ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงน่ารักกับจักรพรรดิเจ้าเล่ห์

    ลำดับตอนที่ #4 : คนอ่อนแอที่ดื้อรั้น

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 58


    ตอนที่ 4 คนอ่อนแอที่ดื้อรั้น

    ตั้งแต่ที่เจิ้งอี้จิงล้มป่วยนั้นผ่านมาถึงสามวันแล้ว  เฉินซื่อจวินร้อนใจยิ่ง  หากนางไม่สบายอยู่แบบนี้  ตนจะให้นางลงชื่อในจดหมายได้อย่างไร...   พระองค์มีเวลาไม่มาก  ก่อนที่คนในวังจะรู้ว่าฮ่องเต้หายตัวไป  พระองค์จะต้องรีบกลับไปพร้อมกับจดหมายฉบับนี้!            

    เหมือนโชคช่วยในที่สุดนางก็ฟื้นขึ้นมาในวันที่สาม  พ่อครัวตันผิงอันทำของบำรุงร่างกายมาถึงสิบอย่างจนคนป่วยกินแทบจะไม่ไหว  เฉินซื่อจวินเหม่อมองดูร่างแบบบางที่อ่อนแอและผิวขาวซีดราวกระดาษ  ทำให้ในหัวใจของเขาอ่อนไหวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ  ถ้าหากเขาบีบบังคับนางให้ส่งจดหมายคืนมาตอนนี้  นางจะล้มป่วยลงไปอีกหรือไม่... 

    “ฝ่าบาทมาคอยเฝ้าหม่อมฉันทุกวัน  ไม่เบื่อบ้างหรือเพคะ...”  เจิ้งอี้จิงยิ้มถามเขา  นางรู้สึกดีใจเหลือเกินที่เขามักมาเฝ้าดูนางอยู่บ่อย ๆ

    เบื่อรึ?  มากอย่างยิ่ง  แต่ข้าอยากให้เจ้ายอมลงชื่อสักทีอย่างไรล่ะ....  เขาคิดในใจพลางส่ายหน้าตอบว่า  “ไม่สักนิด”

    เอาอีกแล้ว  เขายิ้มแบบนี้อีกแล้ว  เจิ้งอี้จิคิ้วขมวด  “ทำไมไม่พูดสิ่งที่ตัวเองคิดล่ะ...”  นางถามอย่างไม่เข้าใจ 

    “ท่านต้องเสแสร้งอย่างนี้เสมอเลยหรือ?”  นางต้องการบอกเขาให้ผ่อนคลายลงบ้าง  ที่นี่มิใช่วังหลวง  ไม่ต้องสวมหน้ากากกับนาง  ทว่าคำพูดของนางเหมือนตีแสกหน้าเฉินซื่อจวินตรง ๆ รอยยิ้มหวานของอีกฝ่ายหายวับไปทันที 

    “ข้ากลัวว่าหากพูดความในใจออกมาตอนนี้เจ้าอาจสำลักน้ำแกงได้น่ะสิ!” เขาอุตส่าห์ทำดีด้วยแล้วแท้ ๆ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน เฉินซื่อจวินทำหน้าบูดบึ้งใส่นาง  แต่นางกลับแย้มยิ้มชอบใจเสียนี่...  ผู้อื่นชอบเห็นเขายิ้มมากกว่าทำหน้าบึ้งแต่นางช่างประหลาดคน

    “อืม...แบบนี้สมเป็นท่านมากกว่านะ...”  นางบอก  จากนั้นซดน้ำแกงปลาต่อ

    “นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว  เมื่อไหร่เจ้าจะให้คำตอบกับข้า”  เขาเข้าเรื่อง  ไม่สนใจจะต่อความยาวสาวความยืดกับนางอีกต่อไป

    “สามวันแล้วหรือ...เร็วจัง”  นางเปรยเบา ๆ จากนั้นหันมาจ้องสบตาเขาอย่างจริงจัง  เฉินซื่อจิ้นกลืนน้ำลายเอือก  จู่ ๆ นางก็ทำสีหน้าและแววตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  ทำให้รู้สึกกดดันขึ้นมาดื้อ ๆ  เขารับมือศัตรู  รับมือสาวงามมาแล้วนับไม่ถ้วน  ไม่อับจนกับดวงหน้าเล็กของนางง่ายดายหรอกน่า!

