คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ความจริงหรือความฝัน
ตอนที่ 10 ความจริงหรือความฝัน
สุดท้ายด้วยพระบารมีของพระพันปีหยวน งานเลี้ยงจึงได้เลิกราเหล่าขุนนางทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับไปยังจวนของตัวเองด้วยความอ่อนล้าเหลือจะทน ทว่ากลับมีขุนนางบางคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวสวนกระแสเดินเข้ามาในวังอย่างองอาจท้าทาย
ท่วงท่าผึ่งผาย ใบหน้าคมเข้มทว่าสูงวัยเคราดกครึ้ม ดวงตาแฝงแววดุอยู่เก้าในสิบส่วน ทันทีที่เหล่าขันทีเห็นบุรุษผู้นั้น จึงรีบส่งตัวแทนมาส่งข่าวให้ฮ่องเต้ทราบขณะที่ยังทรงพำนักอยู่ในพระตำหนักพระพันปีหยวน ฮ่องเต้ถึงกับผละไปครู่ใหญ่ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงได้เลือกเวลาเช่นนี้มาหาตนถึงในวังหลวงได้
“เสด็จแม่... หม่อมฉันคงต้องขอตัว” เขาไม่พบคนผู้นี้เห็นทีจะมิได้ ในใจหวั่นเกรงเพียงเรื่องเดียว
พระพันปีหยวนเองก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน เป็นผู้ใดไม่เป็น กลับเป็นอ๋องเจิ้งที่มาขอเข้าเฝ้า! หรือเรื่องที่บุตรชายของนางได้กระทำนั้นผิดพลาดไปแล้วจริง ๆ ทว่าอีกฝ่ายหาได้ติดเช่นนั้นไม่
เฉินซื่อจวินเร่งรุดไปยังท้องพระโรง ไม่แม้กระทั่งจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พอขึ้นนั่งบัลลังก์ก็มองเห็นท่านอ๋องวัยกลางคนที่กำลังปั้นสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่งอยู่ด้านล่าง ในใจนึกเบื่อหน่าย ยามปกติแล้วคนผู้นี้จะมาเข้าเฝ้าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องงาน งาน แล้วก็งาน เท่านั้น เห็นทีวันนี้คงมาพูดเรื่องฏีกาที่ส่งเข้ามาเมื่อวันก่อนเป็นแน่
อ๋องเจิ้งเส้าหนิงเป็นคนจริงจัง และอุทิศตนเพื่อบ้านเมืองโดยแท้ เมื่อชาวประชาทุกข์ร้อน เขาถวายฎีกาเข้ามา ทว่าไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าเหนือหัว จึงต้องเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อร้องขอด้วยตนเอง
“เรื่องช่วยผู้ประสบภัยแถบหนานโจว ไม่ทราบฝ่าบาทตัดสินพระทัยเช่นไรพะย่ะค่ะ” อ๋องเจิ้งปรายตาดุไปยังผู้อยู่เบื้องบนอย่างไม่กลัวเกรงพระบารมี
เพราะรู้ว่างานเลี้ยงถูกยกเลิก คนผู้นี้ถึงรีบเข้ามาหาเรื่องเขาถึงที่ เฉินซื่อจวินคิดพลางถอนหายใจเฮือก ก็ที่รีบจากต้าลี่มาก็เพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ... อ๋องเจิ้งช่างใจร้อนนัก ถวายฎีกามาไม่นานก็เร่งเอากำลังทหารกับเสบียงเสียแล้ว ไม่ให้เวลาผู้อื่นเตรียมการณ์หรือไร
“ข้าดำเนินการเรื่องส่งกำลังทหารให้ท่านไปแล้ว ส่วนเรื่องเสบียงนั้น เจ้ากรมชิวกำลังตระเตรียมคาดว่าสามารถเดินทางไปพร้อมกันกับขบวนของท่านได้ อีกอย่าง ข้าอนุญาตให้นำราชโองการของข้าไปจัดการเรื่องที่สมควร ท่านอยากได้อะไรเพิ่มเติม เช่นยารักษาโรค ก็ให้ขุนนางเชื่อฟังตามนั้น..” ทรงไม่มีแก่ใจจะถกเถียงกับคนผู้นี้
อ๋องเจิ้งได้ฟังก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ไหนพ่อบ้านหยงบอกเขาว่า ฮ่องเต้องค์นี้ไม่ดูแลราชกิจ เอาแต่เทียวไปเทียวมาบ้านผู้อื่นอยู่นั่น เขาจึงได้ถือโอกาสนี้เข้าวังมาตรวจสอบ คิดพลางเอ่ยออกไปพร้อมทั้งประกบคือ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เป็นบุญของชาวประชายิ่งนัก” อ๋องเจิ้งบอก จากนั้นรีบขอตัวลา ฮ่องเต้ก็ไม่ต้องการรั้งอยู่ต่อเช่นกัน ทว่า ขณะที่จะทรงออกจากท้องพระโรง พระกรรณ์กลับได้ยินผู้อื่นท่าทางรีบร้อนเข้ามาแจ้งข่าวกับอ๋องเจิ้งว่า
“แย่แล้วท่านอ๋อง คนหายไปไหนไม่ทราบ เมื่อครู่ยังรออยู่กับข้าที่หน้าวัง พอรู้สึกตัวอีกทีก็หายไปแล้ว”
จากนั้นก็ทรงได้ยินอ๋องเจิ้งพูดต่อ “แย่ล่ะ... หรือจะหลงเข้ามาในวังแล้ว รีบส่งคนออกตามหาเร็วเข้า!”
