คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ไม่ยอมรับเด็ดขาด
ตอนที่2 ไม่ยอมรับเด็ดขาด
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เฉินซื่อจวินพยายามระงับอกระงับใจเอาไว้จนสุดความสามารถแล้ว เขากล่าวแต่เพียงเท่านี้ก็กลัวว่าหากขยับริมฝีปากมากไปจะเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมาได้ จึงพยายามเก็บกดความรู้สึกที่อยากจะแล่เนื้อกระต่ายขาวตรงหน้าเอาไว้เสียก่อน พ่อบ้านหยงเป็นพ่อพบ้านที่มีประสบการณ์มาช้านาน เห็นสีหน้าแววตาของอีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจถึงอารมณ์ข้างในของเขาได้ จึงรีบเข้ามาอธิบายทันที
“เรียนใต้เท้าทั้งสอง คนผู้นี้คือคุณหนูเจิ้ง คนที่พวกท่านอยากพบขอรับ”
“เจิ้งอี้จิง....” คนชุดดำสีหน้าซีดขาวราวกระดาษวาดเขียน “เป็นนาง...”
วินาทีที่รู้ความจริงข้อนี้นั้น ไม่เพียงแต่จะรู้สึกชิงชังรังเกียจสตรีตรงหน้า เฉินซื่อจวินยังแทบจะระเบิดอารมณ์ให้จวนแห่งนี้สูญสลายไปในพริบตา ทว่าเขาต้องข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ก่อน เพราะเป้าหมายเดียวที่เขาต้องลำบากลำบนเดินทางมายังต้าลี่นี้ ก็คือการทำให้นางปฏิเสธเขาให้ได้เท่านั้น!
ส่วนสตรีในชุดขาวเอาแต่ยิ้มสดใสไร้เรื่องราวไม่ได้พูดอะไรต่อ จนกระทั่งสาวใช้ที่เดินออกมาจากมุมห้องยกชาให้นางดื่มอย่างกระตือรือร้น นางจึงรับมาดื่มแต่โดยดี
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ ชาของเสี่ยวถงถงก็ยอดเยี่ยมเสมอ...” นางกล่าวชมทำเอาสาวใช้หน้าแดงเป็นเนื้อแตงโมเลยทีเดียว กิริยาท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้ชายชาตรีทั้งสองยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ ทว่าเฉาเฟยยังไม่อาจหายคลางแคลงใจ เขารวบรวมสติแล้วเอ่ยปากเรื่องสำคัญทันที
“ช้าก่อน... เมื่อครู่สาวใช้ของคุณหนูเจิ้ง ลอบทำร้ายคุณชายของข้า” เขาจ้องมองไปยังเสี่ยวถงถงที่จ้องมองตอบพลางกัดฟันกรอดใส่เขา เฉาเฟยหันหน้าไปสบตาคุณหนูเจิ้งที่ดูเผิน ๆ นางงดงามเรียบง่ายราวกับตุ๊กตาโบราณ ทำไมนางไม่รวบผมเหมือนสตรีอื่น ๆ ปล่อยเส้นผมยาวสยายเช่นนี้ราวกับเป็นภูติผีก็ไม่ปาน
“ท่านมีจุดประสงค์อะไร ท่านจงใจส่งนางมาทำร้ายคุณชายของข้าใช่หรือไม่” เฉาเฟยลองเอ่ยปากโยนหินถามทาง
“ข้าน่ะหรือ...?” นางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง จากนั้นครุ่นคิดพลางพิจารณาไปทั่วร่างของผู้ถูกลอบทำร้ายที่ว่า
“คุณชายของเจ้ามิเห็นเป็นอะไรที่ตรงไหนเลย” นางบอกเขา
ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้เฉาเฟยอับจนคำพูด พอเขาจะเถียงคุณชายกลับยกมือห้ามเสียก่อน
