ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงน่ารักกับจักรพรรดิเจ้าเล่ห์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ / ตอนที่ 1 พบหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 58


    บทนำ

                    สามสิบปีหลังจากผ่านพ้นยุคสงคราม  แคว้นเฉียนได้องค์จักรพรรดิองค์ใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา  ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ  จักรพรรดิเฉินซื่อจวินที่ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุได้สิบสอง จนตอนนี้ย่างเข้ายี่สิบแปดชันษา  ทรงผัดผ่อนการอภิเษกสมรสมาได้หลายปี  ก็ถูกพระพันปีกดดันให้จำเป็นต้องกำหนดวันอภิเษกขึ้นกับคู่หมั้นเพียงคนเดียวของเขาที่จักรพรรดิองค์ก่อนหรือก็คือพระบิดา  ได้จับตนหมั้นหมายกับนางตั้งแต่ยังอยู่ในท้องพระมารดา  บิดาของนางเป็นเสนาบดีที่ได้รับยศขั้นอ๋อง  เป็นบุคคลที่พระบิดาของเขาไว้ใจอย่างมาก  และได้อ๋องผู้นี้ผลักดันขึ้นให้เขาเป็นรัชทายาท  เรียกได้ว่าหากไม่มีการหมั้นหมายนี้  ตำแหน่งจักรพรรดิอาจตกอยู่ในมือผู้อื่นที่ไม่ใช่เขาก็เป็นได้  เพราะฉะนั้น  ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม  หรือนางจะหน้าตาอัปลักษณ์ขัดตาเช่นไรก็ตาม  การอภิเษกสมรสก็จะต้องเกิดขึ้น  มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้เลยยกเว้นแต่ว่า

                    ‘…หากภายหลังบุตรีชินอ๋องไม่เห็นด้วยกับการอภิเษก  ก็ให้เพิกถอนราชโองการฉบับนี้....’ 

    นี่คือส่วนหนึ่งในข้อความในพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อน  มอบให้จักรพรรดิเฉินซื่อจวิน

    จักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีพระนามว่าเฉินซื่อจวิน  ทรงหนุ่มแน่นและเชี่ยวชาญกลยุทธ์การศึกการปกครอง  ทั้งช่วงก่อนและหลังขึ้นครองราชย์  ข้างกายพระองค์ล้วนเต็มไปด้วยสุรานารีและมิตรสหาย  ครบสูตรบุรุษเสเพลโดยแท้  หลังผ่านพ้นสงคราม  บ้านเมืองเริ่มสงบร่มเย็น  พระพันปีกลับบีบบังคับให้พระองค์แต่งงาน  แล้วผู้ใดจะยอมถูกคลุมถุงชนกันเล่า สตรีงามมากมายแม้มิได้ต้องการแต่พระองค์ก็มีไม่ขาดมือ  สตรีงามสะคราญ  หรืองามล่มเมืองพระองค์ก็เคยเห็นเคยลิ้มรสมาหมดแล้ว  ไหนเลยจะใส่ใจกับสตรีที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นแต่กลับไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน  ตัวพระองค์ทั้งหล่อเหลาทั้งยิ่งใหญ่มีอำนาจเหนือใคร  อยากได้อะไรก็ต้องได้  ไม่มีผู้ใดกล้าบีบบังคับ  หากไม่เพราะราชโองการของพระบิดา  พระองค์จะยกเลิกการหมั้นหมายนี้เสียเลยก็ยังได้... 

