ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงน่ารักกับจักรพรรดิเจ้าเล่ห์

    ลำดับตอนที่ #3 : สตรีผู้ครอบครองต้าลี่

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 58


    ตอนที่ 3  สตรีผู้ครอบครองต้าลี่

    ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องนอนอันแปลกตา  จักรพรรดิแห่งแคว้นเฉียน ทรงตั้งสติก่อนที่ในศีรษะจะปวดแปลบขึ้นมาเพราะพิษเหล้า  และรู้สึกตัวทันทีว่ามีใครบางคนอยู่กับพระองค์ในห้องด้วย 

    “ข้าอยู่ที่ไหนกันนี่...”  ทรงตรัสกับคนที่อยู่ในห้อง แต่เดิมคิดว่าคนผู้นั้นเป็นเฉาเฟย  ทว่าเสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงหวานของสตรี

    “อยู่ในห้องบรรทมยังไงล่ะเพคะ...”  น้ำเสียงหวานหยดย้อยเช่นนี้ทำให้ทรงนึกถึงแม่กระต่ายสาวคนนั้น  หากเดาไม่ผิดเฉาเฟยต้องพาพระองค์กลับมายังจวนอ๋องเป็นแน่  เมื่อคืนนี้ทรงจำเรื่องราวได้ลาง ๆ รูสึกสมเพชตนเองจนอดลอบถอนใจมิได้   จากนั้นค่อยแสร้งทำสีหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยวาจาต่อผู้อื่น

    “เจ้าตั้งใจมาปรนนิบัติข้า..  ช่างน่ารื่นรมดีแท้...”  ทรงตรัสออกมาด้วยความเสแสร้งแท้ ๆ ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปรอารมณ์รวดเร็วตอบกลับเขามาด้วยถ้อยคำเสียดสีอย่างรุนแรงเพียงนี้

     “หากไม่เพราะคุณหนูสั่ง...  ต่อให้เอาดาบมาจ่อที่คออันขาวผ่องของข้าน้อย  ก็อย่าหวังว่าข้าน้อยจะยอมอยู่ในห้องกับพระองค์สองต่อสองเช่นนี้”  น้ำเสียงของนางกัดฟันพูดดูฝืนใจเต็มที  จนคนฟังยังอดรู้สึกสงสัยในจิตใจไม่ได้ว่าตนเองยังเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นเฉียนอยู่หรือไม่  บ่าวไพร่ถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้  คิดพลางหันไปมองเรือนร่าวอันเย้ายวนตรงหน้าไปพลาง 

    “อยู่กันสองคนเรียกข้าว่าเฉินซื่อจิ้นเถิดนะ เสี่ยวถงถง..”  ทรงตรัสเสียงหวาน  นางก็ได้แต่ส่งเสียงดัง เฮอะ  ให้เขา  และระหว่างที่กำลังยกอ่างล้างหน้ามาให้  คนที่กำลังลุกขึ้นนั่งกลับถามคำถามแปลก ๆ กับนาง

    “เมื่อคืนข้าถูกไล่ตะเพิด... รู้หรือไม่เพราะเหตุใด”  เขารับผ้าขาวสะอาดจากสาวใช้มาเช็ดใบหน้าตนเองเบา ๆ  ไม่คิดเอาเรื่องเอาราวอะไรอีก

    เสี่ยวถงถงทำหน้าบุ้ยบอก  “ทำไมจะไม่รู้ล่ะเพคะ...  เฉาเฟยบอกกับพ่อบ้านหยงหมดแล้ว เป็นเพราะทรงเมาอาละวาด  ทั้งยังกล้านินทาคุณหนูของข้าว่าอัปลักษณ์ให้ชาวบ้านได้ยิน  ทรงทำเช่นนั้นถึงได้ถูกชาวเมืองไล่ตะเพิดออกมา” 

    ทรงหันไปมองนางอย่างประหลาดใจ  “เพราะเหตุใดพวกชาวเมืองถึงทำเช่นนั้น” 

    นางเบะปาก  ทั้งยังมองหน้าชายผู้สง่างามราวกับเขาเป็นมดปลวกมิใช่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิก็ไม่ปาน 

    “ฝ่าบาทนี่ช่างไม่เอาใจใส่คุณหนูของหม่อมฉันเสียจริง ๆ เลยนะเพคะ  ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวทุกเรื่องนอกจากใบหน้าของพระองค์แล้ว  ไม่มีเรื่องอื่นใดของพระองค์ที่คุณหนูไม่รู้  คุณหนูของข้าเอาใจใส่ฝ่าบาทมากนะเพคะ” 

    “ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้...”  เขาบ่นโอด

    “เช่นนั้นทำไมไม่ไปถามคนอื่นล่ะ  เพคะ”  เสี่ยวถงถงเน้นคำสุดท้าย  ก่อนที่จะยกอ่างล้างหน้าแล้วออกจากห้องไป  ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์อย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่ายทำให้เฉินซื่อจวินรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก  ตนไม่เคยพบสตรีประหลาดพิสดารเช่นนี้มาก่อน   รู้สึกคันยิบ ๆ เหมือนต้องการจะค้นหาความลับของจวนอ๋องแห่งนี้เสียแล้วสิ... 

    ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขารู้สึกว่าคนเมืองต้าลี่และคนในจวนอ๋องแห่งนี้ช่างแปลกประหลาดนัก  ชาวเมืองปฏิบัติต่อเจิ้งอี้จิงราวกับเป็นเทพเจ้า  ส่วนคนในจวนอ๋องก็รักและห่วงใยนางยิ่ง 

    แต่ตัวตนของนางเองเล่า  เขาพิจารณาดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ...  ก็แค่สตรีธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ดูอย่างไรก็อัปลักษณ์ขัดตาเขาอย่างยิ่ง  รูปร่างทรงกระบอก  ไว้ผมดำยาวปล่อยสยายไม่ยอมแม้แต่จะมวยผมไว้ด้วยปิ่นปักผมอย่างสตรี  ทั้งยังแต่งชุดขาวเหมือนภูติผี  ต่อให้เป็นผู้อื่นก็จะคงอดเบือนหน้าไม่ได้เป็นแน่

    เฉินซื่อจวินออกจากห้องพลางคิดไปเดินสำรวจไปรอบจวน  คนใช้ในจวนอ๋องแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  เท่าที่เขาเห็นมีสาวใช้ที่คอยเช็ดถูทำความสะอาดอยู่ห้าคน  เสี่ยวถงถงเป็นคนใช้คนสนิทของเจิ้งอี้จิงไม่นับรวม  คนสวนที่เป็นผู้ชายหนึ่งคนอยู่กับภรรยาที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนครัวด้วย  ส่วนคนครัวตัวใหญ่ล่ำเพียงคนเดียวท่าทางดุดันผิวคล้ำ  เด็กรับใช้ผู้ชายคอยดูแลเรื่องงานหนักอีกสี่คน  มีพ่อบ้านหนึ่งคนคอยดูแลสาวใช้และเด็กรับใช้ทั้งหมด  และยังมี... มู่หลงที่คอยติดตามไม่ห่างกายเจ้านายอีกด้วย 

    พอเดินหลงเข้าไปในสวนก็ทรงสังเกตเห็นมู่หลงผู้นั้นแอบอยู่บนต้นไม้ชัด ๆ คราวนี้เอง  เฉินซื่อจวินยืนอยู่ไกล ๆ แต่พอมองเห็นว่ามู่หลงผู้นั้นกำลังจับตามองสิ่งใดอยู่  พอไล่มองตามสายตาของอีกฝ่ายลงมาก็เห็นคนในชุดขาวนอนหลับอยู่ในเปลถักรับลมเย็น ๆ ที่พัดโกรกอย่างสบายใจไร้กังวล  ก็แน่ล่ะมีคนคอยคุ้มครองเก่งกาจถึงเพียงนั้นจะไม่ให้หลับสบายได้อย่างไร  คนผู้นั้นรับใช้นางราวกับเป็นทาส  นางใช้อะไรทำให้คนประเภทนี้ยินยอมอยู่รับใช้อย่างจงรักภักดีเช่นนี้ได้  คงจะต้องแลกมาด้วยสิ่งล้ำค่าราวกับชีวิตกระมัง... 