เฉินซื่อจวินนั่งฟังการสนทนาอยู่นานแล้ว เขาแทบจะทำใจรับไม่ได้กับสตรีผู้นี้ แต่ก็พยายามคิดถึงจุดประสงค์แรกที่มาเอาไว้ จะอย่างไรเขาก็คิดปฏิเสธอยู่แล้วมิใช่หรือ ถึงทีแรกจะหลงคิดไปว่า สาวใช้ที่งดงามขนาดนี้จพต้องมีเจ้านายที่งดงามยิ่งกว่า หากเป็นเช่นนั้นเขาอาจเปลี่ยนใจยอมสมรสกับนางก็ได้ แต่เท่าที่พิศดู แม้หน้าตาจะเรียกได้ว่างดงาม ทว่าจากกิริยามารยาทของสตรีผู้นี้ ความคิดของเขาคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่แล้ว
“เรื่องสาวใช้ของเจ้าเป็นเพราะข้าผิดก่อน ที่คิดล่วงเกินนาง” เขาพูดพลางขยิบตาให้เสี่ยวถงถง จากนั้นหันมามองกระต่ายสีขาวตรงหน้านี้อย่างเย็นชา “จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งจะต้องตกลงกับเจ้าให้ได้”
พ่อบ้านหยงเสียววาบในใจ หรือจะเป็นเรื่องที่ตนคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากเป็นเช่นนั้นจริง คุณหนูของตนอาจยอมรับไม่ได้เป็นแน่ พอตนจะสะกิดเตือนนาง สตรีตรงหน้าก็โผล่งถามอีกฝ่ายออกไปเสียก่อน
“ตกลง?” นางครุ่นคิดอย่างหนัก “เรื่องอะไรหรือ”
เห็นนางไม่รู้เรื่องราวอะไร เฉินซื่อจวินคิดลำพองในใจ เพียงกระดิกนิ้วคราหนึ่งคนชุดดำก็ล้วงเอาผืนผ้าม้วนสีเหลืองอร่ามออกมา พลางว่า “นี่เป็นจดหมายขอยกเลิก ให้เจ้าลงลายมือชื่อ”
อันที่จริงนี่เป็นราชโองการที่พระบิดาเตรียมเอาไว้ เพื่อให้ถอนหมั้นต่างหาก.... จะเป็นผลได้คือต้องลงลายมือชื่อของนางเสียก่อน
นางขมวดคิ้วดกดำ “ขอยกเลิก?” จากนั้นหันไปขอความช่วยเหลือจากพ่อบ้านหยง พ่อบ้านชราจึงถือวิสาสะหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาอ่านเสียงดังฟังชัด
“ข้าบุตรีของอ๋องเจิ้ง นามเจิ้งอี้จิงขอปฏิเสธราชโองการขององค์จักรพรรดิ เรื่องการอภิเษกสมรสระหว่างข้ากับเฉินซื่อจิ้นขอให้มีอันยกเลิกนับตั้งแต่บัดนี้ ลงนามเจิ้งอี้จิง”
พ่อบ้านหยงอ่านไปใบหน้าซีดขาวไป พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่คาดคิดเอาไว้จะเกิดขึ้นในวันนี้ คนผู้นี้อ้างว่าเป็นตัวแทนจากในวัง หมายความว่าเป็นราชโองการที่มาจากฮ่องเต้เช่นนั้นหรือ ดูจากบุคลิกท่าทางของคนแซ่เฉินผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาจริง ๆ ก็ได้
“เรียนถามใต้เท้า ท่านหมายความว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เฉินซื่อจิ้น ต้องการให้คุณหนูเจิ้งยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้!” เขาเอ่ยถามอีกฝ่าย ทั้งยังแปลความหมายให้ทุกคนฟังทางอ้อม ด้วยความกังวลในจิตใจเกี่ยวกับเจ้านายของเขาทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดลง เสี่ยวถงถงเองก็เป็นเช่นเดียวกัน คุณหนูของนางจะเสียใจแค่ไหน...