    “ข้าอยากรู้เหตุผลของท่านก่อน...”  นางถามเขา  “ทำไมถึงไม่ต้องการสมรสกับข้า”

    เพราะนางต้องการจ้องตาเขา  จึงเอาใบหน้าของตนเองเข้าไปใกล้ชิดกับเขายิ่ง  แต่เพราะฮ่องเต้ไม่เคยชินกับเจิ้งอี้จิงในท่าทางจริงจังเช่นนี้  เผลอถอยห่างออกไปมิได้  ปกติเขาไม่เคยกลัวการใกล้ชิดสตรีเลยนี่นา...ทำไมตอนนี้ถึงได้...

    “ข้าไม่เคยพบหน้าเจ้ามาก่อน  อีกทั้งพอพบหน้าแล้วก็ยังไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับเจ้า  การสมรสกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักนั้น  เป็นความทุกข์อย่างใหญ่หลวง”  อันที่จริงเขาเคยรักใครที่ไหน  เขาแค่ไม่ต้องการถูกบีบบังคับจากคนรอบข้างต่างหาก

    ได้ยินเช่นนั้น  คนฟังถึงกับชะงัก  “ความทุกข์หรือ...”  นางก้มหน้า...  “ตอนนี้ท่านพบข้าแล้ว...  ก็ยังรู้สึกเช่นเดิมน่ะหรือ...”  นางเอียงหน้าถามเขาอย่างไม่เข้าใจ  เขาจึงพยักหน้าตอบ 

    “ใช่...  ข้าชอบของสวยงาม...  เจ้าไม่ใช่...  ทั้งยังแต่งตัวประหลาด  เครื่องประดับไม่มีสักชิ้น  เสื้อผ้าก็ไม่มีสีสัน  ใบหน้าขาวซีด  ทั้งยังชอบทำตัวประหลาดอีกด้วย”  เขาร่ายยาวถึงคุณสมบัติอันไม่มีที่ดีของนาง 

    แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยหยาบคายด่าว่าอิสตรีตรง ๆ มาก่อนเลย  แต่เพราะนางกดดันให้เขาพูดความในใจออกมา  เขาจึงพูดออกมาจนหมดสิ้น  คิดถึงตรงนี้ก็แปลกใจตนเองเหลือเกิน  เหตุใดถึงได้ไม่ถูกชะตากับสตรีผู้นี้นักนะ

    “เพราะเหตุนี้เอง...”  นางพึมพำกับตัวเอง  “แล้วถ้าหากข้าเปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะ...”  เจิ้งอี้จิงเงยหน้าขึ้นใช้สายตาหวานฉ่ำมองสบตาอีกฝ่ายอย่างมีความหวัง  ทว่าสีหน้าของเฉินซื่อจวินบ่งบอกนางชัดเจนว่า  ความหวังนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้ 

    เหตุใดนางจึงยึดมั่นกับการแต่งงานกับเขานักนะ... 

    “ไม่มีทาง...  ที่ข้าต้องการก็คือ...”  เขาหันซ้ายแลขวา  เห็นเป้าหมายที่ยืนอยู่ที่มุมห้องก็พูดขึ้นทันที 

    “สตรีอย่างเช่นเสี่ยวถงถง...  เจ้าเป็นได้หรือไม่”  เขาตัดสินใจยกตัวอย่างชัดเจน  “นางงดงาม  มีสัดส่วนน่ามอง  แล้วดูเจ้าในตอนนี้...”  เขาส่ายหน้าทำเป็นส่งเสียงขึ้นจมูก  เจิ้งอี้จิงจึงไม่อาจโต้เถียงอะไรได้อีก 

    “ข้าไม่สามารถเปลี่ยนให้ตัวเองสวยงามอย่างที่ท่านต้องการได้...  ดังนั้นท่านเลยไม่ต้องการข้า...”  นางเอ่ยกับเขารากับตอกย้ำให้ตนเองฟังอีกครั้ง 

    “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว...” ฮ่องเต้เริ่มมองเห็นความหวังของชีวิต  ในที่สุดดูเหมือนนางจะยอมแล้ว...

