คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ / ตอนที่ 1 พบหน้า
บทนำ
สามสิบปีหลังจากผ่านพ้นยุคสงคราม แคว้นเฉียนได้องค์จักรพรรดิองค์ใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ จักรพรรดิเฉินซื่อจวินที่ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุได้สิบสอง จนตอนนี้ย่างเข้ายี่สิบแปดชันษา ทรงผัดผ่อนการอภิเษกสมรสมาได้หลายปี ก็ถูกพระพันปีกดดันให้จำเป็นต้องกำหนดวันอภิเษกขึ้นกับคู่หมั้นเพียงคนเดียวของเขาที่จักรพรรดิองค์ก่อนหรือก็คือพระบิดา ได้จับตนหมั้นหมายกับนางตั้งแต่ยังอยู่ในท้องพระมารดา บิดาของนางเป็นเสนาบดีที่ได้รับยศขั้นอ๋อง เป็นบุคคลที่พระบิดาของเขาไว้ใจอย่างมาก และได้อ๋องผู้นี้ผลักดันขึ้นให้เขาเป็นรัชทายาท เรียกได้ว่าหากไม่มีการหมั้นหมายนี้ ตำแหน่งจักรพรรดิอาจตกอยู่ในมือผู้อื่นที่ไม่ใช่เขาก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม หรือนางจะหน้าตาอัปลักษณ์ขัดตาเช่นไรก็ตาม การอภิเษกสมรสก็จะต้องเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้เลยยกเว้นแต่ว่า
‘…หากภายหลังบุตรีชินอ๋องไม่เห็นด้วยกับการอภิเษก ก็ให้เพิกถอนราชโองการฉบับนี้....’
นี่คือส่วนหนึ่งในข้อความในพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อน มอบให้จักรพรรดิเฉินซื่อจวิน
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีพระนามว่าเฉินซื่อจวิน ทรงหนุ่มแน่นและเชี่ยวชาญกลยุทธ์การศึกการปกครอง ทั้งช่วงก่อนและหลังขึ้นครองราชย์ ข้างกายพระองค์ล้วนเต็มไปด้วยสุรานารีและมิตรสหาย ครบสูตรบุรุษเสเพลโดยแท้ หลังผ่านพ้นสงคราม บ้านเมืองเริ่มสงบร่มเย็น พระพันปีกลับบีบบังคับให้พระองค์แต่งงาน แล้วผู้ใดจะยอมถูกคลุมถุงชนกันเล่า สตรีงามมากมายแม้มิได้ต้องการแต่พระองค์ก็มีไม่ขาดมือ สตรีงามสะคราญ หรืองามล่มเมืองพระองค์ก็เคยเห็นเคยลิ้มรสมาหมดแล้ว ไหนเลยจะใส่ใจกับสตรีที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นแต่กลับไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ตัวพระองค์ทั้งหล่อเหลาทั้งยิ่งใหญ่มีอำนาจเหนือใคร อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีผู้ใดกล้าบีบบังคับ หากไม่เพราะราชโองการของพระบิดา พระองค์จะยกเลิกการหมั้นหมายนี้เสียเลยก็ยังได้...
เฉินซื่อจวินเป็นจักรพรรดิที่ทั้งอวดเก่งและถือดี ทั้งเย่อหยิ่งและจองหอง แต่เพราะพระองค์ปรีชาสามารถอย่างแท้จริง นี่จึงไม่ถือเป็นการอวดอ้างจนเกินไปนัก หากไม่เพราะมีสตรีที่เป็นคู่หมั้นหมายผู้นั้นค้ำคออยู่ ป่านนี้คงรับพระสนมเต็มพระราชวังไปหมดแล้วกระมัง สตรีที่เขาให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ว่าจะรับเข้าวังภายหลังนั้นมีทั่วไปหมด ไปว่าไปที่ไหนจักรพรรดิองค์นี้ก็ชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อย ขอเพียงถูกพระทัยเท่านั้น
ส่วนคู่หมั้นของพระองค์เป็นบุตรีของอ๋องเจิ้ง นามว่าเจิ้งอี้จิง บิดาของนาง อ๋องเจิ้งทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและเป็นกำลังสำคัญ แม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่งงานกับบุตรีของเขาที่พระองค์ได้ยินมาว่านางไม่มีอะไรโดดเด่นแม้แต่น้อย แต่ก็ยังต้องเกรงใจอ๋องเจิ้งผู้นี้อยู่ส่วนหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงวางแผนให้การแต่งงานนี้ถูกยกเลิกโดยวิธีที่นุ่มนวลมากที่สุด
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตัดสินพระทัยออกเดินทางไปยังจวนอ๋องเจิ้งที่อยู่เมืองต้าลี่แบบการลับ ไม่ได้ไปพบอ๋องเจิ้งหรอก แต่พระองค์ไปพบบุตรีของคนผู้นั้นที่พำนักอยู่มาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งบัดนี้ ก็เพื่อให้เจิ้งอี้จิงทำให้พระองค์เป็นอิสระ ให้นางปฏิเสธการอภิเษกครั้งนี้เสียให้ได้!