    เฉินซื่อจวินเป็นจักรพรรดิที่ทั้งอวดเก่งและถือดี  ทั้งเย่อหยิ่งและจองหอง แต่เพราะพระองค์ปรีชาสามารถอย่างแท้จริง  นี่จึงไม่ถือเป็นการอวดอ้างจนเกินไปนัก  หากไม่เพราะมีสตรีที่เป็นคู่หมั้นหมายผู้นั้นค้ำคออยู่  ป่านนี้คงรับพระสนมเต็มพระราชวังไปหมดแล้วกระมัง  สตรีที่เขาให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ว่าจะรับเข้าวังภายหลังนั้นมีทั่วไปหมด  ไปว่าไปที่ไหนจักรพรรดิองค์นี้ก็ชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อย  ขอเพียงถูกพระทัยเท่านั้น

    ส่วนคู่หมั้นของพระองค์เป็นบุตรีของอ๋องเจิ้ง  นามว่าเจิ้งอี้จิง  บิดาของนาง  อ๋องเจิ้งทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและเป็นกำลังสำคัญ  แม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่งงานกับบุตรีของเขาที่พระองค์ได้ยินมาว่านางไม่มีอะไรโดดเด่นแม้แต่น้อย  แต่ก็ยังต้องเกรงใจอ๋องเจิ้งผู้นี้อยู่ส่วนหนึ่ง  ดังนั้นพระองค์จึงวางแผนให้การแต่งงานนี้ถูกยกเลิกโดยวิธีที่นุ่มนวลมากที่สุด 

    ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตัดสินพระทัยออกเดินทางไปยังจวนอ๋องเจิ้งที่อยู่เมืองต้าลี่แบบการลับ  ไม่ได้ไปพบอ๋องเจิ้งหรอก  แต่พระองค์ไปพบบุตรีของคนผู้นั้นที่พำนักอยู่มาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งบัดนี้  ก็เพื่อให้เจิ้งอี้จิงทำให้พระองค์เป็นอิสระ  ให้นางปฏิเสธการอภิเษกครั้งนี้เสียให้ได้!

     

    ตอนที่ 1  พบหน้า

                    ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาถึง  สายลมพัดแรงทำให้ดอกไม้ร่วงหล่นลงมาจากต้น  โปรยไปบนพื้นดินตามเส้นทางที่สตรีร่างเล็กแบบบางผู้หนึ่งย่างก้าวไปทีละน้อย  นางกางแขนรับสายลมและดอกไม้  กิริยาท่าทางดูราวกับกระต่ายป่าน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง  นางสวมชุดขาวราวหิมะ  เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสยายไร้เครื่องประดับตกแต่ง  ใบหน้าน่ารักผุดผ่อง  นางไม่ได้งามสะคราญปานล่มเมือง  เห็นครั้งแรกอาจไม่มีใครรู้สึกประทับใจตราตรึง  แต่รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของนางก็ทำให้คนที่พบเห็นผ่อนคลายได้เสมอ  แม้ไม่งามเฉิดโฉม  แต่งามดั่งบุปผาชาติ’  

    ทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองต้าลี่งดงามนัก  เจิ้งอี้จิงนั่งลงเปลือยเท้าอันขาวผ่องแตะผิวน้ำเล่นอย่างเพลิดเพลิน  ในยามปกตินางจะออกมาเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้เสมอ  เจ้าขนฟูคือเจ้ากระรอกบินที่ค่อนข้างเชื่องกับนางนัก  ยามที่นางบุกป่าฝ่าดงมาถึงที่นี่  มันจะต้องบินออกมาต้อนรับราวกับรู้ว่านางมาหามันกระนั้น  

    เจิ้งอี้จิงนั่งนับครอบครัวของมันที่พากันออกมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวนางสลอน  “เจ้าขนฟูหนึ่ง  เจ้าขนฟูสอง  เจ้าขนฟูสาม...”