    สิ่งที่พระองค์สงสัยใคร่รู้ในขณะนี้คือ  สตรีเช่นนางมีความสามารถอะไรที่ทำให้ยอดคนทั้งหลายมาทำงานให้กับนางเพียงผู้เดียวได้  ไม่แน่อาจเป็นเพราะอาศัยบารมีของอ๋องเจิ้งผู้เป็นบิดาก็ได้ 

    “คุณหนูจิตใจเมตตานัก  ฝ่าบาทไม่ลองเปิดพระทัยยอมรับนางดูบ้าง”  เฉาเฟยคอยตามติดพระองค์ไม่ห่างเช่นเดียวกัน  เขาตามมาตั้งแต่ทรงออกจากห้องนอนแล้ว  และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้ตัวจึงไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร 

    “เจ้ามีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน....ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่อง...”  ทรงสงสัยยิ่ง  ขณะที่ทรงหลับไม่ได้สตินั้นเกิดเหตุการณ์อะไรกับเฉาเฟยงั้นหรือ 

    “เมื่อคืน...  คุณหนูเฝ้าเช็ดตัวให้ท่านทั้งคืนไม่ได้หลับ  จนกระทั่งก่อนรุ่งสางจึงได้กลับไปพักผ่อน” เฉาเฟยบอก

    มิน่าเล่า...  เขาถึงได้รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก  “นางทำเช่นนั้นทำไม...”  เฉินซื่อจวินเปรยขึ้นกับตนเองเบา ๆ อดหันไปมองร่างเล็กที่หลับอยู่ไกล ๆ นั้นมิได้พลางคิด  ช่างเป็นคนประหลาด  คนอื่นตั้งใจทำร้ายจิตใจตัวเองแท้ ๆ  ทำไมต้องมาคอยดูแลเขา 

    หากคิดว่าจะเอาชนะเขาด้วยความดีอะไรเทือกนั้น  เขาไม่ใจอ่อนกับนางง่าย ๆ หรอก

    ระหว่างที่ทรงครุ่นคิดเรื่องของคู่หมั้น  เฉาเฟยก็รายงานเรื่องที่ตนเองไปสืบเสาะหาเรื่องราวมา

    “ข้าพระองค์ไปสอบถามชาวบ้านตามที่ฝ่าบาทตรัสแล้ว...  ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าใจผิดไปพะย่ะค่ะ”

    “เข้าใจผิด?  หมายความว่า  เจิ้งอี้จิงมิได้เป็นคนชอบให้ทานหรือไม่ก็ใช้เงินสร้างสิ่งของบริจาคให้กับพวกชาวบ้าน?  นางยังทำอะไรได้อีก?”

    เพราะความสงสัยเขาจึงสั่งให้เฉาเฟยไปตามสืบเรื่องของนางในเมืองต้าลี่  ว่านางไปทำวีรกรรมใดเอาไว้จึงเอาชนะใจคนในเมืองได้อย่างนี้ 

    เฉาเฟยจึงกล่าวต่อด้วยความชื่นชมจากใจจริงทำเอาคนฟังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

    “ทูลฝ่าบาท  ตอนที่ข้าพระองค์ไปสอบถามเรื่องราวยังคิดประหลาดใจอยู่ไม่น้อย  ที่แท้  แม่นางเจิ้งผู้นี้  เป็นสตรีผู้มีความสามารถและสติปัญญาสูงส่งอย่างมาก”  เฉาเฟยเอ่ยพลางมีสีหน้าชื่นชมด้วยใจจริง

    “ก่อหน้านี้เมืองต้าลี่มิได้อุดมสมบูรณ์นัก  ทั้งยังเป็นเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงพอตัว  ชาวบ้านที่นี่หากไม่ใช่คนพื้นเพก็เป็นพวกอพยพมาจากที่อื่น  สภาพของเมืองต้าลี่ทั้งอดหยากและขาดแคลนเป็นอย่างมาก  ทันทีที่อ๋องเจิ้งได้มาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองนี้  ก็เริ่มพัฒนาเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น  เริ่มจากการสร้างสิ่งอำนวยความเป็นอยู่ให้กับชาวเมืองก่อนเป็นอันดับแรก  สร้างถนน  ขุดแหล่งน้ำทั้งชั่วคราวและถาวร  ให้ชาวเมืองได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น  ต่อมาไม่นาน  แม่นางเจิ้งเติบใหญ่  ก็ได้ช่วยบิดาทำคุณให้กับเมืองนี้หลายอย่าง  นางเป็นคนริเริ่มให้ตั้งโรงเรียนสอนฝึกอาชีพให้กับชาวเมือง    สอนให้พวกเขาทำมาหากินสุจริต” 

    พอได้ฟัง  เฉินซื่อจวินก็เริ่มคิดตาม  นับตั้งแต่เข้าเมืองต้าลี่มา  ตนไม่เห็นขอทานหรือยาจก  ไม่มีอันจะกินเลยแม้แต่คนเดียว  ยังคิดว่าคนพวกนั้นอาจจะไม่กล้าเข้ามาเดินในเมืองเสียอีก  คิดพลางก็ได้ยินเฉาเฟยเอ่ยต่อ

    “นางยังเป็นคนหาวิธีการเพาะปลูกในพื้นที่ที่เพาะปลูกยากแล้วสอนให้กับชาวเมือง  และที่ไม่น่าเชื่อคือแม่นางเจิ้งยังคัดค้านเรื่องการประมงแบบเก่า  แหที่หว่านจับปลาให้เย็บห่างหน่อย  ไม่แคบจนเกินไป  ปลาตัวเล็กที่เกิดมาใหม่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อจนเติบใหญ่  หมุนเวียนให้ชาวประมงจับได้ทุกรอบ  และการกำรงชีพค้าขายจะต้องไม่กระทำแบบละโมบ  นางไม่ลืมสอนให้ผู้คนทำความดีงาม  ทั้งยังชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก...  ยามเจ็บไข้ก็ไปคอยหมั่นไปเยี่ยมและเฝ้าดู”

    เฉินซื่อจวินยิ่งฟังยิ่งไม่เชื่อ  นี่ดูจะเกินจริงไปมากทีเดียวกับภาพลักษณ์ของนางที่เขาได้พบ 

    “นางทำเหมือนตัวเองเป็นพระโพธิสัตย์กระนั้น?”  น่าหัวเราะ  นางทำเช่นนี้ด้วยใจจริงเช่นนั้นหรือ  รูปร่างแบบบางอ่อนแอก็ปานนั้น  เหตุใดจึงใช้มือเล็ก ๆ ทั้งสองนั่นทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากมายนัก

    เฉาเฟยยังกล่าวมิทันจบ  พลันมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูกันเข้ามาในจวนทั้งยังร้องขอต่อพ่อบ้านด้วยความรีบร้อน  เป็นเพราะสวนของจวนหลังนี้อยู่ใกล้กับประตูใหญ่  ทั้งเฉาเฟยและเฉินซื่อจวิน  รวมถึงเจิ้งอี้จิงก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของพวกเขาทั้งสิ้น 

    “พ่อบ้านหยง ๆ”  พวกชาวบ้านร้องเรียกกันจ้าละหวั่น

    คนถูกเรียกรีบวิ่งมาจากในจวนทันที  “มีอะไรหรือ...  แม่นมสือ?” 