ตอนที่ 1 พบหน้า
ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาถึง สายลมพัดแรงทำให้ดอกไม้ร่วงหล่นลงมาจากต้น โปรยไปบนพื้นดินตามเส้นทางที่สตรีร่างเล็กแบบบางผู้หนึ่งย่างก้าวไปทีละน้อย นางกางแขนรับสายลมและดอกไม้ กิริยาท่าทางดูราวกับกระต่ายป่าน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง นางสวมชุดขาวราวหิมะ เส้นผมดำขลับปล่อยยาวสยายไร้เครื่องประดับตกแต่ง ใบหน้าน่ารักผุดผ่อง นางไม่ได้งามสะคราญปานล่มเมือง เห็นครั้งแรกอาจไม่มีใครรู้สึกประทับใจตราตรึง แต่รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของนางก็ทำให้คนที่พบเห็นผ่อนคลายได้เสมอ ‘แม้ไม่งามเฉิดโฉม แต่งามดั่งบุปผาชาติ’
ทิวทัศน์ธรรมชาติของเมืองต้าลี่งดงามนัก เจิ้งอี้จิงนั่งลงเปลือยเท้าอันขาวผ่องแตะผิวน้ำเล่นอย่างเพลิดเพลิน ในยามปกตินางจะออกมาเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจในป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้เสมอ เจ้าขนฟูคือเจ้ากระรอกบินที่ค่อนข้างเชื่องกับนางนัก ยามที่นางบุกป่าฝ่าดงมาถึงที่นี่ มันจะต้องบินออกมาต้อนรับราวกับรู้ว่านางมาหามันกระนั้น
เจิ้งอี้จิงนั่งนับครอบครัวของมันที่พากันออกมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวนางสลอน “เจ้าขนฟูหนึ่ง เจ้าขนฟูสอง เจ้าขนฟูสาม...”
ขณะนั้นเองที่ป่าฝั่งตรงข้ามกลับมีเสียงดังซวบซาบ เสียงดังมาจากพงป่าด้านข้างน้ำตกพาให้กระรอกพวกนั้นหนีหายไปหมด เจิ้งอี้จิงหรี่ตาลงด้วยความระแวดระวังไม่เคลื่อนไหว ไม่นานก็เห็นร่างของคนจำนวนหนึ่งโผล่พ้นป่าเข้ามายังริมลำธาร นางเห็นขบวนรถม้า ทั้งยังมีบุรุษที่นั่งบนหลังม้าอีกสี่ตัวคอยคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ คนทั้งสี่คนรูปร่างองอาจผ่าเผย ที่ตัวของเขาเหน็บกระบี่คุ้มครองกายประจำตัว เห็นแล้วทำให้รู้สึกได้เลยว่า บุคคลที่อยู่ในเกี้ยวนั้น คงจะเป็นคนที่มีความสำคัญมาก จึงต้องใช้คนมากมายเพียงนี้คอยปกป้องคุ้มครองกาย
พอมาถึง พวกคนทั้งสี่ต่างจ้องมองนางเป็นตาเดียวกัน พวกเขาลงจากหลังม้า มีคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเดินเข้ามา เขาสวมชุดดำทั้งชุด แลดูผมเพ้านั้นถูกรวบมัดไว้เรียบร้อย มือของเขาไม่ห่างจากกระบี่เท่าใดนักขณะที่เอ่ยปากพูด