คนแซ่เฉินที่ว่าลอบมองสีหน้าของพ่อบ้านหยงรวมทั้งเสี่ยวถงถงที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอเพียงนางลงชื่อเรื่องทั้งหมดก็จะจบลงในวันนี้
“ลงชื่อเสียสิ...เจิ้งอี้จิง” เขายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน ในใจรู้สึกลิงโลดอย่างยิ่ง เพราะอิสระกำลังจะมาสู่เขาในไม่ช้า
“ทำไมต้องลงชื่อ?” นางถามพลางสบสายตาของอีกฝ่ายด้วความสงสัยอย่างยิ่ง “ข้าไม่ได้อยากจะปฏิเสธเสียหน่อย”
เหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะทำให้รู้สึกชาไปทั้งหน้าทีเดียว นางออกจะโง่เง่า เพราะเหตุใดถึงได้กล่าวคำพูดที่เหมือนกับรู้ทันเขาออกมาเช่นนี้ได้
“ทำไมล่ะ... ฮ่องเต้ไม่ได้อยากสมรสด้วย เจ้าก็ยังยืนยันที่จะสมรสหรือ” เขาพยายามฝืนยิ้มให้นาง และกล่าวกับนางราวจริงใจเสียเต็มประดา
“ท่านหมายความว่ายังไง... ฮ่องเต้ไม่อยากสมรสด้วย?” นางถามด้วยสีหน้าหวาดระแวงยิ่ง
“คุณหนู” เสี่ยวถงถงกระเถิบตัวเข้าไปชิดร่างแบบบางเพื่อปลอบประโลมนาง ตอนนี้คุณหนูคงจะรู้สึกสับสนมาก
สีหน้าของเจิ้งอี้จิงดูหวาดระแวงไม่น้อย นางไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร จู่ ๆ ก็เข้ามาในบ้านของนาง มาบอกว่าคู่หมั้นไม่ต้องการนางอีกต่อไปแล้ว ต้องการให้นางปฏิเสธการหมั้นหมายที่มีมาตั้งแต่เด็กกับคนผู้นั้น...
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่...” นางก้มหน้าถาม ไม่ยอมสบตาด้วย
เสี่ยวถงถงเองก็กังวลเช่นกัน นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนจากในวังมาเพื่อจุดประสงค์นี้ พ่อบ้านหยงเองก็ทนไม่ไหว เขาขอพูดแทนคุณหนูสักหน่อยเถิด
“ใต้เท้าทั้งสอง หากเป็นเรื่องสำคัญเช่นนี้ เกรงว่าคนที่จะสามารถตกลงกับคุณหนูได้ เห็นทีจะมีแต่องค์จักรพรรดิ เฉินซื่อจวินเท่านั้น” เขาบอกต่อ “หากไม่ทรงมาเจรจาด้วยตนเอง ข้าน้อยเกรงว่าหากท่านอ๋องเจิ้งทราบเรื่องทั้งหมดนี้ คงไม่อาจยอมรับโดยเด็ดขาด”
คนแซ่เฉินหันไปสบตากับชายชุดดำที่อยู่ข้างกายจากนั้นพยักหน้าให้เขาเปิดเผยความจริงทั้งหมดได้ คนชุดดำจึงสารภาพว่า
“คุณชายผู้นี้นี่แหล่ะก็คือคนที่เจ้าพูดถึง... องค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เฉินซื่อจิ้น ส่วนข้าเป็นองครักษ์ชื่อเฉาเฟย” ตนพูดพลางคุกเข่าลงเพื่อแสดงให้ทุกคนในที่นี้เห็นถึงพระบารมี
ได้ยินดังนั้นสาวใช้เสี่ยวถงถงกับพ่อบ้านหยงรีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน ส่วนร่างในชุดขาวกลับสั่นระริก คนตรงหน้ายังแสดงสัญลักษณ์ตราประทับของราชวงศ์ออกมาให้นางชมดู ซึ่งชัดเจนแล้วว่า เขาคือชายผู้เป็นคู่หมั้นของนางจริง ๆ
แม้ว่าจะแสดงออกชัดเจนเพียงนั้นก็ยังคงมีแต่นางที่ไม่ยอมคุกเข่าลงและยังคงก้มหน้าลงด้วยความครุ่นคิดในใจ สองมือของนางเอื้อมไปหยิบจดหมายขอยกเลิกนั้นมาดูให้ชัดอีกครั้ง จากนั้นเงยหน้ามองฮ่องเต้เฉินซื่อจิ้นที่อยู่ตรงหน้า
ใบหน้าหล่อเหลาที่สวมหน้ากากเปื้อนยิ้ม ภายในจิตใจของเขานั้นล้วนมีแต่ความว่างเปล่ากลวงโบ๋... นี่เป็นเพราะเขารังเกียจนางเช่นนั้นหรือ?