    ทว่าท่าทางของเจิ้งอี้จิงดูแปลกพิกล  นางไม่ได้เฉยเมย  และไม่ได้โกรธา  สีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงนั้นกลับทำให้เขายิ่งงุนงงสงสัย  นางเข้าใจที่เขาบอกทั้งยังตัดใจได้เร็วเช่นนี้?

    เจิ้งอี้จิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง  ในเมื่อคนที่นางวาดฝันเอาไว้ไม่ต้องการนาง  นางก็คงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป  อีกอย่างเขาพบหน้านางแล้วก็ยิ่งมแต่มิชอบหน้านางมากขึ้นไปอีก  นางบอกตัวเองในใจจากนั้นบอกต่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงใจ

    “ตั้งแต่ข้าเกิดมา...  บิดาบอกว่าข้าจะต้องแต่งงานกับท่านในวันข้างหน้า   ดังนั้นข้าจึงเอาใจใส่กับตัวท่านมาโดยตลอด...  เฝ้ารอมาโดยตลอด  วันหนึ่งท่านคงจะมาหาข้าเพื่อรับตัวข้าไปเป็นเจ้าสาว...  แต่ข้ากลับเข้าใจผิดไป  ความจริงก็คือ...การแต่งงานนั้น  ต้องเกิดขึ้นมาจากการยินยอมทั้งสองฝ่าย  ข้าเข้าใจแล้ว...”  ตอนท้ายนางยังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาอีกด้วย  ราวกับนางตกลงปลงใจได้แล้วและไม่ต้องการเรียกร้องอันใด    

    “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี...”  เขาถอนหายใจ  ดีใจที่ไม่ต้องพูดซ้ำอีกทว่าเพราะเหตุใดไม่ทราบเขาถึงรู้สึกว่างเปล่าในใจขึ้นมา  เหมือนหัวใจกลวงโบ๋เสียอย่างนั้น  “คืนจดหมายมาให้ข้า  แล้วข้าก็จะได้กลับวัง...”

    เพียงครู่เดียว  มู่หลงก็ปรากฎตัว  ยื่นราชโองการให้เขาคืนทันที  ฮ่องเต้รับมาอย่างแปลกใจ  ไม่คิดเลยว่าจะง่ายดายเช่นนี้  ทว่าพอเปิดราชโองการออกดูก็พบว่าข้างในยังไม่ได้ลงชื่อ  สีหน้าของเขาเขียวคล้ำลงทันที อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาคิดเช่นไรอยู่  ดังนั้นจึงปลอบใจว่า 

    “รอให้ข้าหายดีแล้ว  จะลงชื่อให้ท่าน  ตอนนี้จะจับพู่กันข้ายังไม่มีเรี่ยวแรงเลย”  นางแค่อยากอยู่กับเขานานอีกหน่อยเท่านั้น 

    “ก็ได้...” เขาถอนหายใจ  “ข้าจะรอให้เจ้าหายดีก่อนก็แล้วกัน...” 

    แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น  แต่ในจิตใจของเขากลับอ้างว้างว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน   ทำให้อดนึกสงสัยตนเองมิได้ว่า  อาจจะแปลกที่ไม่คุ้นชินเกินไป  ถึงได้มีจิตใจห่อเหี่ยวเช่นนี้ 

    ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะหายดี  ก็พลันเกิดเรื่องขึ้นกลางดึกคืนนั้นเอง  จู่ ๆ จวนอ๋องก็ถูกคลื่นมหาชนมาทำเสียงดังหน้าบ้าน

    “คุณหนูเจิ้ง  คุณหนูเจิ้งขอรับ  ช่วยพวกเราด้วย!!!” 

