the way
ผู้เข้าชมรวม
583
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ฉันก้าวลงจากขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสพลางยกมือขึ้นถูกับต้นแขนน้อยๆ
อากาศหลังฝนตกก็หนาวแบบนี้ล่ะค่ะ
ฉันเหลียวมองไปรอบๆ พลางสูดหายใจรับอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะสะดุดกึกและหยุดนิ่ง...
คล้ายกับกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในนิยายแห่งความฝันเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ เม็ดฝนตัวเล็กตัวน้อยวิ่งเต้นระบำตามท้องถนน แม้จะเป็นไปอย่างบางเบาแต่ก็สม่ำเสมอ
ในขณะเดียวกันกับที่สองตากำลังทอดมองธรรมชาติในเมื่องใหญ่ สองขาก็ไหลลื่นไปตามฝูงชนที่กำลังรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน
ใช้เวลาไม่นานนักร่างตัวเองก็มาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ขาประจำเข้าซะแล้ว
ละอองฝนยังคงตกใส่หัวอยู่พรำๆ พื้นทางเดินยังคงชื้นแฉะไปด้วยหยดน้ำ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็คล้ายดูจะเปียกไปนิดๆ
ฉันสะบัดเส้นผมไปด้านหลังเลียนแบบนางเอกมิวสิควิดีโอก่อนจะยื่นหน้าออกไปเพื่อมองหารถเมล์สายเดิม
เบอร์8
ระหว่างที่รออยู่สักพัก ก็มีรถตู้วิ่งเข้ามาจอดมากมาย ผู้คนไหลทะลักกันออกมาอย่างท้วมท้น บ้างก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส บ้างก็ลงไปรถไฟฟ้าใต้ดิน บางก็มายืนรอรถเมล์เช่นเดียวกับฉัน
และในกลุ่มยืนรอรถเมล์นั้น ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฎ
เธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้น มีกระเป๋าถือใบเล็กหนึ่งใบ และผมถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า
ร่างกายของฉันนิ่งสนิท สายตาจับจ้องไปยังเธอคนนั้นจนลืมหายใจ
หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นคนรูปร่างเพรียวบาง ตัวสูง และผิวสีแทน
เธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง สวยจนน่าจับตามองเลยทีเดียว ดูอายุแล้วก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่สาวของฉันนี่ล่ะ เพราะเธอดูยังไม่ใช่คนทำงานซะเท่าไร น่าจะเป็นนักศึกษามากกว่า
ขณะที่ฉันกำลังสำรวจตรวจตัวเธอพร้อมกับคิดวิจารณ์ไปต่างๆนานาภายในหัว เธอก็ยกมือขึ้นลูบเส้นผมน้อยๆคล้ายกับกำลังจะปัดละอองฝนให้พ้นออกจากตัว ก่อนที่สายตาของเราจะบังเอิญวิ่งมาชนกัน
เหมือนกับมีไฟฟ้าช็อตเข้าที่ใบหู
ฉันสะดุ้งก่อนจะเสมองไปทางอื่น
สายตาค่อยๆไล่มองรถคันแล้วคันเล่าที่ขับผ่านมาแล้วก็ขับผ่านไปเพื่อหวังว่าจะมีสักคันที่เป็นรถเมล์สาย8เบอร์เดิม
รออยู่ได้สักพัก รถเมล์เจ้าประจำก็เริ่มโผล่หัวออกมาร่ำไร
แขนข้างลำตัวถูกยกขึ้นเตรียมโบกอย่างอัติโนมัติ...
แต่ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นโบกได้เท่าไร ก็ถูกชิ่งตัดหน้าไปเสียเรียบร้อย
พี่สาวคนเมื่อกี้โบกมือน้อยๆ รถเมล์ก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าเธอ
สองขาของเธอก้าวขึ้นไปยังรถเมล์ ฉันจึงไม่รอช้าก้าวตามขึ้นไป
มันช่างบังเอิญ ที่เราได้ขึ้นรถคันเดียวกัน คนยืนรอรถเมล์เป็นสิบ แต่กลับมีแค่ฉันกับเธอคนนี้ที่บังเอิญต้องขึ้นคันเดียวกัน
ช่างเป็นความบังเอิญที่มีความสุขดีแท้
ฉันยืนเกาะราวรถเมล์ได้ไม่นานก็มีที่นั่งว่างพอให้ฉันหย่อนตัวลงไปนั่งได้
หลังจากหย่อนตัวลงเข้าประจำที่นั่งจนเสร็จเรียบร้อย ขยับตัวนิดบิดตัวหน่อยพอให้นั่งถนัดถนี่ ฉันก็เริ่มกวาดสายตามองหาเธออีกครั้ง
พี่สาวคนเดิมยังคงเกาะราวรถเมล์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอยืนเฉียงห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งช่วงเบาะเก้าอี้
เมื่อป้ายรถเมล์ป้ายถัดไปมาถึง คนที่นั่งข้างฉันจึงลุกขึ้นก้าวเดินไปยังประตู กดกริ่งและลงจากรถไป
ที่นั่งข้างลำตัวของฉันว่างอีกครั้ง
เสียงถี่ๆจากภายในดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายกับจะเป็นการร้องขอ แต่บางทีก็คล้ายจะเป็นแค่ประโยคบอกเล่า
ขอให้พี่สาวคนนั้นนั่งลงตรงนี้ด้วยเถอะ
ขอให้นั่งตรงนี้ด้วยเถอะ
ขอให้นั่งด้วยเถอะ
นั่งด้วยเถอะ
ฟรุบ!