ทรงได้ยินพวกเขาพูดคุยกันทำให้นึกสงสัย เรื่องคนที่ว่า... หายไป... เหมือนเขาจะรู้สึกติดใจเล็กน้อย ไม่ทันที่ร่างของอ๋องเจิ้งจะลับตา เฉินซื่อจวินรีบเอ่ยปากเรียกคนเอาไว้ก่อน
“อ๋องเจิ้ง... ท่านมีลูกกี่คน” อีกฝ่ายได้ยินพลันคิ้วขมวด รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
“มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรีหนึ่งคนพะย่ะค่ะ” เขาบอก
“มีผู้ใดติดตามท่านมาด้วยหรือไม่...” ทรงตรัสถามเพื่อความแน่ใจ ไม่แน่ว่า...
อีกฝ่ายได้ยินคำถามนั้นก็รู้แจ้งแก่ใจทันทีว่า ฝ่าบาทหมายถึงผู้ใด จึงจงใจเลี่ยงคำตอบเสีย แม้นว่าจะเป็นการเพ็ดทูลเบื้องสูงก็ตาม
“เป็นบุตรชายพะย่ะค่ะ” เขาตอบทันทีโดยไม่คิด แต่สีหน้ากลับเคร่งเครียดเหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่
ทว่าเฉินซื่อจวินอ่านสีหน้าของอ๋องผู้ซื่อสัตย์คนนี้ออกพลันเอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า
“อ้อ.... รู้หรือไม่ว่าข้อหาทูลความเท็จเป็นอย่างไร” พอได้ยินดังนั้นอ๋องเจิ้งผู้องอาจพลันหน้าเครียดลงทันใด ไม่คิดว่าเฉินซื่อจวินจะรู้ทันเขาจนได้ ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวแก้ตัวอะไร ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาก่อน
“ช่างเถอะ.. บุตรชายของท่านคงจะยังเล็ก ถึงได้วิ่งซนไปทั่ว... ข้าไม่ติดใจหรอก” ทรงหรี่ตามองพลางแสยะยิ้ม แม้นจะคิดว่าอ๋องเจิ้งโกหกแล้วเป็นอย่างไร อ๋องเจิ้งเดินทางมากจากหนานโจว ส่วนต้าลี่อยู่อีกฟากฝั่งของหนานโจว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาอยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ ยังมีชาวเมืองต้าหลี่พวกนั้นี่จะไม่มีทางปล่อยเทพธิดาผู้แสนดีให้ออกจากเมืองมาง่าย ๆอีก เขาทั้งตัดพ้อและก่นด่าชาวเมืองต้าหลี่พวกนั้นอยู่ในใจ ทั้งยังต่อว่าตนเองว่านี่ช่างเป็นความคิดเพ้อเจ้อสิ้นดี
เฉินซื่อจวินต้องการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องโกนหนวดเครารกรุงรังที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลาสามวันนี้สักหน่อย ระหว่างทางไปยังพระตำหนักจื่อหยาง หางตาตนเองพลันเหลือบเห็นชุดสีขาวราวหิมะกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านเขาไปอย่างใจลอย ทำให้เขาต้องหยุดเดินในทันที รู้สึกเหมือนลมหายใจตัวเองขาดช่วงไปพักใหญ่ พอตั้งสติได้หันกลับไปมองก็ไม่เห็นผู้ใดแล้ว นี่ยิ่งทำให้บังเกิดโทสะในจิตใจของเขา ต่อว่าตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า นี่ถึงกับละเมอเพ้อถึงสตรีคนนั้นเชียวหรือ ไม่มีทาง เขาไม่มีทางเห็นภาพหลอนของสตรีผู้นั้นเป็นอันขาด! พอตัดสินใจก้าวเดินต่อมาจากนั้นเลี้ยวตรงหัวมุมพระราชวัง ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับยิ่งทำให้เขาตกตะลึงจนต้องเบิกดวงตาให้กว้างเข้าไว้
สตรีในชุดขาวราวหิมะกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระองค์ เส้นผมสีดำขลับของนางยาวสยายออกมา พอลมพัดไหวมาวูบหนึ่งก็เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลกระจ่างคุ้นตานั้น
“เจิ้งอี้จิง” ริมฝีปากของเขาเอื้อนเอ่ยชื่อนางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้อีกฝ่ายอดหันมามองเขาอย่างเชื่องช้ามิได้ พอได้สบนัยน์ตาสีดำของคนในชุดเหลืองอร่ามตา ก็พลันบังเกิดรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้
“ฝ่าบาท...” นางเรียกเขา ทว่าพอนางจะก้าวเข้าไปใกล้เขา อีกฝ่ายกลับจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาไม่เชื่อ ทั้งยังก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่องทำเอาเจิ้งอี้จิงขมวดหัวคิ้วมุ่น นางดูน่ากลัวหรืออย่างไรเขาถึงได้ถอยหนีนางราวกับพบเจอภูติผีก็ไม่ปาน?
ขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดและสำรวจตัวเองอยู่นั้น ฝ่ายที่ถอยหนีในสมองกลับกำลังมึนงงและสับสนอย่างยิ่ง
ไม่จริง ! ทำไมนางมาอยู่ที่นี่!
หรือคนของอ๋องเจิ้งที่ว่าหายไปนั้น คือ นาง! น่าตายนัก! อ๋องเจิ้งถึงกับกล้าโกหกจริงเสียด้วย!
“ทำไม... ฝ่าบาทถึงได้มีสภาพเช่นนี้ล่ะ...เพคะ” เจิ้งอี้จิงขมวดคิ้ว พลางเอียงคอถามเขาอย่างสงสัย เฉินซื่อจวินที่นางรู้จักเป็นบุรุษสำอางยิ่งนัก ไม่สมควรมีสภาพที่ดูไม่ได้เยี่ยงนี้เลย
“จะเจ้ามาได้ยังไง” เขาตวาดถาม เว้นระยะห่างจากนางสองสามก้าว ไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะเหตุใด...
“หม่อมฉันตามบิดามา...” นางบอกพลางแกล้งกระโดดเข้ามารวบแขนของเขาไว้ ดูซิว่าเขาจะหนีนางไปได้ถึงไหน พอเห็นอีกฝ่ายตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นางจึงดึงเขาให้เดินตามไปอย่างเชื่องช้า นางเดินได้ช้าอย่างยิ่ง จนผู้อื่นตั้งสติได้ทันพลันสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของนางทันที
“จะพาข้าไปไหน!”
เจิ้งอี้จิงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของอีกฝ่ายพลางว่า
“ระหว่างทางหม่อมฉันเห็นมีลำธารอยู่ด้วย...” ได้ยินนางเอ่ยว่าลำธารเฉินซื่อจวินก็อยากจะกุมขมับตัวเอง นางคงหมายถึงสระบัวที่คนในวังขุดเอาไว้กระมัง ไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินนางกล่าวต่อ “ข้าจะโกนหนวดให้ท่านที่นั่น!”
โกนหนวด?
“ไม่ต้อง! ข้าให้นางกำนัลทำก็ได้” เขาอายจะแย่อยู่แล้ว นางมาพบเขาในสภาพไม่น่าดูเช่นนี้ได้อย่างไร... ช่างน่าสมเพช
นางขมวดคิ้วจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย... “ฝ่าบาททรงกลัวหม่อมฉันหรือ...”
