[Kuroko Fic] 30 Days that I've been away from you [KiKuro] - [Kuroko Fic] 30 Days that I've been away from you [KiKuro] นิยาย [Kuroko Fic] 30 Days that I've been away from you [KiKuro] : Dek-D.com - Writer

    [Kuroko Fic] 30 Days that I've been away from you [KiKuro]

    จากคนที่เคยอยู่ด้วยกันทุกวันจนน่ารำคาญ ผ่าน 30 วันที่ไม่เจอกัน จะทำให้รู้ใจตัวเองขึ้นบ้างมั้ยนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,009

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1K

    ความคิดเห็น


    18

    คนติดตาม


    49
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ก.ย. 56 / 15:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Title : 30 Days that I've been away from you

    Author : freyaminnie

    Fandom : Kuroko no Basket

    Paring : Kise x Kuroko

    Rating : PG-13

     
    ----------------------------------------------------------------


    Blog หลัก >> freyaminnie.exteen.com

    Blog สำรอง >> freyaminnie.blogspot.com

    Fan Page >> https://www.facebook.com/MemoriesInTheMist

     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ภาพของคู่รักหรือครอบครัวที่บอกลากันนับเป็นเรื่องที่พบเห็นได้แทบจะทั่วไปในสถานที่บริการขนส่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินที่มีผู้คนแน่นขนัดแห่งหนึ่งของโลก
       
       
      หากแต่สิ่งที่ทำให้คนสองคนในนั้นกลายเป็นจุดสนใจ นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่าหนึ่งในนั้นเป็นนายแบบชื่อดังผู้มีภาพของตนปรากฏอยู่บนป้ายโฆษณาทั่วทั้งสนามบินแล้ว ยังมีเรื่องที่ว่าทั้งสองคนต่างเป็นเพศเดียวกันด้วยอีกต่างหาก


      “คิเสะคุง..กรุณาปล่อยผมด้วยครับ” ร่างเล็กกว่าที่เป็นฝ่ายถูกกอดไว้แน่นพูดขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ เพราะบัดนี้เขาใกล้จะขาดอากาศหายใจตายคาแผ่นอกของอีกฝ่ายเต็มที 


      “ไม่เอา ฉันจะกอดคุโรโกจจิอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าจะวินาทีสุดท้ายเลย” นายแบบหนุ่มผมทองยังคงดื้อรั้นไม่ยอมคลายอ้อมแขนออก พร้อมทั้งฝังใบหน้าลงบนกลุ่มผมสีฟ้ายุ่งเหยิง


      คุโรโกะถอนหายใจให้กับความโอเวอร์ของอีกฝ่ายที่ทำราวกับจะลาจากเขาไปตายในสงครามที่ไหนสักแห่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่ไปถ่ายแบบในต่างประเทศแค่ไม่กี่อาทิตย์ 


      “คิเสะคุง คนมองกันหมดแล้วครับ” ชายหนุ่มผมฟ้าพยายามใจเย็นและใช้เหตุผลเข้าโน้มน้าวคนที่ทำตัวเป็นยิ่งกว่าอายุจริงสักยี่สิบปีเป็นอย่างต่ำ เขายังไม่อยากใช้มาตรการรุนแรงอะไรต่อหน้าสาธารณะชนในตอนนี้หรอกนะ แต่ถ้าอีกฝ่ายยังดึงดันก็คงช่วยไม่ได้


      ‘ประกาศครั้งสุดท้าย ท่านผู้โดยสารสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JL711 ไปยังประเทศอิตาลี กรุณาไปขึ้นเครื่องที่เกทด้วยค่ะ’


      เสียงหวานของหญิงสาวคนหนึ่งที่พวกเขาไม่เห็นหน้าประกาศผ่านทางลำโพงกระจายเสียง ทำให้คิเสะต้องยอมปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมแขนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก (และสามารถหลบเลี่ยงอิกไนท์พาสไปได้อย่างหวุดหวิด) กระนั้นร่างโปร่งก็ยังรีรอไม่ยอมเดินไปที่เกทเพื่อขึ้นเครื่องบินเสียที


      “ทำไงดี ฉันจะต้องคิดถึงคุโรโกจจิมากๆๆๆๆๆแน่ๆเลย แล้วฉันจะโทรมาหาทุกวัน ไม่สิ ทุกชั่วโมงเลยนะ” นายแบบหนุ่มโอดครวญทั้งน้ำตา 


      “ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอกครับ เปลืองค่าโทรศัพท์เปล่าๆ” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคย


      “คุโรโกจจิใจร้าย!” 