    พ่อบ้านหยงพอเห็นคนพวกนั้นก็รีบถามเรื่องราวในทันที

    “คุณหนูเจิ้งอยู่ไหน....คุณหนูเจิ้งล่ะ”  หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นเอ่ยขึ้น

    “นางพักผ่อนอยู่....  มีเรื่องอะไรบอกข้าก็ได้”  พ่อบ้านหยงไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้คุณหนูของตัวเองทำอะไรอยู่  ส่วนพวกชาวบ้านเหล่านั้น  พอได้ยินก็พากันเสียดาย

    “อา..ข้าอยากมาบอกข่าวดีกับนาง  จูเอ๋อร์คลอดแล้วนะ  เป็นตัวผู้ล่ะ” 

    พวกเขาพูดถึงอะไรกัน?  ฮ่องเต้ผู้อยากรู้อยากเห็นอดใจไม่ได้  จึงเดินเข้าไปสอบถามด้วยตนเอง

    “หมายถึงอะไร?  ใครคือจูเอ๋อร์งั้นหรือ...”

    ทว่าไม่ทันจะได้คำตอบ  เขาอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับสีหน้าที่ชาวบ้านพวกนั้นมองมาอย่างมีความหมายไม่ได้

    “คนผู้นี้เป็นใครน่ะ...ท่านพ่อบ้าน  ในจวนอ๋องมีผู้ชายเช่นนี้ด้วยหรือ..”    แม่นมสือเป็นตัวแทนของชาวบ้านเอ่ยขึ้น  ทำให้พ่อบ้านหยงอีหลักอีเหลื่อ  ไม่รู้จะตอบอย่างไรให้พวกชาบ้านไม่สงสัยและคุณหนูไม่ต้องเสื่อมเสียได้จึงว่า

    “เขาเป็นคู่หมั้นของคุณหนูยังไงล่ะ”  พ่อบ้านหยงบอก

    “คู่หมั้นของคุณหนู....  อ๋อ  ใต้เท้าผู้โด่งดังเมื่อคืนนี้สินะ  ท่านคงลำบากมากเลยสิ”  แม่นมสืออดเหน็บให้เจ็บสักทีมิได้

     เรื่องที่คู่หมั้นของคุณหนูเมาแล้วโวยวายไม่พอใจ  ด่าว่านางอัปลักษณ์ขัดตานั้น  ลือไปทั่วทั้งเมืองเรียบร้อยแล้ว  กระทั่งชาวบ้านธรรมดายังรู้เรื่องที่เขาถูกไล่ออกมาจากโรงเตี้ยมทุกแห่งในเมือง  ทำเอาฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีไป  กระแอมออกมาคราหนึ่งพลางว่า 

    “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”

    แม่นมสือได้ยินเขาถามจึงตอบอย่างไม่เต็มใจนักว่า  “จูเอ๋อร์เป็นวัวตัวเมียเจ้าค่ะ” 

    พูดไม่ทันจบดีน้ำเสียงตื่นเต้นก็ดังลอยมาแต่ไกล  “คลอดแล้วหรือ  คลอดแล้วหรือ...” 

    “คุณหนูอย่าวิ่งเจ้าค่ะ....”  มีเสียงเสี่ยวถงถงดังตามมาอย่างเป็นห่วง  นางเองก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาติด ๆ  เช่นกัน

    สตรีที่ทุกคนถามถึงปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า  ทำให้สีหน้าแช่มชื่นขึ้นผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ  ฮ่องเต้เฉินซื่อจวินต้องประหลาดใจอีกครั้ง  ที่เห็นร่างแบบบางตื่นขึ้นมาจากการนอนกลางวันแล้วกระตือรือร้นขนาดนี้เพียงเพราะวัวตัวหนึ่งคลอดลูกเท่านั้น 

    “ให้ข้าไปดูหน่อย...ตัวผู้ใช่ไหม” นางรี่เข้ามาพลางรวบมือทั้งสองของหญิงชาวบ้านผู้นั้นไว้แน่น

    เฉินซื่อจิ้นเห็นสีหน้าของนางดูเบิกบานและตื่นเต้นอย่างยิ่ง  สีหน้าเช่นนี้ดูมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย...  อาไม่สิ   ผิดแล้ว ๆ เขาจะไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งมีเสน่ห์ได้อย่างไร...  รูปร่างของนางก็แค่เด็กสาวไม่ประสาเท่านั้น ผิดกับสาวใช้เสี่ยวถงถงผู้นี้ลิบลับ    

    “เจ้าค่ะ...”  แม่นมสือบอกพลางพาเจิ้งอี้จิงไป  เสี่ยวถงถงจึงต้องตามไปด้วย  อีกฝ่ายนึกสนุกจึงขอตามไปดูด้วยอีกคน

    ดังนั้นตอนนี้  คนทั้งหมดรวมทั้งเฉาเฟยจึงกำลังมองลูกวัวเพิ่งคลอดอยู่ที่คอกวัวของแม่นมสือ

    “น่ารักจังเลย....  ให้ข้าล้างตัวให้เจ้านะ...”  เจิ้งอี้จิงพูดกับวัวน้อยตัวนั้นท่าทางรักใคร่อย่างยิ่ง

    ฮ่องเต้ชมดูจนต้องเบิกตากว้าง  เขาเห็นนางอุ้มลูกวัวสกปรกตัวนั้นอย่างเบามือ  แล้วอีกมือกวักน้ำสะอาดในถังไม้ล้างตัวให้อย่างสะอาด  ขณะเดียวกันริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางพลันเอ่ยว่า  “โตไว ๆ นะ  โตไว ๆ” 

    “คุณหนูให้พรเจ้าแล้วนะ...  โตไว ๆ ล่ะ”  แม่นมสืออดปลื้มใจมิได้ 

    “ให้ชื่อจิวเอ๋อร์  คล้องจองกับแม่  และแปลว่ามีความสุขด้วย  ดีไหม” 

    “ดีเจ้าค่ะ...  จิวเอ๋อร์....  ต่อไปนี้เจ้าก็ชื่อจิวเอ๋อร์นะ”  ทุกคนพอได้ยินก็โห่ร้องด้วยความดีใจ  ทว่าใครบางคนกลัวฟ้าจะสดใสเกินไป  จึงอดสอดปากขึ้นมาคำหนึ่งมิได้