    ขณะนั้นเองที่ป่าฝั่งตรงข้ามกลับมีเสียงดังซวบซาบ  เสียงดังมาจากพงป่าด้านข้างน้ำตกพาให้กระรอกพวกนั้นหนีหายไปหมด  เจิ้งอี้จิงหรี่ตาลงด้วยความระแวดระวังไม่เคลื่อนไหว  ไม่นานก็เห็นร่างของคนจำนวนหนึ่งโผล่พ้นป่าเข้ามายังริมลำธาร  นางเห็นขบวนรถม้า  ทั้งยังมีบุรุษที่นั่งบนหลังม้าอีกสี่ตัวคอยคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ คนทั้งสี่คนรูปร่างองอาจผ่าเผย  ที่ตัวของเขาเหน็บกระบี่คุ้มครองกายประจำตัว เห็นแล้วทำให้รู้สึกได้เลยว่า  บุคคลที่อยู่ในเกี้ยวนั้น  คงจะเป็นคนที่มีความสำคัญมาก จึงต้องใช้คนมากมายเพียงนี้คอยปกป้องคุ้มครองกาย

    พอมาถึง  พวกคนทั้งสี่ต่างจ้องมองนางเป็นตาเดียวกัน  พวกเขาลงจากหลังม้า  มีคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเดินเข้ามา  เขาสวมชุดดำทั้งชุด  แลดูผมเพ้านั้นถูกรวบมัดไว้เรียบร้อย  มือของเขาไม่ห่างจากกระบี่เท่าใดนักขณะที่เอ่ยปากพูด 

    “แม่นาง...  เจ้าเป็นชาวบ้านแถวนี้ใช่หรือไม่  ช่วยบอกทางไปยังหมู่บ้านใกล้ ๆ ให้พวกเราหน่อยเถอะ” เขาบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อีกประเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว  เขากับคุณชายจะต้องหาที่พักที่ปลอดภัยก่อน  การที่จู่ ๆ มาพบสตรีแปลกหน้าในสถานที่แบบนี้  ช่างเป็นเรื่องแปลก  ทางที่ดีพวกเขาควรระวังนางเอาไว้ด้วยจะปลอดภัยกว่า 

    ส่วนแม่นางผู้แปลกประหลาดผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม  จากนั้นค่อยก้าวขาขึ้นจากน้ำ  ทว่านางมิได้สวมถุงเท้า  บุรุษพวกนั้นจึงพากันหันหน้าหนีอย่างรู้อะไรควรมิควร  ทว่ากลับทำให้คนที่สมควรอายอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้  นางไม่ได้เปลือยกาล่อนจ้อนเสียหน่อย  เพียงแค่เปลือยข้อเท้าพวกเขาก็อายเสียแล้ว  นางเพียงคิดแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป  พลางหันไปมองคนในเกี้ยวที่ไม่ยอมลงมาตั้งแต่เมื่อครู่   คนผู้นั้นไม่อึดอัดหรือยังไงนะ 

    “คุณชาย  จะเดินทางต่อหรือจะพักก่อนสักครู่ขอรับ”  เขาถามคนในเกี้ยว  แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจแทน  จากนั้นประตูเกี้ยวก็พลันเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างามเด่นชัด  ทั่วทั้งใบหน้าประกอบกันได้อย่างเข้ารูปโดยไม่มีส่วนไหนบกพร่องแม้แต่น้อย  โดยเฉพาะคิ้วเข้มรับกับดวงตาแวววาวที่เรียวสวยได้รูป  สันจมูกโด่งพอประมาณดูสง่า  ริมฝีปากบางสีแดง ที่พออยู่บนใบหน้าขาวสะอาดของเขาทำให้ยิ่งมองแล้วรู้สึกยิ่งโดดเด่น  บุคลิกโอ่อ่าผ่าเผยที่ปรากฏขึ้นนั้น  ข่มความสง่างามของบุคคลอื่นที่คอยติดตามรับใช้   แม้ว่าตัวตนของเขาจะอยู่ในชุดสามัญชนธรรมดาก็ตาม  กระทั่งผ้าไหมปักลายเลื่อมที่ใช้ตัดผ้า  ก็ยังได้แสดงได้ถึงฐานะอันร่ำรวยสูงส่งของเขาอีกขั้นหนึ่ง  พอหันไปเห็นสตรีที่กำลังจ้องมองเขาตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นนั้นแล้ว  ก็อดพิจารณาทั่วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าตามประสาชายหนุ่มมิได้ 

    แม่นางผู้นี้นั้น  ช่าง...ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก  เป็นชาวบ้านแถวนี้หรอกหรือ...  อา  เพราะเหตุใดเขาจึงคิดว่าจะพบนางไม้ผู้งามสะคราญในป่าดงดิบเช่นนี้ได้กันนะ  ช่างไร้สาระเสียจริง... 