“แม่นาง... เจ้าเป็นชาวบ้านแถวนี้ใช่หรือไม่ ช่วยบอกทางไปยังหมู่บ้านใกล้ ๆ ให้พวกเราหน่อยเถอะ” เขาบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อีกประเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว เขากับคุณชายจะต้องหาที่พักที่ปลอดภัยก่อน การที่จู่ ๆ มาพบสตรีแปลกหน้าในสถานที่แบบนี้ ช่างเป็นเรื่องแปลก ทางที่ดีพวกเขาควรระวังนางเอาไว้ด้วยจะปลอดภัยกว่า
ส่วนแม่นางผู้แปลกประหลาดผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นค่อยก้าวขาขึ้นจากน้ำ ทว่านางมิได้สวมถุงเท้า บุรุษพวกนั้นจึงพากันหันหน้าหนีอย่างรู้อะไรควรมิควร ทว่ากลับทำให้คนที่สมควรอายอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ นางไม่ได้เปลือยกาล่อนจ้อนเสียหน่อย เพียงแค่เปลือยข้อเท้าพวกเขาก็อายเสียแล้ว นางเพียงคิดแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป พลางหันไปมองคนในเกี้ยวที่ไม่ยอมลงมาตั้งแต่เมื่อครู่ ‘คนผู้นั้นไม่อึดอัดหรือยังไงนะ’
“คุณชาย จะเดินทางต่อหรือจะพักก่อนสักครู่ขอรับ” เขาถามคนในเกี้ยว แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจแทน จากนั้นประตูเกี้ยวก็พลันเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างามเด่นชัด ทั่วทั้งใบหน้าประกอบกันได้อย่างเข้ารูปโดยไม่มีส่วนไหนบกพร่องแม้แต่น้อย โดยเฉพาะคิ้วเข้มรับกับดวงตาแวววาวที่เรียวสวยได้รูป สันจมูกโด่งพอประมาณดูสง่า ริมฝีปากบางสีแดง ที่พออยู่บนใบหน้าขาวสะอาดของเขาทำให้ยิ่งมองแล้วรู้สึกยิ่งโดดเด่น บุคลิกโอ่อ่าผ่าเผยที่ปรากฏขึ้นนั้น ข่มความสง่างามของบุคคลอื่นที่คอยติดตามรับใช้ แม้ว่าตัวตนของเขาจะอยู่ในชุดสามัญชนธรรมดาก็ตาม กระทั่งผ้าไหมปักลายเลื่อมที่ใช้ตัดผ้า ก็ยังได้แสดงได้ถึงฐานะอันร่ำรวยสูงส่งของเขาอีกขั้นหนึ่ง พอหันไปเห็นสตรีที่กำลังจ้องมองเขาตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นนั้นแล้ว ก็อดพิจารณาทั่วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าตามประสาชายหนุ่มมิได้
แม่นางผู้นี้นั้น ช่าง...ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นชาวบ้านแถวนี้หรอกหรือ... อา เพราะเหตุใดเขาจึงคิดว่าจะพบนางไม้ผู้งามสะคราญในป่าดงดิบเช่นนี้ได้กันนะ ช่างไร้สาระเสียจริง...
คนผู้นี้คิดพลางเอาพัดที่ตนเองถืออยู่เคาะศีรษะตนเองเบา ๆ
“ข้าอยากพักสักหน่อย” เขาเอ่ยปาก จากนั้นหันไปหาสตรีนางนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตัวนางกำลังสวมถุงเท้ารองเท้าแสดงว่าเมื่อครู่เจ้าพวกนี้คงเห็นเรือนเท้าอันขาวผ่องของนางไปแล้วล่ะสิ...