เพราะคำนี้เองที่ทำให้ตอนนี้พวกเขาทั้งสองมานั่งอยู่ที่สระน้ำที่สร้างไว้อย่างวิจิตรตระการตา โดยฮ่องเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักสูงแกะสลัก ส่วนนางก็อยู่ด้านหลังแล้วใช้มือลูบน้ำสบู่ไปตามไรผมและแก้ม
“หม่อมฉันจะโกนหนวดให้เอง...นั่งนิ่ง ๆ ล่ะ” นางหยิบใบมีดจากนางกำนัลที่ติดตามฮ่องเต้มา ยามโกนก็ทำได้เบามืออย่างยิ่ง ปากยังพูดต่อไปอีก “หม่อมฉันเคยทำให้บิดาตอนเด็ก ๆ เชี่ยวชาญมาก ไม่ต้องกลัวเพคะ”
เขาไม่ได้กลัวสักหน่อย.... “ข้าอยู่นิ่ง ๆ แล้ว...” เขาบอก หางตาพลันเหลือบไปมองเงาสะท้อนของตนเองกับร่างแบบบางที่ขมักเขม้นอยู่กับการโกนหนวดเคราของเขา ไม่กล้าสบตานางตรง ๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใดแค่ได้เห็นนางเท่านั้น หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะเสียแล้ว ยังมีอารมณ์หงุดหงิดและท่าทางที่แปลกออกไปไม่เหมือนเขาคนเดิมสักนิด สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารำคาญใจยิ่ง ทว่าก็กลับรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ถึงนางจะทำให้ใบหน้าของเขาเป็นแผลเหวอะหวะในตอนนี้ เขาเชื่อว่าตนเองไม่รู้สึกโกรธนางเลยสักนิด แค่ได้เห็นหน้านางอีกครั้ง ความหงุดหงิดที่มีมาตลอดในช่วงนี้ก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางเบามืออย่างยิ่ง... เขาเหม่อมองใบหน้าขาวผ่องของนาง นางยังคงมีดวงหน้างดงามกระจ่างตาเช่นเคย...แม้จะมิได้สะคราญโฉมล่มเมืองแต่กิริยาท่าทางของนางยังคงน่ารักน่าชัง
“พอโกนหนวดเสร็จ ท่านก็ต้องสางเส้นผมให้เรียบร้อย” นางหยิบหวีขึ้นมา จากนั้นคลายปมเชือกเดิมออกแล้วจัดการสางผมให้อย่างเบามือ ทำให้เขายิ่งเต็มตื้นในใจ
‘รู้หรือไม่... ข้านอนฝันเช่นนี้มาหลายคืนติดกันแล้ว..’ เขาอยากจะเอ่ยปากบอกนาง เขาเคยฝันว่านางเข้ามาหาถึงในวัง จากนั้นก็หวีผมให้เขา
‘แล้วตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขากำลังฝันอยู่หรอกหรือ...’ พอคิดดังนั้นทุกสิ่งพลันสูญสลาย ภาพของนางที่ถักเปียน่ารัก ใบหน้าที่ไร้หนวดเคราของเขา.... หือ...??? ใบหน้าที่ไร้หนวดเคราของเขา หมายความว่าเขาโกนหนวดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ได้ฝันไปสิ! เขาอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกมิได้
ยังมีเสียงของนางยามนี้สดใสอย่างยิ่ง พาให้หัวใจของเขาอบอุ่นตามไปด้วย เขามั่นใจแล้วว่านี่คือเรื่องจริง นางมาหาเขาจริง
“เสร็จแล้ว...” นางหันกระจกทองเหลืองให้เขาดู
“ฝีมือใช้ได้” เขาบอกพลางหันหน้าซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจสอบ
“หม่อมฉันบอกแล้วไงล่ะ....” นางว่า... เฉินซื่อจิ้นหันไปมองใบหน้าขาวผ่องของนาง อยากจะย้ำกับตนเองว่าตอนนี้นางอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้ว นางปรากฏตัวอยู่จริง ๆ เช่นนั้นที่ต้าลี่...พวกชาวบ้านคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้กี่วันหรือ”
“ทำไมถามเช่นนี้ล่ะ?” นางไม่เข้าใจ
“ก็พวกชาวบ้านพอไม่พบเจ้าก็อาจจะไม่พอใจ...”
“พวกเขามีพ่อบ้านถงคอยดูแลอยู่ ถ้ามีอะไรร้ายแรงข้าก็จะรีบกลับไปทันที” นางบอก เช่นนั้นเขาก็ขอให้ไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นสักพักเถิด...
“แล้วเจ้ามากับใคร? มู่หลงสินะ” เฉินซื่อจวินพอถามออกไป กลับรู้สึกตัวว่าตนเองคาดหวังบางอย่าง
นางส่ายหน้า... ครั้งนี้มู่หลงไม่ได้มาด้วย มู่หลงไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าบิดาของนางได้... บิดาของนางประสาทสัมผัสไวอย่างยิ่ง ทั้งยังหวงนางจนออกนอกหน้า
“เช่นนั้นก็เสี่ยวถงถง” พอคิดถึงนางมารยั่วสวาทนั่นแล้วทำให้เขารู้สึกเอียนไปในทันที ทำไมตอนแรกถึงได้ไปชอบนางมารนั่นเข้าได้กันนะ.. แต่นางก็ส่ายหน้าอีก
“อันที่จริงพอได้ข่าวว่าบิดากลับมาคราวนี้เพราะเรื่องผู้ประสบภัยหนานโจว เพื่อช่วยเหลือผู้คน ข้าก็เลยขอติดตามไปด้วย แต่ก่อนจะเดินทาง บิดาบอกว่าต้องมาขอกำลังคนจากฝ่าบาทให้ได้เสียก่อน”
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าบิดาของนางก็คืออ๋องเจิ้ง “ทำไมต้องไป...ให้พ่อของเจ้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”
นางยิ้มพลางบอกว่า “บิดาก็พูดเช่นนี้ แต่ข้ากังวลว่าจะขาดคนช่วย พวกชาวบ้านอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็ได้”
นางเป็นเช่นนี้อีกแล้ว ดันทุรังอีกแล้ว... นางเป็นแค่สตรีธรรมดาจะช่วยคนได้กี่มากน้อยกัน...