    “ตั้งชื่อให้แล้วจะกินมันลงหรือ...”  เฉินซื่อจวินเปรยออกมาราวกับพูดกับตนเอง 

    ทว่าเพราะคำพูดนี้ของเขา  ทำให้คนทั้งหมดในคอกวัวที่ได้ยินต่างพากันหันมามองหน้าอย่างไม่พอใจ  ตัวเขาจึงถูกเจิ้งอี้จิงลากออกมาจากคอกวัวอย่างรวดเร็ว  ทั้งยังเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเงยขึ้นมาจ้องมองเขาคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจ  สาบานให้ตายว่าใบหน้ายามโกรธของนาง  ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด  ปากที่เม้มสนิทยื่นออกมา  มือทั้งสองข้างแนบลำตัวและกำแน่น  หัวคิ้วของนางชนกัน  แต่ดวงตาที่จ้องมองเขาแทบตายนั้นไม่มีความดุร้ายเลยสักนิด  ทั้งยังอ่อนโยนอีกด้วย  มีใครบ้างยามโกรธยังน่าดูถึงเพียงนี้กันเล่า

    “ใครจะกินพวกเขากัน”  นางต่อว่าเขา  เฉินซื่อจวินจึงตอบค้านอย่างเย็นใจ “ก็พวกมันเป็นเนื้อ...” 

    “ท่านหยาบคายจริง ๆ   พวกมันเป็นวัวนมต่างหาก!”  ดูท่าคำตอบของเขาจะทำให้นางโกรธมากจนถึงกับต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง  ช่างเหมือนเด็กเสียจริง

    “วัวนมหรอกหรือ...”  ที่จริงเขารู้แต่แกล้งหลอกนางไปอย่างนั้นเอง  ก็มันติดนิสัยไปแล้ว 

    “เป็นข้าเข้าใจผิดไปหรือนี่...  ข้าขอโทษก็แล้วกันนะ”  เขาเอาพัดในมือเคาะลงที่หัวไหล่ของนางเบา ๆ  ทว่าคำแก้ตัวโง่ ๆ พรรค์นั้นกลับทำให้คิ้วของนางคลายลงได้แล้ว  ช่างเป็นคนโกรธง่ายหายเร็วนัก  ว่าแต่นางโกรธเขาจริง ๆ น่ะหรือ  คิดพลางเขาก็หลุดหัวเราะออกมา

    “ท่านขำอะไร...”  สตรีตรงหน้าอดมองค้อนถามอีกฝ่ายไม่ได้

    “ไม่มีอะไร”  เขาโบกไม้โบกมือ  พลางรีบอุดปากตัวเองไว้  “หมดเรื่องแล้วก็กลับบ้านกันเถอะ..” 

    เขาต้องให้นางลงชื่อในการยกเลิกการหมั้นให้ได้เร็ว ๆ อีก  รีบกลับได้แล้วแม่ตัวดี 

    ขณะที่กำลังจะกลับกัน  ก็มีชายนิรนามผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาที่บ้านแม่นมสือ  “คุณหนูเจิ้งอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”

    “ใช่ ๆ เจ้าคือ...  นายพรานตู้  มีอะไรหรือ” แม่นมสือเห็นคนวิ่งมาหน้าตาตื่นอดถามขึ้นมิได้ 

    พอได้ยินคนเรียก  เจิ้งอี้จิงก็ออกไปดูทันที  “นายพรานตู้...มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” 

    พอเห็นคนเท่านั้น  นายพรานตู่ถึงกับทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้านาง  ทั้งยังร้องไห้ปานใจขาดใจ

    “คุณหนูช่วยลูกชายข้าด้วย...  เขาไปเล่นในป่าเกิดกินของป่าผิดสำแดงตอนนี้ตุ่มขึ้นทั้งตัวแถมยังมีไข้อีกด้วย” 

    “ตามท่านหมอหยูหรือยัง”  นางรีบถาม  นางไม่มีความรู้เรื่องวิชาแพทย์มากนัก  ท่านหมอหยูเป็นหมอประจำเมืองจำต้องให้เขามาช่วย 

    “ตามแล้วขอรับ  ท่านหมอหยูบอกให้ท่านมาช่วยอีกแรง...เพราะไม่แน่ใจว่าลูกชายของข้ากินอะไรเข้าไปกันแน่”

    “เข้าใจแล้ว...”  นางไม่รอช้ารีบสาวเท้าวิ่งไป  แต่ก็ยังชักช้าไม่ทันใจ  ตะโกนออกมาคำหนึ่ง  มู่หลงก็ปรากฏตัวออกมาช่วยอุ้มนางใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินไปทันที  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้  ทำเอาฮ่องเต้รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ   

    “เจ้านั่นมันเป็นม้าเร็วของนางหรือยังไงกัน”  เฉินซื่อจวินเอ่ยปากกับคนข้างกาย

    “จะตามไปหรือไม่พะย่ะค่ะ” เฉาเฟยถามอย่างรู้ทัน  ทรงเคาะพัดทีหนึ่งแล้วก็ใช้วิชาตัวเบาพลิ้วตัวตามไปทันที

    ถือซะว่าวันนี้เขาจะตามนางไปดูว่านางใช้วิชามายาอะไร  ถึงได้ครองหัวใจพวกชาวเมืองต้าลี่ได้สำเร็จ

    พอตามร่างของมู่หลงมาถึงที่บ้านของนายพรานตู้  ก็เห็นภรรยาของเขาที่หน้าซีดตัวสั่นกับท่านหมอหยูที่อายุมากแล้วผมขาวโพลนทั้งศีรษะ  กับลูกชายของเขาที่นอนป่วยอยู่บนเตียง  มีตุ่มสีแดงผุดขึ้นตามร่างกายดูน่ากลัวดังว่าจริง ๆ

    “คุณหนูเจิ้ง...ท่านมาแล้ว  ช่วยดูอาการหน่อยเถอะ  อาการเช่นนี้เกิดจากหลายสาเหตุมาก  เรื่องของป่านั้นข้าไม่เชี่ยวชาญเสียด้วย”  ท่านหมอหยูขอร้อง

    “อา...  ตุ่มแดง ๆ เหมือน ๆ กันไปหมดเลย...”  นางคิ้วขมวดและครุ่นคิดไปพลาง 

    ยามปกตินางก็เชื่องช้าอยู่แล้ว  แถมยังโง่เง่า  เรื่องพรรค์นี้นางจะไปรู้ได้อย่างไร  ทำไมพวกชาวบ้านกระทั่งหมอยาสมุนไพรคนนี้ถึงได้ชอบเรียกให้นางช่วยกันนะ  เฉินซื่อจวินสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ พลางคิด  ร่างแบบบางเหมือนจะคิดอะไรออกพลันเอ่ยขึ้น

    “ของป่าที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ก็มาจากหลายอย่าง  แต่น่าจะออกอาการต่างกันอยู่บ้าง...  อืม...  รู้สึกตัวร้อนเป็นไข้สินะ  แต่ลิ้นไม่ฝ้าหน้าไม่เขียว  นี่เด็กน้อย...ของที่กินเข้าไปรสชาดมันเฝื่อนนิด ๆ ใช่หรือไม่”  นางคิดพลางถามออกไป