      “ถ้าไม่รีบไปคุณจะตกเครื่องนะครับ คิเสะคุง” 


      “ถ้างั้นก่อนไป ขอจุ๊บลาสักทีได้รึเปล่า นะ นะ คุโรโกจจิ” นายแบบหนุ่มก้มลงใช้สายตาอ้อนวอน จนราวกับจะเห็นกางเป็นพวงกับหูหมาโผล่มาจากหัวสีทองๆนั่นเลยด้วยซ้ำ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเขาก็เตรียมก้มลงครอบครองริมฝีปากสีหวานๆนั่นแล้ว


      “ไม่ได้ครับ คุณคิดว่าที่นี่มันที่ไหนกัน” แต่ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งให้เหยื่อไหวตัวทัน มือเล็กยกขึ้นดันใบหน้าหล่อเหลาออกไปให้พ้นระยะโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญปานขาดใจนั่น คุโรโกะเริ่มคิดถึงทางเลือกที่จะใช้กำลังโยนเจ้าหมาโกลเด้นตัวใหญ่นี่ขึ้นเครื่องบินไปได้เสียทีถ้าไม่ห่วงว่าจะเป็นการรังแกสัตว์ไปเสียก่อน 


      เมื่อเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง คิเสะก็ต้องจำใจยอมปล่อยคุโรโกจจิที่รักไป เขาหันมาโบกมือลาไหวๆเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันหลังใส่เกียร์หมา(จริงๆ)วิ่งไปให้ทันก่อนประตูเครื่องปิด เพราะไม่งั้นเขาอาจจะโดนทางเอเจนซี่เล่นงานเอาข้อหาตกเครื่องบินได้


      ทันทีที่ร่างของนายแบบหนุ่มลับไปจากสายตา ชายหนุ่มผมฟ้าถอนหายใจแล้วมองไปทางหน้าต่างด้านนอก ที่ซึ่งเขาสามารถมองเห็นเครื่องบินสีขาวหางสีแดงที่อีกฝ่ายขึ้นไปได้ เขายืนมองอยู่อย่างนั้นจนนกยักษ์บินหายไปบนท้องฟ้ากว้าง 







      คุโรโกะทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากกลับมาถึงบ้าน อันที่จริงแล้วนี่เป็นอพาร์ทเม้นท์ของคิเสะที่เอเจนซี่นายแบบของเจ้าตัวจัดหาให้หลังจากเรียนจบแล้วหันมารับงานด้านนี้แบบเต็มตัว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ขนาดพื้นที่กว้างขวางพอสมควรจนเจ้าของห้องมักจะบ่นว่าห้องนี้กว้างเกินไปอยู่เสมอ 


      ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนอนุบาลที่คุโรโกะทำงานอยู่ไม่ถึง 10 นาที จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตกลงใจยอมตกลงใจย้ายมาอยู่ด้วยกันตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยง่าย (หลังจากคิเสะใช้เวลาเกือบครึ่งปีและหมดค่าโทรศัพท์มือถือไปหลายหมื่นเยนในความพยายามเกลี้ยกล่อมเขา)


      จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาคนรักกันมาตั้งแต่ตอนมัธยม และเขาก็รักอีกฝ่ายมาก หากแต่การย้ายมาอยู่ด้วยกันนั้นเป็นการเพิ่มระดับความสัมพันธ์แบบแทบจะก้าวกระโดดเลยทีเดียว และคุโรโกะไม่แน่ใจนักว่าตัวเขาเองพร้อมกับเรื่องนั้นขนาดไหน แม้ตัวคิเสะเองนั้นดูจะไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อยก็ตาม