    คนผู้นี้คิดพลางเอาพัดที่ตนเองถืออยู่เคาะศีรษะตนเองเบา ๆ

    “ข้าอยากพักสักหน่อย”  เขาเอ่ยปาก  จากนั้นหันไปหาสตรีนางนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ตัวนางกำลังสวมถุงเท้ารองเท้าแสดงว่าเมื่อครู่เจ้าพวกนี้คงเห็นเรือนเท้าอันขาวผ่องของนางไปแล้วล่ะสิ... 

    “แม่นาง...  หมู่บ้านที่เจ้าอยู่  อีกไกลไหมกว่าจะไปถึง”  เขาถามไปแววตาก็โปรยเสน่ห์ไปตามประสาผู้ชายเจ้าชู้  แต่ดวงตากลมโตของนางกลับไม่มีวี่แววว่าจะติดกับ  นางเอาแต่จ้องมองเขาราวกับเห็นเขาเป็นของแปลกประหลาดกระนั้น

    “แม่นาง...”  เขาย้ำอีกครั้ง  สงสัยนางจะหูตึงกระมัง  “ข้าถามเจ้า...  ไม่ได้ยินหรือ” 

    “คุณชายถามเจ้าทำไมไม่ตอบ!”  องครักษ์คนสนิทอดตวาดใส่นางที่เสียมารยาทมิได้  เสียงของเขาทำให้นางตกใจกลัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  แววตาของนางราวกับสัตว์ป่าที่กำลังตัดสินใจว่าจะวิ่งหนีไปทางไหนดี 

    “เจ้าทำให้นางกลัวนะ  เฉาเฟย”  ผู้เป็นนายส่งเสียงตำหนิ  พลางแย้มยิ้มให้แม่นางขี้กลัวผู้นั้นอีกครั้ง 

    “ข้าแค่อยากรู้ว่า  จะต้องใช้เวลาเดินทางอีกนานหรือไม่  ข้ามีธุระอยากจะรีบไปรีบกลับ” 

    น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง  เห็นนางก้มลงเอียงอายนิด ๆ พลางชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว  ก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย 

    “สองลี้...  โอ  ไม่นานก็คงถึงแล้วสินะ”  เขาอดโล่งใจมิได้  ทว่านางกลับสั่นศีรษะ  พลางสวนกลับว่า 

    “สองชั่วยาม...  จากนี้ไปสองชั่วยามจะถึงหมู่บ้าน”  น้ำเสียงเล็กสดใสปานระฆังทองของนางกลับไม่ได้ช่วยทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นเลย  สองชั่วยามช่างยาวนานนัก

    “เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ!”  เขาอารมณ์เสียทันทีไม่คิดรั้งอยู่ต่อ  พลางเดินกลับไปขึ้นเกี้ยวตามเดิมไม่สนใจจะกล่าวอะไรกับสตรีโง่เง่าเช่นนี้อีก  ส่วนคนชุดดำก็ตัดบทหันมาบอกนางให้นำทางพวกตนทันที