“คุณหนูเจิ้ง... ฝ่าบาทเห็นสมควรแล้วที่ทำเช่นนี้ จะเป็นการดีต่อกันทั้งสองฝ่าย คุณหนูจะยอมถูกคลุมถุงชน แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนได้อย่างไร ฝ่าบาทคิดถึงข้อนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงได้ตัดสินใจ โปรดเข้าใจด้วย” เฉาเฟยกล่าวอย่างอ่อนน้อมมากขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่สับสนและน่าสงสารของนาง
ไม่คาด เจิ้งอี้จิงเพียงกระชับราชโองการในมือแน่น จากนั้นเอ่ยเพียงสองพยางค์
“มู่หลง” นางเปรยขึ้นมา พลันมีบุรุษผู้หนึ่งสวมชุดขาวคาดเอวดำปรากฏกายต่อหน้านางในทันที คนผู้นี้ไปมาไร้ร่องรอยราวกับว่าล่องหนหายตัวได้ เขาโผล่มาจากที่ใดไม่มีใครทันสังเกต แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังไม่ได้ยิน กระทั่งเฉินซื่อจิ้นยังอดเสียวสันหลังวาบมิได้ว่า ยอดฝีมือเช่นนี้แม้กระทั่งตัวเขานั้นกลับไม่เคยพานพบมาสิบกว่าปีแล้ว
เฉาเฟยตั้งท่าเตรียมพร้อม ในใจนั้นพยายามรวบรวมทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า พลางลอบสังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูแปลกอยู่ไม่น้อย ทั้งพ่อบ้านหยงที่ดูลับลมคมใน แม่นางเสี่ยวถงถงที่เป็นวิชามารร้าย ทั้งยังมีบุรุษนามว่ามู่หลง ยอดฝีมือที่ประเมินไม่ได้ คนเหล่านี้มารายล้อมอยู่รอบตัวคุณหนูเจิ้งผู้อ่อนแอไร้พิษภัยผู้นี้ได้อย่างไรกัน!
“เก็บนี่ไว้ที” เจิ้งอี้จิงส่งจดหมายให้มู่หลง เขารับมาแล้วสอดเข้าไปเก็บไว้กับตัวอย่างมิดชิด
ใครบางคนเห็นเช่นนั้นก็อดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยร้องออกมาด้วยความร้อนใจ
“ไม่ได้นะ เจ้าต้องลงชื่อ!” เฉินซื่อจิ้นยังคงไม่ละความพยายาม ไม่สังเกตเลยว่ากระต่ายป่าตรงหน้าเขานั้นกำลังมีน้ำโหเสียแล้ว
“ข้าไม่ลงชื่อ” นางตวาดใส่เขา ทำให้คนที่รู้จักนางดีต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียว ตลอดมานางไม่เคยฉุนเฉียวเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าไม่ลงชื่องั้นหรือ...” เฉินซื่อจิ้นไม่สนถ้อยคำสามัญและท่าทีที่ไม่ยอมอ่อนน้อมของนางเพราะไม่อาจทนสะกดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป ตนเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมาทันที
“หมายความว่าเจ้าจะยอมอยู่กับสามีที่ไม่ยินดีเหลียวแลเจ้าไปตลอดชีวิตสินะ”
ได้ยินดังนั้น เจิ้งอี้จิงพลันสวนกลับ “ข้าก็จะไม่อยู่กับท่านด้วย!”
นางเอ่ยอะไร... นางพูดอะไรออกมา? เฉินซื่อจวินไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์อีกต่อไปได้พลันตวาดกลับไป
“เช่นนั้นก็ลงชื่อซะสิ!”
“ข้าไม่ลงชื่อ!” นางยังคงดื้อรั้น ทำให้อีกฝ่ายแทบจะถลาเข้าไปบีบคอของนางอยู่รอมร่อ
“เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ เจิ้งอี้จิง!!!” การตวาดเสียงดังก้องเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ด้วยสัญชาติญาณการเตือนภัยอันตราย ตอนนั้นเองมู่หลงรวบตัวนางขึ้นแล้วดีดตัวออกไปนอกจวน จากนั้นหายลับไปจากสายตาของทุกคนทันที พ่อบ้านหยงเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเยียบเย็นและนอบน้อม
“ทูลฝ่าบาท คุณหนูของข้าต้องการเวลาในการพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบสักหน่อย...”
หนอย... หนีงั้นหรือ... ! สีหน้าของเฉินซื่อจวินไม่มีความข่มกลั้นอีกต่อไป
“ได้! เราให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งคืน พรุ่งนี้เราจะมาเอาคำตอบ หวังว่าคงจะเป็นคำตอบที่ดี!”