      และนี่เป็นครั้งแรกหลังจากย้ายมาอยู่ด้วยกันที่พวกเขาต้องห่างกันนานขนาดนี้ ใช่ว่าเขาจะสนใจเรื่องนั้นมากมายเนื่องจากก่อนหน้านี้ก็ต่างคนต่างอยู่กันมาได้ตั้งนาน ใช่ว่าจะขาดกันไม่ได้เสียหน่อย ถึงคิเสะจะดูเหมือนแทบขาดใจที่ต้องแยกจากเขาไปทำงานก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นปฏิกิริยาตามปกติของเจ้าตัวอยู่แล้ว


      หลังจากนั่งผลาญเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ไปเกือบชั่วโมง คุโรโกะก็คิดว่าควรจะถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นได้แล้ว เขาลุกขึ้นจากโซฟา รู้สึกปวดระบมตรงบั้นท้ายเล็กน้อยเพราะกิจกรรม‘สั่งลา’ที่ทำเมื่อคืนจนเกือบจะถึงเช้า เขาสบถต่อว่าตัวการที่บัดนี้คงบินไปอยู่เหนือประเทศจีนแผ่นดินใหญ่แล้วอย่างเคืองๆ


      โต๊ะกินข้าวดีไซน์สวยหรูที่เขาไม่เคยเข้าใจรสนิยมของคนเลือกสักเท่าไหร่กลายเป็นสิ่งที่น่าพิศวงที่สุดระหว่างการรับประทานอาหารเย็นมื้อนี้ของเขา พอไม่ต้องคอยกังวลว่าจะโดนคนนั่งฝั่งตรงข้ามแอบส่งสายตาหวานเชื่อมใส่หรือแอบเอาเท้ามาก่ายเพื่อลวนลามเขาใต้โต๊ะหรือเปล่าก็ดูเหมือนเขาจะมีเวลาพิจารณาสิ่งรอบตัวที่มองข้ามไปมากขึ้น


      นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเหลือบมองนาฬิกาบนผนังหลังจากจัดการเก็บล้างข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เข็มสั้นกับเข็มยาวบอกเวลาเกือบสองทุ่ม เครื่องบินออกจากญี่ปุ่นตอนบ่ายๆ ตอนนี้น่าจะไปได้ครึ่งทางหรือไม่ก็เกือบถึงยุโรปตะวันออกซักที่แล้วล่ะมั้ง เครื่องบินจากญี่ปุ่นไปอิตาลีใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมงแบบไม่จอดพัก กับคนที่แทบจะไม่เคยอยู่นิ่งเลยแบบคิเสะคุงถ้าต้องนั่งอยู่เฉยๆนานขนาดนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ


      เขาปัดความคิดเรื่องอีกฝ่ายออกจากสมองแล้วเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ แต่เมื่อเขาถอดเสื้อผ้าออกแล้วมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกก็พบว่านายแบบหนุ่มนั้นทำให้มั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันลืมอีกฝ่ายได้เป็นแน่ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่รอยจูบสีแดงเข้มมากมายยังกระจัดกระจายไปทั่วร่างเขาให้เห็นแทบทุกครั้งที่ส่องกระจกแบบนี้


      คุโรโกะอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอีกรอบ ยังดีที่นี่ไม่ใช่หน้าร้อน ไม่งั้นเรื่องพวกนี้คงเป็นปัญหาในตอนที่ทำกิจกรรมในสระว่ายน้ำให้ต้องคอยแก้ตัวแน่ๆ 


      คืนนั้นร่างเล็กนอนหลับสนิทอย่างเหนื่อยอ่อนเนื่องจากคืนก่อนอดนอนมาแทบจะทั้งคืน แล้วตื่นมาในตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุกอันคุ้นเคย


      หลังจากสะลึมสะลือเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมพร้อมไปทำงาน ลงมือทำอาหารเช้าแบบง่ายๆด้วยความเคยชินโดยสมองแทบไม่ต้องสั่งการใดๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองกำลังเตรียมอาหารสำหรับสองคนไว้แทนที่จะเป็นคนเดียวไปเสียแล้ว


      พอคิดถึงเรื่องอีกคนขึ้นมา มือเรียวก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า คิเสะคุงน่าจะถึงอิตาลีแล้ว หากแต่หน้าจอโทรศัพท์ของเขายังคงว่างเปล่า ไม่มีข้อความ หรือจำนวนสายไม่ได้รับปรากฏอยู่แต่อย่างใด หรือบางทีเครื่องอาจจะยังบินไม่ถึงก็เป็นได้ ก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋าโดยไม่คิดอะไร


      วันนั้นเขาต้องทานกับข้าวแบบเดียวกันเป็นมื้อเที่ยงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะปริมาณอาหารที่มากเกินจะกินหมดและเสียดายที่จะต้องทิ้งไป พร้อมกับต้องคอยเตือนตัวเองให้ระลึกอยู่เสมอว่าตอนนี้คิเสะคุงไม่ได้อยู่ด้วย การทำงานในโรงเรียนอนุบาลที่ต้องรับมือกับเด็กๆวัยกำลังซนจำนวนมากกว่าสองโหลเป็นอะไรที่หนักและเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่คนอื่นที่ไม่ได้มาสัมผัสกับโลกแห่งนี้จะเข้าใจได้ 


      “กลับมาแล้วครับ..” กว่าคุโรโกะจะกลับมาถึงบ้านก็แทบจะหมดแรง เขาเปิดประตูเข้ามายังห้องที่ว่างเปล่าเหมือนเช่นทุกที ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะงานนายแบบทำให้ชายหนุ่มผมทองมักจะกลับถึงบ้านช้าหรือไม่ก็ดึกดื่นอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่วันนี้ที่ต่างออกไปคือการที่เขาไม่ต้องอยู่รอรับก็เท่านั้น เพราะวันนี้คิเสะคุงจะไม่ได้กลับมาบ้านนี่นา


      ห้าวันในสัปดาห์ไปอย่างเป็นปกติ ช่วงเวลากลางวันหมดไปกับการวิ่งไล่จับเด็กอนุบาลที่เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาลอัดแน่นในร่างกายเล็กๆ ส่วนกลางคืนก็ดูเงียบสงบเหมาะกับการอ่านหนังสือที่เขาชอบไปได้เรื่อยๆอย่างไม่มีคนกวนใจจนกระทั่งหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างหนึ่งคือการที่ไม่มีเสียงโทรศัพท์หรือแม้แต่ข้อความมาจากอีกซีกโลกนึงเลยเนี่ยสิ


      ทั้งที่ปกติแล้วแค่ไปทำงานต่างจังหวัด หรืองานเลิกดึกนิดหน่อยคิเสะก็จะต้องโทรมาคร่ำครวญว่าอยากได้ยินเสียงเขาแล้วพูดอะไรน้อยใจอยู่คนเดียวจนน่ารำคาญ หรือไม่ก็ส่งแมสเสจมาเป็นโหลๆเพื่อแสดงความรักความคิดถึงอย่างไม่กลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ แต่ตอนนี้ก็ห้าวันเข้าไปแล้ว ดันมีแค่แมสเสจสั้นๆส่งมาตอนที่เครื่องลงถึงกรุงโรมแค่ข้อความเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีมาอีกเลย


      คุโรโกะเริ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิยามค่ำคืนนั้นเย็นลงบ้างนิดหน่อยจากปกติ บางครั้งเขาต้องกอดผ้าห่มแน่นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งที่พยากรณ์อากาศก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะอุณหภูมิจะลดลงในช่วงนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นแค่ลมกลางคืนที่ทำให้อากาศหนาวเย็นลงก็เป็นได้


      วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว คงเพราะเขามัวแต่จดจ่อกับความรับผิดชอบในฐานะครูมากเกินไปจนลืมสิ่งอื่น หรือบางทีเขาอาจจะกำลังพยายามมุ่งมั่นกับงานเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องอื่น หรือคิดถึงเรื่องใครคนหนึ่งก็เป็นได้ แต่วันเสาร์อาทิตย์นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากงานบ้านเล็กๆน้อยๆแล้วเขาก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำอีกนอกจากนั่งอยู่เฉยๆ เขาพยายามอ่านหนังสือเล่มที่ยืมมาแล้วยังอ่านไม่จบในความเงียบแล้วพบว่ามันก็ทำให้มีสมาธิดี กระนั้นความรู้สึกที่เหมือนขาดอะไรไปบางอย่างก็ยังคอยสะกิดอยู่ในใจตลอดเวลา


      ผ่านมาเกือบครบอาทิตย์ ร่องรอยที่อีกฝ่ายฝากไว้บนร่างกายขาวเนียนแทบจะลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว มือเรียวยกขึ้นสัมผัสรอยจูบสีม่วงจางๆรอยสุดท้ายบนไหปลาร้าตนเบาๆ เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกมันทยอยหายไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยนี้เป็นรอยสุดท้ายแล้ว หลังจากมันหายไปเขาจะได้ไม่ต้องใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวอีกต่อไปแล้วสินะ


      ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่พอตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้ารอยจูบที่ว่าหายไปจริงๆ เขากลับรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก 


      อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าอาทิตย์แรกนัก คุโรโกะเริ่มพบว่าห้องนี้มันคงกว้างเกินไปที่จะอยู่คนเดียวอย่างที่นายแบบหนุ่มว่า ทั้งที่เป็นห้องห้องเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเดิมเมื่อไม่มีใครบางคนมาร่วมอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันนี้ด้วย 


      ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาแค่คิดไปเองทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้แปลว่าเขาเหงาหรือคิดถึงแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ตอนม.ปลายเพราะความที่อยู่ต่างโรงเรียนและต่างคนต่างซ้อมหนักจนไม่ได้เจอกันนานกว่านี้ก็ยังเคยมาแล้วด้วยซ้ำ


      หลายต่อหลายครั้งที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัวไม่ว่ามันจะสั่นหรือมีเสียงเรียกเข้าหรือไม่ก็ตาม สีหน้าผิดหวังเมื่อเห็นหน้าจอว่างเปล่าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หรือเมื่อพบว่าข้อความนั้นไม่ได้ส่งมาจากคนบางคนที่หายตัวไปอยู่อีกครึ่งซึกโลกปรากฏชัดขึ้นทุกทีๆแม้เจ้าตัวจะพยายามปิดซ่อนไม่ให้ใครเห็นก็ตามที  


      เขารู้สึกว่าเริ่มไม่เป็นตัวเองเข้าไปทุกที ทั้งที่เป็นคนห้ามไม่ให้อีกฝ่ายโทรมาเองแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกผิดหวังที่ไม่มีสายเข้ามาเลยแบบนี้  


      เคยมีบางครั้งที่คุโรโกะคิดที่จะเป็นฝ่ายโทรไปหาเอง แต่เขาก็ห้ามตัวเองไว้เสียก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันคงไร้สาระเต็มทีถ้าจะโทรไปเพื่อถามว่า “คิเสะคุง ทำไมถึงไม่โทรมาล่ะครับ” หรืออะไรแบบนั้น ไม่ล่ะ ไม่ดีกว่า บางทีที่อีกฝ่ายไม่ติดต่อมาเลยอาจจะเป็นเพราะกำลังทำงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาแน่ๆ ดังนั้นการจะโทรไปรบกวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่


      เขาไม่ใช่คิเสะคุงสักหน่อยที่ต้องคอยโทรหาอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นน่ะ


