด้วยเช่นกัน  ดังนั้นถึงได้มีพระราชโองการเช่นนี้ออกมา  ทว่า... 

    “ทรงเสด็จมาหาได้แล้วหรือ...  มิใช่ไปเที่ยวเล่นเสียจนไม่อยากจะกลับมาสะสางเรื่องราวที่ตัวเองทำเอาไว้  ปล่อยให้เป็นภาระของมารดา  หึ!” 

    เห็นพระมารดากระเง้ากระงอด  เฉินซื่อจวินถลาไปประคองพระหัตถ์พระมารดาด้วยตนเองทันที

    “พระมารดาอย่าได้ทรงกริ้ว  หม่อมฉันไม่ได้ไปเที่ยวเล่น  ทว่าตั้งใจจะสะสางปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะพะย่ะค่ะ”

    ได้ยินเช่นนั้นพระพันปีหยวนหันพระพักตร์มาสบนัยน์ตาสีดำสนิทของคนข้าง ๆ ทันที 

    “สะสางอย่างไร?  ไม่ใช่ว่า พบหน้าว่าที่เจ้าสาวแล้วหรือ?”  พระนางถาม  ออกอาการงุนงงเล็กน้อย 

    “พบแล้วพะย่ะค่ะ”  เฉินซื่อจวินบอก  “แต่นางไม่ใช่นางในอุดมคติของหม่อมฉัน  ก็เลย...”  

    “ก็เลย...”  พระนางหน้าซีดลงทันทีที่เดาคำตอบของบุตรชายออก  แต่อีกฝ่ายมิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อยยังคงบอกออกไปด้วยสีหน้าแช่มชื้น 

    “หม่อมฉันให้นางถอนหมั้นเรียบร้อยแล้ว  ต่อไปหม่อมฉันสามารถเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเอง  พระมารดาไม่ต้องเกรงว่าจะไม่มีสตรีใดคู่ควร  หม่อมฉันคิดวิธีเอาไว้แล้ว”

    ถึงกับคิดวิธีเอาไว้แล้ว?  โอย  พระนางจะเป็นลม  พอได้ยินบุตรชายกล่าวออกมาด้วยความปิติแล้วพระนางแทบจะลมใส่  เหตุใดฮ่องเต้จึงได้เลอะเลือนเช่นนี้  ก็รู้กันอยู่ว่าบ้านเมืองในตอนนี้ขาดอ๋องเจิ้งได้เสียที่ไหน  ไปถอนหมั้นบุตรีของเขาแล้ว  ต่อไปจะไว้วางใจเขาได้อีกหรือ! 

    “เจ้า!”  พระนางเซซวนจวนจะล้มพับ  ทว่าเฉินซื่อจวินก็ประคองร่างของพระมารดาเอาไว้ได้ก่อน  แต่พระพันปีหยวนไม่หายกริ้ว  ทรงยึดพระกรของฮ่องเต้เอาไว้แล้ว ลากพระองค์เดินออกไปด้วยกัน  พลางว่า

    “ตามข้าไปศาลบุพกษัตริย์!”                  

    พอมาถึงศาลบุพกษัตริย์  พระพันปีหยวนก็พาร่างของทั้งสองวางพระชานุลงบนแท่นรองที่พื้น  จากนั้นประนมพระกรทั้งสองข้างขึ้นภาวนา 

    “ขอบรรพชนได้โปรดให้อภัยในการกระทำของบุตรชายของข้าด้วย  หากราชวงศ์ของเราถึงคราวเคราะห์ก็ขอให้บรรพชนได้โปรดคุ้มครอง...” 

    ได้ยินคำปวารณาของพระมารดา  เฉินซื่อจวินถึงกับกุมขมับ  “พระมารดากังวลพระทัยเกินไปแล้ว..”

    “อย่าพูดกับข้า  ในเมื่อเรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นต้นเหตุ  ก็สำนึกตัวอยู่ที่นี่ให้ดี ๆ  คิดทบทวนว่าตนเองกระทำเรื่องราวร้ายแรงอันใดลงไป!” 