“แม่นาง... หมู่บ้านที่เจ้าอยู่ อีกไกลไหมกว่าจะไปถึง” เขาถามไปแววตาก็โปรยเสน่ห์ไปตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ แต่ดวงตากลมโตของนางกลับไม่มีวี่แววว่าจะติดกับ นางเอาแต่จ้องมองเขาราวกับเห็นเขาเป็นของแปลกประหลาดกระนั้น
“แม่นาง...” เขาย้ำอีกครั้ง สงสัยนางจะหูตึงกระมัง “ข้าถามเจ้า... ไม่ได้ยินหรือ”
“คุณชายถามเจ้าทำไมไม่ตอบ!” องครักษ์คนสนิทอดตวาดใส่นางที่เสียมารยาทมิได้ เสียงของเขาทำให้นางตกใจกลัวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แววตาของนางราวกับสัตว์ป่าที่กำลังตัดสินใจว่าจะวิ่งหนีไปทางไหนดี
“เจ้าทำให้นางกลัวนะ เฉาเฟย” ผู้เป็นนายส่งเสียงตำหนิ พลางแย้มยิ้มให้แม่นางขี้กลัวผู้นั้นอีกครั้ง
“ข้าแค่อยากรู้ว่า จะต้องใช้เวลาเดินทางอีกนานหรือไม่ ข้ามีธุระอยากจะรีบไปรีบกลับ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง เห็นนางก้มลงเอียงอายนิด ๆ พลางชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว ก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“สองลี้... โอ ไม่นานก็คงถึงแล้วสินะ” เขาอดโล่งใจมิได้ ทว่านางกลับสั่นศีรษะ พลางสวนกลับว่า
“สองชั่วยาม... จากนี้ไปสองชั่วยามจะถึงหมู่บ้าน” น้ำเสียงเล็กสดใสปานระฆังทองของนางกลับไม่ได้ช่วยทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นเลย สองชั่วยามช่างยาวนานนัก
“เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ!” เขาอารมณ์เสียทันทีไม่คิดรั้งอยู่ต่อ พลางเดินกลับไปขึ้นเกี้ยวตามเดิมไม่สนใจจะกล่าวอะไรกับสตรีโง่เง่าเช่นนี้อีก ส่วนคนชุดดำก็ตัดบทหันมาบอกนางให้นำทางพวกตนทันที
แม้นางจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างที่คนพวกนี้ อยู่ ๆ ก็โผล่มา ทำให้นางที่กำลังเพลิดเพลินกับเจ้าขนฟูต้องถูกขัดจังหวะ ทว่าพอเอ่ยถามทางนางก็อุตส่าห์ตอบให้ แล้วยังมีหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาบอกให้นางนำทางไปเสียอีก หากไม่เพราะพวกเขาแต่งกายสภาพเรียบร้อยอย่างคนมีฐานะ นางคงจะคิดว่าพวกเขาเป็นโจรป่าไปเผ่นแนบไปนานแล้ว พวกเขาบอกให้นางไปนางก็จะไป ทว่านางแค่อนุญาตให้ร่วมเดินทางเท่านั้น หากพวกเขารีบไปก็เชิญนำไปก่อนได้เลย
ระหว่างทางคนนำทางเดินเชื่องช้าอย่างยิ่ง นางเดินไปเล่นกับต้นไม้ใบหญ้าไป เฉินซื่อจวินไม่แปลกใจเลยที่นางจะบอกว่าสองชั่วยาม เพราะเดินช้าเป็นเต่าคลานเช่นนี้เองน่ะสิ! คนในเกี้ยวอดรนทนไม่ไหวตั้งท่าจะระเบิดอารมณ์ใส่นางเสียอย่างนั้นทว่าพอเห็นท่าทางสนุกสนานร่าเริงของนางที่แสดงออกมา ตัวเขาก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้
กระต่ายน้อยตัวนี้ กลัวว่าหากทำให้กลัวก็จะเผ่นหนีเตลิดไปเสียก่อนทำให้เขากับขบวนเกี้ยวหลงทางอยู่ในป่านี้อีกนาน จึงได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอง
“เจ้ารีบเดินหน่อยได้หรือไม่.... หากฟ้ามืดแล้วจะทำเช่นไร” เขาอุตส่าห์เลิกผ้าม่านออกมาคุยกับนางที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติ นางหันไปทำหน้าเบ้ใส่เขานิดหน่อยพลางว่า “ข้าไปกลับเช่นนี้ทุกวัน หินสักก้อนก็ไม่เคยสะดุด ท่านไม่ต้องกังวลหรอก”
อา...นางกลับคิดว่าเขากังวลห่วงใยนาง เขาห่วงตัวเองจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่พาลเชือดนางทิ้งเสียกลางทางต่างหากเล่า!