      ยิ่งนานวันเข้าราวกับเข็มนาฬิกาจะค่อยๆเดินเชื่องช้าลงเรื่อยๆจนน่าทรมาน หนึ่งชั่วโมง หนึ่งนาที หรือแม้แต่หนึ่งวินาทีที่กว่าจะผ่านพ้นไปนั้นยาวนานจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด   


      กว่าจะรู้ตัวนิ้วก็กดปุ่มสีเขียวที่เขียนว่าโทรออกไปซะแล้ว ร่างบางกลั้นใจรอฟังเสียงตอบรับจากปลายสายอย่างจดจ่อ หากแต่เสียงที่ได้ยินกลับไม่ใช่เสียงทุ้มใสที่คุ้นเคยอย่างที่คิด แต่กลับเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งแทน


      ‘เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ 


      ชายหนุ่มผมฟ้าถอนหายใจอย่างโล่งอกปนเสียดายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเหมือนเดิม เขาไม่เคยเป็นฝ่ายโทรหาคิเสะเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาตอนทำงานหรือเปล่า แต่นั่นก็คงจะดีแล้วเพราะจะได้ไม่ต้องหาเหตุผลมาอ้างว่าทำไมถึงโทรมา


      หากความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในยามกลางวันว่าแย่แล้ว ยังเทียบไม่ได้แม้แต่นิดกับที่ความอ้างว้างที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน ในเวลาที่ความมืดเข้าครอบงำทั่วทั้งห้อง ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆยกเว้นเสียงหัวใจเพียงดวงเดียวที่เต้นตึกตักอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เตียงกับผ้าห่มผืนหนาไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอบอุ่นพอจะหลับลงได้ 


      และตอนนั้นเองที่เขารู้ว่า เขาคิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหน


      คิดถึงอ้อมแขนแกร่งที่คอยกอดประคองเขาไว้ในเวลานอน เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังประสานกันในความเงียบ เสียงเต้นของหัวใจสองดวงที่คอยขับกล่อม สัมผัสอบอุ่นของร่างที่ใหญ่พอจะกอดเขาให้จมหายลงไปกับอกแกร่งได้ และเมื่อตื่นเช้ามาสัมผัสนั้นก็จะยังตระกองกอดไว้อย่างใกล้ชิดไม่ห่างหายไปไหน 


      คิดถึงใบหน้าของชายหนุ่มผมทองที่มีรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ไม่ว่าสาวๆที่ไหนเห็นก็ต้องกรี๊ดและวิ่งเข้าใส่จนวุ่นวาย จนไม่มีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะไปเดทกันในที่สาธารณะได้โดยไม่มีคนสังเกตเห็น 


      คิดถึงเสียงทุ้มพร่าที่เรียกชื่อของเขา บอกรักเขาเป็นร้อยเป็นพันครั้งได้ทั้งวี่ทั้งวันราวกับคนบ้า ถึงแม้จะโดนเขาเย็นชาใส่แค่ไหนก็ไม่เคยเสียกำลังใจเลยสักครั้ง 


      คิดถึงริมฝีปากที่มักจะจุมพิตเขาด้วยจูบที่เรียกร้องจนทำให้เขาต้องเผลอตอบสนองโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ และตามมาด้วยสัมผัสวาบหวามที่เข้าครอบครองทุกส่วนของร่างกายอย่างร้อนแรงจนเขาแทบหายใจไม่ออก  


      คิดถึงมือใหญ่อบอุ่นที่กอบกุมมือเล็กกว่าของเขาไว้แน่น ในยามที่สายลมหนาวพัดผ่านหากแต่ความอบอุ่นจากมือนั้นกลับส่งผ่านมาถึงหัวใจได้อย่างน่าประหลาด