    แม้นางจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างที่คนพวกนี้  อยู่ ๆ ก็โผล่มา  ทำให้นางที่กำลังเพลิดเพลินกับเจ้าขนฟูต้องถูกขัดจังหวะ  ทว่าพอเอ่ยถามทางนางก็อุตส่าห์ตอบให้  แล้วยังมีหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาบอกให้นางนำทางไปเสียอีก  หากไม่เพราะพวกเขาแต่งกายสภาพเรียบร้อยอย่างคนมีฐานะ  นางคงจะคิดว่าพวกเขาเป็นโจรป่าไปเผ่นแนบไปนานแล้ว  พวกเขาบอกให้นางไปนางก็จะไป  ทว่านางแค่อนุญาตให้ร่วมเดินทางเท่านั้น  หากพวกเขารีบไปก็เชิญนำไปก่อนได้เลย

    ระหว่างทางคนนำทางเดินเชื่องช้าอย่างยิ่ง  นางเดินไปเล่นกับต้นไม้ใบหญ้าไป  เฉินซื่อจวินไม่แปลกใจเลยที่นางจะบอกว่าสองชั่วยาม เพราะเดินช้าเป็นเต่าคลานเช่นนี้เองน่ะสิ!  คนในเกี้ยวอดรนทนไม่ไหวตั้งท่าจะระเบิดอารมณ์ใส่นางเสียอย่างนั้นทว่าพอเห็นท่าทางสนุกสนานร่าเริงของนางที่แสดงออกมา  ตัวเขาก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ 

    กระต่ายน้อยตัวนี้  กลัวว่าหากทำให้กลัวก็จะเผ่นหนีเตลิดไปเสียก่อนทำให้เขากับขบวนเกี้ยวหลงทางอยู่ในป่านี้อีกนาน  จึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอง 

    “เจ้ารีบเดินหน่อยได้หรือไม่....  หากฟ้ามืดแล้วจะทำเช่นไร”  เขาอุตส่าห์เลิกผ้าม่านออกมาคุยกับนางที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติ  นางหันไปทำหน้าเบ้ใส่เขานิดหน่อยพลางว่า  “ข้าไปกลับเช่นนี้ทุกวัน  หินสักก้อนก็ไม่เคยสะดุด  ท่านไม่ต้องกังวลหรอก” 

    อา...นางกลับคิดว่าเขากังวลห่วงใยนาง  เขาห่วงตัวเองจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่พาลเชือดนางทิ้งเสียกลางทางต่างหากเล่า!

    “นางใช่เสียสติหรือไม่...”  เขาหันไปกระซิบถามคนชุดดำข้างกาย  คนผู้นั้นไม่ตอบได้แต่มีสีหน้าคลางแคลงใจ  เสียสติหรือไม่คงต้องรอให้ถึงหมู่บ้านเสียก่อนจึงจะสามารถสรุปได้กระมัง 

    สองชั่วยามผ่านไป  พวกเขาก็มองเห็นประตูเมืองต้าลี่อยู่ไม่ไกลแล้ว  เฉาเฟยจึงรีบขอแยกจากคนนำทางทันทีด้วยความรวดเร็ว 

    “นี่รางวัลจากคุณชาย...รับไปสิ”  คนชุดดำมอบทองคำให้นางก้อนหนึ่ง เจิ้งอี้จิงมองทองคำที่รับมาอย่างงุนงง  จากนั้นพวกเขาก็รีบตีจากไปโดยเร็วไม่มีขอบคุณซักคำ  ทำให้นางอดถอนหายใจด้วยความระอาไม่ได้ 

    พวกคนในเมืองใหญ่มารยาททรามเช่นนี้เลยหรือ?  นางมองตามหลังขบวนรถม้าที่จากไปแล้วก็อดคิดถึงชายผู้สวมหน้ากากรอยยิ้มไม่ได้ 

    บุรุษผู้นั้นช่างเป็นคนที่ตลกเสียจริง  เห็นชัดว่าตนเองไม่อยากยิ้มออกมาแท้ ๆ ก็ไม่เห็นต้องยิ้มให้นางเสียหวานจ๋อยขนาดนั้นก็ได้   คิดพลางนางก็แกว่งกิ่งดอกหญ้าที่เด็ดมาจากข้างทางเล่น  จากนั้นค่อยก้าวเท้าอันเชื่องช้ากลับไปยังบ้านของตัวเอง