“นางใช่เสียสติหรือไม่...” เขาหันไปกระซิบถามคนชุดดำข้างกาย คนผู้นั้นไม่ตอบได้แต่มีสีหน้าคลางแคลงใจ เสียสติหรือไม่คงต้องรอให้ถึงหมู่บ้านเสียก่อนจึงจะสามารถสรุปได้กระมัง
สองชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็มองเห็นประตูเมืองต้าลี่อยู่ไม่ไกลแล้ว เฉาเฟยจึงรีบขอแยกจากคนนำทางทันทีด้วยความรวดเร็ว
“นี่รางวัลจากคุณชาย...รับไปสิ” คนชุดดำมอบทองคำให้นางก้อนหนึ่ง เจิ้งอี้จิงมองทองคำที่รับมาอย่างงุนงง จากนั้นพวกเขาก็รีบตีจากไปโดยเร็วไม่มีขอบคุณซักคำ ทำให้นางอดถอนหายใจด้วยความระอาไม่ได้
พวกคนในเมืองใหญ่มารยาททรามเช่นนี้เลยหรือ? นางมองตามหลังขบวนรถม้าที่จากไปแล้วก็อดคิดถึงชายผู้สวมหน้ากากรอยยิ้มไม่ได้
บุรุษผู้นั้นช่างเป็นคนที่ตลกเสียจริง เห็นชัดว่าตนเองไม่อยากยิ้มออกมาแท้ ๆ ก็ไม่เห็นต้องยิ้มให้นางเสียหวานจ๋อยขนาดนั้นก็ได้ คิดพลางนางก็แกว่งกิ่งดอกหญ้าที่เด็ดมาจากข้างทางเล่น จากนั้นค่อยก้าวเท้าอันเชื่องช้ากลับไปยังบ้านของตัวเอง
จวนอ๋องเจิ้งกว้างขวางและเต็มไปด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามนัก กระทั่งของประดับตกแต่งยังดูธรรมดาไปหน่อย ไม่มีเครื่องเคลือบราคาแพง ไม่มีงานไม้แกะสลัก ทุกอย่างช่างเป็นของพื้น ๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความพิถีพิถัน แม้แต่ถ้วยชาที่ใช้รับแขกคนสำคัญยังทำจากไม้หอม
ถึงไม่น่ามองแต่ก็น่าอภิรมย์นัก คนที่มาคิด...
เป็นเพราะเจ้าของบ้านออกไปข้างนอกยังไม่กลับ พวกเขาที่อุตส่าห์ถามที่อยู่จากคนในชุมชนแล้วคลำมาจนถึงที่อดรู้สึกท้อแท้มิได้ เพราะเหตุใดวันนี้ไม่ว่าจะคาดการณ์สิ่งใดก็ผกผันไปเรื่อย ไม่ตรงตามที่คิดสักอย่างพาลให้คนหงุดหงิด
เฉินซื่อจวิน คาดว่าจะเข้ามาถึงเมืองต้าลี่ได้อย่างสะดวกรวดเร็วเพราะถนนหนทางเรียบเรื่อยโปร่งสบาย ไม่รู้เพราะอะไรจู่ ๆ ก็มีหมอกจัดลงกลางทางทำให้ขบวนของเขาพลัดหลงเข้ามากลางป่า จนได้พบกับสตรีประหลาดผู้นั้น พอให้นางช่วยนำทาง ฝีเท้าของนางก็จัดว่าเชื่องช้าเสียจนทำให้กำหนดการต่าง ๆ ของเขาผิดพลาดไปหมด ทันทีที่คิดว่าตนเองมาถึงแล้วจะได้พูดคุยกับบุตรีอ๋องเจิ้งผู้นั้นให้รู้เรื่องแล้วเดินทางกลับในทันที กลับกลายเป็นว่าขบวนของเขาจะต้องค้างเติ่งอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน
“ข้าน้อยจะไปเตรียมห้องพักในเมือง ใต้เท้าเฉินโปรดรอที่นี่...” พ่อบ้านหยงกล่าวอย่างนอบน้อม คนที่มาอ้างว่าเป็นตัวแทนจากในวังแซ่เฉิน ทั้งยังมีตราสัญลักษณ์เป็นหลักฐาน ถึงเขาจะไม่เต็มใจต้อนรับคนแปลกหน้าที่มาอย่างกะทันหันเช่นนี้เท่าไหร่ แต่กับคนผู้นี้เขาไม่ต้อนรับเห็นจะไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนคนฟังก็หันไปพิจารณาพ่อบ้านของจวนอ๋องอย่างเต็มที่ พ่อบ้านผู้นี้รู้จักมารยาทและกาลเทศะเป็นอย่างดี แทนที่จะเชิญให้พักในจวนนี้ แต่เพราะเจ้าบ้านเป็นสตรีเพียงลำพัง จึงจัดแจงให้แขกไปอยู่ข้างนอก ทว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่พ่อบ้านผู้นี้จะต้องมาเสียเวลา เพราะเขาคิดเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
