แมวหลง - แมวหลง นิยาย แมวหลง : Dek-D.com - Writer

    แมวหลง

    ผมไม่รู้จะนิยามมันว่ายังไงดี แมวหลง แมวอพยพ แมวย้ายถิ่น แมวพเนจร แมวแสวงหา หรือแมวนักเดินทาง เพราะดูยังไงมันก็ไม่ใช่แมวเร่ร่อน แมวจรจัด แมวข้างถนน หรือแมวขโมย

    ผู้เข้าชมรวม

    193

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    193

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ส.ค. 54 / 07:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผมเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง

       

      ไม่ใช่สิ! ผมควรจะพูดว่า ที่บ้านผมมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นแมวไม่มีหัวนอนปลายตีน ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน อยู่ๆ  มันก็มาร้องอ้อนขอแม่กิน ที่นี้พอให้กินครั้งแรก ก็กลายเป็นเหมือนพันธะสัญญาว่าแม่จะต้องขุนเลี้ยงมันไปตลอด ถึงคราวหิวมันก็จะโผล่มาร้องเสียงแหบเสียงแห้ง บอกให้รู้ว่าได้เวลาให้อาหารมันแล้วนะ ถ้ายังไม่ให้ มันก็จะเดินตาม พันแข้งพันขา บางทีไหนหิวจัด หมดแรงตื๊อ ก็ใช้วิธีไปนั่งรอที่ถาดอาหารประจำตัวของมันก็มี

       

      ผมไม่รู้จะนิยามมันว่ายังไงดี แมวหลง แมวอพยพ แมวย้ายถิ่น แมวพเนจร แมวแสวงหา หรือแมวนักเดินทาง เพราะดูยังไงมันก็ไม่ใช่แมวเร่ร่อน แมวจรจัด แมวข้างถนน หรือแมวขโมย ผมเชื่อว่ามันต้องมีเจ้าของ และก็คงจะมีชื่อเรียกเหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่เมื่อเราไม่รู้ชื่อเดิมของมันก็ต้องตั้งชื่อให้มันใหม่ซึ่งไม่ง่ายเลย ถ้ามันมีลักษณะพิเศษสักหน่อย เช่น หัวโต ขนยาว หางฟู ตัวลาย เราก็อาจจะเรียกมันว่า ไอ้โต ไอ้ปุย ไอ้ฟู ไอ้ลาย แต่นี่มันเป็นแมวธรรมดาๆ สีโทนเดียวตลอดตัว ไม่มีลักษณะเด่น ไม่เห็นอะไรสะดุดตา ค่าที่มันเป็นแมว แม่ก็เลยเรียกมันว่า  “เหมียว”

       

      ตอนเจ้าเหมียวมาอยู่ใหม่ๆ มันทำตัวมีประโยชน์มากทีเดียว เรียกว่าเลี้ยงไม่เสียข้าวสุกสุก(คลุกปลาทู) ตอนกลางวันมันจะคอยไล่นกที่บินเข้ามาในบ้าน นกที่ว่านี้มีตั้งแต่นกระจิบ นกกระจอก นกเอี้ยง นกขุนทอง นกกางเขน นกกาเหว่า นกเขา นกพิราบ ลำพังเข้ามาแล้วออกไปก็พอทำเนา แต่พวกเล่นก่อความรำคาญเดือดร้อนแบบไม่เกรงใจเจ้าของบ้านด้วยการทำรังบ้าง ขี้รดพื้นบ้าง จิกตีกันบ้าง ไล่ได้เป็นพักๆ ขนาดจุดประทัดไล่ก็แค่ทำให้แตกตื่นออกไปบินวนเวียนดูเชิง เผลอก็กลับมาใหม่

       

      แต่พอมีเจ้าเหมียว คราวนี้คนไม่ต้องเหนื่อยไล่แล้ว กลายเป็นหน้าที่ของมันที่จะจัดการแทนโดยไม่ต้องบอก บ่อยครั้งที่มันกระโจนจับได้และสำเร็จโทษตามที่มันเห็นสมควร ที่พูดอย่างนี้เพราะผมเห็นว่าบางตัวมันกินทันที บางตัวมันตะปบเล่นอยู่พักใหญ่ บางตัวมันคาบเดินไปทั่วบ้านคล้ายจะแสดงให้พวกนกนอกบ้านเห็นและเกิดความหวาดกลัวเข็ดหลาบ ถ้าจะตีเป็นคำพูดก็คงจะประมาณว่า

       

      พวกแกอย่าได้สะเออะเข้ามาขี้รดถิ่นข้าอีกนะ ไม่งั้นจะโดนดีแบบเจ้าตัวนี้

       

      นี่ผมคิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ได้ผลจริงๆ หลังจากเหมียวมาอยู่ด้วยไม่นาน ปัญหานกบินเข้าบ้านก็หมดไป แม่ก็ไม่ต้องคอยเป็นภาระตามปัดกวาดเช็ดถูขี้นกอีกต่อไป ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่มันสร้างความประทับใจให้กับทุกคนในบ้าน

       

      ตกกลางคืนตามสัญชาติแมวทั่วไปจะตาสว่างออกหากิน เจ้าเหมียวก็เช่นกัน ช่วงเวลาที่คนในบ้านเข้านอน มันจะไล่จับหนู และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ออกมาเพ่นพ่านภายใมบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแมลงสาบ จิ้งจก อึ่งอ่าง คางคก รวมทั้งตุ๊กแก