    จวนอ๋องเจิ้งกว้างขวางและเต็มไปด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามนัก  กระทั่งของประดับตกแต่งยังดูธรรมดาไปหน่อย  ไม่มีเครื่องเคลือบราคาแพง  ไม่มีงานไม้แกะสลัก  ทุกอย่างช่างเป็นของพื้น ๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความพิถีพิถัน  แม้แต่ถ้วยชาที่ใช้รับแขกคนสำคัญยังทำจากไม้หอม

    ถึงไม่น่ามองแต่ก็น่าอภิรมย์นัก  คนที่มาคิด... 

    เป็นเพราะเจ้าของบ้านออกไปข้างนอกยังไม่กลับ  พวกเขาที่อุตส่าห์ถามที่อยู่จากคนในชุมชนแล้วคลำมาจนถึงที่อดรู้สึกท้อแท้มิได้  เพราะเหตุใดวันนี้ไม่ว่าจะคาดการณ์สิ่งใดก็ผกผันไปเรื่อย  ไม่ตรงตามที่คิดสักอย่างพาลให้คนหงุดหงิด

    เฉินซื่อจวิน คาดว่าจะเข้ามาถึงเมืองต้าลี่ได้อย่างสะดวกรวดเร็วเพราะถนนหนทางเรียบเรื่อยโปร่งสบาย  ไม่รู้เพราะอะไรจู่ ๆ ก็มีหมอกจัดลงกลางทางทำให้ขบวนของเขาพลัดหลงเข้ามากลางป่า  จนได้พบกับสตรีประหลาดผู้นั้น  พอให้นางช่วยนำทาง  ฝีเท้าของนางก็จัดว่าเชื่องช้าเสียจนทำให้กำหนดการต่าง ๆ ของเขาผิดพลาดไปหมด  ทันทีที่คิดว่าตนเองมาถึงแล้วจะได้พูดคุยกับบุตรีอ๋องเจิ้งผู้นั้นให้รู้เรื่องแล้วเดินทางกลับในทันที  กลับกลายเป็นว่าขบวนของเขาจะต้องค้างเติ่งอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน

    “ข้าน้อยจะไปเตรียมห้องพักในเมือง  ใต้เท้าเฉินโปรดรอที่นี่...” พ่อบ้านหยงกล่าวอย่างนอบน้อม  คนที่มาอ้างว่าเป็นตัวแทนจากในวังแซ่เฉิน ทั้งยังมีตราสัญลักษณ์เป็นหลักฐาน  ถึงเขาจะไม่เต็มใจต้อนรับคนแปลกหน้าที่มาอย่างกะทันหันเช่นนี้เท่าไหร่  แต่กับคนผู้นี้เขาไม่ต้อนรับเห็นจะไม่ได้เด็ดขาด 

    ส่วนคนฟังก็หันไปพิจารณาพ่อบ้านของจวนอ๋องอย่างเต็มที่  พ่อบ้านผู้นี้รู้จักมารยาทและกาลเทศะเป็นอย่างดี  แทนที่จะเชิญให้พักในจวนนี้  แต่เพราะเจ้าบ้านเป็นสตรีเพียงลำพัง จึงจัดแจงให้แขกไปอยู่ข้างนอก  ทว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่พ่อบ้านผู้นี้จะต้องมาเสียเวลา  เพราะเขาคิดเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว 

    “ไม่จำเป็น...  คนของข้าจะดูแลเรื่องที่พักให้ข้าเอง”  เขาบอก  พ่อบ้านหยงจึงขอตัวออกไปทำงานอย่างอื่น  ให้ใต้เท้าผู้นี้ที่ยืนยันว่าจะรอพบเจ้าของจวนให้ได้นั้นอยู่ต่อ  โดยทิ้งสาวใช้เอาไว้หนึ่งคนให้คอยดูแลปรนนิบัติ