    คราวนี้พระมารดาทรงกริ้วจริง ๆ แล้ว  เฉินซื่อจวินจึงได้แต่ถอนพระทัยในใจ  จากนั้นคุกเข่าอยู่ในศาลบุพกษัตริย์เป็นเวลาสองชั่วยาม 

    ในระยะเวลาสองชั่วยามนี้  ทรงอดคิดถึงเรื่องราวที่เมืองต้าลี่ไม่ได้  ป่านนี้สตรีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง  ร่างกายจะฟื้นตัวหรือยัง  หากฟื้นขึ้นมาแล้วไม่พบเขา...  นางจะกังวลบ้างหรือไม่  ไม่แน่ว่า นางอาจไม่รู้ว่ามู่หลงน่าตายผู้นั้นเอาราชโองการมาให้เขาแล้ว  ถึงแม้จะเป็นคำสั่งของนางก่อนหน้านี้  ว่าให้มอบให้แก่เขายามที่เขาต้องการจากมาก็จริงอยู่  แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะจากมาเสียหน่อย  เป็นสถานการณ์บีบบังคับต่างหาก... 

    นางดื้อรั้นถึงเพียงนั้น  หากรู้ความจริงแล้วยังจะเปลี่ยนใจมาขอราชโองการคืนหรือไม่...

    อ๋องเจิ้งนั้นเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินก็จริงอยู่  แต่เรื่องที่พระมารดาเป็นกังวลตนหาได้เป็นกังวลไม่  เพราะเขารู้ว่าอ๋องเจิ้งไม่เพียงแต่จงรักภักดี  แต่ยังมีสายสัมพันธ์ผูกพันอยู่กับพระบิดาอย่างลึกซึ้ง  หาไม่แล้วพระบิดาจะออกราชโองการลับเอาไว้เพื่ออะไร  เพราะต้องการไม่ให้ทางอ๋องเจิ้งนั้นต้องโทษขัดราชโองการอย่างไรเล่า  ตนคาดว่าอ๋องเจิ้งนั้นแท้จริงก็ไม่ประสงค์ที่จะฝืนบังคับจิตใจของบุตรี  จึงมิได้เอ่ยเรื่องอภิเษกสมรสขึ้นมาเลยนับตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์  ตัวอ๋องเจิ้งเองนั้นมีภารกิจอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ  จึงห่างจากเมืองหลวงและบ้านเกิดไปนานหลายปี  แต่ก็มิได้คิดจะฝากฝังบุตรีเอาไว้ให้เขาดูแล  เห็นได้ชัดว่าตัวอ๋องเจิ้งเองนั้นก็มิได้ต้องการให้เกี่ยวดองกันโดยวิธีนี้ ในเมื่อเวลานี้เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ  คนผู้นั้นอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่กับเขาต่อไปในอนาคต ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินทางไปหาวิธีถอนหมั้นเสีย  เพื่อที่จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอ๋องเจิ้งผู้นี้คิดอย่างไรกับเขากันแน่    ไหนเลยพอได้ไปพบว่าที่เจ้าสาวผู้นั้นแล้ว  จะได้พบกับความแปลกใหม่  น่าค้นหา  น่าติดตามชมดูเช่นนั้นกันเล่า  คิดถึงสีหน้ายามโกรธขึงของสตรีชุดขาวโพลนผู้นั้นพลันเผลอแย้มยิ้มออกมา      

    เฉินซื่อจวินไม่รู้ตัวเลยว่าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเจิ้งอี้จิงจนเวลาผ่านล่วงเลยไปนานแค่ไหน  ไม่ทันที่จะเปลี่ยนพระอิริยาบถให้หายเมื่อย  ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาแต่ไกล  ดูท่าทางคนที่มาร้อนใจนัก  ไม่แน่อาจเกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก  คิดได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงขันทีน้อยดังขึ้น

    “ทูลฝ่าบาท  เกิดเรื่องแล้วพะย่ะค่ะ  พระพันปีตรัสให้ฝ่าบาทเข้าเฝ้าโดยด่วน  ตอนนี้มีสตรีมากมายพากันรวมกลุ่มมาขอเข้าเฝ้าอยู่ที่ตำหนักพระพันปี...” 