“ไม่จำเป็น... คนของข้าจะดูแลเรื่องที่พักให้ข้าเอง” เขาบอก พ่อบ้านหยงจึงขอตัวออกไปทำงานอย่างอื่น ให้ใต้เท้าผู้นี้ที่ยืนยันว่าจะรอพบเจ้าของจวนให้ได้นั้นอยู่ต่อ โดยทิ้งสาวใช้เอาไว้หนึ่งคนให้คอยดูแลปรนนิบัติ
เฉินซื่อจวินจ้องมองสาวใช้ผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปร่างของนางค่อนข้างสมส่วนมีน้ำมีนวล ส่วนที่สมควรเต่งตึงก็เต่งตึง ส่วนที่สมควรโค้งเว้าก็โค้งเว้า ใบหน้ารูปไข่งดงามน่ารัก ดวงตาหงส์แทบจะกัดกินพื้นที่ในหัวใจให้ทรมานเล่น แล้วทำไมเขาจะต้องทนทรมานด้วยเล่า เช่นนั้นขอเขาแหย่สาวใช้ผู้นี้เพื่อฆ่าเวลาเล่นสักหน่อยเถิด
“ใต้เท้าประสงค์สิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ...” นางเอ่ยปากถาม พลางช้อนสายตามองเขาอย่างเย้ายวน ตัวเขาเป็นถึงชนชั้นสูงทั้งยังรูปงาม แววตาที่มองนางเหมือนจะกลืนนางลงท้องไปในคราวเดียวกระนั้นทำไมนางจะไม่รู้ ตัวนางนั้นมีรูปกายเย้ายวนหอมหวานแค่ไหนนางรู้ดีที่สุด ทว่าจะติดก็แต่ที่คนผู้นี้มาจากในวัง... หากนางพลั้งมือไปทำอะไรเสียหายเข้า คุณหนูของนางจะเสื่อมเสียเอาได้ ดังนั้นหยุดมือเสียก่อนจะดีกว่า...
จู่ ๆ แววตาเย้ายวนของนางที่วาววามก็แวบดับไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงสีหน้าสงบเสงี่ยมและรอคอยให้เขาเอ่ยปากสั่งงานนางเท่านั้น
เฉินซื่อจวินเห็นนางทำสีหน้าเฉยเมยก็ไม่สบอารมณ์นัก จึงเอ่ยถ้อยคำหวานเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก
“ข้าแค่ชอบที่เจ้ารูปงาม ทั้งยังงามอย่างไม่ปกปิดอีกด้วย...” สายตาของเขาเล้าโลมนางไปทุกส่วน จนนางสัมผัสได้ “แม่นางนามว่ากระไรหรือ” เขาเอ่ยปากถาม
“ชื่อเสี่ยวถงถงเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างสุภาพ
กระต่ายงั้นหรือ... นึกถึงกระต่ายก็พลันนึกถึงสตรีประหลาดคนนั้นไปด้วย! เขาสะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อลบความคิดชั่วแวบออกไป พลางพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง “ช่างน่ารักน่าชังนัก”
เขาหยอดคำพูดหวานหูก่อน จากนั้นค่อยคิดรวบหัวรวบหาง ดูท่าวันนี้คงได้รับประทานกระต่ายน้อยตัวนี้คั่นเวลาแน่แท้ แม่กระต่ายสาวก็ช่างเย้ายวนเขานัก เขาเห็นสายตาที่เชิญชวนของนาง พลันสบตานางที่หวานปานน้ำผึ้งนั้นแล้วยื่นมือไปรวบตัวนางเข้ามากอดไว้แนบอกทันที ทว่า...ตัวนางยังไม่ทันจะถึงอ้อมอกของเขา องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็ออกมาขวางไว้เสียก่อน...