กล่าวจบองค์จักรพรรดิก็เสด็จออกไปจากจวนอ๋องโดยไม่ใยดี
พวกเขาเดินเข้าไปยังโรงเตี้ยมในตัวเมืองต้าลี่เพื่อพักผ่อนอย่างลับ ๆ ฮ่องเต้ในคราบสามัญชนกระดกจอกเหล้าไม่ยั้ง พลางบ่นออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเต็มที่
“ข้าไม่เคยพบสตรีที่ไหนโง่เง่าปัญญาอ่อนเช่นนี้มาก่อน ช่างยั่วโมโหอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน!”
เฉาเฟยถอนหายใจ ตัวเขาได้แต่รินเหล้าให้ฝ่าบาทเท่านั้น ไม่อาจพูดอะไรได้ แม้เขาจะคิดว่าคุณหนูเจิ้งน่าสงสารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ “ความจริงคุณหนูเจิ้งอาจไม่ใช่คนโง่อย่างที่ทรงคิดก็ได้”
“หากไม่โง่ก็คงเสียสติ ด้วยสารรูปเช่นนั้นคิดจะแต่งงานกับข้า ไม่พิจารณาดูตัวเอง อีกทั้งยังคิดแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่เคยเห็นหน้า เฮอะ! ต้องการเพียงอำนาจในวังหลังอย่างเดียวกระมัง!”
“ข้าไม่คิดว่าคนอย่างนางจะต้องการอำนาจอะไรเลยนะคุณชาย” นางออกจะดูซื่อและไร้เดียงสา เฉาเฟยคิด
“อัปลักษณ์เช่นนั้น ยังคิดจะเป็นเมียข้า น่าขำสิ้นดี!” แต่งตัวมอซออย่างกับพวกคนป่า
ตลอดมาแม้ว่าจะไม่เปิดเผยว่าเป็นตนเป็นบุตรมังกรผู้ยิ่งใหญ่ แค่อาศัยบุคลิกงามสง่าและรูปโฉมอันหล่อเหลาปานเทพเจ้าของเขาก็สามารถดึงดูดเหล่าฝูงผีเสื้อนับร้อยได้ราวปอกกล้วย ถ้าหากเขาคิดจะแต่งภรรยาสักคน สตรีผู้นั้นมีแต่ต้องเป็นสุดยอดของสุดยอดของสุดยอดสาวงามมากความสามารถในใต้หล้าเท่านั้น จึงจะคู่ควร!
“ไม่ทราบพวกท่านกำลังพูดถึงใครกันอยู่หรือ...” เสียงเถ้าแก่เนี้ยสอดถามขึ้นอย่างเกรงใจ แต่นางกับคนในโรงเตี้ยมอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ เพราะน้ำเสียงของพวกเขาทั้งสองดังลั่นห้องโถงไปหมด อีกทั้งฟังจากคำพูดของคนทั้งสองเหมือนกำลังว่าร้ายคนสำคัญของพวกเขาอยู่อีกด้วย
ยามปกติฮ่องเต้จะเป็นคนที่ปิดบังอารมณ์ตัวเองได้มิดชิด ทว่ายามสุราออกฤทธิ์อารมณ์ที่เก็บสะสมเอาไว้ก็ไม่อาจข่มกลั้นอีกต่อไป ยิ่งในที่กันดารไร้ความศิวิไลซ์เช่นนี้ด้วยแล้ว เขาไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นหรือมาได้ยินทั้งสิ้น
“ข้าจะบอกให้ก็ได้... ในเมืองต้าลี่ มีสตรีอัปลักษณ์อยู่คนหนึ่ง นางเป็นคนโง่เง่า โง่ๆๆๆที่สุดในโลก” เฉินซื่อจวินเอ่ยออกมาด้วยความโมโห “สตรีผู้นั้น ไม่ยอมแต่งกายเหมือนสตรีทั่วไป เอาแต่สวมชุดขาวราวหิมะ ทั้งยังปล่อยผมให้รุ่นร่ายยาวสยายไม่ยอมรวบมัดไว้ สตรีประหลาด จืดชืด! เทียบกันกับข้าผู้นี้แล้ว เหมาะสมคู่ควรกันอยู่หรือ!”