    “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้...”  ทรงตรัส  พลางหยีพระเนตรเรียวงามเล็กน้อย  ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมา

    “กระหม่อมจะไปทูลพระพันปีเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ!”  ขันทีน้อยรีบไปทันที 

    เฉินซื่อจวินยืดกายลุกขึ้นมาเชื่องช้า  จากนั้นกลับไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสีเหลืองทองงามสง่าค่อยเดินทางไปพบสตรีงามเหล่านั้น  โดยมีเฉาเฟยเป็นองครักษ์คอยติดตามอยู่ไม่ห่างเช่นเคย

    ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก  เจิ้งอี้จิง  สตรีคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง  เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจนางก็ได้นี่นา  ลืมไปได้อย่างไรว่าสตรีงดงามมากมายกำลังรอให้เขาไปหาอยู่   

    พอมาถึงตำหนักพระพันปี  ก็เห็นพระมารดานั่งอยู่บนบัลลังก์รายล้อมไปด้วยสตรีมากมาย  มีคนที่ทั้งคุ้นตาและรางเลือน  ร่างในชุดสีทองอร่ามดูสุขุมก็ย่างเท้าเข้ามาพวกนางพอเห็นเขาก็อดพากันย่อตัวลงเพื่อถวายความเคารพอย่างดีใจมิได้ 

    “ฝ่าบาท!!!” 

    เฉินซื่อจิ้นเหลียวมองไปรอบกาย ข้างซ้ายข้างขวามีสตรีให้โอบล้อม  รู้สึกสำราญพระทัยยิ่งนักหลังจากที่ห่างหายไปนาน 

    “ฝ่าบาทจะอภิเษกกับใครกันเพคะ...  ไหนทรงสัญญาว่าจะเป็นหม่อมฉันยังไงล่ะ”

    “หยูอี้...  เจ้าก็อย่าร้อนใจไปเลย”

    “เยรินหยูอี้ เจ้าอย่ากำเริบไปนักนะ  ฝ่าบาททรงพบข้าก่อนเจ้า  คำสัญญาของฝ่าบาทย่อมต้องมีให้กับข้า....”

    “สี่ซินฉิง   เจ้า!” 

    ไม่ทันไรพวกนางถึงกับกล้าตีฝีปากกันต่อหน้าพระพักตร์เสียแล้ว  เฉินซื่อจวินมองดูสงครามระหว่างสาวงามที่มักเกิดขึ้นเสมอ  จนกลายเป็นเรื่องชินตา  ทำให้เขาไม่เคยใส่ใจมาก่อน  ทว่าความรู้สึกตอนนี้กลับแปลกไป  เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเสียงออดอ้อนของบรรดาสตรีเหล่านี้นี้มันช่างน่ารำคาญเกินไปแล้ว  สีหน้าของเขาเริ่มขุ่นข้องหมองใจโดยไม่รู้ตัว

    “หุบปากเจ้า!”  น้ำเสียงเป็นของสตรีหนึ่งในสองคนที่อยู่ใกล้ชิดกับพระพันปีหยวนที่สุด  ทำให้เสียงน่ารำคาญเหล่านั้นเงียบลงในพริบตา