“ข้าจะส่งหมอที่ฝีมือดีที่สุดไป จะส่งผู้เชี่ยวชาญทุกแขนงไปด้วย” เขาบอกนางพลางหันไปสั่งขันทีข้างกาย
“สั่งให้ทีมหมอหลวงจัดคน แล้วก็ขุนนางทั้งหลายพากันไปช่วย จัดเสบียงไปให้พร้อม ขาดเหลืออะไรให้ส่งม้าเร็วมาบอกข้า” เขาสั่งทันที ขันทีผู้นั้นไม่รอช้ารีบหันกายไปอย่างเร่งร้อน
เจิ้งอี้จิงมีสีหน้าหนักใจยิ่ง “ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้... แค่เพียงข้าคนเดียว..”
นางยังคงดื้อดึง แต่คราวนี้เขาไม่ยอมหรอก อย่าได้คิดหนีไปเหมือนตอนนั้นอีกเลย เป็นสตรีก็ควรอยู่นิ่ง ๆ ในวังนี่อย่าได้คิดจะออกไปแสดงฝีมือโอ้อวดที่ไหนอีก ว่าแต่..,เขาต้องการให้นางอยู่ในวังอย่างนั้นหรือ?
“เจิ้งอี้จิง สุขภาพเจ้าอ่อนแออย่างยิ่ง ระหว่างนี้ให้รักษาตัวอยู่ในวังนี้ ไม่อนุญาตให้เจ้าเดินทางไปไหนโดยพละการ” เขาตัดสินใจไม่คิดต่อ ขอทำอย่างที่ใจต้องการก็แล้วกัน ทว่าอีกฝ่ยกลับไม่เห็นด้วย มีท่าทางปึ่งงอนออกมา
“ท่านมาสั่งข้าแบบนี้ได้ยังไงกัน...” นางขมวดคิ้วแล้วบ่นกระปอดกระแปด
“เรียกอ๋องเจิ้งเข้าวัง! บอกเขาว่าข้าตามหาคุณหนูของเขาพบแล้ว” ฮ่องเต้แสยะยิ้ม เขาจะต้องรั้งนางให้อยู่นี่ ไม่ให้ไปตรากตรำที่หนานโจวโดยเด็ดขาด!
อ๋องเจิ้งปรากฏตัวที่ท้องพระโรงอีกครั้ง พอเขารู้ข่าวว่าพบบุตรีก็ใจชื้น คิดว่านางผู้ไม่ประสงค์ดีใครพาตัวไปเสียแล้ว ว่าแต่... อยู่ในมือฮ่องเต้ผู้นี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่กระมัง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท... ส่งบุตรีคืนมาให้กระหม่อมเถิด” เขาร้องขอ ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ยินยอม ทรงรั้งเอาตัวนางไปเก็บเอาไว้ในตำหนัก แล้วออกมาพบอ๋องเจิ้งตามลำพัง ทรงมองอ๋องเจิ้งพลางตรัสว่า
“นางจะเดินทางไปหนานโจวกับเจ้าสินะ...” ทรงตรัสถาม อ๋องเจิ้งจึงพยักหน้าตอบ “พะย่ะค่ะ”
“เราไม่อนุญาต” ทรงตรัสเสียงเรียบ
อ๋องเจิ้งเงยหน้าสบพระพักตร์ทันที “แต่ว่า... หมายความเช่นไรพะย่ะค่ะ” เขาไม่ใคร่เข้าใจนัก ฮ่องเต้ผู้นี้คิดจะทำอะไรกับบุตรีผู้น่ารักของเขางั้นหรือ
“ท่านน่าจะพอรู้ว่า นางสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ข้าให้นางพักอยู่ในตำหนักลู่เหริน มีหมอหลวงคอยดูแลอยู่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ความคิดเห็น