    เฉินซื่อจวินจ้องมองสาวใช้ผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า  รูปร่างของนางค่อนข้างสมส่วนมีน้ำมีนวล  ส่วนที่สมควรเต่งตึงก็เต่งตึง  ส่วนที่สมควรโค้งเว้าก็โค้งเว้า  ใบหน้ารูปไข่งดงามน่ารัก  ดวงตาหงส์แทบจะกัดกินพื้นที่ในหัวใจให้ทรมานเล่น  แล้วทำไมเขาจะต้องทนทรมานด้วยเล่า  เช่นนั้นขอเขาแหย่สาวใช้ผู้นี้เพื่อฆ่าเวลาเล่นสักหน่อยเถิด 

    “ใต้เท้าประสงค์สิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ...”  นางเอ่ยปากถาม  พลางช้อนสายตามองเขาอย่างเย้ายวน   ตัวเขาเป็นถึงชนชั้นสูงทั้งยังรูปงาม  แววตาที่มองนางเหมือนจะกลืนนางลงท้องไปในคราวเดียวกระนั้นทำไมนางจะไม่รู้  ตัวนางนั้นมีรูปกายเย้ายวนหอมหวานแค่ไหนนางรู้ดีที่สุด  ทว่าจะติดก็แต่ที่คนผู้นี้มาจากในวัง...  หากนางพลั้งมือไปทำอะไรเสียหายเข้า  คุณหนูของนางจะเสื่อมเสียเอาได้  ดังนั้นหยุดมือเสียก่อนจะดีกว่า...

    จู่ ๆ แววตาเย้ายวนของนางที่วาววามก็แวบดับไปอย่างไร้ร่องรอย  เหลือเพียงสีหน้าสงบเสงี่ยมและรอคอยให้เขาเอ่ยปากสั่งงานนางเท่านั้น

    เฉินซื่อจวินเห็นนางทำสีหน้าเฉยเมยก็ไม่สบอารมณ์นัก  จึงเอ่ยถ้อยคำหวานเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก

    “ข้าแค่ชอบที่เจ้ารูปงาม  ทั้งยังงามอย่างไม่ปกปิดอีกด้วย...”  สายตาของเขาเล้าโลมนางไปทุกส่วน  จนนางสัมผัสได้  “แม่นางนามว่ากระไรหรือ”  เขาเอ่ยปากถาม 

    “ชื่อเสี่ยวถงถงเจ้าค่ะ”  นางตอบอย่างสุภาพ 

    กระต่ายงั้นหรือ...  นึกถึงกระต่ายก็พลันนึกถึงสตรีประหลาดคนนั้นไปด้วย!  เขาสะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อลบความคิดชั่วแวบออกไป  พลางพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง  “ช่างน่ารักน่าชังนัก” 

    เขาหยอดคำพูดหวานหูก่อน  จากนั้นค่อยคิดรวบหัวรวบหาง  ดูท่าวันนี้คงได้รับประทานกระต่ายน้อยตัวนี้คั่นเวลาแน่แท้  แม่กระต่ายสาวก็ช่างเย้ายวนเขานัก  เขาเห็นสายตาที่เชิญชวนของนาง  พลันสบตานางที่หวานปานน้ำผึ้งนั้นแล้วยื่นมือไปรวบตัวนางเข้ามากอดไว้แนบอกทันที  ทว่า...ตัวนางยังไม่ทันจะถึงอ้อมอกของเขา  องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็ออกมาขวางไว้เสียก่อน...  

    โถ่  คนกำลังจะลงมือรับประทานดันมาขวางเสียได้!