    เด็กชายพยักหน้าตอบท่าทางทุกข์ทรมานมาก 

    “แล้วที่เจ้ากินเข้าไป  ใบมันเป็นแฉก ๆ ขึ้นอยู่แถว ๆ ริมน้ำตกใช่หรือไม่”

    เด็กชายก็พยักหน้าอีก นางจึงทุบกำปั้นกับมืออีกข้างอย่างมั่นใจ  “เป็นหญ้าห้าสี” 

    “เช่นนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยายาให้”  ท่านหมอหยูรีบจดลงกระดาษให้นายพรานตู้ไปซื้อมาทันที 

    “ขอบคุณคุณหนูเจิ้ง...  ขอบคุณคุณหนูเจิ้งเจ้าค่ะ”  ทั้งสามีและภรรยาต่างก้มลงคำนับนาง  นางยิ่งต้องหนีให้ไกล  นางไม่ชอบให้ใครมาคำนับ 

    “ไม่ต้องขอบคุณหรอก  แล้วข้าจะมาเยี่ยมลูกชายเจ้านะ”  นางพูดพลางยิ้ม  จากนั้นรีบเดินไปหามู่หลง  สามีภรรยาตู้ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ  ผู้มีพระคุณก็หายวับออกมาจากบ้านสกุลตู้ไปแล้ว  จากนั้นมู่หลงจึงพาร่างอบบบางมาหยุดลงที่ในตลาดกลางเมือง

    เฉินซื่อจวินเพิ่งสังเกตว่า  ทั้งมู่หลงและเสี่ยวถงถง ต่างมีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม  ตนเองตามติดพวกเขามากระทั่งบัดนี้ฝีเท้ายังไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย 

    “คุณหนูข้าจะซื้อผักสดไปให้ป้าเซียวเสียหน่อย  ช่วยข้าเลือกหน่อยสิเจ้าคะ”  เสี่ยวถงถงบอกอย่างตื่นเต้น  ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณหนูผู้น่ารักของนางเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่นางชื่นชอบเป็นที่สุด 

    “ได้สิ...”  นางยิ้มพลางเดินคู่ไปด้วยกันกับสาวใช้ 

    เฉินซื่อจวินที่ตามดูนางอยู่ตลอด  แม้จะทิ้งระยะห่างอยู่บ้าง  แต่ก็สังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียด  เจิ้งอี้จิงช่างเป็นคนที่พระองค์ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายนางได้   สังเกตดูนางเลือกผักสด  เขารู้ว่านางรู้จักผักผลไม้ทุกชนิด ไม่เหมือนสตรีที่เป็นบุตรีของชนชั้นสูงทั่วไป  เขาเห็นนางเลือกผ้าไหมก็รู้อีกว่านางสายตาดี  เลือกแต่ผ้าไหมชั้นยอด  รสนิยมสูงเช่นนั้นกลับเลือกสวมใส่แต่ผ้าไหมแพรสีขาวไร้ลวดลาย

    ข้าชอบสีขาว....  ตอนที่เอ่ยปากถามออกไป  นางตอบเขาเท่านี้เอง

    พอกลับมาที่จวน  ก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี  คนครัวยกอาหารออกมาด้วยตนเอง  กลิ่นหอมชวนรับประทานยิ่งนัก  พอตักน้ำแกงเข้าปาก  ทั้งกลิ่นทั้งความหมอหวานแทรกซึมไปทุกอณู  อร่อยกว่าอาหารในวังเสียอีก!  พ่อครัวชั้นยอด!

    “เจ้าเข้าวังไปทำให้ข้ากินบ้างจะได้หรือไม่”  ทรงตรัสด้วยความชื่นชมจากพระทัย  ทว่า

    “ข้าพระองค์ขอปฏิเสธพะย่ะค่ะ”  แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด  พ่อครัวที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารตอบกลับด้วยวาจาโอหังทันทีทำให้พระองค์เสียหน้าอย่างมาก

    “เจ้า!”  เขาโมโหจนแทบจะพังโต๊ะ

    “ทูลฝ่าบาท..  พ่อครัวผิงอัน  ทำงานให้แก่คุณหนูเจิ้งเท่านั้นพะย่ะค่ะ”  พ่อบ้านหยงรีบบอก  แก้ไขสถานการณ์ไปก่อน 

    พอได้ยินเช่นนั้น  ไม่เพียงโทสะไม่ลดลง  ตนยังจดจำเรื่องครานี้เอาไว้ในใจลืมเลือน 

    “ตามใจเจ้า...  ยังไงเสีย  พ่อครัวที่เก่งกว่าเจ้าคงต้องมีอีกมากมาย  ไม่ต้องการเจ้าย่อมได้”  ทรงตรัสด้วยความฉุนพระทัย  ท่าทางของฮ่งเต้ทำให้เฉาเฟยเกือบหลุดหัวเราะออกมา  คิดในใจว่าจวนอ๋องเจิ้งหลังนี้ช่างให้ความรู้สึกน่าทึ่งเหลือเกิน  มีทั้งยอดฝีมือ ทั้งยอดพ่อครัวแห่งยุค   

    “ได้ยินชื่อท่าน  ข้าก็เพิ่งทราบว่าท่านมาทำงานอยู่ที่นี่...  อันที่จริงข้าได้ยินชื่อท่านมานานแล้ว”  เฉาเฟยบอก  ทำให้ฮ่องเต้สงสัยขึ้นมา 

    “เจ้ารู้จักเขา?” เฉินซื่อจวินหรี่ตาถาม

    “ทูลฝ่าบาท   เขาคือตันผิงอันเป็นพ่อครัวมือหนึ่งในวงการอาหาร  ก่อนหน้านี้หัวหน้าห้องเครื่องขอให้ออกตามหาเขา  แต่พวกเราหาเท่าใดก็ไม่พบ  ที่จริงมาหลบอยู่ที่จวนท่านอ๋องนี่เอง” 

    “อันดับหนึ่ง?”  เป็นไปได้อย่างไร  พ่อครัวหลวงของตนยังมิใช่อันดับหนึ่งอีกหรือ!

    เห็นสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่าย  เจิ้งอี้จิงก็สงสัยใคร่รู้ขึ้นมา  “ท่านชอบลิ้มลองอาหารรสเลิศ?” 

    อี้จิงถามเขา  แต่เฉาเฟยทำเป็นนกรู้ตอบแทนเสีย  “พะย่ะค่ะ  ผ่าบาทชอบการรับประทานมาก  ทรงพิถีพิถันในการเสวยยิ่ง”

    “เฉาเฟย...” ฮ่องเต้ทรงคำรามในลำคอ  ก่นด่าในใจว่าเขาปากมากเกินไปแล้ว 

    ได้ยินเช่นนั้น  เจิ้งอี้จิงพลันยิ้มแย้มออกมามิได้ 

    “ผิงอัน...”  นางหันไปบอกพ่อครัว  “เจ้าเข้าไปทำอาหารให้เขารับประทานบ้างก็ได้...  ข้าไม่หวงเขาหรอก” 

    นางไม่หวงเขา?  เฉินซื่อจวินได้ฟังยังรู้สึกคันยิบ ๆ ในใจ  ไม่เพียงเท่านั้นคำตอบของพ่อครัวยังเพิ่มความรู้สึกต่ำต้อยให้เขามากขึ้นไปอีก 