    พ่อบ้านหยงต้องออกมาปรามพวกชาวบ้านแปลกหน้า  เขาไม่เคยพบคนพวกนี้มาก่อน  ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ตอนนี้คุณหนูคงจะนอนหลับอยู่เสียด้วย  ยังไงไล่คนพวกนี้ให้กับไปก่อนจะให้มารบกวนคุณหนูไม่ได้เด็ดขาด

    “พวกท่านเป็นใครกัน  รอให้เช้าก่อนได้หรือไม่  ทำไมต้องมากลางดึกด้วยล่ะ”  เขาออกปากไล่  ทว่าหนึ่งในคนจำนวนนั้นมีคนคุ้นตาอยู่คนหนึ่ง

    “ท่านคงจะเป็นพ่อบ้านหยงใช่หรือไม่  ข้าคือเสี่ยวจ้าว  เสี่ยวจ้าวร้านขายผักยังไงล่ะ” 

    พอเห็นหน้าคนพูดก็จดจำไดทันที  “เสี่ยวจ้าว...คนพวกนี้ล่ะมาจากไหนข้าไม่เคยเห็นเลย”

    “พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านถัดจากเราไป  หนึ่งในนี้เป็นญาติของข้าเอง  ให้คุณหนูเจิ้งช่วยพวกเราด้วยเถอะ  ตอนนี้หมู่บ้านข้าง ๆ กำลังประสบปัญหาใหญ่เลยล่ะ”  เสี่ยวจ้าวเอ่ยปากอย่างร้อนรน

    “ปัญหาใหญ่?”  พ่อบ้านหยงได้ฟังเรื่องราวคร่าว ๆ ก็ใจไม่ดี  รีบให้ตัวแทนชาวบ้านเข้าไปขอร้องคุณหนูด้วยตนเอง

    และแล้วตัวแทนของคนในหมู่บ้านฉี ที่อยู่ถัดจากเมืองต้าลี่ไปสามสิบลี้ก็มานั่งอยู่ในโถงรับแขกของจวนอ๋อง  ทุกคนในจวนถูกปลุกขึ้นมาเพราะคุณหนู  ไม่เว้นแม่กระทั่งฮ่องเต้เฉินซื่อจวินด้วย 

    “ตอนนี้คนของหมู่บ้านฉี  ประสบภัยทางธรรมชาติใหญ่หลวง  เกรงว่าจะเป็นโรคระบาดที่เกิดจากน้ำ  ข้าจะระดมคนในเมืองไปช่วยพวกเขา  พวกเจ้ามีใครอาสาไปกับข้าหรือไม่”  ยามนางพูดท่าทางขึงขังอย่างยิ่ง  ไม่อยากเชื่อว่าร่างเล็กแบบบางนั่นจะทำอะไรที่ใจกล้าบ้าบิ่นได้เพียงนี้  เพราะขึงขังอยู่ได้ไม่นานนางก็ไอโคลกออกมา

    เสี่ยวถงถงเห็นแล้วอดไม่ได้  ต้องพูดออกไป  “อย่าไปเลยเจ้าค่ะ...คุณหนูรู้หรือเจ้าคะว่ามันเป็นโรคอะไร  แล้วรักษาได้หรือไม่”

    ได้ยินเช่นนั้นเจิ้งอี้จิงกลับมีสีหน้าเศร้าหมอง  “ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้หรอก... แต่ถ้าคนในหมู่บ้านฉีเป็นโรคระบาดแล้วเราไม่ช่วยเขา  ระยะแค่สามสิบลี้  ไม่นานโรคร้ายก็ต้องมาหาเราสักวัน  ยังไงข้าก็จะลองไปเสี่ยงดู”

    “เช่นนั้นข้าไปเอง  ข้าเชี่ยวชาญเรื่องพิษร้าย”  เสี่ยวถงถงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิษ  และรักคุณหนูอย่างยิ่ง

    “ข้าจะไปเตรียมของ”  พ่อบ้านหยงตาม 

    “ข้าจะช่วยยกของใช้จำเป็น”  ผิงอันก็ด้วย 

    “พวกเราก็จะไปช่วยดูแลพวกคนป่วยด้วยเจ้าค่ะ”  คนรับใช้ทั้งหมดในจวนสกุลเจิ้งต่างขันอาสากันอย่างพร้อมเพรียง  เมื่อเห็นทุกคนมีจิตใจเดียวกัน  ดังนั้นเสี่ยวถงถงจึงพูดเกลี้ยกล่อมนางอีกครั้ง