    “คุณชายระวังด้วย!”  เขาร้องพลางชักกระบี่ออกชี้หน้านาง  กระต่ายสาวผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง  พลางแสยะยิ้ม

    “มียอดฝีมือมาคุ้มครองเช่นนี้  ดูท่าท่านจะสำคัญไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ...”  นางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบดูไม่ร้อนใจกับคมกระบี่สักนิด 

    “น้ำเสียงของสาวใช้ที่นี่ดูจะถือดีเกินไปหน่อยกระมัง”  คนชุดดำกล่าวเสียงเข้ม  แต่สีหน้าของคุณชายกลับเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ 

    “ข้ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม  เจ้ามาขวางเอาไว้ทำไม”  เขาบ่นอดเสียดายมิได้พลางหันไปมองอีกฝ่าย  ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าในมือของนางมีอะไร  “เจ้าคิดจะใช้เข็มเล็กกระจ้อยร่อยนั่นทิ่มแทงข้างั้นหรือ”  เฉินซื่อจวินเอ่ยเสียงนิ่มนวล  ไม่มีทีท่าโกรธเคืองแม้แต่น้อย  สาวใช้รูปงามชักสีหน้าคราหนึ่งจากนั้นพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานพลางว่า

    “เข็มนี้เคลือบยาสลบเอาไว้เท่านั้น...  ไม่ทำให้ถึงตายหรอก  ให้ข้าน้อยทำให้คุณชายสบายเถอะนะเจ้าคะ”  นางเอ่ยพลางแลบลิ้นเลียเข็มพิษ  แล้วใช้สายตาดุร้ายจ้องมองเขาราวกับจะเขมือบเขาลงไปเสียเดี๋ยวนั้น 

    “คุณชาย...  ระวังด้วย  นางเป็นยุทธฝ่ายมาร” คำพูดของคนชุดดำทำให้นางหัวเสียยิ่ง

    “เหลวไหล...  ข้าเป็นมารแล้วเจ้าเป็นเทพหรือไร  เพ้อเจ้อไร้สาระ”  วรยุทธไม่อาจแบ่งแยกฝักฝ่าย  คนผู้นี้ตั้งใจกล่าวหานางชัด ๆ เสี่ยวถงถงคิด 

    ท่าทีตอนที่สวนกลับนั้น  ดูเย่อหยิ่งถือดีแท้ ๆ ทว่าพอพูดจบ  ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางเก็บเข็มพิษพลางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย  จากนั้นก็กลับไปทำท่าสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้องตามเดิม  ทำราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น   กิริยาของนางเกิดขึ้นรวดเร็วจนทำเอาผู้สูงศักดิ์ทั้งสองรับแทบไม่ทัน  และในตอนนั้นเอง  พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าประหลาดกำลังเดินมาทางห้องรับรอง  ทั้งยังตามมาด้วยฝีเท้าของพ่อบ้านหยง  จึงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน  ที่แท้สาวใช้ผู้นี้ก็มีประสาทหูที่ดียิ่งนัก  วรยุทธของนางคงจะล้ำเลิศมากทีเดียว  อยากรู้นักว่าเจ้านายของนางมารร้ายผู้นี้จะมีรูปโฉมและหน้าตาเป็นเช่นไร

    ประตูห้องรับรองถูกพ่อบ้านหยงเปิดออก  จากนั้นร่างในชุดขาวราวหิมะก็เยื้องย่างเข้ามาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ  แขกทั้งคู่ที่อยู่ในห้องพอเห็นสตรีที่เข้ามาก็อดนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่งมิได้  ส่วนนางพอเห็นพวกเขาทั้งสองกลับจดจำได้ในทันที  ทั้งยังส่งรอยยิ้มราวดอกไม้แรกแย้มให้พวกเขาอีกด้วย

    “น่าประหลาดจริง  พวกท่านหลงทางอีกแล้วหรือ...”  นางเดินเข้ามาจ้องใบหน้าหล่อเหลาและสบดวงตาพญาอินทรีของเขา  ที่ตอนนี้พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกท้อแท้และเจ็บใจเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ

     

    ที่แท้สตรีผู้นี้ก็เป็น นาง!  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×