    บรรดาสตรีที่อยู่ในที่แห่งนี้มีเพียงสองคนที่ได้ตำแหน่งยืนอยู่ใกล้กับพระพันปีหยวนที่สุด  เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งการยืนนั้นมีความหมายเพียงไร  เพราะหนึ่งในนั้นคือบุตรีมหาเสนาบดี  หลี่หยงลู่  กับ  บุตรีแม่ทัพใหญ่  ฟ่งเจินหยู  พวกนางคือโฉมงามสะคราญที่สุดในเมืองหลวง  ทั้งยังเป็นตัวเก็งตำแหน่งอัครมเหสีขององค์จักรพรรดิที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีทั้งนั้น  เพียงแต่สองคนนี้  คนหนึ่งอ่อนนอกแข็งใน  ส่วนอีกคนแข็งนอกอ่อนใน  พวกนางเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิมาก่อน  แต่เฉินซื่อจิ้นไม่ถึงกับกล้าแตะต้องพวกนางแม้พวกนางจะเต็มใจ  นั่นเพราะตำแหน่งของบิดาของทั้งสองนั้นใหญ่โต เขาไม่ต้องการรับผิดชอบใด ๆ หากตนเองมิได้เลือกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ขึ้นมา 

    ไม่รู้ว่าพวกนางมีจิตพิสมัยต่อเขาจริงอย่างที่แสดงออกหรือไม่  หรือเพียงเพราะต้องการอำนาจในวังหลวงเท่านั้น...  หากแม้นมีจิตพิศวาสจริง  เขาก็คงได้แต่ต้องทำให้พวกนางเสียใจแล้ว

    หลี่หยงลู่เป็นคนฉลาดสุขุม  สติปัญญาดียิ่งนัก  สามารถเป็นคู่คิดให้กับพระองค์ได้ทุกเรื่อง  ทรงจำได้ว่าที่เกี้ยวพาราสีนางครั้งแรกก็เพราะนางงดงามและเฉลียวฉลาด  ส่วนฟ่งเจินหยู  เป็นดังกุหลาบมีหนามแหลม  นางเก่งวรยุทธ  เกรี้ยวกราดไม่ยอมคน  เหมือนม้าพยศที่เขาจะต้องปราบลงให้ได้  ช่างมีเสน่ห์ตราตรึงยิ่งนัก  พวกนางทั้งสองล้วนมีความดึงดูดใจเขาไปคนละแบบ  ทว่าในเวลานี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุอันใด  ที่ทำให้อารมณ์ของเขาไม่เพียงไม่เบิกบานสำราญใจแล้ว  ยังรู้สึกเหมือนเบื่อหน่ายไปเสียทุกเรื่อง

    “ถวายพระพรพระมารดาอีกครั้งพะย่ะค่ะ”  เขายิ้มให้พระมารดาอย่างไม่เป็นกังวล  หากแต่อีกฝ่ายถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ 

    “ในเมื่อมาแล้วก็จัดการให้ดี  อย่าทำให้ข้าต้องปวดหัวเพราะเรื่องของฝ่าบาทอีก  วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว  จะขอตัวไปพักก่อน”  ตรัสจบก็ลุกขึ้นปลีกตัวเข้าไปในที่ส่วนพระองค์ 

    เฉินซื่อจวิน และ สตรีเหล่านั้นต่างถวายทูลลา  จากนั้น  เขาก็ยึดบัลลังก์ของพระพันปีเอาไว้เสียเองแล้วกวาดตามองพวกนางเหล่านั้นที่พากันส่งรอยยิ้มและสายตาหวานฉ่ำมาให้เขา

    “นึกไม่ถึงว่า  พวกเจ้าจะคิดถึงข้ามาก  จนไม่อาจทนรออยู่ที่บ้านตนเอง  ต้องรีบเร่งเข้ามาหาข้า  มีใครจะบอกได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพราะเหตุใดกัน”    ทรงฉีกยิ้มก็จริงอยู่  แต่นัยน์ตานั้นไม่ได้มีริ้วรอยแห่งความสำราญพระทัยสักนิด  เฉาเฟยเห็นสีหน้าของเจ้านายแล้วยังต้องกลืนน้ำลายเอือกหนึ่ง  จำได้ว่าสีหน้าเช่นนี้เหมือนตอนที่ทรงกำลังวางแผนการยึดชายแดนได้สำเร็จพร้อมกับสั่งตัดหัวเชลยสงครามตอนนั้นเลย 