    “เพราะฉะนั้นคุณหนูไม่ต้องไปด้วยตนเองหรอกเจ้าค่ะ...รักษาตัวให้หายก่อนเถิด”

    เจิ้งอี้จิงนั่งกัดฟันนิ่ง  ไม่กล่าวอะไรต่อแล้วเดินกลับไปนอนพักผ่อนในห้อง  เสี่ยวถงถงเห็นนางว่าง่ายเกินไปก็ไม่วางใจจึงอดหันไปกล่าวฝากฝังกับเฉินซื่อจวินไม่ได้  จะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ไปไหนฝากคุณหนูเอาไว้กับเขาก็คงจะได้กระมัง

    “ฝ่าบาท....ข้าขอร้องให้ทรงรออยู่ที่จวนด้วยเพคะ  ฝากดูแลคุณหนูแทนข้า  เดี๋ยวข้ากลับมา”

    นางทิ้งท้ายเอาไว้เช่นนี้  จากนั้นพาพวกบ่าวรับใช้ไปหารือเรื่องที่จะไปช่วยคนในหมู่บ้านฉี  และตั้งใจจะจากไปพร้อมกับคนของหมู่บ้านฉีในตอนรุ่งเช้า

    แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาเสี่ยวถงถงเดินเข้าไปปรนนิบัติเจิ้งอี้จิงในห้องนอน  ทว่าเคาะห้องแล้วกลับไม่มีเสียงตอบ  นางจึงผลักประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ  พอไม่เห็นตัวคนนห้องก็หน้าตาตื่นรีบแจ้งข่าวบอกทุกคนในจวนทันที 

    เฉินซื่อจิ้นพอรู้ก็โมโหจนแทบจะพ่นไฟออกจากลำคอได้  นางหนีไปแล้ว  นางยังไม่หายดีแท้ ๆ ทำไมถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ทุกคนในจวนนี้ต่างก็เป็นห่วงเป็นใยนางกันทั้งสิ้น  นางมิเคยใส่ใจเลยหรืออย่างไร  กระทั่งเขาเองเห็นสภาพของนางแล้วยังไม่อาจตัดใจบอกให้นางลงชื่อในราชโองการได้ลงคอ  แล้วเหตุใดคนป่วยถึงได้ดื้อรั้นเอาร่างกายผุ ๆ ไปช่วยเหลือคนอื่นอยู่ได้ 

    “เฉาเฟย  เอาม้าออก!”  เฉินซื่อจวินร้องบอกแทบไม่ต้องคิด  เขาจะต้องไปเอาตัวนางกลับมาก่อน  หักโหมเช่นนี้  เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาให้นางลงชื่อหรอก  นางคงได้ไปเที่ยวสวรรค์เสียก่อน

    มู่หลงพาเจิ้งอี้จิงขึ้นหลังม้า  แล้วเดินทางไปหมู่บ้านฉีตั้งแต่กลางดึกของเมื่อคืน  สภาพนางไม่ต่างจากพวกชาวเมืองที่เจ็บป่วยเท่าใดนัก  แต่นางก็ยังฝืนร่างกายเพื่อคอยช่วยเหลือคนเหล่านั้น  แต่เพราะเป็นความต้องการของเจ้านาย  แม้ว่ามู่หลงอยากจะขัดสักแค่ไหน  เพราะรู้นิสัยของเจ้านายดีจึงไม่อาจปฏิเสธนางได้  ทำได้แค่คอยทำตามที่นางบอกเพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้วผลคงเลวร้ายกว่าเดิมมากนัก  

    เจิ้งอี้จิงเหมือนเทพธิดามาโปรดพวกชาวบ้านอย่างแท้จริง  พอนางมาถึงในกลางดึกของเมื่อคืน  นางก็จัดแจงแจกจ่ายสมุนไพรไปตามอาการ  และหาสาเหตุจากโรคระบาด  รวมถึงตักน้ำขึ้นมาพิสูจน์เชื้อ  ทำเช่นนี้จวบจนกระทั่งรุ่งสาง  นางก็ยังมิได้หยุดมือ  กระทั่งพวกชาวบ้านต่างดีขึ้นตามลำดับและเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น  พอเที่ยงของวันมู่หลงเห็นนางมีอาการไอหนักขึ้น  ต้องการจะพานางกลับไปทันที  ทว่าพวกคนในจวนอ๋องกลับมาถึงเสียก่อน 