เสียงสวบสาบข้างกายทำให้รู้แน่ชัดแล้วว่ามีคนจับจองที่นั่งที่ว่างอยู่เข้าเสียแล้ว
สายตาของฉันค่อยๆเหลือบหันไปมองทีละน้อย ในใจเต้นระส่ำอย่างรัวเร็ว หวังให้ความปรารถนาเป็นจริงซักครั้ง
พี่สาวคนนั้น!
เหมือนวันนี้ฟ้าจะเป็นใจให้
ฉันเบื้อนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เพื่อซ่อนรอยยิ้ม
อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้
การเดินทางของเรานั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย หากดูแล้วก็เป็นการเดินทางธรรมดาทั่วไปที่ผู้คนมักพบเจอกันทุกวัน หากแต่วันนี้การเดินทางครั้งนี้กลับกำลังแสนวิเศษ
เมื่อคนที่นั่งข้างกันนั้นชวนให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ฉันเป็นคนตกหลุมรักคนง่าย หลายคนบอกว่าฉันเป็นพวกรักแรกพบ หลายคนบอกว่าฉันเป็นพวกหลายใจ แต่ไม่ว่าหลายคนจะบอกยังไง ฉันเชื่อใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า
ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่ารัก ว่าชอบ มันคืออะไร มันเป็นแบบไหน
ฉันรู้แค่ฉันพึงพอใจ พอใจกับคนคนนีั คนแบบนี้ อาจจะไม่ต้องดีเลิศเลอ อาจจะไม่ต้องเป็นคนเพอร์เฟค อาจจะไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากมาย แค่ความรู้สึกมันดังออกมาว่ากำลังตกหลุมรัก แค่นั้นมันก็ใช่ที่สุด
และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
สายตาของฉันกับเธอต่างมองออกไปคนละทาง แต่ก็มีบ้างที่บางครั้งฉันแอบเห็นเธอเหลือบมองมาที่ฉัน และเช่นเดียวกันฉันว่าเธอก็ต้องแอบเห็นฉันเหลือบมองมาที่เธอ
ป้ายรถเมล์ที่ต้องลงใกล้จะถึงแล้ว
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด นึกอยากจะนั่งรถเมล์ต่อซะตรงนี้ไปอีกนานๆ แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้
ในเมื่อทำไม่ได้ฉันจึงต้องกลั้นใจ ลุกขึ้นยืนเต็มตัวก่อนจะก้าวเดินจากเธอไป
ฉันไม่รู้เธอจะรู้สึกอะไรไหม ที่ฉันเดินจากมา ฉันไม่รู้เธอจะรู้สึกแบบที่ฉันรู้สึกตลอดการเดินทางไหม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การเดินทางครั้งนี้ของฉันก็สุขใจเกินพอ
มีเริ่มต้น ก็ต้องมีสิ้นสุด แม่ฉันพร่ำสอนอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
มีพบ ก็ต้องมีจาก มีเข้ามา ก็ต้องมีออกไป
อยู่ที่ว่าช่วงเวลาไหนที่จะเลือกเดินเข้ามา หรือช่วงเวลาไหนที่จะเลือกเดินจากไป
สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง ลำตัวยืดตรงอยู่เต็มความสูง ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรกับรอบข้าง
หลังจากก้าวลงจากรถเมล์ ฉันต้องใช้เวลาอีกหน่อยเพื่อยืนมองเธอจากไปและใช้เวลาอีกหน่อยเพื่อเดินเท้ากลับเข้าบ้าน
ในใจยังรู้สึกเสียดายเล็กๆ คิดวกไปวนมาว่า อย่างน้อยน่าจะพูดว่าบ้ายบายซักคำสองคำพอให้เป็นมิตรเล่นๆ เพราะไหนๆเราก็ไม่เคยรู้จักกันอยู่แล้ว การที่จะทำอะไรแปลกๆไปซะหน่อยก็คงจะสนุกไม่ใช่น้อย แต่อีกใจก็ตีอกชกหัวพลางป่าวประกาศตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งว่าอายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น
จนสุดท้าย ถึงแม้จะไม่ได้บอกลา แต่ว่า...
บ้ายบายน่ะค่ะ พี่สาวคนสวย
ฉันก็พร่ำพูดคำนี้อยู่ในใจ
จะว่าไปชีวิตก็ไม่ต่างกับการเดินทาง บนรถของเราก็เหมือนชีวิตของเรา อาจจะมีผู้คนนับสิบๆที่เดินทางร่วมไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางเดียวกันบนเส้นทางเดียวกัน ผู้คนที่เราพึงพอใจก็อาจจะเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างเราบนรถเมล์ ผู้คนที่ลงรถป้ายเดียวกันก็อาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้าง ผู้คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าหมุนพวงมาลัยไปตามทางก็อาจจะเป็นผู้แนะนำเส้นทางที่ถูกที่ควรของชีวิต ผู้คนบนโลกต่างมีความหมาย
เช่นเดียวกับที่พี่สาวคนนั้นที่มีความหมายกับฉันในส่วนเล็กๆ
มีเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ
ในวันนี้ ฉันเดินทางจากมาจากคนสวยคนหนึ่ง เพื่อมาพบคนสวยอีกคน
“แม่ค่ะ หนูกลับมาแล้ว”
คนสวยและงดงามที่สุดสำหรับฉัน
........................................................................
ผลงานอื่นๆ ของ ป๊อกกี้รสนม ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ป๊อกกี้รสนม
ความคิดเห็น