    “ถ้าคุณหนูเข้าไปอยู่ในวัง  ผิงอันจึงจะตามท่านไป”  คนพูดตอบสั้น ๆ แล้วเดินกลับไปในครัวทันที  ทำเอาฮ่องเต้กลืนน้ำแกงแทบไม่ลงเลยทีเดียว  คนในจวนนี้ต้องวางแผนแน่ ๆ ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวสตรีชุดขาวผู้นี้  ทำให้เขาใจอ่อน  สิ่งที่เขาอยากได้ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่รอบกายของนางทั้งสิ้น  คนระดับยอดฝีมือทุกแขนง  มาอยู่รอบกายนาง  มันกระตุ้นความโลภในจิตใจของเขาได้เป็นอย่างดี  ถ้าหากมีคนเช่นนี้ไว้ข้างกายคอยใช้งานอีกทั้งยังจงรักภักดีเช่นนี้  ตัวเขาคงจะเหมือนเสือติดปีก  มันช่างน่าอึดอัดใจเสียจริง  ที่เขาอยากได้มิใช่ตัวนางเลยแม้แต่น้อย

    หลังจากมื้อกลางวัน  เขาตั้งใจจะพูดคุยเรื่องราชโองการขอยกเลิกเสียหน่อย  แต่แล้วนางก็หายไปจากจวนในช่วงบ่ายแก่ ๆ พอถามถึงคน  บ่าวไพร่ในจวนกลับไม่มีใครทุกข์ร้อน  มีแต่เขาหรืออย่างไรที่อยากรู้ว่านางไปไหน  ทำไมไม่คืนราชโองการให้เขาเสียที  กระทั่งเสี่ยวถงถงที่คอยตามติดก็ยังหมกตัวอยู่ในจวน  ไม่ได้ติดตามนางออกไปเช่นเคย  นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว  คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ยามออกไปไหนมาไหนจะต้องมีสาวใช้คอยติดตามมิใช่หรือ  แล้วนี่นางไปไหนกันแน่นะ  เฉินซื่อจิวยกระวนกระวายในใจ  เริ่มอยู่ไม่สุข

    “เดี๋ยวก็กลับพะย่ะค่ะ”  พ่อบ้านหยงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ขณะที่กำลังเช็ดถูทำความสะอาดของล้ำค่าในจวน  แต่ก็พอจะรู้ว่าพูดให้ใครฟัง 

    “ข้าไม่ได้อยากรู้...”  เขารู้สึกฉุนเฉียวจนเดินหายไปยังสวนป่าข้างจวน  จากนั้นนั่งลงที่เปลถักที่นางใช้พักผ่อนเมื่อเช้า  ท่าทางเวลานอนของนางดูปรอดโปร่งโล่งใจเสียจนน่าอิจฉา  ตัวเขาเองก็อยากจะมีช่วงเวลาเช่นนั้นบ้าง  ช่วงเวลาที่ไม่ต้องคอยหวาดระแวง  ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครลอบฆ่า...

    เขาไม่ได้หลับสนิทมานานแค่ไหนแล้วนะ...  สองปี...  สามปี  ไม่สิ...  ผ่านมาถึงห้าปีแล้วต่างหาก 

    แปลกเหลือเกิน เขาฝันว่าได้สัมผัสโอบกอดสตรีนางหนึ่ง  พวกเขานัวเนียกันจนถึงขั้นสัมผัสริมฝีปากอย่างดูดดื่ม  ใบหน้างดงามนั่นเป็นของเสี่ยวถงถง  สตรีที่เขาอยากจะกลืนลงท้องมาตั้งแต่วันแรกที่เจอ  ในที่สุดนางก็ยอมเป็นของเขาแล้ว... 

    ทว่าสัมผัสวาบหวามนั้นจางหายไปพร้อมกับร่างของนางในฉับพลัน  กลับรู้สึกถึงสัมผัสเย็นชื้นที่ริมฝีปากของเขาแทน  ใครบางคนกำลังหยดของเหลวใส่ปากของเขาแต่หยดด้วยสัมผัสอันนุ่มเนียนอ่อนหวานเหลือเกิน 

    เวลาผ่านไปไม่นานนักก็พอได้ยินเสียงจิ้งหรีดเรไรร้อง  ทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตระหนก  ทันทีที่ลืมตาก็เห็นใบหน้ามนลอยเด่นอยู่ทำเอาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ  เจิ้งอี้จิง  นางมาทำอะไรตรงนี้!

    นางแย้มยิ้มให้เขาพลางว่า  “ท่านหลับลึกมากเลย” 

    จริงหรือ?  น่าตกใจจริง ๆ เขาไม่เคยหลับลึกเลยตลอดห้าปี  นี่เป็นไปได้อย่างไร

    “ข้าปลุกเท่าไหร่ท่านก็ไม่ตื่น  ยังคิดว่าท่านถูกปีศาจลักพาดวงวิญญาณไปแล้วเสียอีก”  นางบอกเขา  สีหน้าซีดเซียวอย่างยิ่ง 

    “พูดเหลวไหล...  ปีศาจที่ไหนจะกล้ามาเอาดวงวิญญาณของข้าไป”  เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์  ไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ

    นางยิ้มสดใส  “จริงสินะ  ก็ท่านเป็นคู่หมั้นของข้านี่นา...มีข้าคอยคุ้มครองท่านอยู่  ไม่ต้องกลัวปีศาจที่ไหนจะมาเอาตัวท่านไป” 

    สีหน้าอ่อนโยนรวมถึงถ้อยคำไร้เดียงสานั้นของนาง  กลับทำให้เขารู้สึกใจเต้นไปชั่วขณะ  ทั้งยังรู้สึกดีอย่างยิ่ง 

    มีข้าคอยคุ้มครองท่านอยู่...  ไม่ต้องกลัว... 

    ไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้กับเขามาก่อน  แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ  ลำพังนางเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ได้เอาปัญญาที่ไหนมาคุ้มครองเขา  คิดดังนั้นจึงสลัดความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นทิ้งไป

    “พูดเหลวไหล”  เขาผลักร่างนางออกไปให้พ้นหูพ้นตา  จากนั้นรีบเดินเข้าไปในจวน  ทว่าเจิ้งอี้จิงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  นางมองร่างสูงสง่านั้นกระทั่งเงาของเขาหายไปจากสายตา  จึงเอ่ยขึ้นเสียงดุ

    “ออกมานะ...”  นางสั่งประโยคเดียว  ร่างของหญิงงามรูปร่างชดช้อยก็โผล่ออกมาจากหลังโคนต้นไม้ใหญ่ทันที

    “คุณหนู....ข้าขอโทษ...”  เสียงสั่นเครือนั่นเป็นของเสี่ยวถงถง  สีหน้าของนางนั้นดูละอายใจอย่างยิ่ง

    เจิ้งอี้จิงหันไปบอกต่อนางอย่างจริงจัง  “เขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไร...  อย่าทำร้ายเขาเลย..”  นางยิ้มบอก  รู้แก่ใจว่าเสี่ยวถงถงต้องการทำอะไร  ร่างกายของเสี่ยวถงถงเปรียบดังพิษร้ายไม่ว่าสัมผัสตรงไหนนางสามารถปล่อยพิษออกมาทำร้ายผู้คนได้

    “แต่เขาทำร้ายจิตใจคุณหนู!  ข้าไม่ชอบเขา!”  นางอุตส่าห์เก็บร่องรอยตัวเองมิดชิดดีแล้วเชียวนะ  ทำไมคุณหนูถึงรู้ได้...