    หลังจากควบม้ามาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม  ฮ่องเต้อย่างเขาไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมาได้  ดูจากสภาพของหมู่บ้านฉีแล้ว  มีทั้งคนป่วย  คนแก่และเด็ก  ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่นางสามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้

    “นี่เป็นโรคระบาดจากน้ำ....”  ทรงเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน  จึงยืนยันได้

    “ให้ส่งหมอหลวงกับทหารมาช่วยด้วยอีกแรงไหมพะย่ะค่ะ”  เฉาเฟยเอ่ยถามความเห็น  ฮ่องเต้กวาดสายตาไปทั่วเมือง  จึงได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

    “ส่งข่าวไปยังกองกำลังที่ประจำอยู่ใกล้ที่สุด  ให้ขนเสบียงน้ำและอาหารมาโดยเร็ว” 

    เจิ้งอี้จิงได้ยินเขาจะจัดกำลังทหารมาให้  ก็ปลื้มใจไม่น้อย  พวกชาวบ้านเองก็มีกำลังใจที่จะต่อสู้มากขึ้น

    พอขบวนของจวนอ๋องมาถึง  เสี่ยวถงถง ก็รี่เข้ามาพยุงร่างแบบบางเอาไว้ในอ้อมแขนทันที 

    “คุณหนู!”  เสี่ยวถงถงรีบเข้าไปประคองนาง  “ทำไมทำโง่ ๆ เช่นนี้!”  นางอยากจะต่อว่าให้แรงกว่านี้นัก  ไม่ห่วงตัวเองเอาเสียเลย  อีกฝ่ายได้ฟังก็ไม่โกรธแถมยังยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรงพลางว่า

    “พวกชาวบ้านทรมานอยู่...  ข้าจะไม่มาช่วยได้อย่างไร” 

    คำพูดของนางสะเทือนเข้าไปในจิตใจผู้คน  รวมทั้งเฉินซื่อจิ้นด้วย... 

    “เจ้าไปพักเสียก่อน...  เสี่ยวถงถง  เจ้าพาคุณหนูกลับไปพักที่จวน  ส่วนเรื่องต่อจากนี้ข้าจะดูแลเอง”

    ในที่สุดฮ่องเต้ก็ลงมือด้วยตนเองแล้ว  นางคงไมต้องเป็นห่วงเรื่องใดอีก  เฉินซื่อจวินคิดทว่าเจิ้งอี้จิงกลับไม่ยินยอม

    “ข้าหาสาเหตุพบแล้ว...  ท่านเร่งหาทางชำระล้างพิษร้ายในน้ำเถอะ  ไม่เช่นนั้น...  ชาวบ้านใกล้เคียงก็อาจเป็นอันตรายได้!” 

    เฉินซื่อจวินขมวดคิ้ว  นางช่างรู้เรื่องพิษดีนัก  “พิษอะไร...”

    “พิษว่านหางจิ้งจอก” นางบอก  “ท่านต้องนำสมุนไพรห้าชนิด  ตามที่ข้าเขียนเอาไว้ในนี้”  นางยื่นกระดาษให้เขา  “บดให้ละเอียด  นำมาละลายในน้ำสะอาด  แล้วผสมลงไปในน้ำอัตราส่วนหนึ่งต่อเก้า  เข้าใจหรือไม่” 

    เฉินซื่อจวินหรี่ตามองนางด้วยสายตาดุ  พลางสั่งคำหนึ่ง  “เฉาเฟย...”  เฉาเฟยจึงไปรับกระดาษจากนางมา  แล้วเร่งจัดการต่อ 

    “พอใจหรือยัง...”  เขาถามนาง  นางก็เพียงแต่ยิ้มและพยักหน้า  จากนั้นพอสิ้นความกังวลใจ  ร่างแบบบางก็พลันร่วงลงไปในอ้อมแขนของเสี่ยวถงถงทันที

    “คุณหนู!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×