    “ทูลฝ่าบาท  ข้ามีเรื่องสงสัย”  ฟ่งเจินหยูเป็นคนกล้าพูดกลาทำ  นางเอ่ยปากถามเป็นคนแรก  สายตาของเฉินซื่อจวินที่มองไปทางนางนั้นเป็นประกายวาววับจนน่าหลงใหล  ทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว  แต่ก็ต้องข่มใจให้ได้เพื่อจะได้คำตอบที่แน่ชัดก่อน

    “เรื่องพระคู่หมั้น  หม่อมฉันขอถามว่าฝ่าบาทได้จัดการถอนหมั้นนางเรียบร้อยแล้วหรือยังเพคะ” 

    แน่ล่ะ  ก็ทรงตกปากรับคำเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่า  จะจัดการเรื่องการยกเลิกการหมั้นแล้วยกใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นอัครมเหสีแทน  ทว่าเมื่อคำถามหลุดออกมา  เหมือนกลายเป็นตอกย้ำสิ่งที่กำลังเจ็บปวดในใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้  ทำให้ใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งลอยเด่นชัดขึ้นมาในสมองของเขา  น่าตายนัก!

    “ที่เจ้าถามข้าเช่นนี้เป็นเพราะมั่นใจว่า  ข้าจะต้องเลือกเจ้าขึ้นเป็นมเหสีแทนนางอย่างแน่นอน?”  น้ำเสียงราบเรียบปราศจากการคุกคาม  ทว่าถ้อยคำเสียดสีชัดเจนนัก   

    ได้ฟังคำพูดเหน็บแนมอย่างที่ไม่เคยหลุดจากปากคนเจ้าชู้กรุ้มกริ่มอย่างเขามาก่อน  ทำให้หลี่หยงลู่แม้ไม่ใช่คนถามคำถามอดขนลุกขนชันมิได้  ส่วนฟ่งเจินหยูผู้ไม่รู้จักกลัวตายนั้นยังกล่าวต่อ

    “หากไม่ใช่เพราะทรงสัญญาเอาไว้  หม่อมฉันก็ไม่คิดจะทวงถามหรอก”    จิตใจของนางห้าวหาญมาแต่เกิด  เรื่องแค่นี้นับเป็นอย่างไรได้

    “เช่นนั้นให้ข้าตอบเข้าอย่างไรดี...”  ทรงทำท่าทางครุ่นคิด จากนั้นหันไปสบตาหลี่หยงลู่คนงามอีกด้าน 

    “แล้วเจ้าล่ะ...  คิดจะถามคำถามเดียวกันกับนางหรือไม่” 

    หลีหยงลู่กลืนน้ำลายอึกหนึ่งค่อยตอบออกไป  “มิได้เพคะ  หม่อมฉันเพียงต้องการพบหน้าฝ่าบาทเท่านั้น  พอทราบข่าวว่าฝ่าบาทกลับวังหลวงแล้ว  หม่อมฉันก็เลยมาขอเข้าเฝ้าพระพันปี  เผื่อว่าจะได้พบฝ่าบาท..” 

    นางพูดพลางทำสีหน้าเอียงอายไปพลาง  เห็นแล้วสร้างความหยิ่งผยองให้แก่ฝ่ายที่ถูกคิดถึงนั้นได้หลายส่วน  หากเป็นเขาเมื่อก่อนก็คงคิดเช่นเดียวกัน  แต่ในยามนี้  เขากลับมองตัวตนที่เสแสร้งอย่างไม่น่าเชื่อนั้นของหลี่หยงลู่ผู้นี้ออกอย่างชัดเจน

    “อ้อ...  เช่นนั้นทำอย่างไรดี...  ข้าเพียงเปรยออกมาว่า  หากต้องการยกพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นอัครมเหสี  ข้าจะต้องถอนหมั้นกับคู่หมั้นแต่กำเนิดผู้นั้นเสียก่อน   แต่ข้าจดจำไม่ได้เลยว่าเคยให้คำสัญญาใดเอาไว้  ว่าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ” 

    พอได้ยินถ้อยพระดำรัส  พวกนางในที่นั้นต่างอกสั่นขวัญหาย  ใบหน้างดงามซีดขาวและมีเหงื่อตกออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ   

    “หม่อมฉันทูลลาเพคะ...” 