โถ่ คนกำลังจะลงมือรับประทานดันมาขวางเสียได้!
“คุณชายระวังด้วย!” เขาร้องพลางชักกระบี่ออกชี้หน้านาง กระต่ายสาวผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลางแสยะยิ้ม
“มียอดฝีมือมาคุ้มครองเช่นนี้ ดูท่าท่านจะสำคัญไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ...” นางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบดูไม่ร้อนใจกับคมกระบี่สักนิด
“น้ำเสียงของสาวใช้ที่นี่ดูจะถือดีเกินไปหน่อยกระมัง” คนชุดดำกล่าวเสียงเข้ม แต่สีหน้าของคุณชายกลับเรียบเรื่อยไร้อารมณ์
“ข้ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เจ้ามาขวางเอาไว้ทำไม” เขาบ่นอดเสียดายมิได้พลางหันไปมองอีกฝ่าย ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าในมือของนางมีอะไร “เจ้าคิดจะใช้เข็มเล็กกระจ้อยร่อยนั่นทิ่มแทงข้างั้นหรือ” เฉินซื่อจวินเอ่ยเสียงนิ่มนวล ไม่มีทีท่าโกรธเคืองแม้แต่น้อย สาวใช้รูปงามชักสีหน้าคราหนึ่งจากนั้นพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานพลางว่า
“เข็มนี้เคลือบยาสลบเอาไว้เท่านั้น... ไม่ทำให้ถึงตายหรอก ให้ข้าน้อยทำให้คุณชายสบายเถอะนะเจ้าคะ” นางเอ่ยพลางแลบลิ้นเลียเข็มพิษ แล้วใช้สายตาดุร้ายจ้องมองเขาราวกับจะเขมือบเขาลงไปเสียเดี๋ยวนั้น
“คุณชาย... ระวังด้วย นางเป็นยุทธฝ่ายมาร” คำพูดของคนชุดดำทำให้นางหัวเสียยิ่ง
“เหลวไหล... ข้าเป็นมารแล้วเจ้าเป็นเทพหรือไร เพ้อเจ้อไร้สาระ” วรยุทธไม่อาจแบ่งแยกฝักฝ่าย คนผู้นี้ตั้งใจกล่าวหานางชัด ๆ เสี่ยวถงถงคิด
ท่าทีตอนที่สวนกลับนั้น ดูเย่อหยิ่งถือดีแท้ ๆ ทว่าพอพูดจบ ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางเก็บเข็มพิษพลางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็กลับไปทำท่าสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้องตามเดิม ทำราวกับเมื่อครู่ไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น กิริยาของนางเกิดขึ้นรวดเร็วจนทำเอาผู้สูงศักดิ์ทั้งสองรับแทบไม่ทัน และในตอนนั้นเอง พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าประหลาดกำลังเดินมาทางห้องรับรอง ทั้งยังตามมาด้วยฝีเท้าของพ่อบ้านหยง จึงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ที่แท้สาวใช้ผู้นี้ก็มีประสาทหูที่ดียิ่งนัก วรยุทธของนางคงจะล้ำเลิศมากทีเดียว อยากรู้นักว่าเจ้านายของนางมารร้ายผู้นี้จะมีรูปโฉมและหน้าตาเป็นเช่นไร
ประตูห้องรับรองถูกพ่อบ้านหยงเปิดออก จากนั้นร่างในชุดขาวราวหิมะก็เยื้องย่างเข้ามาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แขกทั้งคู่ที่อยู่ในห้องพอเห็นสตรีที่เข้ามาก็อดนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่งมิได้ ส่วนนางพอเห็นพวกเขาทั้งสองกลับจดจำได้ในทันที ทั้งยังส่งรอยยิ้มราวดอกไม้แรกแย้มให้พวกเขาอีกด้วย
“น่าประหลาดจริง พวกท่านหลงทางอีกแล้วหรือ...” นางเดินเข้ามาจ้องใบหน้าหล่อเหลาและสบดวงตาพญาอินทรีของเขา ที่ตอนนี้พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกท้อแท้และเจ็บใจเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ
ที่แท้สตรีผู้นี้ก็เป็น นาง!
ความคิดเห็น