    “ไม่เป็นไร...  ข้าไม่เป็นไร...”  นางทอดสายตามองไปยังห้องพักของเขาที่จุดไฟสว่างแล้วด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึก

    แม้ว่าระหว่างรับประทานอาหารเย็น  ฮ่องเต้จะทรงทวงถามเรื่องราชโองการ  กลับไม่มีใครยอมพูดถึงมัน  จึงทำให้ดูเหมือนพระองค์เป็นบ้าไปคนเดียว  ยิ่งทำให้หงุดหงิด  ทรงตั้งใจแล้วว่าเป้าหมายคือทำให้นางเกลียดพระองค์เท่านั้น  พระองค์จึงจะมีสิทธ์ได้รับราชโองการนั่นคืนโดยถูกลงชื่อจากนาง   ทว่ายังไม่ทันได้คิดทำอย่างใด  ในจวนอ๋องก็พากันวุ่นวายยกใหญ่ 

    มู่หลงแบกเจิ้งอี้จิงกลับมาจากข้างนอก  พอทรงเห็นร่างแบบบางนั้นไร้สติ  พระพักตร์ของพระองค์กลับขาวซีด  ร้อนใจแทบเป็นบ้า  อย่าบอกนะว่านางฆ่าตัวตายเพราะพระองค์!

    เฉาเฟยส่ายหน้าช้า ๆ อย่างถอนใจ  ฝ่าบาทของเขาอะไรก็ดีหมดยกเว้นอยู่เพียงเรื่องเดียว  เป็นคนที่หลงตัวเองที่สุด!

    “นางเป็นอะไร!” ทรงตรัสถามอย่างรีบร้อน

    “เป็นไข้พะย่ะค่ะ  ไข้สูง...”  มู่หลงบอกเสียงเรียบ  แม้นว่าจะมีเค้ากังวลปนอยู่ในสีหน้าก็ตาม

    “หมอล่ะ...”  ทรงถามอย่างรีบร้อน

    “มาแล้วพะย่ะค่ะ....”  พ่อบ้านหยงบอกพลางพาท่านหมอหยูเข้ามาตรวจอาการนางได้ในทันที  เห็นได้ชัดว่าการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้ในเวลาอันสั้นไม่ใช่ธรรมดาแล้ว  นี่อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่

    “เป็นไข้ธรรมดาอย่างเคย  พักผ่อนมากหน่อยก็หาย  เดี๋ยวข้าจะไปจัดยาให้”  หมอหยูบอก  ทำเอาทุกคนในจวนพากันโล่งใจ แต่ก็อดสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ในตอนนั้นมิได้  หลายคนนึกแปลกใจและสงสัย  โดยเฉพาะเสี่ยวถงถง  ไม่รู้เพราะเหตุใด  นางจึงรู้สึกว่าเฉินซื่อจิ้นดูจะเป็นห่วงคุณหนูของนางมากกว่าปกติ  คนอื่นสงสัยแต่เฉาเฟยไม่สงสัย ... 

    ก็ทรงคิดว่านางฆ่าตัวตายเพราะตัวเองน่ะสิ แต่จะไม่ให้ทรงคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลก  มีสาวงามหลายคนแล้วที่มาอ้อนวอนทั้งน้ำตา  ขอให้พระองค์อย่าทอดทิ้งพวกนาง  ทั้งยังขู่จะฆ่าตัวตายอีกด้วย  ทว่าไม่รู้ทรงใช้ไม้ตายใดจึงทำให้พวกนั้นยอมเลิกราไปในที่สุด

    คนป่วยนอนสลบไสลไม่ได้สติจนถึงรุ่งเช้า  ชาวบ้านมากมายที่รู้ข่าวต่างก็เอาผักผลไม้และสมุนไพรที่หาได้มาเยี่ยมเยียนนาง  ยืนเข้าแถวอยู่ที่หน้าบ้านเป็นขบวนยาวไปถึงในเมืองเลยทีเดียว  พ่อบ้านหยงต้องทยอยรับของเยี่ยมมาและเพราะนางยังไม่ฟื้นเขาจึงต้องเชิญแบกทั้งหลายกลับไปอย่างน่าผิดหวัง 

    ฮ่องเต้มองคนพวกนั้นผ่านม่านหน้าต่างในห้องของนาง  พลางหันมามองใบหน้าอ่อนเยาว์สดใสของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง  เขาเดินไปเอาพัดจิ้มที่หน้าผากนางอย่างสงสัย...

    ร่างแบบบางอ่อนเยาว์ไร้พิษสงนี้   เพราะเหตุใดจึงกุมหัวใจชาวเมืองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น  เขารู้ว่าจิตใจที่นางทำเพื่อช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากนั้นเป็นของจริงแน่  แต่นางทำไปเพื่ออะไร  นางเป็นแค่สตรีบอบบางธรรมดาเท่านั้น  นี่มันเป็นภาระที่หนักหนาเกินตัวไปหรือไม่  คิดพลางก็เห็นผ้าห่มเลื่อนหลุดลงมา  จึงมีน้ำใจจะขยับให้สักหน่อย  ยังไม่ทันจะทำอะไร ฉับพลันนั้นเฉินซื่อจิ้นพลันรู้สึกถึงการมาของคนผู้หนึ่งทันที   

    “ทรงคิดจะทำอะไร” เสียงของมู่หลงดังมาจากด้านหลังของเขา  เฉินซื่อจิ้นอดประหลาดใจไม่ได้  หันไปหาเฉาเฟยที่อยู่ข้างกายเขาก็เห็นคนกลอกตาไปมาแต่ร่างกลับไม่อาจขยับเขยื้อน  เฉาเฟยที่ถูกสะกัดจุดไว้ยังฝีมือด้อยกว่าคนผู้นี้หลายเท่าหรือนี่ 

    ว่าแต่มาถามว่า  เขาคิดจะทำอะไรน่ะหรือ?  ทำไมคำถามมันส่อแววว่าเขาจะทำร้ายนางไปได้?

    “ข้าไม่ได้จะทำอะไร...  ข้าเป็นคู่หมั้นของนาง  ไม่มีสิทธิเยี่ยมไข้นางหรือ?”

    “ทรงแตะต้องนาง...” 