    “หม่อมฉันมานานแล้ว  ต้องกลับแล้วเช่นกัน  ทูลลาเพคะ”

    “หม่อมฉันด้วย...” 

    สาวงามพากันทยอยออกไปทีละคนสองคน  ในที่สุดก็เหลือแต่ฟ่งเจินหยูผู้ตรงไปตรงมา  และหลี่หยงลู่ที่กล้าเอาตนเองวางเดิมพัน

    เฉินซื่อจวินมองคนทั้งสองพลางยิ้มกริ่มในใจ  ยังคงเป็นพวกนางที่ไม่กลัวว่าเขาจะหักคอพวกนางทิ้ง  นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะมีทั้งความกล้าและความทะเยอทะยานถึงเพียงนี้  เอาเถิด  ในเมื่อเขาเองก็ไม่เคยมองคนพลาดมาก่อน  จะอย่างไรพวกนางก็ได้ชื่อว่าเป็นคนโปรดของเขานี่นะ

    “ฟ่งเจินหยูคนงาม  ในเมื่อเจ้ากล้าถาม  ข้าก็จะตอบเจ้าให้ว่า  ข้ายังมิได้ถอนหมั้นกับสตรีผู้นั้น  เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าคิดอย่างไร” 

    ฟ่งเจินหยูได้ฟังคำตอบก็เดือดดาลยิ่ง  นางชักสีหน้าบึ้งตึงแล้วะบัดใบหน้างามเพริศพริ้งหนีไปอีกทาง  

    “เช่นนั้นทรงใช้คำหวานมาหลอกลวงหม่อมฉันทำไมกัน!  ฝ่าบาทย่อมรู้จักหม่อมฉันดีอย่างยิ่ง  หากไม่จริงใจต่อหม่อมฉันแต่แรก  ก็อย่าทรงตรัสอะไรกับหม่อมฉันเลยจะดีกว่า” 

    ฟ่งเจินหยูยังคงเป็นตัวของตัวเอง  คิดถึงอดีตเมื่อครั้งพบกับนาง  นอกจากความงดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองแล้ว  เขายังชอบในความเย่อหยิ่งถือตัวของนางมากนัก  สตรีผู้ยากจะกำราบผู้นี้ในที่สุดก็ยกหัวใจให้เขาแล้วทั้งดวง 

    “เจ้ากล่าวหาว่าข้าหลอกลวงเจ้า?”  เขาปรายตามองไปยังราชินีผึ้งตัวนั้นที่จ้องจะต่อยเขาให้น่วมไปทั้งตัว

    ลบหลู่เบื้องสูงมีโทษสถานใดกัน  เหตุใดนางถึงกับกล้ากำเริบเสิบสานใช้ถ้อยคำล่วงเกินองค์จักรพรรดิ! ฟ่งเจินหยูเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป  นางทรุดตัวลงคกเข่าอ้อนวอน 

    “ขอฝ่าบาทให้อภัยหม่อมฉันด้วย  หม่อมฉันมิได้ตั้งใจพูดออกไปเช่นนั้น!” 

    เฉินซื่อจวินถอนหายใจเฮือก  เขาไม่ได้คิดจะว่ากล่าวอะไรนางหรอกก็แค่ทำไปอย่างนั้นเอง  คิดไม่ถึงว่าฟ่งเจินหยูก็ร้อนใจกลัวตายเป็นเช่นกัน

    “ข้ายังมิได้พูดอะไร  เจ้าก็กระโตกกระตากโวยวายให้ข้าอภัยให้เจ้าเสียแล้ว  ฟ่งเจินหยู  เจ้าพิจารณาตัวเองเถิดว่าคู่ควรเป็นอัครมเหสีหรือไม่” 