      ใบหน้าอ่อนเยาว์เหม่อมองท้องฟ้ายามรัตติกาล แสงสีเหลืองอ่อนของดวงจันทร์ส่องสว่างไสวหากไม่อาจเทียบเท่าแสงของดวงอาทิตย์ในยามกลางวันได้ คิเสะเคยบอกว่าเขาเป็นเหมือนพระจันทร์ บางครั้งก็โผล่มา และบางคืนก็หายไปในเงามืด หากแต่ก็ส่องแสงสีขาวนวลอ่อนโยน ส่องให้เห็นทางในความมืดมิด เขาเคยคิดว่ามันช่างน้ำเน่าสิ้นดี แต่บัดดนี้เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายต่างหากที่สดใสและเจิดจ้าเหมือนกับดวงอาทิตย์ เพราะอย่างนี้ยามค่ำคืนที่มีเพียงจันทราถึงได้ดูเดียวดายนัก







      ชายหนุ่มร่างสูงเดินกึ่งวิ่งพร้อมทั้งลากกระเป๋าใบใหญ่ถูลู่ถูกังตามมาด้วย หมวกแก๊บถูกสวมไว้เพื่อปิดบังเรือนผมสีสว่างและแว่นตากันแดดอันโตปิดบังไปเสียครึ่งใบหน้าหากแต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยในการอำพรางตัวเองสักเท่าไหร่ นายแบบหนุ่มเริ่มเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งหนีแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ไล่ตามมาเบื้องหลังใกล้ขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่ลดละ 


      การถ่ายแบบและโฆษณาในอิตาลีประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีจนตอนนี้ คิเสะ เรียวตะ กลายเป็นนายแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว บรรดาแฟนคลับทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ไปจนถึงกระทั่งหนุ่มๆเพิ่มขึ้นมากมาย กระทั่งมีแม้แต่เวบไซท์แฟนคลับเป็นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ และแฟนๆกลุ่มนี้เองนั่นแหละที่เป็นตัวกระจายข่าวเรื่องที่เขาจะบินกลับมาถึงญี่ปุ่นวันนี้ ทำให้มีคนกลุ่มใหญ่มาดักรอแทบจะตั้งแต่เขาลงจากเครื่องบินเลยด้วยซ้ำทั้งที่บริเวณนั้นน่าจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าถึงแท้ๆ 


      คิเสะอยากจะร่ำไห้จนน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ใช่ว่าเขารังเกียจหรือไม่ชอบแฟนคลับหรอกนะ แต่หลังจากแผ่นดินเกิดไปทำงานมาเกือบเดือน ทุกๆวันคิวงานแน่นเอี๊ยดราวกับจะใช้ค่าตัวและค่าตั๋วเครื่องบินให้คุ้มที่สุด เวลาพักผ่อนก็แทบไม่มี แถมโทรศัพท์มือถือก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงด้วยซ้ำ ถึงจะได้เครื่องแทนมาแต่กลับไม่สามารถโทรออกนอกประเทศได้อีก ทำให้หลังจากส่งข้อความหาคุโรโกจจิแล้วเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย 


      รู้สึกเหงาจนแทบอยากจะบินหนีกลับไปหาคนที่รออยู่ที่ญี่ปุ่นนี่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นอาจจะโดนทั้งเอเจนซี่และทั้งคนรักเพ่นกบาลเอาได้ จึงได้แต่รีบอดทนทำงานที่ได้รับให้เสร็จสิ้น พอได้กลับบ้านมาก็อยากจะพุ่งเข้าไปกอดร่างเล็กไว้ให้แน่นแล้วไม่ยอมปล่อยไปตลอดทั้งคืนให้สมกับความคิดถึง แต่เขากลับต้องมาเหนื่อยกับเกมไล่จับแบบนี้ต่ออีกเนี่ยมันจะไม่ซ้ำเติมกันไปหน่อยเหรอ!