“สตรีประหลาดที่พวกท่านว่า... ใช่คุณหนูเจิ้งของเรา บุตรีท่านอ๋องเจิ้งหรือไม่...” เถ้าแก่เนี้ยได้ยินที่คนผู้นี้เอ่ยออกมา จึงจงใจถามถึงชื่อนั้นโดยเฉพาะ ทำเอาอีกฝ่ายหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง นางรู้ได้อย่างไร? เขามั่นใจว่าไม่ได้พูดชื่อของผู้อื่นออกไปแน่นอน
“ใช่หรือไม่?...” น้ำเสียงเถ้าแก่เนี้ยเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงงันของคนทั้งสอง
“พวกเจ้าก็รู้จักนางสินะ... เช่นนั้นชื่อเสียงของนางคงจะโด่งดังมากสิ” เฉินซื่อจิ้นโผล่งออกมาด้วยความมึนเมา โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าขณะนี้ผู้คนในโรงเตี้ยมต่างมีสีหน้าดุดันเอาเรื่อง จนเฉาเฟยต้องถึงกับขยับกระบี่ในมือเพื่อเตรียมพร้อมเลยทีเดียว
“คนในเมืองต้าลี่รู้จักคุณหนูเจิ้งกันทุกคน!” เถ้าแก่เนี้ยตบโต๊ะดังฉาด “นางเป็นผู้มีพระคุณของเมืองนี้ พวกท่านทั้งสองมาว่าร้ายนางเช่นนี้ คิดเป็นศัตรูกับชาวเมืองต้าลี่สินะ! หา!” นางถลกแขนเสื้อเตรียมพร้อมสู้เต็มที่ ส่วนเฉินซื่อจวินนั้นเมาเต็มที่แล้ว ดังนั้นจึงยืดกายขึ้นพลางประกาศก้องด้วยความโอหัง
“ข้าเป็นฮ่องเต้ ใครกล้าเอาเรื่องข้า!”
ทุกคนในนั้นเงียบกริบ เฉาเฟยเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยล้า ตนอุตส่าห์จัดขบวนเดินทางมาอย่างลับ ๆ ในตอนนี้กลับมาถูกเปิดเผยเอาง่าย ๆ ด้วยองค์เอง ทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรฝ่าบาท! ขณะที่เฉาเฟยกำลังหาทางแก้ความผิดพลาดนี้อยู่นั้น ไม่คาด เถ้าแก่เนี้ยกลับมีสีหน้าฉุนเฉียวกว่าเดิมพลันตวาดกลับมาว่า
“ถ้าเจ้าเป็นจักรพรรดิ ข้าก็เป็นพระพันปีแล้ว!” เถ้าเนี้ยประชดเขา นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจักรพรรดิผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาผู้นั้นจะเป็นคนอวดดีเช่นนี้ “ออกไปจากร้านของข้า ไปซะ อย่ามาเหยียบที่นี่อีกนะ!”
พริบตาเดียว เฉินซื่อจิ้นกลายเป็นผู้ร้ายที่ไม่ว่าจะไปเยือนที่ใดก็มีแต่ผู้คนรังเกียจในทันที แม้แต่โรงเตี้ยมที่ไม่ว่าจะให้เงินมากเท่าใด ก็ยังคงโยนข้าวของของเขาออกมากลางถนน ทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งแค้น ประชาชนเมืองนี้เป็นอะไรกันไปหมด หรือต้องให้เขาเอาตราประทับออกมา ยกกองกำลังทหารมาที่นี่เพื่อปราบชาวเมืองกบฏพวกนี้กันแน่!
“ฝ่าบาท... ตอนนี้เราควรไปพักที่จวนท่านอ๋องก่อน” เฉาเฟยถอนหายใจเยียบเย็น
“กลับไปอีกหรือ... เรื่องอะไร... คนพวกนั้นจะดูถูกข้าได้ เอิ้ก!” ทรงเมาไม่ได้สติแล้ว...
ทรงไม่ได้สติเช่นนี้จะอย่างไรเฉาเฟยก็ต้องพาเสด็จ...
“เจ้าไปสืบดูว่าทำไมคนในเมืองถึงพูดจาโอหังเช่นนี้ ไม่สนจักรพรรดิอย่างข้าอยู่ในสายตางั้นหรือ!”
“พะย่ะค่ะ... แต่ตอนนี้ทรงกลับไปพักก่อนเถิด” ท่าจะไม่ไหวแล้วกระมัง... ไม่ทันขาดคำเขาก็รวบตัวฝ่าบาทเข้าไปในรถม้าจากนั้นเดินทางไปยังจวนอ๋อง
ความคิดเห็น