    หลี่หยงลู่ที่คอยดูสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดนั้น  ลำพองในใจ  ในเมื่อฟ่งเจินหยูมิคู่ควรแล้วจะเหลือใครอีกเล่าที่คู่ควร  พระทัยของฝ่าบาทย่อเอนเอียงมาทางนางแน่แล้ว

    “ทูลฝ่าบาท  น้องเจินหยูเพียงแต่คำนึงถึงฐานะของนางกับฝ่าบาทเท่านั้นถึงได้ร้อนรนใจเช่นนี้  อย่าได้ทรงกริ้วเลยเพคะ  น้องเจินหยูเป็นคนหนักแน่น  ไม่เปลี่ยนความคิดแม้ว่าฝ่าบาทจะให้คำตอบที่นางมิต้องการฟังก็ตาม”

    ได้ยินหลี่หยงลู่เสนอความคิดเห็น  และยังผ่อนหนักเป็นเบาด้วยถ้อยคำเป็นกันเองแล้ว  เฉินซื่อจวินรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย 

    “พวกเจ้าเรียกขานเป็นพี่น้องกันแล้ว?”  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  หลี่หยงลู่ถึงกับวางตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่น  น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง  ผู้อื่นล้วนไร้ความคิด  มีแต่นางผู้เดียวที่มีสติปัญญา รู้จักคิด?

    “ช่างเถอะ  เรื่องนี้ข้าไม่ได้ติดใจเอาความอะไร  เพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น  ระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง  ข้ายังต้องเลือกเพียงหนึ่ง  ทั้ง ๆ ที่มีสตรีงดงามมากมายในแผ่นดิน  แต่ข้ากลับต้องเลือกเพียงหนึ่งคน  ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้”  ทรงแสร้งพูดพลางทำสีหน้าอับจนหนทางไปพลาง  ดูแนบเนียนนัก 

    “อันที่จริง  บุพกษัตริย์ของแคว้นเฉียนเรา  ก็มิได้เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมผัวเดียวเมียเดียวสักเท่าไหร่นัก  หม่อมฉันคิดว่า  หากฝ่าบาทดำริจะเพิ่มพระสนมหรือเจ้าจอมเข้ามาในวัง  ก็สามารถกระทำได้เพคะ  หม่อมฉันแม้จะไมได้รับคัดเลือก  ก็เห็นสมควรว่า  สนมนางในไม่ควรมน้อยหรือมากเกินไปนัก  เพื่อการสืบสันติวงศ์แล้ว  ฝ่าบาทจำเป็นต้องมีโอรสธิดาเพคะ”

    หลี่หยงลู่ออกความเห็นได้ตรงประเด็น  ทั้งยังวางตัวเองไว้วงนอก  เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของความคิดเห็นนั้นด้วย

    มีหรือเขาจะไม่รู้ทันนาง  “อ้อ...  เช่นนั้น  ข้าสมควรยกเลิกธรรมเนียมนี้เสีย  หลังจากอภิเษกกับคู่หมั้นผู้นั้นแล้ว  จากนั้นรับพวกเจ้าทั้งสองเข้าวังมาพร้อมกันเสียเลย  ข้าก็จะไม่ลำบากใจ  และได้สมหวังกันทุกฝ่าย” 

    ฟ่งเจินหยูเข่นเคี้ยวในใจ  นางไม่อาจยอมแบ่งปันจักรพรรดิให้ใครได้  นางยึดมั่นในความรักเดียวใจเดียวของบรรพบุรุษ และหยิ่งเกินกว่าที่จะใช้สามีร่วมกับหญิงใด 

    หลี่หยงลู่ความจริงก็มิได้ต้องการให้เป็นเช่นที่ตนเองว่าจริงจังนัก  นางแค่อยากจะแสดงให้เฉินซื่อจวินได้เห็นภาพลักษณ์อันดีงามของนางเท่านั้น  นางรู้ดีอยู่แล้วว่าหากเฉินซื่อจวินคิดปฏิบัติตามนี้จริง  คงไม่ต้องเอ่ยเรื่องการถอนหมั้นออกมาให้ตนเองได้รับความลำบาก  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×