       

      ผมจำได้ว่าเกือบทุกคืนจะได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องอยู่ตามขื่อคาที่ไหนสักแห่งในบ้าน เสียงตุ๊กแกนี่ถ้าฟังตอนพลบค่ำก็ยังพอสู้ แต่หากได้ยินยามวิกาลท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดวังเวงเป็นต้องทำเอาผมขนลุกซู่ทุกที  ทว่า ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย หลังจากมีเจ้าเหมียวเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน

       

      แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากเหมียวสร้างวีรกรรมปราบนกสำเร็จ มันก็หันมาหาเป้าหมายใหม่คือ ตุ๊กแก

       

      แม่เล่าให้ฟังว่า มันกระโดดจากพื้นขึ้นไปพักบนขื่อใต้เพดาน แล้วมุดหายเข้าไปในช่องใต้หลังคา

      “มันกระโดดได้สูงขนาดนั้นเลยหรือแม่” ผมสงสัย

      “มันเป็นแมวมันก็ต้องมีวิชาตัวเบาสิ” แม่พยายามจะอธิบายเชิงเหตุและผล

      “แล้วไงต่อ” ผมถาม

      “ไม่รู้ มองไม่เห็น”

       

      ผมเลยต้องจินตนาการต่อเอาเองว่า ในช่องใต้หลังคานั้น เหมียวคงมองเห็นเหยื่อของมันเกาะนิ่งคล้ายหลับอยู่ จากนั้นมันก็คงใช้วิชาตีนแมวค่อยๆย่องเบาเข้าไปหาระยะที่ห่างพอกระโจน รอจังหวะที่ตุ๊กแกกำลังบังคับกระบังลมสร้างแรงดันผ่านหลอดลมเพื่อเปล่งเสียง

       

      “ตั่บ ๆๆๆๆๆๆ ตุ๊ก” ไม่ทันที่เจ้าตุ๊กแกตัวนั้นจะร้องจบ เหมียวก็กระโดดถึงตัวมัน กางกรงเล็บตะปบเข้าที่กลางหลัง  ก่อนจะอ้าปากงับลงไปที่ส่วนหัว คาไว้อยู่อย่างนั้น รอจนตุ๊กแกเคราะห์ร้ายหมดแรงดิ้นรนจากการขาดอากาศหายใจแล้ว มันจึงอ้าปากทำทีว่าจะคลาย แต่ชั่วเวลาไม่ทันกระพริบตาปากที่อ้านั้นก็งับปิดลงอย่างเร็วและแรง พลันร่างเหยื่อกระตุก หางตวัดไปมาบอกอาการเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ฝ่าตีนทั้งสี่เกร็งสั่น ก่อนจะแน่นิ่ง ปิดฉากการไล่ล่าระหว่างสัตว์หน้าขนกับสัตว์ตัวลายพร้อย

       

      แม่เล่าว่าเจ้าเหมียวคาบตุ๊กแกเดินไปเดินมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมุดเข้าใต้ถุนซึ่งเป็นเซฟเฮ้าส์ส่วนตัวของมัน ไม่มีใครรู้ว่ามันมีวิธีกินตุ๊กแกยังไง จะกินทั้งตัว หรือถลกหนังออกเลือกกินแต่เนื้อ ส่วนไหนที่มันชอบที่สุด หัว พุง หรือหาง

       

      นึกแล้วสยอง แต่อีกใจหนึ่งก็นึกชื่นชมในสัญชาตญาณนักล่าของมัน แล้วก็นึกไปถึงวาทะอมตะของอดีตผู้นำจีนเติ้งเสี่ยวผิงซึ่งเคยกล่าวว่า “แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ” แต่ผมคิดของผมเล่นๆว่า “แมวจับหนูได้ก็งั้นๆแหละ ขอให้จับตุ๊กแกได้ดีกว่า”

       

      เพราะเพิ่งจะอ่านเจอข่าวว่ากำลังเป็นที่ต้องการของตลาดสูงมาก มีนายทุนจากมาเลเซีย สิงคโปร์ แห่มากว้านซื้อเอาไปสกัดเอาเซลล์ทำยาต้านโรคมะเร็งและรักษาโรคเอดส์ เรียกว่ามีเท่าไหร่เหมาหมด แถมให้ราคาดีอีกด้วย ว่ากันตามน้ำหนักตัว ตัวล็กๆก็หลักร้อยหลักพัน ตัวหญ่ขึ้นมาหน่อยก็หลักหมื่น คิดดูสิแค่น้ำหนัก 4 ขีด ยังซื้อขายกันเป็นแสน หรือถ้าอยู่ระหว่างสี่ขีดกว่าถึงห้าขีดก็จะได้ราคาสูงถึงหลักล้าน และถ้า 5 ขีดขึ้นไปรับเหนาะๆ ตัวละ 10 ล้านเลยทีเดียว 

       

      เห็นข่าวนี้ผมก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ไหนๆก็ไหนๆ น่าจะฝึกเจ้าเหมียวให้มันจับตุ๊กแกเอามาให้แบบตัวเป็นๆ แล้วเอาไปขายนายทุน แค่เดือนละตัวก็น่าจะอยู่ได้สบายๆ เผลอได้ออกทีวีกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืนอีกต่างหาก

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×