      นัยน์ตาสีทองเบื้องหลังกรอบแว่นมองไปเห็นป้ายทางออกอยู่ลิบๆ แต่แล้วแสงแห่งความหวังก็ดับวูบลงภายในพริบตาเมื่อมีแฟนคลับกลุ่มใหญ่กว่ายืนรออยู่ที่ทางออกอีก ท่ามกลางฝูงชนนั้นเอง ชายหนุ่มผมฟ้าคนหนึ่งที่ปกติก็จืดจางอยู่แล้วแทบจะถูกกลืนหายไปในกลุ่มคนมากมาย ทว่าด้วยสายสัมพันธ์หรือสัญชาติญาณของสัตว์เลี้ยงก็ไม่ทราบได้ ทำให้สายตาของคิเสะกลับสามารถสังเกตเห็นคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน


      ภาพที่เห็นทำให้ความคิดเรื่องหนีแฟนคลับพลันหายไปจากหัวสมองทันที นายแบบหนุ่มวิ่งเข้าไปหากลุ่มสาวๆอย่างไม่กลัวโดนรุม 


      “คุโรโกจจิ!!! คิดถึงที่สุดเลย!!!” แขนยาวเอื้อมไปคว้าเอาร่างของคนที่โหยหาทุกลมหายใจเข้ามาใกล้ตัวแล้วกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น ความเหน็ดเหนื่อย ความอ่อนล้าทั้งหมดแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่รักที่สุดมารอรับเขาถึงที่สนามบิน 


      คิเสะกอดร่างเล็กไว้เนิ่นนานจนเมื่อคนในอ้อมแขนเริ่มดิ้นขลุกขลักไปมาแล้วพยายามดันตัวออกนั่นแหละถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาอยู่ท่ามกลายสายตาคนมากมายขนาดไหน และคุโรโกจจิก็ไม่ชอบให้เขาแสดงความรักในที่สาธารณะสักเท่าไหร่ เขาค่อยๆคลายวงแขนออกช้าๆแล้วภาวนาให้อีกฝ่ายอย่าทำอะไรรุนแรงเกินไปจนเขาทำเรื่องอย่างว่าในคืนนี้ไม่ไหวด้วยเถอะนะ


      ทันทีที่ได้ระยะ มือของคนตัวเล็กก็คว้าคอเสื้อเขาไว้แน่นแล้วดึงลงไปหา นายแบบหนุ่มหลับตาปี๋รอรับการโจมตีที่จะมาถึง 


      หากแต่สัมผัสที่ได้รับกลับไม่ใช่แรงกระแทกจากอิกไนท์พาสประจำตัว หรือความเจ็บปวดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นสัมผัสของอะไรบางอย่างที่ทาบทับลงบนริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนความนุ่มนวลนั้นจะบดเบียดลงแนบชิดมากยิ่งขึ้น เขาลืมตาขึ้นแล้วพบว่าใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายอยู่ใกล้ยิ่งกว่าคืบ และเป็นร่างเล็กกว่านี้ที่กำลังจูบเขาอยู่ ชายหนุ่มเผยอริมฝีปากออกให้จูบล้ำลึกขึ้นโดยทันทีก่อนจะเป็นฝ่ายจูบตอบอย่างร้อนแรงไม่แพ้กันบ้าง แขนเรียวเอื้อมไปโอบรอบคอร่างสูงกว่าเพื่อช่วยในการพยุงกายส่วนอีกฝ่ายก็เอามือโอบรอบเอวบางไว้เช่นกัน


      ทั้งสองจุมพิตกันจนฝ่ายหนึ่งเริ่มจะขาดอากาศหายใจจึงต้องผละออกจากกันอย่างเสียดาย นัยน์ตาสีทองมองคนที่กำลังหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหูด้วยความเขินอายเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพิ่งทำอะไรลงไปทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายแทบจะฆ่าเขาให้ตายด้วยความน่ารักไปแล้ว


      “คุโรโกจจิ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ทำไมจู่ๆถึงจูบล่ะ ก็อยากถามไปแบบนั้นหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงเป็นฝ่ายเขินขึ้นมาดื้อๆซะงั้น


      ดวงตาสีฟ้าใสค่อยๆช้อนขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่หาได้ยากยิ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่อาจจะทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนถึงกับล้มเหลวได้


      “คุณไม่ใช่คนเดียวที่คิดถึงหรอกนะครับ คิเสะคุง”           
       
       
       
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×