    “รู้ได้อย่างไร  หรือเจ้าแอบดู?”  ทรงหรี่ตาถามอย่างคาดคั้น

    “ข้าน้อยอยู่ข้างกายนางเสมอ” เขาตอบสั้น ๆ  ท่าทางไม่เห็นตนอยู่ในสายตาจึงทำให้อดที่จะสั่งสอนเล็กน้อยมิได้

    “แม้แต่ยามนางแต่งตัว...  อาบน้ำ...  เปลี่ยนเสื้อผ้า...”  เขาไล่ต้อน  ทว่าสีหน้าของคนผู้นี้ที่เย็นชาแค่ขมวดคิ้วลงมาเท่านั้น 

    “ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ตา...”  มู่หลงรู้ความหมายนั้นดี  คนผู้นี้จงใจหาความผิดให้เขา 

    เฉินซื่อจวินรู้ว่ามู่หลงมีสัมผัสดีอย่างยิ่ง...  ว่าแต่ความเป็นมาล่ะ...  เขาสนใจเรื่องของมู่หลงมากเหลือเกิน

    “เจ้าคงเป็นยอดฝีมือ...  ทำไมถึงมาคอยติดตามนางเล่า  ติดตามเจิ้งอี้จิงผู้นี้ไม่เห็นจะมีประโยชน์อันใด  ลำพังแค่นางเป็นบุตรีของท่านอ๋องเจิ้ง  ก็มีทหารมากมายคอยคุ้มครองอยู่แล้ว  ทำไมเจ้าจึงไม่ออกไปท่องยุทธภพ  เพื่อแสวงหาชื่อเสียง  ลาภยศ” 

    รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าไร้สีเลือด  ทำให้เฉินซื่อจวินรู้สึกเหมือนตนเองโดนดูถูก 

    “ยิ้มเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร....  คิดว่าคำพูดของข้าไร้สาระงั้นหรือ”  เขาคิ้วขมวด

    “ลาภยศไม่สำคัญอะไรกับข้า  ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อนางเท่านั้น...”  มู่หลงตอบ  คำตอบนี้ทั้งยะโสและแสดงความรู้สึกที่มีต่อร่างแบบบางที่นอนอยู่ตรงนี้อีกด้วย  เมื่อได้ชื่อว่าเป็นบุรุษแล้ว  เสียสิ่งใดไม่เท่าเสียหน้า  เจิ้งอี้จิงเป็นคู่หมั้นของเขา แม้เขาจะไม่ต้องการนาง  แต่ในขณะที่ยังมิได้ยกเลิกการหมั้นหมาย  ก็ห้ามผู้ใดคิดครอบครองนาง!

    “นางมีคู่หมั้นแล้ว  ไม่รู้หรืออย่างไร!”  เขาตวาดออกไปด้วยความฉุน  อีกฝ่ายกลับตอบมาไร้ความรู้สึกใด ๆ

    “ข้ารู้...” 

    รู้แต่ก็ยัง“เช่นนั้นต้องการอะไร!” เฉินซื่อจวินไม่อาจไม่ถาม  หากคิดครอบครองคนของเขา  เขาจะไม่เกรงใจคนผู้นี้อีกต่อไป!  ทว่าคำตอบที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายกลับเป็น

    “ปกป้องนาง”  มู่หลงสบสายตาเหี้ยมเกรียมที่ส่งมาอย่างไม่หวาดหวั่น 

    เฉินซื่อจวินแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด  หากไม่ติดว่ายังอยู่ในห้องคนป่วย  เขาคงจะประลองฝีมือกับคนคนนี้ไปแล้ว  ไม่ทันไร  พวกเขากลับได้ยินเสียงแหบแห้งของเจ้าของห้องดังขึ้นมาจึงพากันหันไปสนใจนางแทน

    “มู่หลง...”  น้ำเสียงครางออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น  ตอนนั้นเองร่างของเฉินซื่อจวินถูกผลักออกไปอย่างแรง  กลายเป็นมู่หลงที่ยึดขอบเตียงเอาไว้พลางว่า  “คุณหนู....  ฟื้นแล้ว..”

    นางยิ้มให้เขา  พลางช้อนสายตาขึ้นมองร่างที่เซถลาไปด้านหลัง  พอเห็นเขาเท่านั้นนางก็หน้าแดงไปถึงใบหู 

    “ฝ่าบาท   ทำไมมาอยู่ที่นี่?”  นางหน้าแดง  ไม่รู้เพราะพิษไข้หรือเพราะเขากันแน่  แต่จะเพราะอะไรเขาก็ไม่สนใจหรอก  กลับรู้สึกขัดใจที่คำแรกยามนางตื่นจากการหลับใหลกลับเป็นชื่อของชายอื่น 

    “ข้ามาคอยดูแลเจ้า  บ่าวไพร่ในจวนล้วนยุ่งวุ่นวายกันหมด”  เขาบอกนางเย็นชา  ทว่านางยังคงไม่ถือสา      

    “ขอบคุณมาก  แค่ก แค่ก”  นางบอกพลางกระแอมไอออกมาจนตัวโยน

    “คุณหนู...  ให้ข้าตามท่านหมอ” มู่หลงรีบบอกด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่ต้อง...ข้าไม่เป็นไร  พักสักหน่อยก็หาย  เจ้ากับฝ่าบาทออกไปเถอะ” นางบอกพลางงีบหลับไปอีกครั้ง

    พอถูกไล่ออกมา คนทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่พอใจ  ฮ่องเต้หันไปคลายจุดให้เฉาเฟยพอหันมาอีกที  ร่างของมู่หลงก็หายไปเสียแล้ว  ทำให้เขาปวดหัวเหลือเกิน  ความสัมพันธ์ของนายบ่าวคู่นี้มันคืออะไรกันแน่...

    “ฝ่าบาท  ขออภัยพะย่ะค่ะ  กระหม่อม...”  เฉาเฟยพอคลายจุดได้ก็รีบคุกเข่าลงทันที

    “ไม่เป็นไร...  ผู้นั้นเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าเจ้า  ข้าไม่ตำหนิเจ้า”  ถึงพูดแบบนั้นแต่เฉาเฟยต้องรู้สึกเจ็บแค้นอยู่แน่

    แต่ที่เฉาเฟยกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องของคนผู้นั้นหรอก  อันที่จริงน่ะเขาอยากรู้มากกว่าว่า

    “ฝ่าบาท  ทรงกริ้วคนผู้นั้นเพราะคุณหนูเจิ้งหรือพะย่ะค่ะ”

    ฮ่องเต้แทบจะทำพัดร่วงจากมือ  เหตุไฉนเขาจึงไม่รู้สึกเลยว่าตนเองโกรธเพราะเหตุใดจนกระทั่งเฉาเฟยถาม

    “ข้าเปล่า!”  ทรงปฏิเสธเสียงแข็ง  “ข้าโมโหเพราะคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่างหาก!” 

    เฉาเฟยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าซับซ้อนของนายเหนือหัว  พลางพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า  “นางกับมู่หลง  อาจ....”  มีสัมพันธ์ที่เกินกว่าธรรมดา  เฉินซื่อจวินได้ยินก็ยิ่งโมโห

    “หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดไม่ยอมตกลงลงชื่อในราชโองการของข้าแต่แรก!”  ถึงจะคิดเช่นนั้น  แต่ในใจกลับไม่เชื่ออยู่บ้าง  เจิ้งอี้จิงไม่ยอมลงชื่อถอนหมั้น  นางไม่ได้คิดอะไรกับมู่หลงเป็นแน่  หรือนางแค่ต้องการยื้อเวลา?    

    คิดมาถึงตรงนี้  ในอกของเขากลับหวั่นไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เพราะเหตุใดกัน.... 

    “แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น  ก็ทรงอ้างเรื่องของมู่หลงขึ้นมาแล้วทำให้นางยอมลงชื่อน่าจะมีทางเป็นไปได้นะพะย่ะค่ะ”

    เฉาเฟยแนะ  จริงสินะ...  ถ้าหากมู่หลงมีใจต่อเจิ้งอี้จิงเขาก็ควรจะส่งเสริมถึงจะถูก  แล้วก็จะได้เป็นอิสระจากนางเสียที!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×